แก้วขวัญวันรัก
เรื่องราวของสี่สาวพี่น้องที่ต้องตามล่าหาแฟนให้ได้ภายในสามเดือน ก่อนที่จะถูกจับคลุมถุงชนกับเจ้าบ่าวที่ไม่เคยเห็นหน้า ดังนั้นภารกิจ และปฏิบัติการลับของการตามหาแฟนจึงเริ่มข้น
แต่ติดปัญหาที่แก้ไม่ตกนั่นคือ

คนหนึ่ง ขี้เหวี่ยงขี้วีน คบกับผู้ชายได้ไม่เกินหนึ่งวัน ผู้ชายคนนั้นต้องหนีเปิง เจ้าของฉายา
“สวยเหวี่ยงวีน”

คนหนึ่ง ซุ่มซ่ามจอมโก๊ะ เจ้าของฉายา “สาวโก๊ะมหาวิบัติ”

คนหนึ่ง ด้านชาต่อความรัก ไร้ความรู้สึกกลับความรัก เจ้าของฉายา “ดอกไม้น้ำแข็งไร้อารมณ์”

และอีกคนหนึ่ง สาวสวยหมดเท่ แต่ใจเธอคือหญิงแท้ แต่กลัวการมีความรัก เจ้าของฉายา
“เจ้าสาวกลัวฝน”

Tags: สี่สาว รักแท้ ความรัก การตามหา

ตอน: 8 เจ้านายคนใหม่ หรือเจ้ากรรมคนเดิม


8
เจ้านายคนใหม่ หรือเจ้ากรรมคนเดิม

รักจิรามองนาฬิกาที่ตอนนี้ร้องเตือนว่าอีกสิบนาทีจะแปดโมงครึ่ง ซึ่งนิรุธโทรมาบอกเธอว่าเข้ามาให้ทันก่อนแปดโมงครึ่ง บรรณาธิการใหม่ไม่ดุก็จริง แต่เป็นคนแป๊ะเรื่องเวลามาก เธอคิดผิดที่ขับมารถเองเลย ลืมนึกไปว่าช่วงใกล้สายรถจะติดมาก เธอน่าจะยอมนั่งรถมอเตอร์ไซค์วินยังดีเสียกว่า ตอนนี้เวลาจะไม่ทันอยู่แล้วแล้ว เมื่อขับพ้นเขตถนนที่เต็มไปด้วยรถ รักจิราก็เลือกใช้เส้นทางลัดที่จะไปถึงเร็วขึ้น เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น รักจิราควานมือหาโทรศัพท์ในกระเป๋าที่วางอยู่เบาะหลัง แต่เธอควานหาไม่เจอจึงเปลี่ยนไปเอื้อมหยิบแทน เพราะเห็นว่าซอยที่ใช้เป็นทางลัดนี้นี้ไม่มีรถจึงหันกลับไปหยิบโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงร้องอยู่ในกระเป๋า และเสียงก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ

ตึ้ง!!!

“รถชน!!!” รักจิราตะโกนเสียงดัง และหน้าหน้ากลับไปมองเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ รักจิรารีบเปิดประตูวิ่งลงมาดูด้วยท่าทีตื่นตะลึง เมื่อเห็นรอยถลอกที่หน้าเบนซ์สีขาว โดยไม่ได้สนใจมองรถวอลโว่ XC60 สีดำของคู่กรณีเลยว่าเสียหายมากกว่ารถของเธอ รักจิราเอาแต่มโนถึงใบหน้าของแก้วกัลยาในยามที่รู้ว่าเธอทำรถของแก้วกัลยาเป็นรอย

“เจ๊แก้วฆ่าฉันแน่งานนี้” รักจิราเอ่ยและเสียงประตูรถอีกคันก็เปิดออก เขาก้าวเท้าลงมาด้วยสีหน้ามึนตึงสุด ๆ รักจิราเองรู้ว่าภัยจะมาถึงตัวถ้ากลับบ้านไปแล้วแก้วกัลยาเห็นสภาพรถเป็นแบบนี้ เธอต้องโดนเชือดสดแน่ รักจิราจึงตีสีหน้ามึนตึงขึ้นมาบ้าง และหันไปมองผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“นาย / เธอ” การเจอกันครั้งที่สามของทั้งสองทำให้สีหน้าของรักจิราโมโหขึ้นกว่าเดิม พอเห็นหน้าเขาอารมณ์เดือดก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เช่นเดียวกับใบหน้าหล่อคมของคู่กรณีที่กำลังโกรธสุด ๆ

“เธอขับรถยังไง / นายขับรถยังไง” สองเสียงตะโกนออกมาพร้อมกัน และมองกันอย่างเชือดเฉือน การเจอกันครั้งแรกเป็นไปอย่างกะทันหันตั้งตัวไม่ทัน บวกกับเวลานั้นโกรธญาติผู้พี่จึงไม่มีเวลามองหน้าหรือเอ่ยปากอะไรกับเขามากนัก เช่นเดียวกับครั้งที่สองมันบังเอิญ และเธออยู่ในอาการตื่นตะลึง แต่ครั้งนี้มีเวลาตั้งตัว และบวกกับสถานการณ์ที่ไม่ดีนักทำให้รักจิรายิ่งโมโหขึ้นไปอีก แต่เธอไม่มีเวลามาเสียเวลาในตอนนี้

“อย่ามาพูดตามได้ไหม” สองเสียงพูดออกมาพร้อมกัน อัสนีทำท่าจะอ้าปากพูด รักจิรายกมือขึ้นเบรกไว้ก่อนทำให้เขาอ้าปากค้างไว้และปิดฉับลง เป็นอันเข้าใจ

“ฉันขอพูดก่อน” รักจิราเอ่ย “นายขับรถภาษาอะไร นายไม่ได้มองทางหรือไง ถนนก็กว้างทำไมไม่ขับให้ดีกว่านี้ รถนี่มันไม่ใช่ถนนส่วนตัว ขับรถไม่เป็นก็กลับไปนอนที่บ้านไป” รักจิราเอ่ยต่อว่าเป็นชุด สายฟ้าหรืออัสนียืนนิ่งกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า และเบนสายตากลับไปที่มือของรักจิราที่กำลังถือมือถือและมันกำลังส่งเสียงร้องอีกครั้ง และเขาก็ยิ้ม

