UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 22 : เข้าหาครอบครัว

บทที่ 22

อากาศเย็นของห้องอาหาร กับจำนวนผู้คนที่เข้าออกประปรายในเวลาใกล้จะปิดไม่เป็นอุปสรรคสำหรับรักษ์ชาติ ชายหนุ่มสั่งอาหารมาแน่นโต๊ะ และเขาสามารถจัดการมันได้อย่างตายอดตายอยาก มีตักเผื่อแผ่ให้ผู้ร่วมโต๊ะอย่างเขียนจันทร์บ้าง แต่การกระทำของเขามีหรือที่หญิงสาวจะอ่านไม่ออก

“ถ่วงเวลาแบบนี้ ฉันกลับเลยดีกว่านะคะ” แค่เธอฝืนกฎห้องอาหารนำเจ้ามูนที่หลับปุ๋ยอยู่ในกล่องมาด้วยนี่ก็ถือว่าแย่พอแล้ว คนตัวโตผู้ไม่เกรงใจใครยังถือโอกาสสั่งขนมหวานมาต่อให้เธอค้อนไปหลายรอบ

“เราไม่เคยมาทานข้าวข้างนอกแบบนี้เลยนะ”

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันมาคุยธุระกับคุณ เรื่องสำคัญของคุณชาย คุณเล่าๆ มาสักทีเถอะ ฉันจะได้รู้ว่าควรแต่งงานกับคุณชายไหม”

เคร้ง!...ช้อนเล็กวางลงในถ้วยไอศกรีมเสียงดัง รักษ์ชาติเงยหน้าขึ้นด้วยหมดความสนใจในรสหวานเย็นปนขมของไอศกรีมโกโก้ไปในที่สุด รักษ์ชาติสูดลมหายใจลึก มือกุมไว้บนโต๊ะแน่น พยายามไม่ให้น้ำเสียงกระชากได้อย่างยากเย็น
“ผมตอบแทนก็ได้ ว่าไม่ควร คุณนี่ใจร้ายนะ กล้าถามคำถามแบบนี้กับผม”


เขียนจันทร์นั่งไขว่ห้าง กอดอก ท่าทางเป็นต่อนั้น ข่มให้รักษ์ชาติไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดช ชายหนุ่มแค่เบือนหน้าหนี เม้มปาก และกุมมือตัวเองไว้แน่น

“คุณรู้สึกยังไงถ้าฉันต้องแต่งงานกับคุณชาย”

รักษ์ชาติหันมองเขียนจันทร์อย่างไม่เชื่อสายตา ไม่เชื่อหูว่าจะยังได้ยินประโยคบาดหูทำนองนี้อีก น้ำเสียงคราวนี้จึงเริ่มห้วนสั้น “เจ็บสิถามได้ ไม่ใช่แค่ผม ยังมียาหยี และคุณเองก็จะไม่มีความสุข คุณชายเองก็ด้วย จะไม่มีใครมีความสุขสักคนถ้าคุณยังดื้อดันทุรัง”

คนดื้อดันทุรังทำตาโตอย่างคนถูกกล่าวหาร้ายแรง เธอคิดว่าการเห็นรักษ์ชาติแสดงความหงุดหงิดคล้ายเธอได้ดูมหรสพรื่นเริงก็ไม่ปาน ขาดก็แต่เธอต้องเก็บซ่อนรอยยิ้มพอใจนั้นไว้แค่ในใจก่อน

“เรื่องระหว่างฉันกับคุณหยุดก่อนได้ไหม ฉันอยากรู้เรื่องของคุณชายกับคุณยาหยี ถ้าคุณเล่าฟังดูดีมีเหตุผล ฉันอาจพิจารณาเรื่องแต่งงานใหม่ คุณก็รู้ว่าฉันพูดเหมือนรับปากคุณชายไปแล้วว่าจะแต่งงาน ให้ฉันกลืนน้ำลายตัวเองมันผิดนะคะ คนแบบคุณชายใครทิ้งก็โง่...คุณจะให้ฉันโง่เหรอ”

“โอย คุณไม่ต้องฉลาดนักหรอก ผมฉลาดคนเดียวก็พอ”

“หืม!”

