อ้อนรักเดิมพันหัวใจ (สนพ.กรีนมายด์)
เพราะการพบกันครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าประทับใจสำหรับ “ศันลิตา” หญิงสาวสวยน่ารักเจ้าของร้านหนังสือจึงทำให้เธอรู้สึกหมั่นไส้ “กฤตตะวัน” หนุ่มหล่อขี้เก๊กเจ้าแผนการ โดยไม่รู้ว่าเขาคือทายาทบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง เพราะความจำเป็นทำให้กฤตตะวันต้องเข้ามาเป็นพนักงานขายในร้านหนังสือเพื่อแลกกับความช่วยเหลือบางอย่างจากศันลิตา เกมรักที่มีหัวใจเป็นเดิมพันจึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความจริงซึ่งนำพาไปสู่อันตราย
“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณไม่กล้าเดิมพันกับผม เพราะกลัวว่าจะหลงรักผมใช่มั้ยล่ะ” กฤตตะวันถามพลางมองสบตาหญิงสาวอย่างท้าทาย
“อย่างฉันเนี่ยนะต้องกลัวหลงรักคุณ รู้จักศันลิตาน้อยไปซะแล้ว ตกลงฉันรับเดิมพันกับคุณแต่ถ้าครบกำหนดสามเดือนแล้วคุณไม่สามารถทำให้ฉันพูดว่ารักคุณได้ ต่อไปคุณห้ามมายุ่งวุ่นวายกับฉันอีกนะ” ศันลิตาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในขณะที่กฤตตะวันคลี่ยิ้มอย่างสมหวังดวงตาคู่คมเป็นประกายพราวระยับเมื่อโน้มใบหน้าคมเข้มลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูหญิงสาวอย่างใกล้ชิดว่า
“ตกลงตามนั้นและนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปผมมีสิทธิ์ทำทุกอย่างเพื่อให้คุณหลงรักผมแล้วนะศันลิตา”
เดิมพันหัวใจครั้งนี้ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใครเจ้าเล่ห์กว่าใครในเกมรัก เชิญร่วมลุ้นไปกับพวกเขาใน “อ้อนรักเดิมพันหัวใจ” ค่ะ

ขอแจ้งให้นักอ่านทราบล่วงหน้าว่านิยายเรื่องนี้จะลงเนื้อเรื่องเพียงแค่ 60% เท่านั้น ไรเตอร์จะทยอยอัพให้อ่านวันละตอนนะคะ เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้วจะวางแผงในเดือนมิถุนายน 2257 นี้ค่ะ ใครสนใจสั่งจองได้ที่เว็บกรีนมายด์เลยนะคะ

Tags: รัก, กุ๊กกิ๊ก,โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 5

ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันเสาร์แต่กฤตตะวันก็มานั่งทำงานที่บริษัทคนเดียวจนกระทั่งถึงห้าโมงเย็นจึงรีบขับรถกลับบ้านเพราะรับปากพี่สาวเอาไว้ว่าจะกลับไปร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วย เนื่องจากหลายวันที่ผ่านมาชายหนุ่มนั่งทำงานและตรวจเอกสารต่างๆ จนกระทั่งมืดค่ำทุกวันกว่าจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาดึกมากจึงถูกเกศวรางค์บ่นอย่างน้อยใจที่เขาทอดทิ้งให้พี่สาวรับประทานอาหารเย็นอยู่ตามลำพัง

เมื่อขับรถผ่านโครงการทาวน์เลิฟแล้วหักพวงมาลัยรถเลี้ยวซ้ายมาได้ครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น กฤตตะวันจึงลดความเร็วของรถลงพลางรีบกดรับสายเมื่อเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคือพี่สาวของเขา

“ถึงไหนแล้วกฤต” เสียงเกศวรางค์ถามมาจากปลายสายทันที กฤตตะวันยิ้มพลางตอบพี่สาวไปว่า

“จะถึงสวนสาธารณะแล้วครับ อีกประมาณยี่สิบนาทีผมก็ถึงบ้านแล้วพี่เกศ”

“โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกัน วันนี้พี่สั่งแม่ครัวทำของโปรดนายไว้หลายอย่างเลยนะ รีบมาล่ะพี่สาวแสนสวยหิวแล้ว”

“ฮะๆๆ ครับคุณพี่สาวสุดที่รัก แล้วเจอกันครับ” พูดจบชายหนุ่มก็กดวางสายโทรศัพท์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเร่งเครื่องรถให้เร็วขึ้นเพื่อให้กลับถึงบ้านก่อนที่พี่สาวของเขาจะอารมณ์เสีย แต่แล้วกฤตตะวันก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ร่างระหงในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีครีมกับกางเกงวอร์มขายาวสีน้ำเงินเข้มของหญิงสาวคนหนึ่งวิ่งพรวดพราดข้ามถนนตัดหน้ารถเขาตรงสวนสาธารณะแบบกะทันหัน

“เฮ้ย!!!” ชายหนุ่มอุทานเสียงดังลั่น พลางรีบเหยียบเบรกจนจมมิด

เอี๊ยดดดดดด!!!