“ใครกันแน่ที่ไม่ดูทาง แหกตาดูด้วยว่านี่มันในซอย ฉันก็จำได้ว่าขับรถของฉันมาดี ๆ และมั่นใจด้วยว่าขับช้าตามกฎจราจร แต่อยู่ ๆ รถใครก็ไม่รู้ขับมาไม่มองทางเพราะมัวแต่รับโทรศัพท์แล้วก็วิ่งมาจิ้มท้ายรถฉัน เธอรู้ไหมว่ารถใคร” รักจิราทำหน้าไม่ถูกยิ่งอัสนีมองมาที่มือของเธอที่ตอนนี้ถือโทรศัพท์ที่กำลังร้องอยู่

“ฉัน...ฉันไม่ผิดนะ ก็ใครใช้ให้นายมาขับนำฉันล่ะ นายซวยเองที่ต่างหาก ฉันมีธุระด่วนมาก วันนี้ฉันจะไม่เอาเรื่องนายละกัน ไปล่ะ” รักจิราทำท่าจะหนี แต่อัสนีก็คว้ามือไว้ก่อนที่รักจิราจะหนีไป

“จะไปไหน”

“ก็ไปทำงาน ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้นะ” รักจิราเอ่ยเสียงแข็ง แต่เขากลับจับและบีบแรงขึ้นจนมันเป็นรอย เขาจึงยอมสะบัดมือของรักจิราออก

“เธอจะไปง่าย ๆ ได้ยังไง เธอขับรถชนรถของฉัน รถของฉันบุบเป็นรอยเธอเห็นไหม กฎหมายเคยรู้บ้างไหม ว่าเวลาขับรถชนเขาให้ทำยังไง หรือต้องให้ฉันแจ้งตำรวจก่อน”

“ข้อหาอะไรไม่ทราบ” รักจิราถาม

“ยังต้องถามอีกหรอ งั้นจะช่วยระบุให้ ขับโดยความประมาท ชนแล้วหนี เพิ่มให้อีกกระทงหมิ่นประมาทที่เธอด่าฉันในตอนแรก ทีนี้พอจะเป็นข้อหาได้หรือยัง” รักจิราทำหน้าไม่ถูกในทันที พอก้มมองไปที่นาฬิกาที่บอกเวลาว่าแปดโมงแล้ว ใบหน้าก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความผิดเก่ายังไม่ได้แก้ตัว เธอไปสายอีก บรรณาธิการคนใหม่ได้ไล่เธอออกแน่

“โอเค ฉันจะรับผิดชอบจะโทรเรียกประกันให้ แต่ตอนนี้ฉันรีบจริง ๆ ขอร้องเถอะ เอานี่นามบัตรไว้ติดต่อมาละกัน ฉันไม่มีเวลาว่าง แต่ฉันไม่ได้ชนแล้วหนีนะ ไปก่อนล่ะ” แล้วรักจิราก็วิ่งขึ้นรถปิดประตูปังใส่หน้าเขา และขับรถออกไปเลย อัสนีมองผู้หญิงที่มีนิสัยไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะกี่ปีก็ไม่เปลี่ยน เขามองนามบัตรในมือ พลางมองท้ายรถที่ยุบตัวไปเล็กน้อย และเดินขึ้นรถขับตามหลังไป



รักจิรารีบจอดรถลง และทำท่าจะวิ่งเข้าไปที่สำนักงาน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋า ลืมกล้อง จึงวิ่งกลับไปเปิดประตูเอาออกมาด้วยท่าทีที่หงุดหงิดใจ ยิ่งรีบก็เหมือนจะยิ่งช้าและเมื่อได้ของครบก็รีบวิ่งขึ้นไปบนสำนักงานด้วยท่าทีรีบเร่งสุดชีวิต โดยไม่ได้มองว่ามีรถอีกคันวิ่งมาจอดลงที่ข้างรถเธอ แถมเป็นรถคู่กรณีอีกด้วย รักจิราก้มมองนาฬิกาก็รู้ว่าตัวเองสายไปสิบนาทีแล้ว นักข่าวที่ทำงานด้วยกันพากันหันมามองคนที่วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น

“เจ๊รัก” นิรุธวิ่งเข้ามาเกาะแขนรักจิราผู้ที่มีศักดิ์ในอายุงานมากกว่าสองปี รวมถึงนิรุธยังเป็นหลานรหัสของเธอ ด้วยความสนิทกันซี้ย่ำปึ่ก สุดท้ายรักจิราก็ชวนรุ่นน้องคนนี้มาทำงานด้วยกัน

“อะไรของแก แล้วบก.ใหม่มายัง” รักจิราถาม

“ยัง ทุกทีมาถึงก่อนพวกเราอีก เจ๊เตรียมคำพูดไว้หรือยัง ท่าทางเฮียบก.แกเอาเรื่องมากเลยนะตอนรู้เรื่องเมื่อวาน แล้วเจ๊ไปทำพังเกาะเขาได้ยังไง เล่ามาด่วน ตอนรู้เรื่องพวกเรายังงง ๆ เลย โชคดีที่เขาไม่ฟ้องหนังสือพิมพ์เราไม่งั้นแย่แน่” นิรุธเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมบรรณาธิการคนใหม่ถึงโกรธมากขนาดนี้

“แต่ถึงเขาไม่ฟ้อง แต่ เฮียบก.ใหม่ก็ยังโกรธ พวกเราโทรไปขอให้เจ๊ผึ้งช่วย แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง แล้วตกลงแกไปทำอะไรไว้ เรื่องมันถึงได้ยุ่งแบบนี้” อานนท์เพื่อนนักข่าวอีกคนเอ่ยสมทบหลังจากเข้ามาทันได้ฟังบทสนทนา

“เอาไว้จะเล่าให้ฟัง แต่บก.ใหม่นี่เขาชื่อเสียงเรียงนามอะไร ตอนนั้นเจ๊ผึ้งบอกแค่ว่าเป็นลูกของบอสใหญ่ วางกล้าม อวดเบ่งอะไรไหม เก่งอย่างที่บอกหรือเปล่า” รักจิราถามอย่างไม่ชอบใจนัก ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกไม่ชอบบรรณาธิการใหม่คนนี้ตั้งแต่ยังไม่รู้จักหน้ารู้จักชื่อ