เขียนจันทร์ส่งเสียงประท้วงสั้นๆ ขึงตาดุอย่างไม่พอใจ ผู้ชายไหล่ยืดก็ถึงกับหดคอด้วยความรู้สึกตัวว่าปากนั้นพาอารมณ์คนฟังขุ่นเคืองได้

“คนฉลาดมีวิธีเลือกตัดสินใจได้เยอะแยะที่ไม่โง่นะคุณ การให้คนสองคนที่ยังรักกันคู่กัน ก็ถือว่าเราฉลาดกว่าจับคนสองคนที่คิดอะไรสั้นๆ กะประชดเฉยๆ แล้วทุกข์ยาวหลังแต่งงาน”

คนกะประชดเฉยๆ ส่งเสียงฮึ่มฮั่มใส่คนพูดแขวะได้ไม่หยุด นึกอยากวางมวยกับรักษ์ชาติดูสักยก อยากรู้นักว่าเขาจะยังกล้าหาเรื่องกับเธออยู่ไหม สรรพนามเปลี่ยน แต่นิสัยคนก็ยังคือๆ เดิม แค่ดูสุภาพขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นจริงๆ

“ฉันยอมเป็นคนที่ไม่เลือกกลับไปหาคุณดีกว่าไหม...ชีวิตจะได้ดูฉลาดขึ้น ไม่โดนหลอกให้โง่รู้อะไรหลังคนอื่น อยู่กับคุณแล้วฉันมันโง่ มันเสียใจ ฉันถึงไม่อยากอยู่ด้วยไง”

หน้าคนที่คิดว่าฉลาดกว่าม่อยลงทันตา รักษ์ชาติหน้าจ๋อย ดวงตาขอโทษไม่มีปิดบัง ที่ผ่านมานั้นเขาทำให้เขียนจันทร์เศร้า เสียใจเท่าไหร่ทำไมเขานั้นจะไม่รู้ รู้แต่ก็มักลืมตัวทำให้เขียนจันทร์รู้สึกเจ็บซ้ำๆ ซากๆ ไม่เปลี่ยนเสมอ คำพูดและการกระทำของเขามันไม่เคยกลั่นจากสมอง ไม่เคยนึกถึงจิตใจ มีเพียงอารมณ์เท่านั้น วันนี้เขาจะไม่ทำพลาดเหมือนในอดีตอีกเด็ดขาด

“ผมจะให้คุณแก้แค้นผมดีไหม”

“ฉันเป็นประเภทอะไรที่รู้ว่าไม่ดีไม่ทำ มันก็เหมือนบอกว่าฆ่าสัตว์ไม่ดี แต่หั่นเนื้อสเต็กเข้าปากนั่นแหละ ไม่ดี แล้วทำทำไม” เขียนจันทร์อดแขวะมนุษย์ตัวโตที่ฟาดอาหารจานหนักไปหลายจานด้วยอารมณ์หมั่นไส้หนัก เห็นอีกฝ่ายจ๋อยแล้วยิ่งรู้สึกอยากให้เป็นหนักกว่าเดิม ทั้งชีวิตคิดบัญชีกับเขายังไงก็ไม่ครบ “แต่บางทีการกินเนื้อสเต็กอาจจะอร่อยก็ได้ใช่ไหม”

รักษ์ชาติเลิกคิ้วมอง ก่อนหรี่ตาด้วยความสงสัย เขียนจันทร์กระตุกยิ้มมุมปากไม่พูดใบ้อะไรให้มากกว่านี้ นอกจากลากหัวเรื่องไปยังเรื่องที่ต้องการเสียที “เล่าเรื่องคุณชายกับคุณไรรดาสักทีเถอะค่ะ”

เกราะที่กางกั้นไว้นั้นทำให้รักษ์ชาติจำต้องถอยทัพอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาได้แต่อยู่ใกล้ แต่ไม่กล้ายื่นมือไปสัมผัสแก้วบางนี้แม้เพียงปลายเล็บ เขากลัว หากเขาทำอะไรพลาดไปเพียงนิด เขียนจันทร์จะปลิวหายไม่มีวันหวนกลับมาในสายตาเขาอีก

เขายอมอดทน เปลี่ยนแปลง ดีกว่าเอาแต่ใจตัว หากแต่ไร้เขียนจันทร์เคียงข้าง

“คุณชายกับยาหยีเจอกันตั้งแต่ที่อังกฤษ ผมรู้จักกับยาหยีตอนที่มาช่วยงานคุณโชติรส บ้านยาหยีเองก็ทำธุรกิจทำนองนี้ ผมกับพี่ชายของยาหยีก็เป็นเพื่อนกัน”

“แล้วความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้นเป็นยังไงคะ เขาก็ดูรักกันอยู่”

