อ้อนรักเดิมพันหัวใจ (สนพ.กรีนมายด์)
เพราะการพบกันครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าประทับใจสำหรับ “ศันลิตา” หญิงสาวสวยน่ารักเจ้าของร้านหนังสือจึงทำให้เธอรู้สึกหมั่นไส้ “กฤตตะวัน” หนุ่มหล่อขี้เก๊กเจ้าแผนการ โดยไม่รู้ว่าเขาคือทายาทบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง เพราะความจำเป็นทำให้กฤตตะวันต้องเข้ามาเป็นพนักงานขายในร้านหนังสือเพื่อแลกกับความช่วยเหลือบางอย่างจากศันลิตา เกมรักที่มีหัวใจเป็นเดิมพันจึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความจริงซึ่งนำพาไปสู่อันตราย
“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณไม่กล้าเดิมพันกับผม เพราะกลัวว่าจะหลงรักผมใช่มั้ยล่ะ” กฤตตะวันถามพลางมองสบตาหญิงสาวอย่างท้าทาย
“อย่างฉันเนี่ยนะต้องกลัวหลงรักคุณ รู้จักศันลิตาน้อยไปซะแล้ว ตกลงฉันรับเดิมพันกับคุณแต่ถ้าครบกำหนดสามเดือนแล้วคุณไม่สามารถทำให้ฉันพูดว่ารักคุณได้ ต่อไปคุณห้ามมายุ่งวุ่นวายกับฉันอีกนะ” ศันลิตาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในขณะที่กฤตตะวันคลี่ยิ้มอย่างสมหวังดวงตาคู่คมเป็นประกายพราวระยับเมื่อโน้มใบหน้าคมเข้มลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูหญิงสาวอย่างใกล้ชิดว่า
“ตกลงตามนั้นและนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปผมมีสิทธิ์ทำทุกอย่างเพื่อให้คุณหลงรักผมแล้วนะศันลิตา”
เดิมพันหัวใจครั้งนี้ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใครเจ้าเล่ห์กว่าใครในเกมรัก เชิญร่วมลุ้นไปกับพวกเขาใน “อ้อนรักเดิมพันหัวใจ” ค่ะ
ขอแจ้งให้นักอ่านทราบล่วงหน้าว่านิยายเรื่องนี้จะลงเนื้อเรื่องเพียงแค่ 60% เท่านั้น ไรเตอร์จะทยอยอัพให้อ่านวันละตอนนะคะ เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้วจะวางแผงในเดือนมิถุนายน 2257 นี้ค่ะ ใครสนใจสั่งจองได้ที่เว็บกรีนมายด์เลยนะคะ
“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณไม่กล้าเดิมพันกับผม เพราะกลัวว่าจะหลงรักผมใช่มั้ยล่ะ” กฤตตะวันถามพลางมองสบตาหญิงสาวอย่างท้าทาย
“อย่างฉันเนี่ยนะต้องกลัวหลงรักคุณ รู้จักศันลิตาน้อยไปซะแล้ว ตกลงฉันรับเดิมพันกับคุณแต่ถ้าครบกำหนดสามเดือนแล้วคุณไม่สามารถทำให้ฉันพูดว่ารักคุณได้ ต่อไปคุณห้ามมายุ่งวุ่นวายกับฉันอีกนะ” ศันลิตาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในขณะที่กฤตตะวันคลี่ยิ้มอย่างสมหวังดวงตาคู่คมเป็นประกายพราวระยับเมื่อโน้มใบหน้าคมเข้มลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูหญิงสาวอย่างใกล้ชิดว่า
“ตกลงตามนั้นและนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปผมมีสิทธิ์ทำทุกอย่างเพื่อให้คุณหลงรักผมแล้วนะศันลิตา”
เดิมพันหัวใจครั้งนี้ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใครเจ้าเล่ห์กว่าใครในเกมรัก เชิญร่วมลุ้นไปกับพวกเขาใน “อ้อนรักเดิมพันหัวใจ” ค่ะ
ขอแจ้งให้นักอ่านทราบล่วงหน้าว่านิยายเรื่องนี้จะลงเนื้อเรื่องเพียงแค่ 60% เท่านั้น ไรเตอร์จะทยอยอัพให้อ่านวันละตอนนะคะ เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้วจะวางแผงในเดือนมิถุนายน 2257 นี้ค่ะ ใครสนใจสั่งจองได้ที่เว็บกรีนมายด์เลยนะคะ
Tags: รัก, กุ๊กกิ๊ก,โรแมนติก
ตอน: ตอนที่ 2
วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งกฤตตะวันควรจะได้พักผ่อนนอนฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือดูรายการโทรทัศน์แบบสบายๆ อยู่บ้านหลังจากที่คร่ำเคร่งกับการทำงานมาหลายวันนับตั้งแต่วันที่เดินทางกลับมาจากต่างจังหวัด แต่เหตุการณ์ก็ไม่เป็นไปตามที่ชายหนุ่มต้องการ เพราะเขาถูกเกศวรางค์ชักชวนแกมบังคับให้ขับรถพามาช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
“พี่เกศ...คุณพี่สาวสุดที่รักครับที่อเมริกาไม่มีห้างให้พี่ช้อปปิ้งรึไง ผมว่าพี่จะซื้อของทุกร้านจนหมดห้างแล้วมั้งเนี่ย” กฤตตะวันประชดเมื่อต้องหอบหิ้วถุงข้าวของพะรุงพะรังเดินตามหลังพี่สาวผู้ซึ่งกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการช้อปปิ้ง รูดบัตรเครดิต และลากเขาเข้าร้านโน้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนานทั้งที่ไม่ใช่เทศกาลลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ของห้างแต่อย่างใด เกศวรางค์หยุดเดินหันกลับมามองใบหน้าหล่อเหลาของน้องชายพลางหัวเราะเบาๆ แล้วพูดหน้าตาเฉยว่า
“อะไรกันนายกฤตพี่ให้มาช่วยหิ้วของแค่นี้ทำเป็นบ่น เดี๋ยวพอเวลามีแฟนนายก็ต้องไปเดินตามหลังหิ้วของให้เค้าแบบนี้เหมือนกันล่ะน่าแถมยังต้องจ่ายเงินให้ด้วยนะ นี่พี่จ่ายเงินเองแต่นายแค่มาช่วยหิ้วของอย่าบ่นเลยน่าฝึกไว้ไงเวลามีแฟนจะได้ชิน”
“ผมภาวนาว่าขออย่าให้แฟนผมเป็นสาวบ้าช้อปปิ้งเหมือนพี่เกศเลย ไม่งั้นมีหวังผมหมดตัวแน่ๆ” กฤตตะวันพูดจบก็ถอนหายใจยาวเหยียด
“สามีพี่ให้พี่มาพักผ่อนนี่นา พี่ก็ต้องสนุกสนานกับการช้อปปิ้งให้เต็มที่สิ”
“พี่สนุกสนานกับการช้อปปิ้ง แต่ผมว่าสงสัยสิ้นเดือนนี้พี่ไมค์ต้องสนุกสนานกับจ่ายค่าบัตรเครดิตบานตะไทแน่ๆ เลย” ชายหนุ่มบ่นพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับพฤติกรรมของพี่สาว แต่เกศวรางค์ยังคงยิ้มและพูดอย่างอารมณ์ดีว่า
“เอาน่าน้องชายสุดที่รัก เดี๋ยวพี่จะซื้อเสื้อตอบแทนค่าเหนื่อยให้นายซักสองสามตัวก็แล้วกัน”
“ผมไม่เห็นจะอยากได้เลย” กฤตตะวันพูดพลางเบ้หน้า เพราะถ้าหากพี่สาวคิดจะซื้อเสื้อผ้าให้เขาด้วย ถุงข้าวของที่มีมากมายอยู่แล้วก็จะต้องมีเพิ่มขึ้นอีกแล้วคนที่ต้องหิ้วหนักก็คือเขาไม่ใช่เกศวรางค์เสียหน่อย ความจริงเขาดีใจมากที่พี่สาวกลับมาเยี่ยมบ้านแต่การช้อปปิ้งจนแทบจะหิ้วถุงข้าวของไม่ไหวแบบนี้ก็ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเซ็งเหมือนกัน
“มาทางนี้เถอะน่ากฤต...” ว่าแล้วเกศวรางค์ก็ก้าวเข้ามาคล้องแขนกฤตตะวันแล้วกึ่งดึงกึ่งลากน้องชายเข้าไปในร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมร้านหนึ่งทันทีโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่
ศันลิตากับเพทายเดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าเกือบสิบโมงครึ่ง หลังจากที่ทั้งสองสาวเดินแวะเวียนเข้าร้านโน้นออกร้านนี้เพื่อหาซื้อของขวัญวันเกิดให้ศิริวรรณหลายร้านแต่ก็ยังไม่มีอะไรถูกใจศันลิตาเสียที จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมร้านหนึ่ง เมื่อเพทายแนะนำว่าน่าจะลองเข้าไปดูชุดให้เป็นของขวัญพี่สาวศันลิตาจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นสองสาวก็จูงมือกันเดินเข้าไปภายในร้านทันที
“ฉันว่าชุดนี้เหมาะกับพี่วรรณดีนะต้า” เพทายบอกพลางหยิบเดรสสั้นพอดีเข่าแขนกุดสีฟ้าสดใสมีลายปักเป็นรูปนกสีขาวตัวเล็กๆ กระจายอยู่เต็มชุดขึ้นมาจากราวที่แขวนโชว์อยู่ให้ศันลิตาดู
“อืม...ก็ดูสวยเรียบร้อยดีนะ เหมาะกับพี่วรรณจริงๆ พี่วรรณต้องชอบแน่ๆ เลย ไหนราคาเท่าไหร่” ศันลิตาพูดจบก็พลิกป้ายราคาขึ้นดูทันที แล้วหญิงสาวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นราคาของชุด
“สองพันห้า!!!” ศันลิตาอุทานก่อนจะบ่นต่ออีกยืดยาว “ชุดบ้าอะไรเนี่ย แพงชะมัดยาดเลยมีโลโก้ยี่ห้อติดอยู่ตรงอกเสื้อแค่นิดเดียวเอง”
ถึงปากจะบ่นหากแต่ศันลิตาก็เอื้อมมือไปรับชุดมาจากเพทาย เพราะถึงแม้ว่าชุดนี้จะมีราคาแพงมากแต่เมื่อคิดถึงพี่สาวที่อุตส่าห์ยอมลาออกจากงานเพื่อมาช่วยเธอดูแลร้านหนังสือด้วยความเต็มอกเต็มใจโดยไม่เสียดายเงินเดือนจำนวนมากของตนเองเลยสักนิดหญิงสาวก็ไม่รู้สึกเสียดายเงินที่จะซื้อชุดนี้ไปมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดศิริวรรณเลย เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะซื้อชุดนี้ให้เป็นของขวัญวันเกิดศิริวรรณทั้งสองสาวจึงเดินเล่นดูเสื้อผ้าแบบอื่นๆ ในล็อคถัดไปบ้าง
“พี่ว่าเสื้อตัวนี้ก็เหมาะดีนะกฤต...”