กฤตตะวันรีบดับเครื่องรถดึงกุญแจออกแล้วเปิดประตูวิ่งลงไปเพื่อดูอาการของคนที่วิ่งตัดหน้ารถเขาเมื่อครู่ทันทีเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายล้มลงนั่งอยู่ที่พื้นถนน ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าเขาเหยียบเบรกทันและไม่ได้ชนหญิงสาวคนนี้อย่างแน่นอน แต่เจ้าตัวอาจจะตกใจรีบหลบรถจึงทำให้เสียหลักล้มลงมากกว่า ส่วนผู้คนที่กำลังจะเข้ามามุงดูเหตุการณ์ต่างก็พากันเดินแยกย้ายไป เมื่อเห็นว่าเจ้าของรถไม่ได้หลบหนีไปไหน

“เป็นอะไรมากรึเปล่าครับคุณ” ชายหนุ่มถามขึ้นทันทีเมื่อเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่จับข้อเท้าของตัวเองอยู่ข้างถนนตรงริมฟุตบาท

“ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ ขอโทษนะคะฉันผิดเองที่ เฮ้ย! คุณ!” ศันลิตาชะงักคำพูดของตัวเองก่อนจะพูดจบประโยคเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นเจ้าของรถที่เกือบจะชนเธอ เช่นเดียวกับกฤตตะวันที่เบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวถนัดตา

“เฮ้! คุณอีกแล้วเหรอเนี่ย” กฤตตะวันร้องขึ้นอย่างฉุนๆ ก่อนที่เขาจะร่ายยาวต่อไปอย่างหัวเสียว่า “ทำไมผมถึงได้โชคร้ายแบบนี้นะ เจอคุณทีไรผมซวยทุกทีเลย คราวที่แล้วบนเครื่องคุณก็ทำของหล่นใส่หัวผม แล้วคราวนี้คุณก็วิ่งพรวดพราดตัดหน้ารถผมอีก อยากจะให้ผมเป็นฆาตรกรขับรถชนคนตายรึไงกัน”

“นี่คุณ! ใครจะไปคิดทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นกันฮะ” ศันลิตาโวยกลับด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวพอกันเพราะถูกชายหนุ่มกล่าวหาซึ่งหน้า

“คุณเป็นอะไรมากรึเปล่า จะให้ผมพาคุณไปหาหมอมั้ย” กฤตตะวันถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงบวกกับอ่อนใจในความซุ่มซ่ามของผู้หญิงตรงหน้า แต่ศันลิตากลับเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีพลางพูด

“ไม่จำเป็น เพราะว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก ต้องขอโทษด้วยที่ฉันวิ่งตัดหน้ารถคุณ เชิญคุณไปได้แล้วค่ะ”

“ถ้างั้นก็ตามใจคุณนะ แล้วอย่ามาเอาเรื่องผมทีหลังล่ะ” พูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินกลับไปที่รถของเขาทันที ในขณะที่หญิงสาวนั่งมองค้อนตามหลังเขาไปด้วยความหมั่นไส้

กฤตตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อก้าวขึ้นไปนั่งบนรถของตัวเองเรียบร้อย ก่อนจะสตาร์ทเครื่องแล้วออกรถอย่างช้าๆ จนรถกระทั่งแล่นผ่านร่างระหงของหญิงสาวที่นั่งอยู่ริมฟุตบาทไป

เมื่อรถสปอร์ตคันหรูเคลื่อนออกไปแล้วศันลิตาจึงพยุงตัวลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ต้องทำหน้าเหยเกและอุทานออกมาด้วยความเจ็บที่ข้อเท้า หญิงสาวรู้ดีตั้งแต่แรกแล้วว่ามันต้องเคล็ดแน่นอนเพราะว่าเธอรีบร้อนกระโดดถอยหลังหลบรถขึ้นไปบนฟุตบาททำให้ก้าวพลาดข้อเท้าพลิกและเป็นเหตุให้ร่างระหงเสียหลักล้มลงนั่งกองอยู่ที่พื้น

แต่ที่เมื่อครู่เธอบอกกับชายหนุ่มไปว่าไม่เป็นอะไร ส่วนหนึ่งก็เพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองไม่อยากจะรับความช่วยเหลือจากเขา และอีกส่วนหนึ่งก็เพราะรู้ตัวดีว่าเธอเป็นฝ่ายผิดเองที่วิ่งพรวดพราดข้ามถนนโดยไม่ทันมองให้ดีเสียก่อน แต่ศันลิตาก็นึกไม่ถึงว่าจะเจ็บข้อเท้ามากมายขนาดนี้เห็นทีว่าคงจะต้องเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่ร้านเสียแล้วเพราะเธอคงไม่มีปัญญาเดินกลับร้านได้เองอย่างแน่นอน