“ก็เหมือนหม่อมยายของคุณที่ไม่รับผมนั่นแหละ” รักษ์ชาติลอยหน้าลอยตา ไม่สนว่ากำลังโดนปรามทางสายตา “บ้านคุณชายผู้ดีแบบนั้นจะรับได้เหรอ ถ้าลูกสะใภ้ทำธุรกิจประเภทนี้ เขาอุตส่าห์ล้างเงาคุณโชติรสไปจากตัวคุณชายได้ จะมามีเงาใหม่แบบเดิมมาทำให้เสื่อมเสียอีกหรือไง”

“น่าสงสาร...บางทีคนเรามันก็เลือกเกิดไม่ได้นะคะ ฉันควรจะเข้าไปดามใจคุณชาย หม่อมยายของฉันจะได้สบายใจที่ฉันไม่เลือกกลับไปช้ำๆ แบบเดิม”

“ผมเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาคุณรู้สึกยังไง”

หน้าตาจืดเจื่อน ถอนหายใจเฮือกโตอย่างคนแบกทุกข์หนัก ทำให้เขียนจันทร์เบะปากไม่อยากเชื่อ หญิงสาวรู้สึกไม่วางใจกับอาการอีกฝ่ายสักนิด เธอคิดว่าเขาก็ชอบแสดง ต่อให้ใจเธอมันไม่รักดีไปรักคนร้ายๆ อย่างเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เป็นหัวใจโง่งม แต่สมองเธอก็ยังควบคุมร่างไว้ได้ไม่ให้วิ่งตามหัวใจ ถึงเธอจะรับว่าเขาช่วยเหลือเธอไว้มาก แต่ก็ยังมีมากหลายอย่างที่เขาเอามีดจ้วงแทงใจเธอผ่านการกระทำไม่คิด

หากมันยังไม่สาแก่ใจ เธอไม่หยุดการเอาคืนครั้งนี้แน่

“ฉันรู้เรื่องของคุณชายแล้ว...ฉันกลับก่อนดีกว่า” เขียนจันทร์บอกหน้าตาเฉย คว้ากระเป๋ามาคล้องแขน ร่างระหงก็ลุกขึ้นเพื่อจากไป

“คุณจะแต่งงานกับคนที่คุณไม่รักไหม...คุณจะใจร้ายกับผมยังไงก็ได้ แต่อย่าแต่งงานกับคนอื่นเลยนะ ผมไม่อยากฉุดคุณไปกลางงานจริงๆ”

“ขอร้อง อ้อนวอน หรือข่มขู่คะ...คุณนี่มันไม่เปลี่ยนเลย”

“ผมยอมคุณได้เกือบทุกเรื่อง แต่ขอเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียวเถอะนะ ทำให้ผมมั่นใจก่อนสิว่าคุณไม่รักผม ให้ผมรู้ว่าคุณรักเขา วันนั้นผมจะไม่รั้งคุณเลย แต่ตอนนี้ผมยังเห็นตัวเองอยู่ในดวงตาคุณอยู่เลย”

“คุณมั่นใจตัวเองเกินไปแล้วนะคะ” เขียนจันทร์เดินหนีออกมาไม่สนว่าได้ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง เกลียดตัวเองที่ไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองจากรักษ์ชาติได้เลย จะกี่ครั้งเขาก็ยังดูออก เขายังมีความหวัง มีความรู้สึกตัวเสมอว่าเขายังมีแต้มต่อด้วยเรื่องนี้

เธอต้องแนบเนียนกว่านี้ หลอกเขาให้รู้ว่าหัวใจของเธอมันไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป เธอจะรอดูวันที่เขาเหนื่อยล้า แล้วหัวเราะให้ดังใส่หน้าเขา...ในวันที่รักษ์ชาติพ่ายแพ้แก่เธออย่างหมดสภาพ

“เดี๋ยวเขียน” เสียงดังไล่หลังพยายามเรียงรั้งไว้ แต่เขียนจันทร์ยังไม่หยุดเดิน “คุณลืมหมาอ้วนนี่นะ”

เขียนจันทร์หยุดกึก อยากจะกรีดร้องกลางร้านหลังจากคนตัวสูงเดินอุ้มกล่องใส่เจ้ามูนมาส่งถึงมือด้วยใบหน้าล้อเลียน แทนที่จะสำนึกกับการที่ถูกเธอโกรธ “วันหลังอย่าปล่อยให้ผมเจอช่องว่างสิ ผมชอบเก็บทุกเม็ดนะครับ หรือจะให้ผมอุ้มไปส่งที่รถก็ได้นะ”

“ฉันอุ้มกล่องแค่นี้ไม่ลำบากหรอก” เขียนจันทร์อดที่จะเหวี่ยงใส่ความรู้ทันของอีกฝ่ายไม่ได้ เกลียดที่รักษ์ชาติฉลาดเหลือล้นเกิน จะหัดโง่ให้เธอฉลาดบ้างไม่ได้หรือไง