“ชื่อคุณสายฟ้า ไม่อวด ไม่เบ่ง ทำงานเก่ง แนะนำพวกเราทุกอย่าง แถมยังใจดีมาก ๆ ซื้อของมาฝากทุกวัน เลี้ยงข้าวพวกเราด้วย เสียดายแกไม่อยู่ของฟรีแพง ๆ มันอร่อยมาก” รักจิรามองอานนท์ที่กำลังทำหน้าฟินสุด ๆ กับอาหารมื้อที่บรรณาธิการใหม่เลี้ยง พลางนึกไปว่าเดี๋ยวนี้ชื่อสายฟ้าทำไมมันเกลื่อนขนาดนี้ ในใจพลางร้องทักบางอย่าง หวังว่าลางสังหรณ์เธอจะไม่แม่นยำหรอกนะ

“แต่มีเมื่อวานนั่นแหละที่อยู่ ๆ ก็โกรธ องค์ลง ยิ่งตอนเห็นแฟ้มประวัติเจ๊นะยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ ยอมรับนะพวกเราก็ยังคิดถึงเจ๊ผึ้ง แต่บก.ใหม่เขาดีมากจริง ๆ ไม่แพ้เจ๊ผึ้งเลย เจ๊อย่าอคติไปเลย ถ้าไม่ดีพวกเราไม่พูดหรอก ไปถามพวกแอ้นท์ดูก็ได้ ยัยพวกนั้นคลั่งบก.ใหม่เรามาก สมบูรณ์แบบสุด ๆ หล่อ รวย ดูดีมีการศึกษา แถมทำงานเก่ง เดี๋ยวเจ๊เห็นเจ๊จะบอกว่าหล่อลากไส้เลยล่ะ” นิรุธเอ่ยอย่างมองออกว่ารุ่นพี่สาวไม่ชอบบรรณาธิการใหม่คนนี้มากนัก สังเกตจากสีหน้าและแววตา เขาเองก็ไม่เข้าใจหน้าค่าตาก็ยังไม่เคยพบทำไมถึงไม่ชอบขนาดนี้

“ฉันจะรอดู ไหนแกบอกฉันไงว่าบก.ใหม่เป๊ะเรื่องเวลา นัดฉันมาแต่เช้าแต่มาสายซะเอง”

“ปกติก็ไม่สายนะเจ๊ มีวันนี้แหละ แต่บก.โทรมาบอกแล้วว่าเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย แต่ใกล้ถึงแล้ว”

“หรอ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน บก.มาแล้วไปเรียกด้วย” รักจิราเดินไปเข้าห้องน้ำทันที เพราะไม่อยากฝากนิรุธอวดสรรพคุณของเจ้านายคนนั้นมากนัก จะว่าเธออคติก็คงใช่ เขามาในช่วงที่เธอมีโอกาสจะได้ย้ายโต๊ะไปทำข่าวสังคมพอดี พอเขามาโอกาสที่เธอจะได้ก็ชะงักน่ะสิ ยิ่งมีเรื่องด้วยแล้วโอกาสไม่ต้องพูดถึง แต่จะว่าไปเรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดเธอเลยนะ แต่วาทินกลับโทรมาห้องและโบ่ยให้เธอผิด กะจะแกล้งเธอที่ไปลองดีกลับเขา คิดแล้วก็แค้นใจ และห่วงพี่สาว ปกติกิเป็นกระต่ายป่าที่เปราะบาง แต่ไปอยู่ในดงเสือจะรอดกลับมาไหมเนี่ย คิดแล้วกลุ้ม

“สวัสดีครับบก.” บรรณาธิการใหม่หันมาพยักหน้าให้ วันนี้ใบหน้าหลอเหลาไม่ได้ยิ้มแย้มดุจเช่นทุกวัน สีหน้าดูนิ่งสุด ๆ จนน่ากลัว นิรุธพลางคิดว่าวันนี้อารมณ์ไม่ดีมาแต่เช้ามีหวังรักจิราได้โดนเป็นชุดแน่

“ไปเชิญคุณรักจิรามาพบผมด้วย” นิรุธพยักหน้าและวิ่งไปหน้าห้องน้ำ ซึ่งรักจิราก็เดินออกมาพอดี

“เจ๊รักไปเร็ว บก. บก.มาแล้ว” รักจิราพยักหน้าและเดินไปที่ห้องทำงานของบรรณาธิการใหม่ นิรุธหยุดยืนอยู่หน้าห้องมองรักจิราอย่างให้กำลังใจ รักจิราเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเจ้านายคนใหม่ของเธอจะหน้าตาเป็นยังไง ถึงแม้จะภัคจิราจะชื่นชมว่าบรรณาธิการคนใหม่คนนี้เก่ง ดีกรีนักเรียนนอก แต่เธอก็ยังคิดว่าเขาเป็นเด็กเส้นอยู่ดี รักจิราผลักประตูเปิดเข้าไป บรรณาธิการใหม่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันหลังให้กับเธอ รักจิรายืนนิ่งสักพัก แต่เขาก็ยังนิ่งนิ่งไม่หันมา

“บก.เรียกฉันมามีอะไรหรือเปล่าคะ”

“คุณควรจะเคาะประตู ผมไม่รู้หรอกว่าคุณปฏิบัติต่อคุณผึ้งยังไง แต่ตอนนี้ผมเข้ามาทำงานที่นี่มีตำแหน่งสูงกว่าคุณ การที่คุณพุ่งพรวดเปิดประตูเข้ามามันถือว่าคุณไม่ให้เกียรติผม...คุณ...รัก...จิ...รา” และเขาก็หันหน้ากลับมา ใบหน้าหล่อเหลาที่มองมาทางเธอทำให้รักจิรานิ่งค้างอีกครั้ง ในมือของเขาถือแฟ้มประวัติการทำงานของรักจิรา รอยยิ้มกวน ๆ บนใบหน้าทำให้รักจิราเริ่มรู้สึกตัวและ

“ไอ้สายฟ้า” รักจิราเอ่ยนามของเขาอย่างไม่ให้เกียรติ ด้วยอารัมภบทที่ตกใจสุด ๆ ลางสังหรณ์เธอแม่นเกินไปไหมครั้งนี้ การเจอกันครั้งที่สี่ยิ่งสร้างความตกใจให้กับรักจิรามากขึ้นกว่าเก่า เพราะอยู่ ๆ เขาก็กลายเป็นเจ้านายของเธอไปซะอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่เธอรับไม่ได้อย่างที่สุด เขาล้วงมือไปหยิบบางอย่างในกระเป๋าเสื้อออกมาวาง มันคือนามบัตรของเธอ ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นกี่นาทีก่อน คดีเธอตอนนี้ทะลุเป้า เตรียมตัวโดนไล่ออกได้เลย