“อูยยยยย!!! เจ็บชะมัดเลย” หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งที่ริมฟุตบาทอีกครั้ง โดยใช้มือจับข้อเท้าของตัวเองเอาไว้พร้อมทั้งบีบนวดเบาๆ พลางเหลียวมองหารถแท็กซี่ไปด้วย

กฤตตะวันชะลอรถของเขาทันทีเมื่อมองผ่านกระจกมองหลัง แล้วเห็นร่างระหงของหญิงสาวทรุดลงนั่งอีกครั้ง ชายหนุ่มนั่งนิ่งมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วในที่สุดเขาก็ตัดสินใจถอยรถกลับมาจอดตรงหน้าคนที่กำลังนั่งอยู่ริมฟุตบาทอีกครั้ง

ศันลิตาเงยหน้าขึ้นมองดูรถสปอร์ตสีดำด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นมันถอยกลับมาจอดอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของรถจะเปิดประตูแล้วก้าวลงมายืนตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าหงุดหงิดพร้อมทั้งพูดว่า

“คุณนี่ดื้อจริงๆ เลย”

“อะไรของคุณเนี่ย อยู่ดีๆ ก็ถอยรถกลับมาด่าฉัน จะบ้ารึเปล่า!” ศันลิตาโวยวายกลับทันที ชายหนุ่มมองดูหญิงสาวตรงหน้าอย่างระอาใจแกมหมั่นไส้

“ก็คุณดื้อจริงๆ นี่ แถมยังโกหกด้วย คุณเจ็บข้อเท้าทำไมไม่บอกผม”

“แล้วทำไมฉันต้องบอกคุณด้วยล่ะ” หญิงสาวย้อนถามพลางมองค้อนอีกฝ่าย ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบว่า

“เฮ้อออ! ก็ผมจะได้ช่วยคุณไงล่ะ...”

“ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ เดี๋ยวคุณจะมาหาว่าฉันไปทำให้คุณเดือดร้อนอีก” ศันลิตาพูดเสียงแข็งพลางเชิดหน้าใส่ชายหนุ่ม

กฤตตะวันถอนหายใจอีกรอบก่อนจะย่อตัวลงแล้วช้อนร่างระหงขึ้นในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็ว ทำเอาศันลิตาถึงกับร้องอุทานลั่นด้วยความตกใจเมื่อถูกชายหนุ่มช้อนอุ้มร่างลอยขึ้นโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว

“ว้ายยยย! คุณทำบ้าอะไรของคุณ ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ”

“เลิกโวยวายซะทีได้มั้ยคุณ ผมยังมีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอ ยังไงผมก็เต็มใจที่จะช่วยเหลือเด็ก สตรีมีครรภ์ คนชรา แล้วก็คนบาดเจ็บอย่างคุณด้วย” กฤตตะวันก้มหน้าลงบอกหญิงสาวซึ่งกำลังโวยวายเขาอยู่แล้วก็ต้องชะงักนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกแปลกๆ เมื่อดวงตาเรียวรีคู่คมสบประสานกับดวงตากลมโตที่กำลังฉายแววขุ่นเคืองของคนในอ้อมแขน

ส่วนศันลิตาเองก็กำลังใจเต้นโครมครามเพราะใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มก้มลงมาอยู่ห่างจากใบหน้าของเธอไม่ถึงคืบ แล้วในที่สุดหญิงสาวก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสหันมองไปทิศทางอื่นก่อนเพื่อหลบสายตาชายหนุ่ม ทำให้กฤตตะวันถึงกับเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นท่าทางเก้อเขินของอีกฝ่าย

“คุณช่วยเอื้อมมือไปเปิดประตูรถทีผมอุ้มคุณอยู่เปิดไม่ได้” กฤตตะวันบอกเมื่ออุ้มอีกฝ่ายเดินมาถึงประตูรถฝั่งที่นั่งด้านข้างคนขับ ในขณะที่ศันลิตาก็ได้แต่ทำตามคำสั่งของเขาอย่างงุนงง เมื่อหญิงสาวเปิดประตูรถเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็วางร่างระหงลงบนเบาะอย่างนุ่มนวล ก่อนที่เขาจะจะยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า

“ผมจะพาคุณไปหาหมอก่อนแล้วค่อยพาคุณไปส่งที่บ้านแล้วกัน”

“คุณไม่ต้องพาฉันไปไหนทั้งนั้นแหละ แค่เรียกรถแท็กซี่ให้ฉันก็พอแล้ว ฉันกลับบ้านเองได้” ศันลิตาบอก กฤตตะวันถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกพลางถามอย่างระอาใจ