“ไอ้อ้วนนี่ผมไม่อยากอุ้มหรอก ผมหมายถึงคุณ ผมอุ้มไปส่งที่รถได้จริงๆ นะ”

หน้าคมทำหน้าเป็น เจ้าเล่ห์ใส่เขียนจันทร์ที่กำลังหน้าแดงก่ำ ส่งเสียงร้องในลำคอ เม้มปากปิดเสียงไว้ไม่ให้มันหลุดรอดออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ หากมือเธอว่างเธอจะตะกุยหน้ามนุษย์กวนประสาทสักสองสามรอย

“ฝันไปยังไม่เจอฉันในฝันเลย...อย่าได้คิดฝันเฟื่อง”

แทนที่จะจ๋อยอย่างควร รักษ์ชาติกลับหัวเราะเบาๆ อย่างครื้นเครง “เชื่อไหมวันนี้ผมจะฝันเห็นคุณ...เราสองคนจะ...”

“หุบปาก! อย่าได้พล่ามอะไรออกมาอีก” น้ำเสียงนั้นเข่นเขี้ยว หญิงสาวต้องกัดฟันพูด ไม่หูสามสี่ห้าหันมามอง เธอเกลียดสายตาระริกอารมณ์ดีของอีกฝ่ายที่กวนประสาทเธอได้ หากเธอทำเขาจ๋อย หน้าสลด สงบปากไม่ได้ ชาตินี้อย่าได้หวังว่าเธอจะยอมกลับไปให้เขากวนประสาทอีก

“ขับรถกลับดีๆ นะ อย่าซิ่งนักล่ะ ผมเป็นห่วง”

เขียนจันทร์ไม่สะดุดย่างก้าวให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นได้อีก นอกจากรอยยิ้มบนหน้ายามที่หันหลังเดินจากมาไกล เธอเก็บคะแนนให้เขาไปหนึ่งในใจ แต่ก็ยังไม่สามารถขึ้นมาแตะคะแนนศูนย์ได้ การกระทำของรักษ์ชาติในครั้งนี้จำเป็นต้องใช้เวลา เธอไม่กล้าเสี่ยงด้วยการพาหัวใจตัวเองไปเจ็บแบบซ้ำๆ

ยามนี้เธอยังไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองให้เขารับรู้...และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เพราะเธอยังไม่พร้อมให้ใจที่รู้ว่ารักเขานี้ทุ่มเทไปทั้งหมด เธอก็ยังขี้ขลาด กลัวความรู้สึกเจ็บ

“คุณเขียนคะ” เสียงหวานที่มาดักทางออกเธอไว้ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าอมทุกข์ และไร้ซึ่งความหวังกำลังกรีดใจคนมอง...สายตาของไรรดากำลังมองว่าเธอเป็นคนเช่นนั้น

“มีอะไรกับฉันคะ”

“ได้โปรด...อย่าแต่งงานกับคุณชายเลยนะคะ คุณไม่ได้รักเขา”

“แล้วคุณที่รักเขา ทำไมถึงไม่พยายามฟันฝ่าอุปสรรคไปพร้อมๆ กับคนที่คุณรักล่ะคะ มาบอกกับฉันทำไม”

“คุณมันไม่รู้อะไรเลย จะมาวิจารณ์ชีวิตของคนอื่นง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้” ไรรดาว่าเสียงเย็นเยียบ “บางอย่างถ้ามันจัดการได้ง่าย ฉันไม่มีทางปล่อยให้มันจบแบบที่คุณต้องการแน่”

“แล้วคุณหายไปไหน ถ้าคุณขุนไม่พาคุณมา ฉันก็ไม่รู้เลยว่าคุณชายเคยมีคนรัก”

ไรรดาจ้องหน้าหญิงสาวที่เธอคิดตั้งเป็นมารหัวใจแน่ หากว่ารักษ์ชาติจะไม่ออกปากบอกไว้ว่าเขียนจันทร์เป็นผู้หญิงของเขา และฝ่ายนั้นขอสั่งห้ามทุกอย่างในการแตะต้องเขียนจันทร์ และเธอก็ไม่โง่พอจะมีเรื่องกับรักษ์ชาติ อย่างไรฝ่ายนั้นก็มีแม่แท้ๆ ของรักษ์ชาติสนับสนุนอยู่ หรือจะเขียนจันทร์เองที่ได้รับความเอ็นดูจากทั้งแม่แท้ๆ และพ่อแม่ที่เลี้ยงบดินทร์ภัทรมา ใครๆ ต่างก็รุมรักผู้หญิงตรงหน้าเธอนี้