เสียงหญิงสาวหน้าตาสวยเฉี่ยว ไว้ผมดัดเป็นลอนขนาดใหญ่ยาวสยายถึงกลางหลัง รูปร่างสูงระเหิดระหงในชุดเดรสรัดรูปแขนกุดสั้นเหนือเข่าสีครีมเรียบหรูซึ่งดูก็รู้ว่าเป็นของแบรนด์เนมราคาแพงพูดพลางหยิบเสื้อเชิ้ตพอดีตัวแขนยาวสีน้ำเงินเข้มขึ้นทาบบนร่างของชายหนุ่มรูปร่างสูงซึ่งกำลังยืนหันหลังให้ศันลิตากับเพทายอยู่ ทำให้ศันลิตากับเพทายซึ่งยืนดูเสื้อผ้าอยู่ไม่ไกลจากคนทั้งคู่นักพากันแอบชำเลืองมองอย่างสนใจ
“ผมว่าพอแล้วล่ะครับ พี่ซื้อเสื้อให้ผมหลายตัวแล้วนะ ผมเกรงใจ...”
สองสาวได้ยินชายหนุ่มคนนั้นพูดกับหญิงสาวสวยด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ แล้วก็เห็นฝ่ายหญิงยกมือขึ้นฟาดที่ต้นแขนฝ่ายชายเบาๆ อย่างหมั่นไส้ พลางต่อว่าด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู
“เหลวไหลน่า แค่เสื้อไม่กี่ตัวเอง จะต้องมาเกรงใจพี่ทำไมกัน”
ศันลิตากับเพทายมองสบตากันทันที ก่อนที่เพทายจะกระซิบเบาๆ ว่า
“งานนี้สงสัยเลี้ยงต้อยแหงๆ เลย”
“อืม...ก็คงงั้นมั้ง” ศันลิตาพูดอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในยุคสมัยนี้ที่ผู้หญิงจะมีแฟนอายุน้อยกว่า แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนรักของเธอจะไม่เลิกสนใจคู่รักต่างวัยง่ายๆ เพราะเพทายยังชวนคุยต่อไปอีก
“ฉันอยากเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นจังว่าจะหล่อขนาดไหน แต่ผู้หญิงสวยมากเลยนะ ฉันว่าเราเดินผ่านพวกเค้าแล้วหันมาดูหน้าตาผู้ชายให้ชัดๆ ดีกว่านะต้า”
“เธอจะไปสนใจเรื่องคนอื่นทำไมนะยัยเพทายจอมยุ่ง” ศันลิตาว่าเพื่อนรักเบาๆ แต่ถ้าอีกฝ่ายเชื่อที่เธอบอกฝนคงตกหนักแน่ๆ เพราะในที่สุดเพทายก็หันมาคว้ามือหญิงสาวให้เดินตามไปปฏิบัติการยุ่งเรื่องชาวบ้านจนได้
กฤตตะวันถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับพี่สาวตัวเอง เนื่องจากเกศวรางค์ยังคงหันกลับไปเลือกเสื้อเชิ้ตที่แขวนโชว์อยู่ขึ้นมาทาบบนตัวเขาตัวแล้วตัวเล่าทั้งที่ชายหนุ่มบอกว่าพอแล้ว แต่พี่สาวสุดที่รักของเขาสนใจที่ไหนกัน นิสัยเอาแต่ใจตัวเองแก้ไม่หายเลยจริงๆ และเขาก็คงไม่มีทางลากเกศวรางค์ให้ออกไปจากร้านนี้ได้ ตราบใดที่พี่สาวของเขายังเลือกซื้อเสื้อผ้าไม่หนำใจ
ชายหนุ่มละสายตาจากพี่สาวแล้วหันมาเห็นผู้หญิงสองคนที่กำลังจะเดินผ่านเขากับเกศวรางค์ไป ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวหนึ่งในสองที่สวมเสื้อยืดสีขาวคลุมทับด้วยแจ๊คเก็ตยีนกับกางเกงยีนสีเดียวกันและสวมรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีฟ้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาพอดี ต่างฝ่ายต่างก็มองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เหตุการณ์บนเครื่องบินเมื่อหลายวันก่อนจะย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำของสองหนุ่มสาว
“เอ๊ะ! คุณ” เสียงกฤตตะวันกับศันลิตาที่อุทานขึ้นมาพร้อมๆ กันทำให้เพทายถึงกับหยุดเดินแล้วหันกลับมามองพลางขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ส่วนเกศวรางค์ที่กำลังยืนเลือกเสื้ออยู่ก็หันมามองศันลิตาด้วยแววตาสงสัยก่อนจะหันกลับไปถามน้องชายว่า
“ใครน่ะกฤต เพื่อนเหรอ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่เพื่อนผม” กฤตตะวันรีบปฏิเสธทันที เมื่อได้ยินเขาตอบหญิงสาวสวยรุ่นพี่คนนั้นอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด ศันลิตาจึงปรายตามองชายหนุ่มด้วยแววตาเยาะหยัน ก่อนจะบอกกับหญิงสาวสวยรุ่นพี่ว่า
“ฉันไม่รู้จักกับเค้าหรอกค่ะคุณสบายใจได้ ขอตัวนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็จูงมือเพื่อนรักเดินผละจากคนทั้งสองแล้วไปที่เคาเตอร์จ่ายเงินทันที ท่ามกลางความงุนงงสงสัยของกฤตตะวันเมื่อเห็นแววตาแปลกๆ ของสองสาวซึ่งมองมาที่เขากับเกศวรางค์
“ตกลงผู้หญิงคนนั้นใครกันน่ะกฤตหน้าตาสวยน่ารักเชียว ถ้าไม่ใช่เพื่อนแล้วใครกันจ๊ะ พี่ว่านายกับเค้าต้องรู้จักกันแน่ๆ อย่ามาอำซะให้ยากเลย” เกศวรางค์หันมาถามด้วยน้ำเสียงล้อเลียนพลางมองจ้องหน้าน้องชายอย่างจับผิดเมื่อเห็นว่าทั้งสองสาวเดินไปไกลพอสมควรแล้ว กฤตตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเข้าใจดีว่าพี่สาวกำลังคิดอะไรอยู่
“เฮ้อออ!!! มันไม่ใช่อย่างที่พี่เกศคิดหรอกครับ”
“ไม่ใช่อย่างที่พี่คิดงั้นเหรอ แล้วนายว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ” เกศวรางค์ถามอีก
“ก็ถ้าพี่เกศกำลังคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนผม ผมขอยืนยันเลยว่าไม่ใช่แน่นอน” กฤตตะวันตอบ
“สรุปว่านายกับเค้ารู้จักกันใช่มั้ย ท่าทางเหมือนเค้าจะงอนนายนะ กิ๊กเก่านายรึเปล่าจ๊ะน้องชายสุดที่รัก”
“ไม่ใช่กิ๊กเก่าอะไรทั้งนั้นแหละครับ ต้องบอกว่าเป็นคู่กรณีถึงจะถูก” จากนั้นกฤตตะวันก็เล่าเหตุการณ์บนเครื่องบินเมื่อหลายวันก่อนให้พี่สาวฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อได้รู้ความจริงเกศวรางค์ก็หัวเราะด้วยความขบขัน ก่อนจะบอกกับกฤตตะวันว่าถึงแม้หญิงสาวคนนั้นจะทำอะไรเปิ่นและซุ่มซ่ามแต่หน้าตาก็สวยน่ารักมากทีเดียวพลางแกล้งกระเซ้าว่าให้เขาหาน้องสะใภ้แบบนี้มาให้เธอสักคน กฤตตะวันถึงกับส่ายหน้าทันทีพลางบอกพี่สาวเสียงแข็งว่าเขาไม่ชอบผู้หญิงซุ่มซ่ามแบบนั้นและไม่มีทางเอามาเป็นแฟนเด็ดขาด
เกศรางค์เลยเตือนน้องชายว่าให้ระวังตัวเอาไว้ให้ดี เพราะคนโบราณบอกเอาไว้ว่าไม่ชอบอะไรก็มักจะได้อย่างนั้น พูดจบเกศวรางค์ก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินไปดูเสื้อผ้าในล็อคถัดไป ส่วนกฤตตะวันส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างขบขันในคำพูดของพี่สาวมากกว่าจะเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังก่อนจะก้าวตามอีกฝ่ายไป
หลังจากชำระเงินค่าชุดของศิริวรรณเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาจากร้านไกลพอสมควรแล้วเพทายซึ่งเก็บความสงสัยเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ก็ซักถามศันลิตาว่ารู้จักกับชายหนุ่มรูปหล่อที่เจอในร้านเสื้อเมื่อครู่นี้หรือเปล่า หญิงสาวจึงบอกกับเพื่อนรักว่าเขาคือผู้ชายที่นั่งคู่กับเธอบนเครื่องบินในวันที่เธอเดินทางกลับมาจากขอนแก่น
“หา! ผู้ชายคนนั้นเหรอที่เธอไปปล่อยไก่ให้เค้าดูทั้งเล้ามาน่ะ เหลือเชื่อเลยโลกกลมชะมัด เอ...แต่จะว่าไปแล้วฉันก็รู้สึกว่าฉันคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้อยู่นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง” เพทายทำท่าครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“หน้าตาเหมือนดารา นายแบบ หรือว่านักร้องล่ะ เธอถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าเค้าน่ะ” ศันลิตาแกล้งประชดเพื่อนรัก