“คุณไม่เข้าใจคำว่าผมจะช่วยเหลือคุณรึไง”

“ฉันรู้แล้วว่าคุณมีน้ำใจจะช่วย แต่ฉันไม่อยากรบกวนคุณเพราะฉะนั้นคุณแค่ช่วยเรียกรถแท็กซี่ให้ ฉันก็ขอบคุณมากแล้ว”

แต่กฤตตะวันยังคงยืนยันว่าเขาจะพาเธอไปหาหมอก่อนแล้วจึงจะพาไปส่งที่บ้าน ในขณะที่ศันลิตาก็ปฏิเสธชายหนุ่มเสียงแข็งโดยบอกว่าข้อเท้าเคล็ดเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเธอแค่ไม่กี่วันก็หาย อีกทั้งที่บ้านของเธอก็มียาแก้ปวดทาจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปหาหมอให้สิ้นเปลือง

“ถ้างั้นผมก็จะไปส่งคุณที่บ้าน นี่คือคำตอบสุดท้าย” ชายหนุ่มสรุปพลางเน้นเสียงหนักในตอนท้ายประโยคก่อนจะผลักประตูรถปิดแล้วก้าวยาวๆ อ้อมไปขึ้นนั่งทางด้านคนขับแล้วสตาร์ทรถพลางหันมาถามหญิงสาว

“บ้านคุณอยู่ที่ไหน”

“ก็อยู่ที่ร้านหนังสือไง” ศันลิตาตอบด้วยท่าทางไม่เต็มใจนัก

“คุณพักอยู่ที่ร้านหนังสือเหรอ”

หญิงสาวพยักหน้าพลางรับคำชายหนุ่มเบาๆ พร้อมทั้งนึกสงสัยอยู่ในใจว่าถ้าเธอไม่พักอยู่ที่ร้านแล้วเขาจะให้เธอไปอยู่พักที่ไหนกันในเมื่อที่นั่นเป็นทั้งร้านและบ้านของเธอด้วย

“เจ้านายคุณให้พักอยู่ที่ร้านด้วยเหรอ” กฤตตะวันถามพลางเลี้ยวรถกลับไปตามเส้นทางเดิม ในขณะที่ศันลิตากำลังมีสีหน้างุนงงอยู่กับประโยคคำถามของชายหนุ่มเขาก็พูดต่อไปอีกว่า “เท่าที่ผมได้คุยกับเจ้านายคุณตอนที่จ่ายค่าหนังสือท่าทางเค้าจะเป็นคนใจดีมากเลยนะ”

พอฟังชายหนุ่มพูดจบประโยคศันลิตาก็แอบอมยิ้มอย่างนึกขำทันทีเมื่อรู้แล้วว่าเขากำลังเข้าใจผิดคิดว่าศิริวรรณพี่สาวของเธอคือเจ้าของร้านหนังสือเหมือนกับลูกค้าหลายๆ คนที่เข้ามาซื้อหนังสือในร้านนั่นเอง

“อืม ใช่พี่เค้าใจดีมาก” หญิงสาวเออออไปตามน้ำโดยไม่ยอมแก้ไขความเข้าใจผิดของชายหนุ่ม เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร

“แล้ววันนี้คุณไม่ต้องทำงานรึไงถึงได้มาออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ”

“พอดีเสาร์อาทิตย์นี้เป็นวันหยุดประจำเดือนของที่ร้านน่ะ”

“แล้วเมื่อกี๊คุณนึกยังไงถึงได้วิ่งพรวดพราดตัดหน้ารถผมแบบนั้น” กฤตตะวันถาม

“ฉันเห็นรถเข็นขายไอศกรีมกะทิก็เลยจะรีบวิ่งข้ามไปซื้อ” ศันลิตาตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก

“วิ่งตามรถไอศกรีมนี่นะคุณอายุกี่ขวบแล้วเนี่ย” ชายหนุ่มตำหนิไม่จริงจังนักพลางกลอกตาอย่างเหนื่อยใจกับหญิงสาวข้างๆ ทั้งฉุนทั้งขำปะปนกันไปเมื่อเห็นคนที่ถูกต่อว่าส่งค้อนวงใหญ่มาให้เขาพลางนั่งบ่นขมุบขมิบแบบไร้เสียงอยู่คนเดียว
กฤตตะวันเลี้ยวรถเข้าไปหยุดจอดที่ป้อมยามหน้าโครงการทาวน์เลิฟแล้วกดกระจกรถลงเพื่อแลกบัตรก่อนจะขับรถเข้าไปจอดที่หน้าร้านหนังสือ

“ขอบคุณมากที่คุณช่วยมาส่งฉัน” ศันลิตากล่าวคำขอบคุณชายหนุ่มพลางทำท่าจะเปิดประตูรถเดินลงไปเอง