“เพราะฉันเชื่อว่าบดินทร์ยังรักฉัน”

“เวลาเปลี่ยน...ใจคนก็เปลี่ยนได้นะครับ” บดินทร์ภัทรเดินเข้ามาแทรกกลางบทสนทนานั้นด้วยตัวเอง คุณชายก้มลงมองเขียนจันทร์ด้วยสายตาหวังดี “ดึกแล้วเดี๋ยวพี่ไปส่งน้องเขียนนะคะ กลางค่ำกลางคืนอันตราย”

“ผู้หญิงเราไม่ได้อ่อนแอปวกเปียกขนาดขับรถกลับเองไม่ได้นะคะ” สาวถูกเมินหน้าม้าน ไม่อยากโดนบดินทร์ภัทรเฉยชาใส่ไปมากกว่านี้

“ให้คุณชายไปส่งด้วยกันก็ได้นะคะ คุณชายใจดีเสมอ หรือคุณไม่อยากเป็นผู้หญิงอ่อนแอของคุณชายล่ะคะ”

สาวลูกครึ่งไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของเขียนจันทร์ที่เปิดทางสะดวกให้ แม้จะมีเจ้าหล่อนเสนอหน้าไปเพิ่มอีกหนึ่ง แต่เพราะเขียนจันทร์เป็นคนออกปากเอง บดินทร์ภัทรจึงไม่กล้าเอ่ยปากค้าน

“ฉันไม่ได้อ่อนแอ แต่แค่กลัวแมวขโมย”

“หมาขโมยแทนได้ไหม” เขียนจันทร์ยักคิ้วกวน ยกกล่องใส่เจ้าหมูมูนขึ้นอวดสาวสวยให้ไม่สบอารมณ์หนักกว่าเดิม

“ผู้หญิงอย่างเธอถ้าพี่ขุนไม่ออกปากห้ามแตะ ฉันบีบคอเธอตายโทษฐานกวนประสาทฉันแล้ว” ไรรดาเข่นเขี้ยว พูดเสียงเบาขณะเดินตามบดินทร์ภัทรที่เดินนำหน้าไปขึ้นรถ ให้เขียนจันทร์ได้ยินเพียงคนเดียว

เขียนจันทร์ได้ยินแสร้งทำหน้าตะลึงงัน ก่อนจะไหวไหล่ ทิ้งภาพสาวกวนประสาทให้ระคายตาคนมองมากขึ้น “เชื่อไหมว่าคุณชายก็จะออกคำสั่งแบบเดียวกับคุณขุน...ฉันคนรักเยอะ”

ถึงคนหลังจะรักเธอแบบน้องสาว...ก็รักล่ะน่า อีกอย่างนิสัยอย่างรักษ์ชาติก็ขู่ฟ่อไปทั่วยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ทำไมเธอจะไม่รู้ นั่นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับเธอ รักษ์ชาติชอบทำให้เธอรู้สึกเป็นผู้หญิงของมาเฟียสำนักไหนสักสำนักเสมอ จะทำอะไร ย่างก้าวไปไหน เขาจะรู้เห็นตาไวยิ่งกว่าตาสับปะรด

เขียนจันทร์ปล่อยให้สาวหน้าสวยคิดฟุ้งซ่านจนหน้าเคร่งเครียดต่อไป แอบหัวเราะเยาะสะใจลับหลัง งานนี้รักษ์ชาติตั้งใจยกคนมาขวาง เธอก็อยากปั่นประสาทคนทั้งคู่สักหน่อย รักษ์ชาติก็ช่างมั่นใจในความรู้สึกของเธอจนคล้ายคนหลงตัวเอง แม้มันจะจริง เธอก็ไม่ต้องการให้เขามั่นใจจนหน้าหมั่นไส้ และผู้หญิงคนนี้ก็ช่างเฉยชา ห่างกันจนครึ่งโลกก็ยังคิดเข้าข้างตัวเอง ไม่พยายามเพื่อหัวใจเลย

ระยะเวลาที่สูญไป เขาเอาแต่คิดว่าเพราะบดินทร์ภัทรยังรัก มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก ใจคนก็เหมือนเวลา ทำไมจะเปลี่ยนไม่ได้ ไม่เจอหน้ากันทุกวัน ไม่เข้าใจกัน ไม่ได้พูดคุยกัน ความรักมันจะยังเหลือเท่าเดิมไหม เธอไม่ใช่บดินทร์ภัทร ในข้อนี้คงมีแค่เขาเท่านั้นที่จะตอบได้