“ไม่รู้สินะ เพราะฉันก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าเคยเห็นที่เค้าไหน ตอนนี้รู้แต่ว่าเค้าหน้าตาหล่อมากเลย สูง ขาว คิ้วเข้ม ตาคมกริบ ริมฝีปากรูปกระจับน่าจูบชะมัด แค่สบตาก็ทำฉันใจละลายแล้ว” เพทายพูดพลางทำตาปรอยอย่างเคลิบเคลิ้ม
“พอๆ เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วยัยเพทาย หล่อแค่ไหนฉันก็ไม่สนใจหรอก นายนั่นก็ดีแค่หน้าตาเท่านั้นแหละ แต่ขี้เก๊ก ปากเสีย แล้วก็กวนประสาทจะตาย” ศันลิตาว่าเพื่อนรักด้วยความหมั่นไส้อีกฝ่ายที่พร่ำเพ้อชื่นชมชายหนุ่มที่เธอขุ่นเคืองอยู่
“ฉันเคยบอกเธอแล้วไงว่าคนหล่อทำอะไรก็ไม่น่าโกรธ แถมยังหล่อลากกระชากใจขนาดนี้ฉันโกรธไม่ลงจริงๆ นะ ถ้าได้มาเป็นแฟนฉันจะรักสุดหัวใจเลย” เพทายยังคงเพ้อต่ออย่างไม่ยอมหยุดง่ายๆ
ศันลิตาส่ายหน้าอย่างระอาใจปนขบขันกับความคิดเพ้อฝันของเพทายก่อนจะดับฝันอีกฝ่ายโดยบอกว่าชายหนุ่มคนนั้นมีหญิงสาวรุ่นพี่แสนสวยคอยเอาอกเอาใจ แถมยังทุ่มเทให้ไม่อั้นแบบนั้นคงไม่มีวันที่เขาจะยอมเลิกรากับแม่บุญทุ่มอย่างแน่นอนเพราะการอยู่อย่างสุขสบายมีคนอุปถัมภ์เลี้ยงดูแบบนี้ใครๆ ก็ต้องชอบทั้งนั้น เลยถูกเพทายส่งค้อนวงใหญ่ให้พร้อมทั้งบ่นกระปอดกระแปดว่าศันลิตาไม่ให้กำลังใจกันบ้างเลย
ระหว่างทางที่ขับรถไปส่งศันลิตาเพทายก็ยังพูดเรื่องคู่รักต่างวัยหนุ่มหล่อสาวสวยอีกจนได้ ถึงแม้ศันลิตาจะเปลี่ยนไปเล่าเรื่องที่มีมิจฉาชีพเอาทองปลอมเข้าไปขายให้ร้านทองตั้งสกลรัตน์ซึ่งตั้งอยู่ติดกับร้านของเธอแล้วคิดจะเชิดทองจริงหนีไปจนทำให้ธัญรดาลูกสาวเจ้าของร้านทองต้องวิ่งตามออกมาตามจับคนร้ายให้ฟังแต่เพทายก็ตื่นเต้นอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น หลังจากนั้นเพื่อนรักของเธอก็วกกลับมาคุยเรื่องเดิมอีกจนได้ ศันลิตาเลยจำต้องนั่งฟังอีกฝ่ายพูดเจื้อยแจ้วไปจนกระทั่งถึงร้านของตนเอง
“สวัสดีครับคุณต้า ไปช้อปปิ้งที่ไหนมาครับ” เสียงทักถามขึ้นอย่างคุ้นเคยก่อนที่ศันลิตาจะผลักประตูร้านเดินเข้าไปหลังจากที่เพทายขับรถออกไปแล้ว คนถามคือธนากรชายหนุ่มรูปหล่อลูกชายเจ้าของโครงการทาวน์เลิฟซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการโครงการแห่งนี้นั่นเอง
“สวัสดีค่ะคุณเอส ต้าก็ไปช้อปปิ้งที่ห้างแถวๆ นี้แหละค่ะ ไม่อยากไปไกลมากเพราะเกรงใจเพื่อนที่อุตส่าห์ขับรถพาไป” ศันลิตาตอบพลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มตามมารยาท หญิงสาวไม่ค่อยอยากจะยุ่งเกี่ยวกับธนากรนักเพราะอีกฝ่ายค่อนข้างเจ้าชู้และมักจะทำท่าทางกระลิ้มกระเหลี่ยกับบรรดาสาวๆ เจ้าของร้านแถวนี้แทบทุกคนรวมทั้งเธอด้วย
“คราวหลังถ้าคุณต้าจะไปซื้อของบอกผมก็ได้นะครับ ผมยินดีขับรถพาคุณต้าไปทุกห้างเลยครับ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลแค่ไหน” ธนากรขันอาสาอย่างเต็มอกเต็มใจ
“ขอบคุณมากค่ะคุณเอส แต่ต้าคงไม่รบกวนคุณเอสหรอกค่ะ ต้าเกรงใจ” ศันลิตาปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกครับผมยินดีดูแลลูกบ้านทาวน์เลิฟทุกคนอยู่แล้ว บอกแล้วไงครับว่ามีปัญหาปรึกษาป๋าเอสได้ตลอดเวลา” ธนากรยืดอกพูดอย่างใจป้ำและภาคภูมิใจในตัวเองเสียเหลือเกิน แต่ศันลิตายังไม่ทันได้พูดอะไรกับชายหนุ่มเสียงพัชรา หรือ ป้าพัชร เลขานุการอายุรุ่นราวคราวป้าของธนากรก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ตอนนี้มีปัญหาจริงๆ แล้วค่ะคุณเอส เชิญคุณเอสไปแก้ปัญหาด่วนเลยเพราะมีคนในหมู่บ้านโทรศัพท์มาแจ้งว่ามีงูเข้าบ้านเค้าค่ะ”
“อะไรนะ! งูเข้าบ้าน แล้วทำไมต้องให้ผมไปแก้ปัญหาด้วยล่ะ ผมจับงูไม่เป็นซะหน่อย บอกเค้าโทร.ไปแจ้งหน่วยกู้ภัยให้มาจับสิครับป้าพัชร” ธนากรบ่นพลางตีหน้ายุ่งอย่างหงุดหงิด
“ก็คุณเอสบอกว่ามีปัญหาปรึกษาคุณเอสไม่ใช่เหรอคะ ตอนนี้ลูกบ้านเค้ามีปัญหายังไงคุณเอสก็ต้องรีบไปแก้ไขด่วนค่ะ” พัชราบอกชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายเสียงเข้ม
ธนากรยังคงมีทีท่าอิดออดไม่อยากไป ศันลิตาจึงช่วยสนับสนุนคำพูดของพัชราโดยให้เหตุผลว่าหมู่บ้านจะเสียชื่อเสียงถ้าหากเขาไม่รีบไปดูแลให้ความช่วยเหลือลูกบ้านในเวลาที่มีปัญหา ชายหนุ่มเลยพยักหน้าอย่างเสียมิได้ก่อนจะรีบเดินตามพัชราไปทันที ส่วนก็ศันลิตาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่มีเหตุให้ผู้จัดการโครงการจอมเจ้าชู้ต้องรีบไปจัดการไม่อย่างนั้นเธอคงต้องยืนพูดคุยกับเขาอีกนานเลยทีเดียว
กฤตตะวันปิดแฟ้มเอกสารที่เพิ่งจะเซ็นอนุมัติเสร็จเรียบร้อยแล้ววางซ้อนไว้อย่างเป็นระเบียบกับแฟ้มที่เขาตรวจสอบและเซ็นอนุมัติไปก่อนหน้านั้นอีกสองแฟ้ม ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือราคาแพงขึ้นดูเวลาซึ่งขณะนี้เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาบ่ายสี่โมงครึ่งพอดี
ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นยืนพลางบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบตามร่างกายเนื่องจากวันนี้เป็นวันจันทร์เขาจึงต้องคร่ำเคร่งกับการตรวจสอบและเซ็นอนุมัติเอกสารซึ่งคั่งค้างมาตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนตลอดทั้งวันจนแทบไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย แม้แต่อาหารกลางวันก็ต้องให้ดนัยสั่งแม่บ้านซื้อขึ้นมาให้รับประทานที่โต๊ะทำงาน เมื่อขยับเสื้อสูทให้เข้าที่เรียบร้อยแล้วกฤตตะวันก็คว้ากุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาก่อนที่ร่างสูงจะก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องทำงาน
“ผมกลับก่อนนะคุณดนัย เอกสารบนโต๊ะผมเซ็นเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วคุณช่วยส่งกลับไปให้แผนกการเงินกับแผนกบัญชีด้วย แล้วถ้ามีอะไรที่ผมต้องเซ็นด่วนคุณเอาเข้าไปวางไว้บนโต๊ะได้เลย พรุ่งนี้ผมจะรีบมาตรวจดูแล้วเซ็นให้แต่เช้า” กฤตตะวันแวะสั่งงานกับเลขานุการส่วนตัวของเขาซึ่งนั่งอยู่หน้าห้อง
“ครับคุณกฤต” ดนัยรับคำ กฤตตะวันทำท่าจะก้าวเดินแต่แล้วก็จะชะงักเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อ้อ เดี๋ยวคุณช่วยโทรตามแบบแปลนโครงการหมู่บ้านที่อยุธยาให้ผมด้วยนะคุณดนัย บอกว่าผมต้องการภายในอาทิตย์นี้”
“ครับคุณกฤตเดี๋ยวผมจัดการให้ครับ” ดนัยตอบรับ
เมื่อสั่งงานเลขานุการส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วกฤตตะวันจึงก้าวตรงไปที่ลิฟต์สำหรับผู้บริหารแล้วกดลิฟต์ลงไปที่ลานจอดรถทันที หลังจากขับรถออกมาจากบริษัทได้ประมาณครึ่งชั่วโมงเสียงโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มก็ดังขึ้นเขารีบกดเปิดบูลทูธเพื่อรับสายทันทีเมื่อเห็นภาพหน้าจอโชว์ว่าคนที่โทรเข้ามาคือเกศวรางค์