“ผมว่าให้ผมอุ้มคุณเข้าไปส่งในร้านดีกว่านะ คุณเดินเองไม่ไหวหรอก” กฤตตะวันบอกพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวเพื่อจะลงไปอุ้มหญิงสาว แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะรีบกดรับสายทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคือเกศวรางค์

“อยู่ไหนน่ะกฤต นี่มันเกินยี่สิบนาทีแล้วนะ” เกศวรางค์ส่งเสียงดังลั่นมาจากปลายสายทันทีจนชายหนุ่มต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู เพราะรู้ดีว่าพี่สาวเกลียดคนไม่ตรงต่อเวลาที่สุดยิ่งถ้าบวกอารมณ์โมโหหิวเข้าไปด้วยแล้วเกศวรางค์ก็ไม่ต่างจากนางยักษ์ดีๆ นี่เอง

“ผมขอโทษครับพี่ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี่แหละครับรออีกแป๊บนึงนะครับ” ตอนท้ายประโยคกฤตตะวันทำเสียงอ้อนพี่สาวเพื่อให้อีกฝ่ายอารมณ์เย็นขึ้น ศันลิตาที่นั่งฟังอยู่จึงพอจะเดาได้ไม่ยากนักว่าคนที่โทรศัพท์เข้ามาหาเขาน่าจะเป็นหญิงสาวสวยรุ่นพี่คนที่เธอเห็นอยู่กับเขาในร้านเสื้อที่ห้างสรรพสินค้าอย่างแน่นอน

“เดี๋ยวผมจะอุ้มคุณเข้าไปส่งในร้านนะ” กฤตตะวันบอกหญิงสาวเมื่อกดวางสายโทรศัพท์เรียบร้อย

“ไม่ต้องหรอก ฉันดีขึ้นมากแล้วเดินเข้าไปเองได้ คุณรีบไปเถอะ มีคนรอคุณอยู่ไม่ใช่เหรอ”หญิงพูดอย่างเกรงใจพลางผลักประตูรถเปิดออกแล้วหย่อนขาก้าวลงไปยืนที่พื้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันหน้ามาพูดกับชายหนุ่มอีกครั้งว่า

“ขอบคุณมากที่คุณช่วยมาส่งฉัน แล้วก็หวังว่าเราคงจะไม่ต้องบังเอิญเจอกันอีกนะ” พูดจบศันลิตาก็ผลักประตูรถปิดให้ชายหนุ่มทันที กฤตตะวันมองหญิงสาวอย่างงุนงงก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ พลางกดเลื่อนกระจกรถลงแล้วแกล้งพูดแหย่อีกฝ่ายอย่างนึกสนุก

“นี่คุณ...ผู้หญิงกับผู้ชายที่บังเอิญเจอกันบ่อยๆ คนโบราณเค้าเชื่อว่าดวงสมพงษ์กันนะ ผมว่าเราสองคนท่าทางจะดวงสมพงษ์กันจริงๆ นะ เพราะเราบังเอิญเจอกันบ่อยมาก” พูดจบชายหนุ่มก็กดเลื่อนกระจกรถของตัวเองขึ้นทันทีพร้อมทั้งค่อยๆ เคลื่อนรถออก หากแต่เขาก็ยังทันได้ยินเสียงหญิงสาวดังลอดกระจกเข้ามาแว่วๆ ว่า

“ดวงสมพงษ์บ้าบออะไรกัน ดวงอัปมงคลน่ะสิไม่ว่าเจอกันทีไรฉันซวยแล้วก็มีแต่เรื่องขายหน้าทุกทีเลย แล้วคุณก็อาจจะซวยเหมือนฉันก็ได้ เพราะว่าวันนี้คุณกลับไปหาเจ๊อุปถัมภ์ผิดเวลา”

“เจ๊อุปถัมภ์อะไรของเค้า” กฤตตะวันพึมพำด้วยความสงสัย พลางเหลือบมองดูร่างระหงที่กำลังเดินกระโผลกกะเผลกเข้าไปในร้านผ่านทางกระจกมองหลังจนกระทั่งรถของเขาแล่นผ่านป้อมยามออกไป

เพทายแวะมาหาศันลิตาในตอนสายของวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดอีกหนึ่งวันของร้านมุมสบายฯ เพื่อมานั่งรับประทานอาหารอีสานสุดโปรดจากร้านตำระเบิดด้วยกัน ถึงกับนั่งหัวเราะอย่างขบขันเมื่อรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ข้อเท้าของศันลิตาเคล็ดเป็นเพราะเหตุใด

“นี่ยัยเพทาย เพื่อนขาเดี้ยงนี่เธอขำมากรึไง” ศันลิตาว่าเพื่อนรักตาขุ่นเสียงเขียว

“ก็มันขำนี่นา แต่จะว่าไปแล้วฉันอิจฉาเธอจังที่ถูกหนุ่มหล่อคนนั้นอุ้มอย่างใกล้ชิด ฉันอยากให้เค้ามาอุ้มแบบเธอบ้างจัง”