คนนั่งคู่คนขับมองกระจกมองหลัง พบอาการนั่งไขว่ห้าง สะบัดคอหนีอย่างไม่สบอารมณ์ก็เผลอยิ้มมากขึ้นอย่างคนกำลังสนุก...การสั่งสอนมนุษย์ร้ายๆ ก็สะใจพิลึกดี บางทีเธออาจซึมซับความร้ายกาจของรักษ์ชาติมาไว้ในร่างอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ได้


รักษ์ชาติมาเยือนวังจักรตรากูลแต่เช้าในวันหยุด เด็กชายกองพันก็ไม่เคยพลาดที่จะมา เพราะนับตั้งแต่สถานการณ์ทุกอย่างคืนสู่ปกติ กองพันก็จะมาวิ่งเล่นที่วัง มาเรียกทักษะเพิ่มกับครูพิเศษ มีแจงคอยดูแล และเขียนจันทร์ที่กลับมาจากทำงานก็จะคอยอยู่ดู หากวันไหนเขาไม่มารับกองพันก็จะนอนอยู่ที่วังจักรตรากูลเลย และตอนนี้กองพันก็กำลังมีเพื่อนใหม่ เสียงเห่าเล็กแหลมดังอยู่บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน มีแจงวิ่งลุ้นตามขณะวิ่งไล่เจ้าหมูมูนต้วมเตี้ยมกัน

ชาร้อนลอยกรุ่น กับขนมปังทาเนยกรอบวางเคียงกันตรงหน้ารักษ์ชาติ ตรงข้ามกันในโต๊ะห้องอาหารมีสตรีสูงวัยสวมแว่นกรอบทองอ่านพินิจเนื้อหาในแฟ้มดำอย่างใจเย็น รักษ์ชาติไม่ได้ใจร้อนอะไรนอกจากยกแก้วใสขึ้นจิบชาร้อน มีบ้างที่เหลือบมองชั้นบนอันเงียบสงบที่แจงแอบมารายงานว่าเขียนจันทร์กลับมาบ้านดึกดื่นเพราะทำงานสำคัญ ตอนนี้ที่เข็มนาฬิกาสั้นชี้ไปยังเลขเก้า เขียนจันทร์ก็ยังไม่ตื่น

“ทำไมเธอไม่ใส่ชื่อตัวเองลงไปเอง นี่มันผลงานเธอนะ” วงเดือนเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความสนเท่ห์ โครงการปลูกต้นกล้า เป็นโครงการที่ส่งเสริมเด็กผู้ยากไร้ให้มีทุนการศึกษา มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ มีอาหารกลางวันครบ ในโรงเรียน หรือตามชุมชนที่รัฐยังเข้าไม่ถึง มีการวางแผนอนาคตของโครงการว่าอาจทำห้องสมุด หรือเพิ่มเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เรียนผ่านดาวเทียม ซึ่งถือเป็นโครงการในอนาคต “แน่ใจเหรอที่จะให้จักรตรากูลเป็นคนลงชื่อในนี้ เธอตั้งใจเอาใจฉันใช่ไหม”

นักธุรกิจหนุ่มยิ้มสำรวม ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “ทำไมผมต้องไม่แน่ใจ ยังไงสักวันผมก็ต้องเป็นคนในครอบครัวนี้ ที่นี่เหมือนความดี เหมือนสีขาว ผมอยากจะเพิ่มสิ่งดีๆ ลงไปให้ แค่ให้คุณหญิงเป็นผู้ดูแล มันสมควรที่จะมีลายเซ็นของคุณหญิงในนั้นนะครับ”

“แต่เงินลงทุนมาจากเธอ ฉันเอาเปรียบเธอไม่ได้หรอกนะ”

“ผมตั้งใจกับโครงการนี้มากนะครับ เริ่มวางโครงการไว้ตั้งแต่สองสามเดือนก่อน ผมอยากจะทำความดีบ้าง ถึงธุรกิจของผมมันจะไม่ได้สะอาดอะไรมากมาย แต่เงินที่ได้มาผมก็อยากให้มันมีประโยชน์กับเด็กๆ กับคนอื่นๆ”