“ว่าไงครับพี่เกศ”
“นายออกมาจากบริษัทรึยัง” เกศวรางค์ถามมาจากปลายสาย
“ผมขับรถออกจากบริษัทมาได้สักพักแล้วครับ พี่เกศมีอะไรรึเปล่า” กฤตตะวันตอบแล้วย้อนถามพี่สาวกลับไป
เกศวรางค์จึงบอกมาจากปลายสายว่าให้กฤตตะวันช่วยแวะหาซื้อหนังสือนิยายเล่มใหม่ล่าสุดของนักเขียนในดวงใจซึ่งเพิ่งจะวางแผงให้หน่อย เมื่อชายหนุ่มบอกไปว่าขับรถเลยห้างสรรพสินค้ามาแล้วไม่รู้ว่าจะหาซื้อหนังสือที่ไหน เกศวรางค์ก็แนะนำมาว่ามีร้านหนังสืออยู่ตรงอาคารพาณิชย์แถวหน้าหมู่บ้านทาวน์เลิฟซึ่งเป็นทางผ่านที่จะกลับบ้านอยู่ร้านหนึ่งชื่อว่าร้าน มุมสบาย บุ๊ค เซ็นเตอร์ ให้กฤตตะวันลองเข้าไปหาดูที่ร้านนั้น เมื่อสั่งเสร็จเกศวรางค์ก็วางสายไปทันทีโดยไม่ยอมรอฟังคำตอบเลยแม้แต่น้อย สรุปว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปหาซื้อหนังสือนิยายให้ได้ตามคำบัญชาของพี่สาว
รถสปอร์ตสีดำคันหรูของกฤตตะวันแล่นผ่านป้อมยามหมู่บ้านทาวน์เลิฟเข้าไปจอดที่หน้าร้านหนังสือมุมสบาย บุ๊ค เซ็นเตอร์ ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทสีเทาเข้มที่สวมอยู่ออกวางพาดไว้ที่เบาะด้านข้างคนขับแล้วรูดเนคไทลงต่ำ จากนั้นก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนบริเวณลำคอและปลายแขนเสื้อทั้งสองข้างออกเพื่อความสบายตัวแล้วพับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้าวลงจากรถเดินตรงเข้าไปในร้านหนังสือ
ทันทีที่ก้าวผ่านประตูเข้าร้านหนังสือเข้ามากฤตตะวันก็ต้องอมยิ้มด้วยความรู้สึกพึงพอใจกับบรรยากาศภายในร้านซึ่งตกแต่งให้แลดูสบายตาด้วยวอลเปเปอร์สีเขียวอ่อนลายดอกเดซี่สีขาวขนาดเล็กเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ไม้ซึ่งใช้สีครีมทั้งหมด ชายหนุ่มเผลอหยุดยืนมองไปรอบๆ ร้านด้วยความเพลิดเพลิน จนกระทั่งได้ยินเสียงใสทักถามดังขึ้นจากทางด้านหลังจึงรู้สึกตัว
“ร้านมุมสบายฯ ยินดีต้อนรับค่ะ คุณกำลังหาหนังสืออะไรอยู่คะ ต้องการความช่วยเหลือรึเปล่า”
“ขอบคุณมากครับ ผมกำลังหาหนังสือนิ...” กฤตตะวันชะงักคำพูดของตัวเองเอาไว้ก่อนจะจบประโยคเมื่อหมุนตัวหันมาเจอกับเจ้าของเสียงใสซึ่งไม่ใช่ใครอื่นเธอคือผู้หญิงจอมเปิ่นบนเครื่องบินนั่นเอง
ศันลิตาเองก็อยู่ในอาการตะลึงและคาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้เจอกับชายหนุ่มขี้เก๊กที่เธอสุดแสนจะหมั่นไส้อีกครั้ง ดังนั้นรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าเนียนใสจึงเลือนหายไปในทันที อะไรโลกมันจะกลมขนาดนี้ก็ไม่รู้เพิ่งจะเจอกันโดยบังเอิญในห้างสรรพสินค้าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาพอมาวันจันทร์นายขี้เก๊กคนนี้ก็บังเอิญเข้ามาซื้อหนังสือในร้านของเธออีกหญิงสาวบ่นอุบอยู่ในใจ
“คุณทำงานที่นี่เหรอ” กฤตตะวันเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน ศันลิตาจึงพยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะถามชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงราบเรียบพอๆ กับสีหน้าว่า
“คุณต้องการหนังสืออะไร…คะ”
กฤตตะวันเลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าน้ำเสียงของหญิงสาวตรงหน้าดูแข็งขึ้นกว่าตอนแรกที่ทักททายเขาและดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เต็มใจพูดคำลงท้ายว่าคะสักเท่าไหร่ แต่ชายหนุ่มก็บอกชื่อหนังสือนวนิยายเล่มที่เกศวรางค์ต้องการไปพร้อมทั้งชื่อของนักเขียนด้วย
ศันลิตาขมวดคิ้วโก่งเรียวเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะมาซื้อนวนิยายรักโรแมนติกเพราะดูจะไม่ค่อยเข้ากับบุคลิกของเขาสักเท่าไหร่ แต่แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาคงจะซื้อไปให้แฟนสาวรุ่นพี่คิ้วโก่งเรียวจึงค่อยคลายลง ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มเดินตามไปที่ล็อคหนังสือนวนิยายซึ่งอยู่ด้านใน
กฤตตะวันเดินตามร่างเพรียวระหงไปอย่างไม่เร่งรีบนักพลางนึกขบขันกับสีหน้าและท่าทางมึนตึงที่หญิงสาวแสดงใส่ ทำไมชายหนุ่มจะดูไม่ออกว่าเธอไม่ชอบหน้าเขาซึ่งสาเหตุก็คงเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินอย่างแน่นอน ผู้หญิงอะไรนอกจากซุ่มซ่ามทำอะไรเปิ่นๆ แล้วยังนิสัยเหมือนเด็กพาลไม่เลิกอีกต่างหากชายหนุ่มคิดอยู่ในใจพลางส่ายหน้ายิ้มๆ อยู่คนเดียว
“ตรงนี้เป็นหมวดนวนิยายทั้งสองฝั่งคุณหาหนังสือที่ต้องการได้ตามสบายเลยนะคะ” ศันลิตาหันมาบอกเมื่อเดินนำชายหนุ่มมาถึงชั้นวางหนังสือหมวดนวนิยายพลางผายมือไปที่ชั้นวางหนังสือทั้งสองฝั่ง
“อ้าว! แล้วคุณพนักงานขายจะไม่ช่วยบริการหาหนังสือให้ผมหน่อยเหรอ หน้าที่คุณไม่ใช่เหรอครับ” กฤตตะวันแกล้งย้อนถามพลางพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้เมื่อสังเกตเห็นว่าแววตาของหญิงสาวเริ่มขุ่นเขียวเล็กน้อย
ศันลิตาแอบถอนหายใจเบาๆ อย่างขัดใจแต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธความช่วยเหลือลูกค้าได้เพราะจะเป็นการเสียมารยาทและทำให้ร้านเสียชื่อด้วย ดังนั้นหญิงสาวจึงพยายามวางสีหน้าเรียบเฉยถามนามปากกานักเขียนและชื่อหนังสือนวนิยายที่เขาต้องการอีกครั้งก่อนจะเดินดูรายชื่อหนังสือบนชั้นวางทีละชั้น
ในขณะที่กฤตตะวันแอบอมยิ้มอยู่คนเดียวอย่างนึกสนุกเมื่อสังเกตเห็นทีท่าของหญิงสาวตรงหน้า ดวงตาเรียวรีคู่คมฉายแววเจ้าเล่ห์เมื่อเริ่มคิดแผนการกลั่นแกล้งคนที่กำลังทำหน้าตามึนตึงเฉยชาใส่เขาอยู่ได้
“นี่ค่ะหนังสือที่คุณต้องการ เชิญจ่ายเงินที่เคาเตอร์ด้านหน้าได้เลยค่ะ” ศันลิตาบอกเสียงเรียบพลางส่งหนังสือนวนิยายให้ชายหนุ่ม
“ขอบคุณครับ” กฤตตะวันกล่าวคำขอบคุณหญิงสาวก่อนจะพลิกหนังสือในมือไปมาเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยแล้วเขาก็สังเกตเห็นรอยยับย่นเล็กน้อยบริเวณมุมปกหนังสือด้านหลัง ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นทันทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดเสียงขรึม “หนังสือเล่มนี้มีรอยยับตรงมุมปกด้านหลังรบกวนคุณช่วยเปลี่ยนเล่มใหม่ที่ไม่มีตำหนิให้ผมได้มั้ย”
ศันลิตารับหนังสือกลับคืนมาจากชายหนุ่มพลางมองดูรอยยับย่นบนปกหนังสือตรงตำแหน่งที่เขาบอกแล้วก็ให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจเพราะว่ารอยยับมันเล็กน้อยเสียจนแทบจะมองไม่เห็นแต่เขาก็ยังอุตส่าห์มองเห็น หญิงสาวหันกลับไปเลือกหาหนังสือเล่มใหม่ซึ่งไม่มีตำหนิมาให้หนุ่มหล่อจอมเรื่องมาก พลางค่อนขอดอีกฝ่ายอยู่ในใจว่าผู้ชายอะไรนอกจากขี้เก๊ก กวนประสาท แล้วยังจู้จี้จุกจิกอีก ใครทนเป็นแฟนผู้ชายคนนี้ได้ต้องเป็นคนที่ใจเย็นมากถึงมากที่สุด เพราะถ้าเป็นเธอคงทนความกวนประสาทของเขาได้ไม่ถึงห้านาทีอย่างแน่นอน
หลังจากใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่หญิงสาวก็สามารถหาหนังสือนวนิยายเล่มที่ไร้รอยตำหนิจนเป็นที่พอใจของคุณลูกค้าจอมเรื่องมากจนได้ เมื่อส่งหนังสือให้เขาและคิดว่าคงจะสิ้นเรื่องสิ้นราวเสียทีแต่เรื่องกลับไม่เป็นไปอย่างที่เธอคาดคิด เพราะหนุ่มขี้เก๊กจอมกวนประสาทเกิดอยากจะหาซื้อหนังสือประเภทอื่นเพิ่มเติมอีกหลายเล่มซึ่งก็เดือดร้อนศันลิตาที่ต้องไปเดินค้นหาให้เขา
เมื่อชั้นล่างไม่มีเธอก็ต้องขึ้นไปหาหนังสือในห้องสต๊อกสินค้าที่อยู่บนชั้นสอง ครั้นจะวานให้วีณาหรือชัยพรมาดูแลเขาแทนก็ไม่ได้ เพราะทั้งสองคนต่างก็ติดดูแลลูกค้ารายอื่นอยู่เนื่องจากช่วงเย็นหลังเลิกงานและเลิกเรียนแบบนี้มีลูกค้าทยอยเข้าร้านตลอดเวลา พอเอาหนังสือลงมาให้ชายหนุ่มจอมเรื่องมากก็ติว่ามีรอยยับตรงโน้นตรงนี้ทำให้หญิงสาวต้องวิ่งขึ้นไปนั่งคัดหาหนังสือที่ไร้รอยตำหนิมาให้เขาและเสียเวลาอยู่ข้างบนร่วมครึ่งชั่วโมง
“หนังสือที่คุณต้องการได้ครบทุกเล่มแล้ว คุณจะตรวจดูความเรียบร้อยอีกสักรอบมั้ยคะ” ศันลิตาถามอย่างประชดประชันเมื่อหาหนังสือไร้รอยตำหนิให้ชายหนุ่มได้ครบเรียบร้อยทุกเล่มตามที่เขาต้องการ แล้วหญิงสาวก็เห็นคนที่เธอถามยิ้มเล็กน้อยตรงมุมปากก่อนจะตอบหน้าตาเฉยแต่กวนประสาทเป็นที่สุดในความรู้สึกของเธอว่า
“คงไม่ต้องตรวจหรอกครับ ผมมั่นใจว่าคุณต้องหาหนังสือเล่มที่ไม่มีรอยตำหนิมาให้ผมอยู่แล้ว เพราะว่าคุณหายไปหาหนังสือนานมาก”
“ถ้างั้นก็ขอเชิญคุณชำระเงินที่เคาเตอร์เลยค่ะ” ศันลิตากัดฟันพูดเสียงเรียบพลางพยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้อย่างสุดความสามารถก่อนจะเดินนำร่างสูงไปที่เคาเตอร์คิดเงินทันที โดยไม่มีโอกาสได้เห็นว่าคนที่เดินตามหลังมานั้นกำลังแอบหัวเราะเบาๆ อยู่คนเดียวอย่างขบขันกับท่าทางหัวเสียของเธอ
“พี่เกศ...คุณพี่สาวสุดที่รักครับที่อเมริกาไม่มีห้างให้พี่ช้อปปิ้งรึไง ผมว่าพี่จะซื้อของทุกร้านจนหมดห้างแล้วมั้งเนี่ย” กฤตตะวันประชดเมื่อต้องหอบหิ้วถุงข้าวของพะรุงพะรังเดินตามหลังพี่สาวผู้ซึ่งกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการช้อปปิ้ง รูดบัตรเครดิต และลากเขาเข้าร้านโน้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนานทั้งที่ไม่ใช่เทศกาลลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ของห้างแต่อย่างใด เกศวรางค์หยุดเดินหันกลับมามองใบหน้าหล่อเหลาของน้องชายพลางหัวเราะเบาๆ แล้วพูดหน้าตาเฉยว่า
“อะไรกันนายกฤตพี่ให้มาช่วยหิ้วของแค่นี้ทำเป็นบ่น เดี๋ยวพอเวลามีแฟนนายก็ต้องไปเดินตามหลังหิ้วของให้เค้าแบบนี้เหมือนกันล่ะน่าแถมยังต้องจ่ายเงินให้ด้วยนะ นี่พี่จ่ายเงินเองแต่นายแค่มาช่วยหิ้วของอย่าบ่นเลยน่าฝึกไว้ไงเวลามีแฟนจะได้ชิน”
“ผมภาวนาว่าขออย่าให้แฟนผมเป็นสาวบ้าช้อปปิ้งเหมือนพี่เกศเลย ไม่งั้นมีหวังผมหมดตัวแน่ๆ” กฤตตะวันพูดจบก็ถอนหายใจยาวเหยียด
“สามีพี่ให้พี่มาพักผ่อนนี่นา พี่ก็ต้องสนุกสนานกับการช้อปปิ้งให้เต็มที่สิ”
“พี่สนุกสนานกับการช้อปปิ้ง แต่ผมว่าสงสัยสิ้นเดือนนี้พี่ไมค์ต้องสนุกสนานกับจ่ายค่าบัตรเครดิตบานตะไทแน่ๆ เลย” ชายหนุ่มบ่นพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับพฤติกรรมของพี่สาว แต่เกศวรางค์ยังคงยิ้มและพูดอย่างอารมณ์ดีว่า
“เอาน่าน้องชายสุดที่รัก เดี๋ยวพี่จะซื้อเสื้อตอบแทนค่าเหนื่อยให้นายซักสองสามตัวก็แล้วกัน”
“ผมไม่เห็นจะอยากได้เลย” กฤตตะวันพูดพลางเบ้หน้า เพราะถ้าหากพี่สาวคิดจะซื้อเสื้อผ้าให้เขาด้วย ถุงข้าวของที่มีมากมายอยู่แล้วก็จะต้องมีเพิ่มขึ้นอีกแล้วคนที่ต้องหิ้วหนักก็คือเขาไม่ใช่เกศวรางค์เสียหน่อย ความจริงเขาดีใจมากที่พี่สาวกลับมาเยี่ยมบ้านแต่การช้อปปิ้งจนแทบจะหิ้วถุงข้าวของไม่ไหวแบบนี้ก็ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเซ็งเหมือนกัน
“มาทางนี้เถอะน่ากฤต...” ว่าแล้วเกศวรางค์ก็ก้าวเข้ามาคล้องแขนกฤตตะวันแล้วกึ่งดึงกึ่งลากน้องชายเข้าไปในร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมร้านหนึ่งทันทีโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่
ศันลิตากับเพทายเดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าเกือบสิบโมงครึ่ง หลังจากที่ทั้งสองสาวเดินแวะเวียนเข้าร้านโน้นออกร้านนี้เพื่อหาซื้อของขวัญวันเกิดให้ศิริวรรณหลายร้านแต่ก็ยังไม่มีอะไรถูกใจศันลิตาเสียที จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมร้านหนึ่ง เมื่อเพทายแนะนำว่าน่าจะลองเข้าไปดูชุดให้เป็นของขวัญพี่สาวศันลิตาจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นสองสาวก็จูงมือกันเดินเข้าไปภายในร้านทันที
“ฉันว่าชุดนี้เหมาะกับพี่วรรณดีนะต้า” เพทายบอกพลางหยิบเดรสสั้นพอดีเข่าแขนกุดสีฟ้าสดใสมีลายปักเป็นรูปนกสีขาวตัวเล็กๆ กระจายอยู่เต็มชุดขึ้นมาจากราวที่แขวนโชว์อยู่ให้ศันลิตาดู
“อืม...ก็ดูสวยเรียบร้อยดีนะ เหมาะกับพี่วรรณจริงๆ พี่วรรณต้องชอบแน่ๆ เลย ไหนราคาเท่าไหร่” ศันลิตาพูดจบก็พลิกป้ายราคาขึ้นดูทันที แล้วหญิงสาวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นราคาของชุด
“สองพันห้า!!!” ศันลิตาอุทานก่อนจะบ่นต่ออีกยืดยาว “ชุดบ้าอะไรเนี่ย แพงชะมัดยาดเลยมีโลโก้ยี่ห้อติดอยู่ตรงอกเสื้อแค่นิดเดียวเอง”
ถึงปากจะบ่นหากแต่ศันลิตาก็เอื้อมมือไปรับชุดมาจากเพทาย เพราะถึงแม้ว่าชุดนี้จะมีราคาแพงมากแต่เมื่อคิดถึงพี่สาวที่อุตส่าห์ยอมลาออกจากงานเพื่อมาช่วยเธอดูแลร้านหนังสือด้วยความเต็มอกเต็มใจโดยไม่เสียดายเงินเดือนจำนวนมากของตนเองเลยสักนิดหญิงสาวก็ไม่รู้สึกเสียดายเงินที่จะซื้อชุดนี้ไปมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดศิริวรรณเลย เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะซื้อชุดนี้ให้เป็นของขวัญวันเกิดศิริวรรณทั้งสองสาวจึงเดินเล่นดูเสื้อผ้าแบบอื่นๆ ในล็อคถัดไปบ้าง
“พี่ว่าเสื้อตัวนี้ก็เหมาะดีนะกฤต...”
เสียงหญิงสาวหน้าตาสวยเฉี่ยว ไว้ผมดัดเป็นลอนขนาดใหญ่ยาวสยายถึงกลางหลัง รูปร่างสูงระเหิดระหงในชุดเดรสรัดรูปแขนกุดสั้นเหนือเข่าสีครีมเรียบหรูซึ่งดูก็รู้ว่าเป็นของแบรนด์เนมราคาแพงพูดพลางหยิบเสื้อเชิ้ตพอดีตัวแขนยาวสีน้ำเงินเข้มขึ้นทาบบนร่างของชายหนุ่มรูปร่างสูงซึ่งกำลังยืนหันหลังให้ศันลิตากับเพทายอยู่ ทำให้ศันลิตากับเพทายซึ่งยืนดูเสื้อผ้าอยู่ไม่ไกลจากคนทั้งคู่นักพากันแอบชำเลืองมองอย่างสนใจ
“ผมว่าพอแล้วล่ะครับ พี่ซื้อเสื้อให้ผมหลายตัวแล้วนะ ผมเกรงใจ...”