“เธออยากจะขาเดี้ยงแบบฉันบ้างมั้ยล่ะ” ศันลิตาถามอย่างหมั่นไส้ แต่เพทายกลับพยักหน้ารับหน้าตาเฉย “จะว่าไปแล้วก็คุ้มนะถ้าเค้าอุ้มฉันจริงๆ ฉันยอมขาเดี้ยงเลยล่ะ แต่จะว่าไปแล้วก็แปลกดีนะทำไมเธอกับเค้าถึงได้เจอกันบ่อยจังพักนี้”

“ดวงไม่ดีทั้งคู่มั้ง เจอกันทีไรมีเรื่องทุกที...” ศันลิตาพูดอย่างไม่ใส่ใจนักพร้อมทั้งยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แต่แล้วหญิงสาวก็ถึงกับสำลักน้ำทันที เมื่อได้ยินคำพูดประโยคต่อมาของเพื่อนรัก

“สงสัยจะไม่ใช่ดวงไม่ดีหรอกมั้ง แต่ต้องเรียกว่าดวงสมพงษ์กันมากกว่า”

“แค่กๆๆ”

“ตายแล้ว! เธอเป็นไงบ้างต้า” เพทายถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นศันลิตาสำลักน้ำและไอจนหน้าแดง

“ก็แสบคอสิยะ ถามได้” ศันลิตาต่อว่าเพื่อนรักพร้อมทั้งค้อนอีกฝ่าย เพทายทำหน้าเหลอพลางถาม

“แล้วทำไมอยู่ดีๆ เธอถึงเกิดสำลักน้ำขึ้นมาได้”

“ก็เพราะเธอพูดว่าดวงฉันสมพงษ์กับผู้ชายคนนั้นนะสิ ยังจะมาถามอีก”

“อ๋อ นึกว่าเรื่องอะไร ก็มันเรื่องจริงนี่นาถ้าเธอกับเค้าดวงไม่สมพงษ์กันจะเจอกันบ่อยๆ เหรอ” เพทายพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะชะงักเมื่อเสียงของใครคนหนึ่งจะโวยวายแทรกขึ้น

“คุณต้าไปเจอกับใครบ่อยๆ ผมไม่ยอมนะครับ”

“คุณศุภโชค!” ศันลิตากับเพทายหันไปมองเจ้าของเสียงพลางเรียกชื่อเขาขึ้นพร้อมๆ กันด้วยท่าทางตกใจ

“ใครครับ ใครกันที่มันบังอาจมาจีบคุณต้าของผม หรือว่านายธนากรมายุ่งวุ่นวายกับคุณต้าอีก ผมจะได้ไปจัดการมัน” ศุภโชคยังไม่เลิกโวยวายแถมธนากรผู้จัดการโครงการทาวน์เลิฟยังพลอยโดนหางเลขแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวไปด้วย

“เลิกโวยวายซะทีเถอะคุณศุภโชคฉันว่าคุณล้ำเส้นมากไปแล้วนะคะ ไม่มีใครมาจีบฉันทั้งนั้นแหละ แต่ถึงมีคุณก็ไม่มีสิทธิ์มาโวยวายแบบนี้นะ เพราะว่าฉันกับคุณไม่ได้เป็นแฟนกัน” พูดจบศันลิตาก็ลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวยาวๆ ออกไปที่หน้าร้านทันทีชนิดที่ว่าเจ้าตัวลืมไปเลยว่ายังเจ็บข้อเท้าอยู่ แล้วหญิงสาวก็รีบเดินหลบเข้าไปปักหลักนั่งดูป้ามะลิแม่ครัวของร้านบุหงาหอมเทียนทำขนมอยู่จนกระทั่งศุภโชคซึ่งเดินออกมาตามหาเธอไม่พบต้องล่าถอยกลับไปเอง

หลังจากโทรศัพท์ไปถามเพทายจนแน่ใจว่าศุภโชคกลับไปแล้วจริงๆ หญิงสาวจึงเอ่ยปากร่ำลาป้ามะลิกับจรัสรวีเพื่อกลับไปที่ร้านของตัวเอง

“ถ้าผู้ชายคนนั้นมาตามตื๊ออีกพี่ต้ามาหลบที่ร้านเอยได้นะคะ ยินดีต้อนรับเสมอค่ะหรือถ้าจะให้เอยช่วยจัดการให้ก็ได้นะคะ” จรัสรวีกระซิบบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อเดินตามออกมาส่งศันลิตาที่หน้าร้านหลังจากให้ที่หลบซ่อนตัวกับหญิงสาวเมื่อเธอเล่าเรื่องของศุภโชคให้ฟัง