“ไปบวชสิคุณ ถ้าคุณอยากทำความดีน่ะ จะได้ไม่ต้องมาล่อลวงหม่อมยายฉัน” เขียนจันทร์อ้าปากหาวหวอดหลังพูดจบ ใต้ตาดำคล้ำเป็นหมีแพนด้า ป้าสายยกนมร้อนมาเสิร์ฟให้ตรงหน้าเขียนจันทร์ที่นั่งประจำข้างวงเดือน “โครงการปลูกต้นกล้า” เขียนจันทร์เอียงคออ่านเสียงดัง “จะไปปลูกป่าที่ไหนล่ะคุณ ป่าโปร่ง ป่าพรุ ป่าชายเลน หรือไม้ป่าเดียวกัน”

“รวนแต่เช้าเลยนะเรา นอนไม่พออีกล่ะสิ” วงเดือนตำหนิหลานสาวไม่จริงจัง เพราะสักพักหลานคนโปรดก็กระเถิบมากอดเอวทำหน้าอ้อน ปากก็ยังหาวกว้างทั้งยังหลับตา

“เขียนร่างแผนการตลาดใหม่กับทีมบริหาร ตั้งใจจะปรับปรุงโรงแรมครั้งใหญ่ค่ะ ตามต่างจังหวัดจะปรับให้เทียบเท่าของกรุงเทพฯ ด้วย แต่ต้องค่อยๆ ทำ ตอนนี้รอดูผลประกอบการไตรมาสนี้ก่อน เพราะจักรตรากูลของเราก็เจอมรสุมพอสมควรค่ะ” คนอ่านงานจนปรุ สมองไม่เหลือที่ให้เรื่องอื่นงึมงำเป็นเรื่องงานออกมาให้วงเดือนนึกสงสาร

“ขึ้นไปนอนก่อนไหมเขียน สภาพเราตาจะปิดอยู่แล้ว”

เขียนจันทร์ยืดตัวขึ้น ถ่างตากว้างๆ ให้ตื่น ไม่อยากให้ยายเป็นห่วง จึงรีบดื่มนมหมดแก้วให้ตาสว่างขึ้น หันไปยิ้มประจบ “คุยอะไรกันคะ หน้าตาเคร่งเครียดเชียว”

“โครงการปลูกต้นกล้า นายรักษ์ชาติเขาคิดขึ้นมาเพื่อประโยชน์เด็กๆ ยายก็คิดว่าดี แต่เขาจะให้จักรตรากูลเป็นผู้ออกนามทั้งหมด”

“หม่อมยายเซ็นไปเถอะค่ะ แต่ไม่ต้องไปซึ้งน้ำใจ เขาทำแค่เอาหน้าหวังผล” เขียนจันทร์รู้ว่าอีกฝ่ายหวังผลอะไรมองคนวางแผนด้วยดวงตารู้ทัน

“แน่นอนว่าทำโครงการแบบนี้ต้องหวังผลนะครับ หวังให้เด็กตาดำๆ ได้มีอนาคตที่ดี” รักษ์ชาติยิ้มใจดีอย่างพ่อพระมาโปรดให้กับวงเดือน “ผมยินดีออกทุนให้ทั้งหมด คุณหญิงสนใจโครงการการกุศลนี้ไหมครับ”

“ฉันจะเชื่อหลานสาว เซ็นแต่ไม่ซึ้ง มีอะไรก็ติดต่อผ่านฉันได้โดยตรง ฉันจะดูแลโครงการนี้ให้เอง ฉันอยู่ว่างๆ อยู่แล้ว”

เขียนจันทร์ยิ้มสะใจยามเห็นปลายปากกาในมือหม่อมยายจรดเซ็นลงไป คำว่าเซ็นแต่ไม่ซึ้งคงจารึกไปกลางหน้าผากคนคิดโครงการไม่มากก็น้อย แต่เล่นอีกฝ่ายเงิบแล้วนั้นอาการง่วงของเธอก็พลันหาย

“ตัวแทนธากิตที่ผมส่งไปคุยไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ” รักษ์ชาตินึกอยากลุกมาฟัดแก้มเนียนที่อ้าปากหาวยั่วให้เขาเห็นไปหลายหวอดอย่างหมั่นเขี้ยว คนกำลังทำคะแนนกับผู้ใหญ่ก็ลงมาขัดหักลบคะแนนเขาไม่มีเหลือ

“เธอเป็นเจ้าของใหม่ธากิตเหรอ” เรื่องแปลกใหม่นี้วงเดือนไม่เคยรู้ นอกจากคำบอกเล่าจากปากเขียนจันทร์ที่บอกว่าเสี่ยหลงปล่อยจักรตรากูล และธากิต ตอนนี้มีข่าวแว่วว่าเสี่ยหลงเป็นหนี้ เพิ่งเซ็นสัญญาใหม่กับทางธวัชเดชาก็ยักยอกเงินหนี มีหลายคดีรุมเร้า ทั้งค้ายา ค้าไม้เถื่อน บ่อนเถื่อน เมื่อการเมืองเปลี่ยนข้าง ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยคุ้มกะลาหัวก็หมดอำนาจลง เสี่ยหลงไปอยู่ที่ไหนในยามนี้ไม่มีใครรู้เลย