“ทำไมแก...นาย...โอ๊ย...คุณถึงมาอยู่ที่นี่” รักจิราเริ่มใช้สรรพนามไม่ถูก

“นั่นสิ ฉันก็ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ แต่ที่รู้คือตอนนี้ฉันเป็นเจ้านายเธอแล้ว หวังว่าเธอจะวางตัวให้ดี และสุภาพกับฉันมากกว่านี้ เอาล่ะ เรื่องส่วนตัวเอาไว้ค่อยเคลียร์กันทีหลัง ขอเคลียร์เรื่องงานก่อน เธอไปสร้างวินาศสันตะโรอะไรไว้รักจิรา” คำพูดที่พ่นออกมาขัดกับหน้าตาหล่อเหลาทำให้รักจิราหน้าบึ้งขึ้นมาทันที รักจิราอยากจะถามกลับว่ารู้แล้วจะถามหาพระแสงพระง้าวทำไมอีก แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ถามอย่างรู้งาน ผู้ชายคนนี้กุมชะตาชีวิตในหน้าที่การงานเธออยู่ ถ้าเธอเกิดต่อปากต่อคำ ชีวิตเธอแย่ถึงขั้นตกต่ำแน่ นี่แหละที่หน้าเจ็บใจที่สุด

“ฉันไม่ได้ก่ออะไรไว้สักหน่อย”

“แต่ทางเกาะดาราโทรมาแจ้งว่าเธอไปสร้างความวุ่นวายให้เขา จนเกือบจะเป็นปัญหาใหญ่โต” พอนึกถึงแล้วรักจิราก็รู้สึกโกรธและแค้นวาทินขึ้นมาอีกครั้ง เธอสาบานเลยว่าสักวันหนึ่งเธอจะเอาคืนเขาอย่างสาสมที่สุด ต่อให้เขาเป็นมาเฟียที่เข้าถึงอย่าง เธอจะต้องหาทางแก้แค้นเขาให้ได้ที่ทำให้เธอต้องมาฟังผู้ชายที่เธอไม่ชอบขี้หน้าสุด ๆ ต่อว่า

“ฉันไม่ได้ก่ออะไรทั้งนั้น มันก็แค่อุบัติเหตุ แล้วทางนั้นก็เคลียร์กับฉันจนเข้าใจแล้วแล้ว เค้าบอกว่าเค้าจะไม่เอาเรื่อง ไม่ฟ้องหนังสือพิมพ์ นั่นหมายความว่า...”

“แย่มาก” รักจิรานิ่งกำลังอ้าปากจะเถียง แต่อัสนีเร็วกว่า “เรื่องแบบนี้ ถึงเขาจะยืนยันไม่เอาเรื่อง ไม่ฟ้องหนังสือพิมพ์ แต่เขาก็ไม่ยอมให้เธออยู่ทำงานสบาย ๆ โดยที่ไม่มีความรับผิดชอบไปมากกว่านี้หรอกแน่นอน ที่เขาโทรมาแจ้งก็เพราะต้องการให้ฉันจัดการเธอนั่นแหละ”

“แล้วคุณจะเอายังไงคะ คุณสายฟ้า ตัดเงินเดือน พักงาน..หรือ...”

“ไล่ออก!!!” รักจิราที่ยืนกอดอกทำหน้าเมิน ๆ หันกลับมามองเขาด้วยแววตาตกใจแบบสุด ๆ ถ้าโดนไล่ออกเธอจะไปทำงานที่ไหน ประวัติการทำงานของเธอแม้จะไม่ได้เละเทะ แต่ก็ไม่ได้ดีมาก ขืนโดนไล่ออกที่ไหนจะรับเธอล่ะ เดี๋ยวนี้งานยิ่งหายาก ๆ อยู่ด้วย

“คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะ ถ้าคุณไล่ฉันออกแล้วฉันจะทำงานอะไรล่ะ อีกอย่าง ฉันกำลังจะได้พิจารณาย้ายโต๊ะข่าวแล้ว ถ้าคุณไล่ฉันออกฉันก็ไม่มีโอกาสได้ทำโต๊ะข่าวสังคมแน่ ๆ คุณตัดเงินเดือนฉันสามเดือนก็ได้ แต่อย่าไล่ฉันออกนะ” รักจิรามองสายฟ้าที่มองเธอด้วยแววตาเหยียด ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาถืออำนาจมากกว่าเธอ เธอไม่มีทางมาพูดอ้อนวอนเขาแบบนี้แน่ รักจิราพยายามข่มความไม่พอใจเอาไว้

“ตัดเงินเดือนหรอ เรื่องที่เธอทำไว้ ฉันพอเดาได้ว่ามันต้องใหญ่มากแน่ ๆ คนอย่างรักจิราไม่เคยทำเรื่องเล็ก ๆ อยู่แล้วนี่” รักจิรามองคนที่กำลังทำท่าทางประชดประชันเธอทางคำพูด

“แล้วนาย...เอ่อ..คุณจะเอายังไงคะคุณสายฟ้า คุณจะตัดเงินเดือนฉันสามเดือนก็ได้ ขอร้องล่ะอย่าไล่ฉันออกเลยนะ ฉันไม่อยากเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ แม้ฉันจะไม่ชอบหน้าบก.ใหม่อย่างคุณ เอ่อ...เอาเป็นว่าอย่าไล่ฉันออกนะ”

“ผมเห็นแก่ที่คุณภัคจิราเธอโทรมาขอไว้เมื่อวาน ผมจะไม่ไล่คุณออก” ใบหน้าหวานยิ้มออกมาทันที

“แต่” คำว่าแต่ทำให้รักจิรามองอย่างไม่ไว้ใจ เธอเกลียดประโยคที่มีคำว่าแต่ที่สุด

“แต่อะไรคะ”

“ผมจะให้คุณเลิกทำข่าว” รักจิราตาโตวาว

“ไหนนายบอกว่านายจะไม่ไล่ฉันออกไง ความผิดของฉันมันไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้น ทางนั้นก็ไม่ได้ฟ้อง ทำไมนายใจร้ายแบบนี้ไอ้สายฟ้า นายมันชั่ว เลว แต่ก่อนเป็นยังไง เดี๋ยวนี้ก็ไม่เปลี่ยน นี่หรอคนเก่ง แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้ นายจะแก้แค้นฉันใช่ไหมล่ะที่ฉันเคย...”