ศันลิตาหัวเราะอย่างขบขันเมื่อนึกถึงวีรกรรมที่จรัสรวีเล่าให้ฟังว่าเคยทำร้ายร่างกายสามีของประธานผู้บริหารโรงแรมซึ่งมาตามตื๊อให้เป็นเมียเก็บจนเป็นเหตุให้จรัสรวีต้องตกงานและมาเปิดร้านขายขนมไทยที่นี่แทน

“ขอบใจมากจ้ะ แต่พี่คิดว่าคงไม่ต้องทำถึงขนาดเอยหรอกมั้ง เพราะเค้าก็แค่สร้างความรำคาญชอบทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของพี่เท่านั้น แต่ยังไม่เคยมาทำตัวรุ่มร่ามน่าเกลียดกับพี่ เพราะถ้าทำพี่ก็ไม่ปล่อยไว้เหมือนกันแหละ วันนี้พี่รบกวนเอยแค่นี้ก่อนนะ พี่ต้องกลับร้านก่อนเพื่อนพี่รออยู่จ้า”

“เดินระวังๆ นะคะพี่ต้ายิ่งเจ็บขาอยู่ด้วย” จรัสรวีบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ศันลิตาพยักหน้าพลางรับคำอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆ เดินกลับร้านอย่างไม่เร่งรีบนัก

เมื่อศันลิตาเดินเข้าไปในร้านก็เห็นศิริวรรณกับเพทายกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่พอหันมาเห็นเธอเพทายก็ส่งเสียงแซวมาทันที

“ไงยัยคนเจ็บขาเดินไปซ่อนตัวที่ไหนไวจัง คนขาดีอย่างคุณโชคถึงได้เดินออกไปตามหาไม่เจอ”

“นั่นสิขายิ่งเจ็บๆ อยู่เดินไปไหนมาน่ะต้า” ศิริวรรณถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

ศันลิตาเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ยังว่างอยู่แล้วบอกพี่สาวกับเพื่อนรักว่าเธอไปนั่งดูป้ามะลิแม่ครัวของร้านบุหงาหอมเทียนทำขนมอยู่ข้างในจึงทำให้ศุภโชคตามหาไม่พบ เพทายเล่าให้ศันลิตาฟังว่าศุภโชคเดินออกไปตามหาเธอแต่ไม่เจอเขาก็เลยเดินหน้าเศร้ากลับเข้ามาในร้านก่อนจะโวยวายน้อยอกน้อยใจศันลิตาที่เดินหนีเขาแล้วก็ผลุนผลันกลับบ้านไปทันที เพทายบอกว่าความจริงก็น่าสงสารศุภโชคอยู่ที่ตามจีบศันลิตามานานหลายปีแต่ก็ถูกปฏิเสธมาตลอด หญิงสาวเลยแกล้งแนะนำให้เพื่อนรักเป็นแฟนกับศุภโชคแทนเธอถ้าหากเพทายสงสารเขา

“ต๊าย! แรงนะยัยต้า ฉันไม่เอาด้วยหรอกถึงคุณโชคจะหน้าตาดี ฐานะทางบ้านร่ำรวย แต่ฉันก็รับไม่ได้เหมือนกัน ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้น่ารำคาญชะมัด ทั้งหยิ่ง ทั้งขี้วีน แล้วก็เอาแต่ใจตัวเอง” เพทายพูดพลางส่ายหน้าอย่างระอาใจชายหนุ่มคนที่พวกเธอกำลังพูดถึงอยู่

“เห็นมั้ยขนาดเธอยังรำคาญเค้าเลย แล้วยังคิดจะให้ฉันเป็นแฟนกับเค้าอีก เธออยากได้เพื่อนเขยแบบนั้นรึไง” ศันลิตาถามพลางยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนรัก

“ไม่ล่ะ ขืนฉันได้เพื่อนเขยแบบนี้ประสาทกินแน่ๆ”

ศิริวรรณบอกศันลิตากับเพทายว่าที่ศุภโชคมีนิสัยเย่อหยิ่ง ชอบโวยวายเอาแต่ใจก็คงเป็นเพราะว่าที่บ้านของเขามีฐานะร่ำรวยมาก อีกทั้งศุภโชคเป็นลูกชายคนเล็กด้วยทุกคนในบ้านจึงเลี้ยงดูเขามาแบบตามใจจนทำให้ชายหนุ่มมีนิสัยที่ทำให้ใครต่อใครไม่ค่อยชื่นชอบนักซึ่งทั้งสองสาวก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ศันลิตาปรึกษาพี่สาวกับเพื่อนรักโดยขอให้ทั้งสองคนช่วยกันคิดหาวิธีที่จะทำให้ศุภโชคเลิกมาตามตอแยเธอเสียที เพทายแนะนำว่าคงจะมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ศุภโชคเลิกมาตอแยกับศันลิตาได้ นั่นก็คือเธอจะต้องรีบหาแฟนให้ได้สักคน ซึ่งทำให้ศิริวรรณถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขันทันที ส่วนศันลิตาได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับความคิดแผลงๆ ของเพื่อนรัก