สองสาวได้ยินชายหนุ่มคนนั้นพูดกับหญิงสาวสวยด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ แล้วก็เห็นฝ่ายหญิงยกมือขึ้นฟาดที่ต้นแขนฝ่ายชายเบาๆ อย่างหมั่นไส้ พลางต่อว่าด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู
“เหลวไหลน่า แค่เสื้อไม่กี่ตัวเอง จะต้องมาเกรงใจพี่ทำไมกัน”
ศันลิตากับเพทายมองสบตากันทันที ก่อนที่เพทายจะกระซิบเบาๆ ว่า
“งานนี้สงสัยเลี้ยงต้อยแหงๆ เลย”
“อืม...ก็คงงั้นมั้ง” ศันลิตาพูดอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในยุคสมัยนี้ที่ผู้หญิงจะมีแฟนอายุน้อยกว่า แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนรักของเธอจะไม่เลิกสนใจคู่รักต่างวัยง่ายๆ เพราะเพทายยังชวนคุยต่อไปอีก
“ฉันอยากเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นจังว่าจะหล่อขนาดไหน แต่ผู้หญิงสวยมากเลยนะ ฉันว่าเราเดินผ่านพวกเค้าแล้วหันมาดูหน้าตาผู้ชายให้ชัดๆ ดีกว่านะต้า”
“เธอจะไปสนใจเรื่องคนอื่นทำไมนะยัยเพทายจอมยุ่ง” ศันลิตาว่าเพื่อนรักเบาๆ แต่ถ้าอีกฝ่ายเชื่อที่เธอบอกฝนคงตกหนักแน่ๆ เพราะในที่สุดเพทายก็หันมาคว้ามือหญิงสาวให้เดินตามไปปฏิบัติการยุ่งเรื่องชาวบ้านจนได้
กฤตตะวันถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับพี่สาวตัวเอง เนื่องจากเกศวรางค์ยังคงหันกลับไปเลือกเสื้อเชิ้ตที่แขวนโชว์อยู่ขึ้นมาทาบบนตัวเขาตัวแล้วตัวเล่าทั้งที่ชายหนุ่มบอกว่าพอแล้ว แต่พี่สาวสุดที่รักของเขาสนใจที่ไหนกัน นิสัยเอาแต่ใจตัวเองแก้ไม่หายเลยจริงๆ และเขาก็คงไม่มีทางลากเกศวรางค์ให้ออกไปจากร้านนี้ได้ ตราบใดที่พี่สาวของเขายังเลือกซื้อเสื้อผ้าไม่หนำใจ
ชายหนุ่มละสายตาจากพี่สาวแล้วหันมาเห็นผู้หญิงสองคนที่กำลังจะเดินผ่านเขากับเกศวรางค์ไป ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวหนึ่งในสองที่สวมเสื้อยืดสีขาวคลุมทับด้วยแจ๊คเก็ตยีนกับกางเกงยีนสีเดียวกันและสวมรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีฟ้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาพอดี ต่างฝ่ายต่างก็มองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เหตุการณ์บนเครื่องบินเมื่อหลายวันก่อนจะย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำของสองหนุ่มสาว
“เอ๊ะ! คุณ” เสียงกฤตตะวันกับศันลิตาที่อุทานขึ้นมาพร้อมๆ กันทำให้เพทายถึงกับหยุดเดินแล้วหันกลับมามองพลางขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ส่วนเกศวรางค์ที่กำลังยืนเลือกเสื้ออยู่ก็หันมามองศันลิตาด้วยแววตาสงสัยก่อนจะหันกลับไปถามน้องชายว่า
“ใครน่ะกฤต เพื่อนเหรอ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่เพื่อนผม” กฤตตะวันรีบปฏิเสธทันที เมื่อได้ยินเขาตอบหญิงสาวสวยรุ่นพี่คนนั้นอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด ศันลิตาจึงปรายตามองชายหนุ่มด้วยแววตาเยาะหยัน ก่อนจะบอกกับหญิงสาวสวยรุ่นพี่ว่า
“ฉันไม่รู้จักกับเค้าหรอกค่ะคุณสบายใจได้ ขอตัวนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็จูงมือเพื่อนรักเดินผละจากคนทั้งสองแล้วไปที่เคาเตอร์จ่ายเงินทันที ท่ามกลางความงุนงงสงสัยของกฤตตะวันเมื่อเห็นแววตาแปลกๆ ของสองสาวซึ่งมองมาที่เขากับเกศวรางค์
“ตกลงผู้หญิงคนนั้นใครกันน่ะกฤตหน้าตาสวยน่ารักเชียว ถ้าไม่ใช่เพื่อนแล้วใครกันจ๊ะ พี่ว่านายกับเค้าต้องรู้จักกันแน่ๆ อย่ามาอำซะให้ยากเลย” เกศวรางค์หันมาถามด้วยน้ำเสียงล้อเลียนพลางมองจ้องหน้าน้องชายอย่างจับผิดเมื่อเห็นว่าทั้งสองสาวเดินไปไกลพอสมควรแล้ว กฤตตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเข้าใจดีว่าพี่สาวกำลังคิดอะไรอยู่
“เฮ้อออ!!! มันไม่ใช่อย่างที่พี่เกศคิดหรอกครับ”
“ไม่ใช่อย่างที่พี่คิดงั้นเหรอ แล้วนายว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ” เกศวรางค์ถามอีก
“ก็ถ้าพี่เกศกำลังคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนผม ผมขอยืนยันเลยว่าไม่ใช่แน่นอน” กฤตตะวันตอบ
“สรุปว่านายกับเค้ารู้จักกันใช่มั้ย ท่าทางเหมือนเค้าจะงอนนายนะ กิ๊กเก่านายรึเปล่าจ๊ะน้องชายสุดที่รัก”
“ไม่ใช่กิ๊กเก่าอะไรทั้งนั้นแหละครับ ต้องบอกว่าเป็นคู่กรณีถึงจะถูก” จากนั้นกฤตตะวันก็เล่าเหตุการณ์บนเครื่องบินเมื่อหลายวันก่อนให้พี่สาวฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อได้รู้ความจริงเกศวรางค์ก็หัวเราะด้วยความขบขัน ก่อนจะบอกกับกฤตตะวันว่าถึงแม้หญิงสาวคนนั้นจะทำอะไรเปิ่นและซุ่มซ่ามแต่หน้าตาก็สวยน่ารักมากทีเดียวพลางแกล้งกระเซ้าว่าให้เขาหาน้องสะใภ้แบบนี้มาให้เธอสักคน กฤตตะวันถึงกับส่ายหน้าทันทีพลางบอกพี่สาวเสียงแข็งว่าเขาไม่ชอบผู้หญิงซุ่มซ่ามแบบนั้นและไม่มีทางเอามาเป็นแฟนเด็ดขาด
เกศรางค์เลยเตือนน้องชายว่าให้ระวังตัวเอาไว้ให้ดี เพราะคนโบราณบอกเอาไว้ว่าไม่ชอบอะไรก็มักจะได้อย่างนั้น พูดจบเกศวรางค์ก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินไปดูเสื้อผ้าในล็อคถัดไป ส่วนกฤตตะวันส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างขบขันในคำพูดของพี่สาวมากกว่าจะเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังก่อนจะก้าวตามอีกฝ่ายไป
หลังจากชำระเงินค่าชุดของศิริวรรณเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาจากร้านไกลพอสมควรแล้วเพทายซึ่งเก็บความสงสัยเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ก็ซักถามศันลิตาว่ารู้จักกับชายหนุ่มรูปหล่อที่เจอในร้านเสื้อเมื่อครู่นี้หรือเปล่า หญิงสาวจึงบอกกับเพื่อนรักว่าเขาคือผู้ชายที่นั่งคู่กับเธอบนเครื่องบินในวันที่เธอเดินทางกลับมาจากขอนแก่น
“หา! ผู้ชายคนนั้นเหรอที่เธอไปปล่อยไก่ให้เค้าดูทั้งเล้ามาน่ะ เหลือเชื่อเลยโลกกลมชะมัด เอ...แต่จะว่าไปแล้วฉันก็รู้สึกว่าฉันคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้อยู่นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง” เพทายทำท่าครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“หน้าตาเหมือนดารา นายแบบ หรือว่านักร้องล่ะ เธอถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าเค้าน่ะ” ศันลิตาแกล้งประชดเพื่อนรัก
“ไม่รู้สินะ เพราะฉันก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าเคยเห็นที่เค้าไหน ตอนนี้รู้แต่ว่าเค้าหน้าตาหล่อมากเลย สูง ขาว คิ้วเข้ม ตาคมกริบ ริมฝีปากรูปกระจับน่าจูบชะมัด แค่สบตาก็ทำฉันใจละลายแล้ว” เพทายพูดพลางทำตาปรอยอย่างเคลิบเคลิ้ม
“พอๆ เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วยัยเพทาย หล่อแค่ไหนฉันก็ไม่สนใจหรอก นายนั่นก็ดีแค่หน้าตาเท่านั้นแหละ แต่ขี้เก๊ก ปากเสีย แล้วก็กวนประสาทจะตาย” ศันลิตาว่าเพื่อนรักด้วยความหมั่นไส้อีกฝ่ายที่พร่ำเพ้อชื่นชมชายหนุ่มที่เธอขุ่นเคืองอยู่
“ฉันเคยบอกเธอแล้วไงว่าคนหล่อทำอะไรก็ไม่น่าโกรธ แถมยังหล่อลากกระชากใจขนาดนี้ฉันโกรธไม่ลงจริงๆ นะ ถ้าได้มาเป็นแฟนฉันจะรักสุดหัวใจเลย” เพทายยังคงเพ้อต่ออย่างไม่ยอมหยุดง่ายๆ
ศันลิตาส่ายหน้าอย่างระอาใจปนขบขันกับความคิดเพ้อฝันของเพทายก่อนจะดับฝันอีกฝ่ายโดยบอกว่าชายหนุ่มคนนั้นมีหญิงสาวรุ่นพี่แสนสวยคอยเอาอกเอาใจ แถมยังทุ่มเทให้ไม่อั้นแบบนั้นคงไม่มีวันที่เขาจะยอมเลิกรากับแม่บุญทุ่มอย่างแน่นอนเพราะการอยู่อย่างสุขสบายมีคนอุปถัมภ์เลี้ยงดูแบบนี้ใครๆ ก็ต้องชอบทั้งนั้น เลยถูกเพทายส่งค้อนวงใหญ่ให้พร้อมทั้งบ่นกระปอดกระแปดว่าศันลิตาไม่ให้กำลังใจกันบ้างเลย