“มาเป็นชุดเลยนะ ฉันบอกหรือยังว่าฉันไล่เธอออกรักจิรา” เขาโพล่งออกมาแววตากำลังขุ่นอย่างสุด ๆ ที่เธอกำลังหลุดปากขุดเรื่องอดีตขึ้นมาพูด รักจิรามองดวงตาที่กำลังวาวโรจน์นั้นและหลุบตาหนี

“ก็นาย...คุณบอกจะให้ฉันเลิกทำข่าว”

“ก็ใช่ ฉันบอกจะให้เธอเลิกทำข่าว แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะไล่ออก ไอ้นิสัยตีโพยตีพาย ฟังไม่ศัพท์แล้วจับไปกระเดียดเนี่ยเลิกสักที คุณสมบัติของนักข่าวควรท่องให้ขึ้นใจบ้างนะ จะได้เป็นนักข่าวที่ดีกว่านี้”

“ฉันไม่ได้ตีโพยตีพาย”

“แต่โวยวาย” รักจิรากำลังจะอ้าปากต่อคำ แต่เขากลับปรายตาขึ้นมองเธอ ด้วยสายตาที่ข่มขู่สุด ๆ รักจิรายอมเงียบเสียงลง กลัวว่าถ้าเถียงอีกคำเขายื่นใบลาออกให้เธอแน่

“ฟังให้จบ ที่ฉันบอกว่าฉันจะให้เธอเลิกทำข่าว แต่เปลี่ยนให้เป็นมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยฉันระหว่างที่ฉันกำลังหาผู้ช่วยบก.คนใหม่อยู่” รักจิราตาโต

“ไม่เอา”

“ทำไมไม่เอา นี่ไม่ใช่คำขอร้องแต่เป็นคำสั่ง ในเมื่อเธอไปก่อเรื่อง ฉันมีสิทธิ์ลงโทษ เพียงแต่ฉันไม่สั่งพักงานเธอให้เธอหยุดอยู่บ้านนอนตีพุงสบายใจ แต่ฉันจะให้เธอมาทำงานกับฉัน อยู่ภายใต้การควบคุมของฉันเป็นเวลาหนึ่งเดือน”

“แต่ฉันเป็นนักข่าว จะไปทำหน้าที่ผู้ช่วยบก.ได้ยังไง ไม่เอา ฉันไม่ทำ สั่งพักงานฉันเลยดีกว่า”

“แต่ฉันสั่ง ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เธอต้องมาทำงานในฐานะผู้ช่วยฉัน ไม่มีข้อแม้ใด ๆ”

“แล้วเรื่องย้ายโต๊ะข่าวของฉันล่ะ” รักจิราเลือกถามการบ้านงานของเธอ

“คุณภัคจิราคุยกับฉันแล้ว แต่ฉันจะไม่อนุมัติให้เธอไปโต๊ะข่าวสังคมแน่นอน” รักจิราอ้าปากจะต่อคำ แต่เขากลับเปิดแฟ้มประวัติของเธอขึ้น และเริ่มร่าย ขุดความผิดของเธอขึ้นมา

“เธอทำงานที่นี่มาเกือบห้าปีแล้วสินะ ขอร่ายเลยละกันว่าเธอทำอะไรไว้บ้าง เมื่อสามปีก่อน คุณภัคจิราให้เธอย้ายไปทำข่าวสังคม เธอจำได้ไหมว่าเธอไปก่อเรื่องอะไรไว้ รักจิรา” รักจิราทำสีหน้าไม่ถูกทำไมเธอจะไม่รู้ล่ะ เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้ย้ายไปทำข่าวสังคม เธอดีใจสุด ๆ ตามจริงภัคจิราส่งอุมามาควบคุมเธอด้วย กันเธอไปก่อเรื่อง แต่พี่อุมาติดธุระเธอเลยได้ไปคนเดียว แต่นักข่าวก็ไม่ได้มีแค่เธอ ยังมีจากหนังสือพิมพ์อื่นอีกด้วย เธอยังจำได้ว่าคดีนั้นเป็นคดีค้ามนุษย์ ตอนนั้นเธอไปถึงก่อนตำรวจเสียอีก เธอไม่เห็นตำรวจมาเสียที แถมคนร้ายยังเคลื่อนย้ายคนก่อนเวลา เธอกลัวว่าตำรวจจะมาไม่ทันและเด็กกลุ่มนั้นจะโดนจับไปขายต่างประเทศเสียก่อน เธอเลยออกตัวเข้าไปช่วย และพอเธอก้าวเข้าไปช่วยตำรวจก็มาพอดี และตอนนั้นเกิดเหตุการณ์ชุลมุนสุด ๆ และเธอก็ช่วยตำรวจจับคนร้าย เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย เธอก็แค่จะช่วย

“แต่นั่นมัน...ก็ฉันเห็นว่าตำรวจไม่มาสักที เด็กพวกนั้นจะโดนจับขึ้นเรือไปอยู่แล้ว ฉันก็แค่ช่วยก่อนที่เด็กจะโดนจับไปขาย ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ”

“เธอไปก้าวก่ายงานของตำรวจ เธอยังว่าเธอไม่ผิดอีกหรอ ถ้าตอนนั้นเธอช่วยอะไรไม่ได้ แล้วทำให้คนร้ายไหวตัวหนีไปได้ เธอจะรับผิดชอบยังไง และโชคดีที่งานนั้นตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้ เธอทำงานเกินหน้าที่นักข่าวเธอรู้ตัวบ้างไหม งานนั้นโชคดีแค่ไหนที่คุณภัคจิรารู้จักตำรวจกว้างขวางพอ เลยเคลียร์ให้คุณได้ ถ้าเกิดไม่เธอรู้ไหมว่ามันจะเป็นการตัดโอกาสการทำข่าวของหนังสือพิมพ์เราไปด้วย การที่จะขอไปทำข่าวพร้อมกับตำรวจมันไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งคดีสำคัญเขายิ่งไม่ค่อยอยากให้คนนอกเข้าไปยุ่ง เธอเกือบทำให้หนังสือพิมพ์ของเราพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

“แต่...”