วันนี้กฤตตะวันให้ดนัยไปขอเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างในโครงการที่สรัชกับอนันต์เคยดูแลจากแผนกบัญชีมานั่งตรวจสอบย้อนหลังหลายโครงการตลอดทั้งวัน ขณะนี้เขากำลังเริ่มสงสัยว่าทั้งสองคนอาจจะทุจริตเงินในการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างมานานแล้ว แต่เพราะเห็นว่าสรัชกับอนันต์ทำงานให้บริษัทมานานหลายปีแล้วและไม่เคยมีประวัติเสียหายในการทำงานจึงไม่มีใครนึกสงสัยทั้งสองคนเลย

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์คอนโดมิเนียมที่กำลังก่อสร้างถล่มลงมาในครั้งนี้จึงทำให้เรื่องราวการทุจริตของทั้งสองคนถูกเปิดเผยออกมา หลังจากที่นั่งตรวจดูเอกสารอยู่พักใหญ่สิ่งที่ชายหนุ่มพบก็คือรายละเอียดในใบสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างทุกใบยังคงถูกต้องไม่มีอะไรผิดปกติเลยแม้แต่นิดเดียว กฤตตะวันสะดุ้งเล็กน้อยและหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตนเองทันทีเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พลางรีบกดรับสายเมื่อเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคือฐิติวัฒน์เพื่อนรักของเขา

“นายโทรมาได้จังหวะพอดีเลย” กฤตตะวันบอกคนทางปลายสาย

“จังหวะอะไรของนายวะไอ้คุณกฤตตะวัน” ฐิติวัฒน์ถามมาจากปลายสายด้วยน้ำเสียงขบขัน

“ก็จังหวะที่ฉันกำลังต้องการที่ปรึกษาพอดีน่ะสิ” กฤตตะวันตอบเพื่อนรักแล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เขากำลังสงสัยอยู่ให้ฐิติวัฒน์ฟังทั้งหมด

“เรื่องที่นายพูดมามีโอกาสเป็นไปได้สูงมากเลย ฉันว่านายควรจะหาทางตรวจสอบงบการเงินแล้วก็เอกสารในการลงบัญชีของบริษัทย้อนหลังด้วยนะกฤต” ฐิติวัฒน์แนะนำเมื่อฟังกฤตตะวันเล่าจบ

“ฉันก็ตั้งใจว่าจะทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือฉันไม่มีเวลาแล้วก็ไม่มีความรู้เรื่องบัญชีด้วยจะเรียกพนักงานฝ่ายบัญชีมาอธิบายให้ฟังก็กลัวว่าเรื่องจะรั่วไหล เพราะว่าตอนนี้ฉันยังไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันกำลังตรวจสอบบัญชีบริษัทอยู่”

“ฉันว่านายควรจะเอาเอกสารทั้งหมดไปให้บริษัทที่รับทำบัญชีหรือไม่ก็นักบัญชีอิสระช่วยตรวจสอบให้จะดีกว่านะ เพราะพวกนักบัญชีเค้าละเอียดแล้วก็มีความชำนาญทางด้านนี้โดยตรง”

“นอกจากบริษัทที่ทำบัญชีให้บริษัทของนายกับฉันแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปติดต่อใครที่ไหนให้ช่วยตรวจสอบบัญชีให้ นายมีใครที่รู้จักกับพวกนักบัญชีอิสระที่เก่งแล้วก็ไว้ใจได้บ้างมั้ยล่ะ”

ฐิติวัฒน์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกกฤตตะวันว่าเขาจะลองโทรศัพท์ไปสอบถามเพื่อนคนอื่นๆ กับคนรู้จักดู แล้วจะรีบส่งข่าวทันทีถ้าหากหานักบัญชีอิสระได้ กฤตตะวันกล่าวคำขอบใจเพื่อนรักที่จะให้ความช่วยเหลือเขา จากนั้นฐิติวัฒน์ก็สอบถามกฤตตะวันเกี่ยวกับเรื่องความคืบหน้าของคดีคอนโดมิเนียมถล่มอีกครู่หนึ่งก่อนจะวางสายไป ส่วนกฤตตะวันก็นั่งตรวจสอบเอกสารบนโต๊ะต่ออย่างขะมักเขม้น




แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2557, 20:59:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มิ.ย. 2557, 20:59:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1071





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
แพรพริมา 8 มิ.ย. 2557, 17:05:28 น.
รู้จักนักตรวจบัญชีอยู่คนหนึ่งค่ะ อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account