ระหว่างทางที่ขับรถไปส่งศันลิตาเพทายก็ยังพูดเรื่องคู่รักต่างวัยหนุ่มหล่อสาวสวยอีกจนได้ ถึงแม้ศันลิตาจะเปลี่ยนไปเล่าเรื่องที่มีมิจฉาชีพเอาทองปลอมเข้าไปขายให้ร้านทองตั้งสกลรัตน์ซึ่งตั้งอยู่ติดกับร้านของเธอแล้วคิดจะเชิดทองจริงหนีไปจนทำให้ธัญรดาลูกสาวเจ้าของร้านทองต้องวิ่งตามออกมาตามจับคนร้ายให้ฟังแต่เพทายก็ตื่นเต้นอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น หลังจากนั้นเพื่อนรักของเธอก็วกกลับมาคุยเรื่องเดิมอีกจนได้ ศันลิตาเลยจำต้องนั่งฟังอีกฝ่ายพูดเจื้อยแจ้วไปจนกระทั่งถึงร้านของตนเอง
“สวัสดีครับคุณต้า ไปช้อปปิ้งที่ไหนมาครับ” เสียงทักถามขึ้นอย่างคุ้นเคยก่อนที่ศันลิตาจะผลักประตูร้านเดินเข้าไปหลังจากที่เพทายขับรถออกไปแล้ว คนถามคือธนากรชายหนุ่มรูปหล่อลูกชายเจ้าของโครงการทาวน์เลิฟซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการโครงการแห่งนี้นั่นเอง
“สวัสดีค่ะคุณเอส ต้าก็ไปช้อปปิ้งที่ห้างแถวๆ นี้แหละค่ะ ไม่อยากไปไกลมากเพราะเกรงใจเพื่อนที่อุตส่าห์ขับรถพาไป” ศันลิตาตอบพลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มตามมารยาท หญิงสาวไม่ค่อยอยากจะยุ่งเกี่ยวกับธนากรนักเพราะอีกฝ่ายค่อนข้างเจ้าชู้และมักจะทำท่าทางกระลิ้มกระเหลี่ยกับบรรดาสาวๆ เจ้าของร้านแถวนี้แทบทุกคนรวมทั้งเธอด้วย
“คราวหลังถ้าคุณต้าจะไปซื้อของบอกผมก็ได้นะครับ ผมยินดีขับรถพาคุณต้าไปทุกห้างเลยครับ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลแค่ไหน” ธนากรขันอาสาอย่างเต็มอกเต็มใจ
“ขอบคุณมากค่ะคุณเอส แต่ต้าคงไม่รบกวนคุณเอสหรอกค่ะ ต้าเกรงใจ” ศันลิตาปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกครับผมยินดีดูแลลูกบ้านทาวน์เลิฟทุกคนอยู่แล้ว บอกแล้วไงครับว่ามีปัญหาปรึกษาป๋าเอสได้ตลอดเวลา” ธนากรยืดอกพูดอย่างใจป้ำและภาคภูมิใจในตัวเองเสียเหลือเกิน แต่ศันลิตายังไม่ทันได้พูดอะไรกับชายหนุ่มเสียงพัชรา หรือ ป้าพัชร เลขานุการอายุรุ่นราวคราวป้าของธนากรก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ตอนนี้มีปัญหาจริงๆ แล้วค่ะคุณเอส เชิญคุณเอสไปแก้ปัญหาด่วนเลยเพราะมีคนในหมู่บ้านโทรศัพท์มาแจ้งว่ามีงูเข้าบ้านเค้าค่ะ”
“อะไรนะ! งูเข้าบ้าน แล้วทำไมต้องให้ผมไปแก้ปัญหาด้วยล่ะ ผมจับงูไม่เป็นซะหน่อย บอกเค้าโทร.ไปแจ้งหน่วยกู้ภัยให้มาจับสิครับป้าพัชร” ธนากรบ่นพลางตีหน้ายุ่งอย่างหงุดหงิด
“ก็คุณเอสบอกว่ามีปัญหาปรึกษาคุณเอสไม่ใช่เหรอคะ ตอนนี้ลูกบ้านเค้ามีปัญหายังไงคุณเอสก็ต้องรีบไปแก้ไขด่วนค่ะ” พัชราบอกชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายเสียงเข้ม
ธนากรยังคงมีทีท่าอิดออดไม่อยากไป ศันลิตาจึงช่วยสนับสนุนคำพูดของพัชราโดยให้เหตุผลว่าหมู่บ้านจะเสียชื่อเสียงถ้าหากเขาไม่รีบไปดูแลให้ความช่วยเหลือลูกบ้านในเวลาที่มีปัญหา ชายหนุ่มเลยพยักหน้าอย่างเสียมิได้ก่อนจะรีบเดินตามพัชราไปทันที ส่วนก็ศันลิตาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่มีเหตุให้ผู้จัดการโครงการจอมเจ้าชู้ต้องรีบไปจัดการไม่อย่างนั้นเธอคงต้องยืนพูดคุยกับเขาอีกนานเลยทีเดียว
กฤตตะวันปิดแฟ้มเอกสารที่เพิ่งจะเซ็นอนุมัติเสร็จเรียบร้อยแล้ววางซ้อนไว้อย่างเป็นระเบียบกับแฟ้มที่เขาตรวจสอบและเซ็นอนุมัติไปก่อนหน้านั้นอีกสองแฟ้ม ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือราคาแพงขึ้นดูเวลาซึ่งขณะนี้เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาบ่ายสี่โมงครึ่งพอดี
ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นยืนพลางบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบตามร่างกายเนื่องจากวันนี้เป็นวันจันทร์เขาจึงต้องคร่ำเคร่งกับการตรวจสอบและเซ็นอนุมัติเอกสารซึ่งคั่งค้างมาตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนตลอดทั้งวันจนแทบไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย แม้แต่อาหารกลางวันก็ต้องให้ดนัยสั่งแม่บ้านซื้อขึ้นมาให้รับประทานที่โต๊ะทำงาน เมื่อขยับเสื้อสูทให้เข้าที่เรียบร้อยแล้วกฤตตะวันก็คว้ากุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาก่อนที่ร่างสูงจะก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องทำงาน
“ผมกลับก่อนนะคุณดนัย เอกสารบนโต๊ะผมเซ็นเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วคุณช่วยส่งกลับไปให้แผนกการเงินกับแผนกบัญชีด้วย แล้วถ้ามีอะไรที่ผมต้องเซ็นด่วนคุณเอาเข้าไปวางไว้บนโต๊ะได้เลย พรุ่งนี้ผมจะรีบมาตรวจดูแล้วเซ็นให้แต่เช้า” กฤตตะวันแวะสั่งงานกับเลขานุการส่วนตัวของเขาซึ่งนั่งอยู่หน้าห้อง
“ครับคุณกฤต” ดนัยรับคำ กฤตตะวันทำท่าจะก้าวเดินแต่แล้วก็จะชะงักเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อ้อ เดี๋ยวคุณช่วยโทรตามแบบแปลนโครงการหมู่บ้านที่อยุธยาให้ผมด้วยนะคุณดนัย บอกว่าผมต้องการภายในอาทิตย์นี้”
“ครับคุณกฤตเดี๋ยวผมจัดการให้ครับ” ดนัยตอบรับ
เมื่อสั่งงานเลขานุการส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วกฤตตะวันจึงก้าวตรงไปที่ลิฟต์สำหรับผู้บริหารแล้วกดลิฟต์ลงไปที่ลานจอดรถทันที หลังจากขับรถออกมาจากบริษัทได้ประมาณครึ่งชั่วโมงเสียงโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มก็ดังขึ้นเขารีบกดเปิดบูลทูธเพื่อรับสายทันทีเมื่อเห็นภาพหน้าจอโชว์ว่าคนที่โทรเข้ามาคือเกศวรางค์
“ว่าไงครับพี่เกศ”
“นายออกมาจากบริษัทรึยัง” เกศวรางค์ถามมาจากปลายสาย
“ผมขับรถออกจากบริษัทมาได้สักพักแล้วครับ พี่เกศมีอะไรรึเปล่า” กฤตตะวันตอบแล้วย้อนถามพี่สาวกลับไป
เกศวรางค์จึงบอกมาจากปลายสายว่าให้กฤตตะวันช่วยแวะหาซื้อหนังสือนิยายเล่มใหม่ล่าสุดของนักเขียนในดวงใจซึ่งเพิ่งจะวางแผงให้หน่อย เมื่อชายหนุ่มบอกไปว่าขับรถเลยห้างสรรพสินค้ามาแล้วไม่รู้ว่าจะหาซื้อหนังสือที่ไหน เกศวรางค์ก็แนะนำมาว่ามีร้านหนังสืออยู่ตรงอาคารพาณิชย์แถวหน้าหมู่บ้านทาวน์เลิฟซึ่งเป็นทางผ่านที่จะกลับบ้านอยู่ร้านหนึ่งชื่อว่าร้าน มุมสบาย บุ๊ค เซ็นเตอร์ ให้กฤตตะวันลองเข้าไปหาดูที่ร้านนั้น เมื่อสั่งเสร็จเกศวรางค์ก็วางสายไปทันทีโดยไม่ยอมรอฟังคำตอบเลยแม้แต่น้อย สรุปว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปหาซื้อหนังสือนิยายให้ได้ตามคำบัญชาของพี่สาว
รถสปอร์ตสีดำคันหรูของกฤตตะวันแล่นผ่านป้อมยามหมู่บ้านทาวน์เลิฟเข้าไปจอดที่หน้าร้านหนังสือมุมสบาย บุ๊ค เซ็นเตอร์ ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทสีเทาเข้มที่สวมอยู่ออกวางพาดไว้ที่เบาะด้านข้างคนขับแล้วรูดเนคไทลงต่ำ จากนั้นก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนบริเวณลำคอและปลายแขนเสื้อทั้งสองข้างออกเพื่อความสบายตัวแล้วพับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้าวลงจากรถเดินตรงเข้าไปในร้านหนังสือ
ทันทีที่ก้าวผ่านประตูเข้าร้านหนังสือเข้ามากฤตตะวันก็ต้องอมยิ้มด้วยความรู้สึกพึงพอใจกับบรรยากาศภายในร้านซึ่งตกแต่งให้แลดูสบายตาด้วยวอลเปเปอร์สีเขียวอ่อนลายดอกเดซี่สีขาวขนาดเล็กเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ไม้ซึ่งใช้สีครีมทั้งหมด ชายหนุ่มเผลอหยุดยืนมองไปรอบๆ ร้านด้วยความเพลิดเพลิน จนกระทั่งได้ยินเสียงใสทักถามดังขึ้นจากทางด้านหลังจึงรู้สึกตัว