“พอปีต่อมา คุณภัคจิราให้โอกาสคุณอีกครั้ง แต่คุณกลับทำร้ายผู้ต้องหา นี่มันถูกแล้วหรอที่นักข่าวควรจะทำ”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ” รักจิราเอ่ย นั่นเป็นครั้งที่สองหลังจากการย้ายกลับไปที่โต๊ะบันเทิงที่เธอได้มาทำข่าวอาชญากรรม เธอจำได้ว่าตอนนั้นเป็นคดีใหญ่อีกคดี เป็นคดีฆาตกรต่อเนื่อง คนร้ายเป็นฆาตกรโรคจิตที่ฆ่าผู้หญิงไปเจ็ดศพ ผู้ต้องหาให้ปากคำวกไปวนมา เธอเองก็โมโหแทนตำรวจ จนตอนที่พาไปจำลองรูปคดี คนร้ายคิดจะหนี แต่เธออยู่ใกล้ที่สุดเธอก็จัดการคนร้ายเสียน่วม ขณะที่ตำรวจจะมาจับกุมมันกลับพูดจากวนพระบาทาเธอ แถมพูดจนจาบจ้วงเธอสุด ๆ ด้วยอารมณ์ที่ตอนนั้นมันขึ้นสุดแล้ว เธอยำมันเกือบเละ ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นมาร่วมแจมกับเธอด้วย ก่อนตำรวจจะมาแยกตัวคนร้ายออกไป ถ้ามันไม่พูดจากวนเธอ เธอจะทำอะไรมันไหมล่ะ

“ก็ไอ้บ้ากามนั่นมันพูดจาลามกกับฉัน ไม่สำนึกสักนิดว่าจะโดนตำรวจจับ ไม่สำนึกเลยว่าฆ่าคนตาย ฉันไปทำมันหนักกว่านี้ก็บุญแล้ว ฉันบกป้องศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงฉันผิดตรงไหน”

“ผิดที่เธอเป็นนักข่าว แม้เธอจะไม่ใช่ดาราที่เป็นคนของสาธารณชน แต่เธอคือคนที่อยู่เบื้องหลังวงการ คือผู้ถ่ายทอดความจริงให้ประชาชนได้รับรู้ การกระทำของเธอทำให้ภาพลักษณ์ของนักข่าวเสียหาย เธอโกรธ ไม่พอใจ ฉันไม่ว่า แต่การกระทำของคนเป็นนักข่าว ควรจะละเอียด รอบคอบ นิ่ง สุขุมมากกว่านี้ ไม่ใช่ท้าตีท้าต่อย ตีโพยตีพายแบบนั้น แต่เหตุการณ์นั้นเธอก็โดนลงโทษแค่พักงานหนึ่งอาทิตย์ สังคมไทยที่เห็นแก่พี่แก่น้องทำให้เป็นอย่างทุกวันนี้ พอทำผิดก็อ้างเรื่องพี่เรื่องน้อง จนเคยตัว เธอเลยไม่เคยเข็ดหลาบสักที”

“แต่นั่นมัน...”

“ครั้งสุดท้าย เมื่อปีที่แล้ว คุณอุมาไม่อยู่ คุณภัคจิราให้โอกาสคุณไปทำข่าวสังคมอีกครั้ง ข่าวทลายแก๊งค์ยาเสพติดรายใหญ่ พอจะจำได้ไหมว่าไปก่อเรื่องอะไรไว้อีก” ทำไมเธอจะจำไม่ได้เล่า ตอนนั้นอุมาพรไม่อยู่ เธอขอไปทำข่าวนี้ เธอสัญญาว่าจะไม่ก่อเรื่อง ภัคจิราเห็นว่ารักจิราดูสงบลงแล้ว ไม่ก่อเรื่องเหมือนเก่า เลยอนุญาต แต่ใครจะไปคิดว่านิสัยบ้าระห่ำของแม่คุณจะยังไม่หายไปด้วย ครั้งนั้นเธอไม่ได้ทำงานเกินหน้าที่ตำรวจ เธอไม่ได้ทำร้ายผู้ต้องหา แต่เธอทำร้ายเจ้าพนักงาน เธอจำได้ว่าครั้งนั้นเธอช่วยตำรวจจับคนร้ายชัด ๆ ตำรวจทุกคนก็ชื่นชมและขอบคุณเธอ เพราะเธอช่วยจับหัวหน้าแก๊งค์นั่นได้ก่อนมันจะหนีไป หลังจากที่ตำรวจควบคุมตัวคนร้ายได้ เธอจำได้เธอไปเจอตำรวจคู่ปรับเก่าแก่ ตั้งแต่คดีแรก เธอจำได้ว่าไอ้หมอนี่แหละที่มาต่อว่าเธอว่าขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน เธอพลางคิดว่าเธอขัดขวางตรงไหนเธอก็แค่ช่วย ถ้าภัคจิราไม่รู้จักตำรวจที่ยศสูงกว่า และเป็นเจ้าของคดีนั้น เธอโดนไล่ออกไปแล้ว พอเจอกันครั้งนี้เขาไม่ยอมให้เธอเข้าไปทำข่าว กันเธอออกจากคดี นี่มันถูกแล้วหรอ เธอเถียงกับตำรวจคนนั้นไปเกือบครึ่งชั่วโมง จนคนอื่นทำข่าวเสร็จ กลายเป็นเธอที่ไม่ได้ข่าวเพราะมัวเถียงกับตำรวจคนนี้ สุดท้ายเถียงไปเถียงมา ในเมื่อไม่ได้ข่าวเธอเลยชกหน้าเขาเป็นการตอบแทน กลายเป็นว่าเธอโดนข้อห้าทำร้ายเจ้าพนักงาน แล้วก็เดือดร้อนภัคจิราที่มาช่วยเธอ

“แต่ฉันไม่ผิด แถมครั้งนั้นฉันช่วยจับคนร้ายได้”

“แต่เธอทำร้ายตำรวจ”

“ก็ใครใช้ให้ไอ้หมอนั่นมันทำให้ฉันไม่ได้ข่าวล่ะ ไอ้หมอนั่นมันทำให้ฉันไม่ได้ทำข่าวสังคม ป่านนี้ฉันคงได้ย้ายโต๊ะไปแล้ว ทั้งที่ฉันช่วยจับคนร้าย ฉันกับต้องกลับมามือเปล่า เพราะไอ้ตำรวจนั่นมันขวางการทำงานของฉัน และยังพูดจากวนมาก ฉันทนไม่ได้ฉันก็เลย...” รักจิราเงียบลง

“ฉันถึงบอกคุณสมบัติการเป็นนักข่าวเธอไม่สมบูรณ์ ถ้าฉันปล่อยให้เธอไปทำข่าวสังคม ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าเธอจะไม่ก่อเรื่อง ฉันว่าป่านนี้เธอคงติดบัญชีดำไม่ให้เข้าทำข่าวไปแล้ว ทำร้ายผู้ต้องหา ทำร้ายเจ้าพนักงาน ทำงานเกินหน้าที่ ครั้งหน้าเธอจะทำอะไรอีก คุณภัคจิราลงโทษคุณสถานเบามาก ตามจริงคุณควรจะถูกไล่ออกไปตั้งแต่ปีที่แล้ว นี่ไงผลของระบบการทำงานพี่น้อง คุณภาพการทำงานถึงไม่มี”

“คุณว่าฉันเกินไปแล้วนะ”

“ฉันไม่ได้ว่าเธอเกินไปหรอกรักจิรา สิ่งที่ฉันพูดก็คือความจริง ดังนั้นฉันก็ยอมที่จะไม่ไล่เธอออก ไม่ใช่แค่เพราะที่คุณภัคจิราขอ แต่เพราะผลงานที่ผ่านมาของเธอ มันอยู่ในระดับดีมาก เธอเป็นคนที่ทำงานมีคุณภาพ แต่ขาดศักยภาพบางอย่างไป สิ่งที่ฉันทำ เพื่อให้เธอเป็นนักข่าวที่ดี”

“แล้วเป็นผู้ช่วยมันจะทำให้ฉันเป็นนักข่าวที่ดีตรงไหน”

“ฉันจะให้เธอเห็น ว่านักข่าวที่ดีมันเป็นยังไง”

“ตกลงคุณจะลงโทษฉันแค่นี้”

“ใครบอก ฉันจะตัดเงินเดือนเธอสามเดือนด้วย และตั้งแต่วันพรุ่งนี้เธอจะต้องมาทำงานในฐานะผู้ช่วยของฉัน ถ้าหนึ่งเดือน ฉันเห็นศักยภาพของเธอ ฉันจะให้เธอกลับไปทำข่าวอีกครั้ง พรุ่งนี้แปดโมงตรง ห้ามเลท ห้ามสาย ถ้าสายฉันจะตัดจากเงินเดือนเธอตามวินาทีที่เธอสาย วินาทีละสิบบาท”

“โหดเกินไปไหม” รักจิราเอ่ย “คุณก็รู้ว่ารถในกรุงเทพมันติดแค่ไหน”

“ใช่รถติด เธอก็หาทางมาให้ทัน ฉันยังมาทันได้ ทำไมเธอจะมาไม่ได้ ถ้าวันนี้ไม่บังเอิญมีคนขับรถมาชนท้ายรถฉัน ฉันคงจะถึงตั้งนานแล้ว” รักจิรารู้ว่าเขากำลังจะหาเรื่องเธอใหม่อีกครั้ง แต่อยู่ ๆ ประตูห้องก็เปิดออกอย่างแรง นิรุธที่ในมือถือโทรศัพท์วิ่งเข้ามาหาเธอ

“เจ๊รักเกิดเรื่องใหญ่แล้ว เจ๊รัก เจ๊รัก” รักจิราทำหน้าไม่พอใจมองรุ่นน้องที่เปิดประตูเข้ามา และยังส่งเสียงดัง ห้องนี้เป้นห้องสี่เหลี่ยมกรุกระจกหนา เมื่อประตูปิดลงเสียงของนิรุธที่ตะโกนก็จะดังก้องทำให้มันหนวกหู

“มีอะไรจะใหญ่ไปกว่านี้อีกไอ้รุธ” รักจิราถาม

“คือว่าไอ้เอ ไอ้เอ ไอ้เอมัน...” รักจิราทำหน้าหงุดหงิดคนที่ไม่ยอมพูดสักที เพราะกำลังเหนื่อยหอบ

“ไอ้เอมันเป็นอะไร ถ้าแกไม่พูด ก็กลับไปเลยไปไอ้รุธ คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่” รักจิราเอ่ย

“ไอ้เอมันโทรมาบอกว่าพี่อุมาตายแล้ว” รักจิรายืนนิ่งชา เมื่อรับรู้ข่าวใหม่

“แกไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหม”

“มันใช่เรื่องล้อเล่นที่ไหนล่ะเจ๊รัก ไอ้เอมันไปถึงที่เกิดเหตุมันยังช็อคเลย ตอนแรกผมยังหาว่ามันโม้เลย แต่เสียงไอ้เอมันเครียดและจริงจังมากเลยเจ๊รัก ผมเลยจะมาชวนเจ๊ไปดูนี่ไง”

“อยู่ไหน”

“บ้านพี่อุมา” นิรุธตอบ รักจิรารีบวิ่งออกไป โดยมีนิรุธวิ่งตามหลังไป อัสนีรีบลุกวิ่งตามออกไป รักจิราวิ่งไปหยิบกระเป๋า และกุญแจรถ แต่ยังไม่ทันวิ่งออกไป อัสนีก็กระชากตัวเธอไว้ก่อน

“ปล่อยฉันรีบ ฉัน...ไม่เชื่อเด็ดขาด จะเป็นไปได้ยังไง เมื่อคืนฉันยังคุยกับพี่อุมาอยู่เลย”

“เธอจะไปทั้งที่สภาพเธอยังช็อค แบบนี้เนี่ยนะ ฉันจะไปด้วย”

“ไม่ต้อง ฉันไปคนเดียว ฉัน...” อัสนีคว้ากระเป๋าและกุญแจรถเดินนำออกไป รักจิราโวยวายและรีบวิ่งตามออกไป อัสนีขับรถของเธอออกมารอแล้ว รักจิราไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ ยอมบอกที่อยู่ให้อัสนีรู้ ตอนนี้ใจเธอเต้นแรงถี่รัว เมื่อคืนเธอยังคุยกับอุมาพรอยู่เลย จะเป็นไปได้ยังไง เธอไม่อยากจะเชื่อ อัสนีมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาเป็นห่วง รักจิราสนิทกับอุมาพรมาก จนนับเป็นพี่เป็นน้อง แต่อยู่ ๆ ก็มาเกิดเรื่องนี้ขึ้น เธอไม่อยากจะเชื่อว่าอุมาพรจะตายแล้ว ถ้าเธอไม่เห็นกับตาเธอไม่มีทางเชื่อแน่ ๆ