“ร้านมุมสบายฯ ยินดีต้อนรับค่ะ คุณกำลังหาหนังสืออะไรอยู่คะ ต้องการความช่วยเหลือรึเปล่า”
“ขอบคุณมากครับ ผมกำลังหาหนังสือนิ...” กฤตตะวันชะงักคำพูดของตัวเองเอาไว้ก่อนจะจบประโยคเมื่อหมุนตัวหันมาเจอกับเจ้าของเสียงใสซึ่งไม่ใช่ใครอื่นเธอคือผู้หญิงจอมเปิ่นบนเครื่องบินนั่นเอง
ศันลิตาเองก็อยู่ในอาการตะลึงและคาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้เจอกับชายหนุ่มขี้เก๊กที่เธอสุดแสนจะหมั่นไส้อีกครั้ง ดังนั้นรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าเนียนใสจึงเลือนหายไปในทันที อะไรโลกมันจะกลมขนาดนี้ก็ไม่รู้เพิ่งจะเจอกันโดยบังเอิญในห้างสรรพสินค้าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาพอมาวันจันทร์นายขี้เก๊กคนนี้ก็บังเอิญเข้ามาซื้อหนังสือในร้านของเธออีกหญิงสาวบ่นอุบอยู่ในใจ
“คุณทำงานที่นี่เหรอ” กฤตตะวันเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน ศันลิตาจึงพยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะถามชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงราบเรียบพอๆ กับสีหน้าว่า
“คุณต้องการหนังสืออะไร…คะ”
กฤตตะวันเลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าน้ำเสียงของหญิงสาวตรงหน้าดูแข็งขึ้นกว่าตอนแรกที่ทักททายเขาและดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เต็มใจพูดคำลงท้ายว่าคะสักเท่าไหร่ แต่ชายหนุ่มก็บอกชื่อหนังสือนวนิยายเล่มที่เกศวรางค์ต้องการไปพร้อมทั้งชื่อของนักเขียนด้วย
ศันลิตาขมวดคิ้วโก่งเรียวเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะมาซื้อนวนิยายรักโรแมนติกเพราะดูจะไม่ค่อยเข้ากับบุคลิกของเขาสักเท่าไหร่ แต่แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาคงจะซื้อไปให้แฟนสาวรุ่นพี่คิ้วโก่งเรียวจึงค่อยคลายลง ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มเดินตามไปที่ล็อคหนังสือนวนิยายซึ่งอยู่ด้านใน
กฤตตะวันเดินตามร่างเพรียวระหงไปอย่างไม่เร่งรีบนักพลางนึกขบขันกับสีหน้าและท่าทางมึนตึงที่หญิงสาวแสดงใส่ ทำไมชายหนุ่มจะดูไม่ออกว่าเธอไม่ชอบหน้าเขาซึ่งสาเหตุก็คงเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินอย่างแน่นอน ผู้หญิงอะไรนอกจากซุ่มซ่ามทำอะไรเปิ่นๆ แล้วยังนิสัยเหมือนเด็กพาลไม่เลิกอีกต่างหากชายหนุ่มคิดอยู่ในใจพลางส่ายหน้ายิ้มๆ อยู่คนเดียว
“ตรงนี้เป็นหมวดนวนิยายทั้งสองฝั่งคุณหาหนังสือที่ต้องการได้ตามสบายเลยนะคะ” ศันลิตาหันมาบอกเมื่อเดินนำชายหนุ่มมาถึงชั้นวางหนังสือหมวดนวนิยายพลางผายมือไปที่ชั้นวางหนังสือทั้งสองฝั่ง
“อ้าว! แล้วคุณพนักงานขายจะไม่ช่วยบริการหาหนังสือให้ผมหน่อยเหรอ หน้าที่คุณไม่ใช่เหรอครับ” กฤตตะวันแกล้งย้อนถามพลางพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้เมื่อสังเกตเห็นว่าแววตาของหญิงสาวเริ่มขุ่นเขียวเล็กน้อย
ศันลิตาแอบถอนหายใจเบาๆ อย่างขัดใจแต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธความช่วยเหลือลูกค้าได้เพราะจะเป็นการเสียมารยาทและทำให้ร้านเสียชื่อด้วย ดังนั้นหญิงสาวจึงพยายามวางสีหน้าเรียบเฉยถามนามปากกานักเขียนและชื่อหนังสือนวนิยายที่เขาต้องการอีกครั้งก่อนจะเดินดูรายชื่อหนังสือบนชั้นวางทีละชั้น
ในขณะที่กฤตตะวันแอบอมยิ้มอยู่คนเดียวอย่างนึกสนุกเมื่อสังเกตเห็นทีท่าของหญิงสาวตรงหน้า ดวงตาเรียวรีคู่คมฉายแววเจ้าเล่ห์เมื่อเริ่มคิดแผนการกลั่นแกล้งคนที่กำลังทำหน้าตามึนตึงเฉยชาใส่เขาอยู่ได้
“นี่ค่ะหนังสือที่คุณต้องการ เชิญจ่ายเงินที่เคาเตอร์ด้านหน้าได้เลยค่ะ” ศันลิตาบอกเสียงเรียบพลางส่งหนังสือนวนิยายให้ชายหนุ่ม
“ขอบคุณครับ” กฤตตะวันกล่าวคำขอบคุณหญิงสาวก่อนจะพลิกหนังสือในมือไปมาเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยแล้วเขาก็สังเกตเห็นรอยยับย่นเล็กน้อยบริเวณมุมปกหนังสือด้านหลัง ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นทันทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดเสียงขรึม “หนังสือเล่มนี้มีรอยยับตรงมุมปกด้านหลังรบกวนคุณช่วยเปลี่ยนเล่มใหม่ที่ไม่มีตำหนิให้ผมได้มั้ย”
ศันลิตารับหนังสือกลับคืนมาจากชายหนุ่มพลางมองดูรอยยับย่นบนปกหนังสือตรงตำแหน่งที่เขาบอกแล้วก็ให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจเพราะว่ารอยยับมันเล็กน้อยเสียจนแทบจะมองไม่เห็นแต่เขาก็ยังอุตส่าห์มองเห็น หญิงสาวหันกลับไปเลือกหาหนังสือเล่มใหม่ซึ่งไม่มีตำหนิมาให้หนุ่มหล่อจอมเรื่องมาก พลางค่อนขอดอีกฝ่ายอยู่ในใจว่าผู้ชายอะไรนอกจากขี้เก๊ก กวนประสาท แล้วยังจู้จี้จุกจิกอีก ใครทนเป็นแฟนผู้ชายคนนี้ได้ต้องเป็นคนที่ใจเย็นมากถึงมากที่สุด เพราะถ้าเป็นเธอคงทนความกวนประสาทของเขาได้ไม่ถึงห้านาทีอย่างแน่นอน
หลังจากใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่หญิงสาวก็สามารถหาหนังสือนวนิยายเล่มที่ไร้รอยตำหนิจนเป็นที่พอใจของคุณลูกค้าจอมเรื่องมากจนได้ เมื่อส่งหนังสือให้เขาและคิดว่าคงจะสิ้นเรื่องสิ้นราวเสียทีแต่เรื่องกลับไม่เป็นไปอย่างที่เธอคาดคิด เพราะหนุ่มขี้เก๊กจอมกวนประสาทเกิดอยากจะหาซื้อหนังสือประเภทอื่นเพิ่มเติมอีกหลายเล่มซึ่งก็เดือดร้อนศันลิตาที่ต้องไปเดินค้นหาให้เขา
เมื่อชั้นล่างไม่มีเธอก็ต้องขึ้นไปหาหนังสือในห้องสต๊อกสินค้าที่อยู่บนชั้นสอง ครั้นจะวานให้วีณาหรือชัยพรมาดูแลเขาแทนก็ไม่ได้ เพราะทั้งสองคนต่างก็ติดดูแลลูกค้ารายอื่นอยู่เนื่องจากช่วงเย็นหลังเลิกงานและเลิกเรียนแบบนี้มีลูกค้าทยอยเข้าร้านตลอดเวลา พอเอาหนังสือลงมาให้ชายหนุ่มจอมเรื่องมากก็ติว่ามีรอยยับตรงโน้นตรงนี้ทำให้หญิงสาวต้องวิ่งขึ้นไปนั่งคัดหาหนังสือที่ไร้รอยตำหนิมาให้เขาและเสียเวลาอยู่ข้างบนร่วมครึ่งชั่วโมง
“หนังสือที่คุณต้องการได้ครบทุกเล่มแล้ว คุณจะตรวจดูความเรียบร้อยอีกสักรอบมั้ยคะ” ศันลิตาถามอย่างประชดประชันเมื่อหาหนังสือไร้รอยตำหนิให้ชายหนุ่มได้ครบเรียบร้อยทุกเล่มตามที่เขาต้องการ แล้วหญิงสาวก็เห็นคนที่เธอถามยิ้มเล็กน้อยตรงมุมปากก่อนจะตอบหน้าตาเฉยแต่กวนประสาทเป็นที่สุดในความรู้สึกของเธอว่า
“คงไม่ต้องตรวจหรอกครับ ผมมั่นใจว่าคุณต้องหาหนังสือเล่มที่ไม่มีรอยตำหนิมาให้ผมอยู่แล้ว เพราะว่าคุณหายไปหาหนังสือนานมาก”
“ถ้างั้นก็ขอเชิญคุณชำระเงินที่เคาเตอร์เลยค่ะ” ศันลิตากัดฟันพูดเสียงเรียบพลางพยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้อย่างสุดความสามารถก่อนจะเดินนำร่างสูงไปที่เคาเตอร์คิดเงินทันที โดยไม่มีโอกาสได้เห็นว่าคนที่เดินตามหลังมานั้นกำลังแอบหัวเราะเบาๆ อยู่คนเดียวอย่างขบขันกับท่าทางหัวเสียของเธอ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2557, 20:34:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2557, 20:34:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 1306
<< ตอนที่ 1 | ตอนที่ 3 >> |


ree 5 มิ.ย. 2557, 01:27:12 น.
ลูกค้าอยากได้หนังสือไม่มีรอยยับ น่าจะเป็นเรื่องปกตินะ
ลูกค้าอยากได้หนังสือไม่มีรอยยับ น่าจะเป็นเรื่องปกตินะ