อัสนีขับมาตามทางที่รักจิราบอก โดยมีนิรุธที่ติดรถมาด้วยบอกทางอีกที ส่วนรักจิรากำลังนั่งนิ่งเหมือนยังช็อคไม่หาย จากข่าวที่พึ่งได้รู้ ใบหน้าดูเครียดมากจนน่าตกใจ จนรถวิ่งเข้าสู่ซอยบ้านของอุมาพร ถนนสายนี้เป็นถนนที่เปลี่ยวมาก กลางวันยังดูไม่น่ากลัว แต่ตกกลางคืนด้วยสองข้างทางเต็มไปด้วยป่า แม้จะเป็นถนนลาดยางแล้ว แต่ด้วยก่อนจะไปถึงย่านชุมชนจะเป็นต้องผ่านถนนที่มีป่ารถทึบอยู่สองข้างทาง อัสนีขับรถเข้าสู่ตัวซอยบ้าน บ้านของอุมาพรอยู่ท้ายซอย เมื่อรถจอดลง ข้างหน้าคือกลุ่มไทยมุงที่กำลังยืนออกันอยู่หน้าบ้านอย่างอยากรู้อยากเห็นตามวิสัยของมนุษย์ และยังมีรถตำรวจรวมถึงรถของมูลนิธิจอดอยู่หน้าบ้านด้วย รักจิราเปิดประตูลงจากรถและก้าวเดินเบียดกลุ่มคนเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านที่เปิดกว้าง แต่มีเชือกกันไว้ไม่ให้คนนอกเข้า รักจิรามองไปที่รถมาสด้าสีครามที่จอดอยู่ในบ้าน ประตูรถเปิดอ้า ด้านในรถมีศพของผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ในสภาพที่โดยยิงเข้าทะลุที่หน้าอก และคงจะตายในทันที ในรถไร้ร่องรอยของการรื้อค้นใด ๆ ตำรวจยังคงรักษาสภาพที่เกิดเหตุไว้ เพื่อตรวจสอบหลักฐาน พยานในที่เกิดเหตุ รักจิราก้าวขาไม่ออก ยืนตัวสั่นมองศพของอุมาพรที่กำลังถูกเคลื่อนย้ายออกจากรถหลังจากตำรวจตรวจสอบเสร็จสิ้น เอหรืออนันต์เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้าง ๆ

“พี่อุมา” รักจิราเอ่ยเรียกชื่ออุมาพรเสียเบา และทำท่าจะถลาเข้าไป แต่อนันต์คว้าตัวรักจิราไว้ก่อน

“ปล่อย ฉันจะไปดู ไปดูให้ชัด เมื่อวาน เมื่อวานฉันยังคุยกับพี่อุมาอยู่เลย มันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง พี่อุมาพึ่งจะกลับจากลาพักร้อน ฉัน”

“ใจเย็น ๆ เจ๊รัก ผมก็ไม่อยากจะเชื่อ พอมาถึงผมยังตกใจเลย ไม่คิดว่าต้องมาทำข่าวเสียชีวิตของคนรู้จักแบบนี้ แต่พี่อุมาแกไปแล้ว เจ๊อย่าเดินเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าจะดีกว่า เดี๋ยวจะเสียรูปคดีหมด”

“ใครทำ”

“ตำรวจยังบอกอะไรไม่ได้ สภาพภายในบ้านเหมือนโดนรื้อค้น ตำรวจคิดว่าบางทีอาจจะเป็นขโมย ที่คงรอจังหวะขโมยบวกกับเจ้าของไม่อยู่บ้านหลายวัน พวกมันคงก่อเหตุเมื่อคืน แต่พี่อุมาขับรถกลับมาเสียก่อน พวกมันก็เลยฆ่าพี่อุมา นี่แค่สันนิษฐานของตำรวจ” รักจิรามองศพที่ตอนนี้กำลังถูกย้ายออกไปที่รถของมูลนิธิที่จอดอยู่ รักจิรามองเจ้าหน้าที่ที่หามแปลที่มีร่างของอุมาพรนอนอยู่เดินผ่านหน้าเธอไป รักจิราเดินตามไปและมองชุดที่อุมาพรใส่อยู่ ชุดนี้เธอจำมันได้ มันเป็นชุดที่อุมาใส่อยู่เมื่อคืน ถ้ามันเป็นอย่างที่เธอคิด รถมอเตอร์ไซค์ที่ขับมาเมื่อคืนตั้งใจตามอุมาพรมา ทำไมเธอไม่เอ๊ะใจแล้วตามอุมาพรไปนะ ถ้าเธอตามไปตั้งแต่เมื่อคืนบางทีอุมาพรอาจจะไม่ตายก็ได้

“กลับเถอะ” อัสนีหยุดยืนอยู่ข้างหลังมองดวงตาที่กำลังเสียใจอย่างเห็นใจ

“ทำไมเมื่อคืนฉันไม่ตามพี่อุมาไป ถ้าฉันตามไปพี่อุมาอาจจะไม่เป็นแบบนี้ ทั้งที่ฉันสงสัย ทั้งที่ฉันเห็นรถที่ขับตามพี่อุมาไป ทั้งที่...”

“คิดตอนนี้แล้วมันจะไปได้อะไร คุณอุมาเธอตายแล้ว เธอเสียใจ แต่เอาเวลาที่เสียใจมาช่วยกันแก้ไขดีกว่า เธอบอกว่าเธอเห็นรถขับตามอุมาไป เธอควรจะไปให้ปากคำกับตำรวจ นี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ” รักจิรามองอัสนี

“จริงนะเจ๊ คดีนี้อาจจะไม่ใช่แค่ขโมยแล้วล่ะ เอาเวลาที่เจ๊มานั่งค่ำครวญไปให้ปากคำดีกว่า พี่อุมาคงต้องการให้เจ๊หาคนผิดให้ มากกว่าที่เจ๊จะมาคร่ำครวญโทษตัวเองแบบนี้” รักจิราพยักหน้าทั้งที่ยังเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่



....ติดตามตอนต่อไป....



พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มิ.ย. 2557, 20:16:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2557, 20:16:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1417





<< 7 พรหมไม่ลิขิต แก้วลิขิตเอง   9 ผู้หญิงเจ้าแผนการ >>
yimyum 10 มิ.ย. 2557, 20:45:22 น.
ต่อเลยน้าาา^^


แก้วจินดา 10 มิ.ย. 2557, 22:12:48 น.
ชอบ ๆ รอต่อ ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account