“ครับ ผมเอง” รักษ์ชาติยืดอกตอบอย่างภูมิใจ รู้สึกเห็นแต้มคะแนนจากญาติผู้ใหญ่ส่องแสงวิบวับตรงหน้าไม่ไกลเลย

แต่น่าเสียดายที่วงเดือนไม่ได้ให้ความสนใจอะไรอีก หญิงสูงวัยดันแฟ้มสำคัญส่งให้รักษ์ชาติดู จึงกลับมาให้ความสนใจกับหลานสาวต่อ

“ได้ติดต่อคุณชายบ้างไหมเขียน ช่วงนี้ยายเห็นหลานงานยุ่ง”

เขียนจันทร์เหลือบมองรักษ์ชาติก่อนจะสะบัดหน้าหนีด้วยความหงุดหงิด ส่วนหนึ่งก็เพราะธากิตเร่งให้ทางจักรตรากูลสรุปแผนการปรับปรุงโรงแรมออกมาโดยด่วนจนเธอหัวหมุน เพื่อจะได้เริ่มงานเร็วๆ แม้เธอจะเห็นว่ามันสมควรต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่เธออดพาลใส่รักษ์ชาติไม่ได้ ที่เหมือนแกล้งให้เธอไม่มีเวลาไปหาบดินทร์ภัทรเลย

“ไม่เจอมาอาทิตย์หนึ่งแล้วค่ะ”

“ทางวังท่านชายก็ติดต่อมาว่าอยากให้จัดงานหมั้นเร็วๆ ถ้าเราพร้อมผู้ใหญ่เขาจะได้มา”

“คุณชายโอเคเหรอคะ” แทนที่จะบอกความไม่มั่นใจของตัวเอง เขียนจันทร์กลับถามหาคำตอบจากอีกคน สายตาเธอเหลือบมองรักษ์ชาติพบความนิ่งเงียบ ไร้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ขนาดคุยเรื่องสำคัญแขกยามเช้าของที่นี่ก็ยังเสนอหน้าฟังไม่กระดิกตัวหนีไปไหน

“ก็เขาเป็นคนถามยายเอง”

ท่าทางเร่งรีบของบดินทร์ภัทรสร้างความอึดอัดแก่เขียนจันทร์ เพราะเธอรู้ว่าเหตุผลแท้จริงในการเร่งรีบของบดินทร์ภัทรคงไม่แคล้วหนีไรรดา “ท่านแม่ของคุณชายเพิ่งเข้าโรงพยาบาลไปไม่กี่วันก่อน ไม่รู้เป็นอะไร เห็นบอกว่าเครียดจนเป็นลม ยายไม่ทันเยี่ยมท่านหญิงเขาก็ออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว”

“อ้อ...” เขียนจันทร์พยักหน้าหงึกหงักเข้าใจ มือยกขึ้นมาบีบนวดหว่างคิ้วด้วยอาการปวดตุ้บๆ เรื่องแต่งงานที่เธอเคยออกปากประชดคนก็เริ่มๆ ลืมเลือนไปเพราะงานที่กองสุม มาถึงตอนนี้ที่เรื่องแต่งงานกลับมาอีกครั้ง คงมาจากเหตุการณ์ทางบดินทร์ภัทรเห็นทีจะไม่สู้ดีเท่าไหร่

“ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่ต้องหรอกนะเขียน...ยายอยากให้หลานมีความสุขไปตลอดชีวิต เอาให้มั่นใจจริงๆ ก่อน ไม่อยากให้มานั่งเสียใจทีหลัง แม่เรานั่นก็คนไง”

คนถูกว่ากล่าวถึงแม่หน้าง้ำลง เขียนจันทร์ไม่เคยหมดหวังในเรื่องพ่อแม่ แต่พวกท่านก็เหมือนจะกลับมาดีกัน แต่พออยู่ต่อหน้ายายของเธอพวกท่านก็พร้อมใจเว้นระยะห่าง ทำเหมือนคนคุ้นเคยแต่ไม่คุ้นใจยังไงอย่างนั้น เห็นแล้วกองเชียร์อย่างเธอมันเหนื่อย

“เขียนไปหาน้องขุนดีกว่า เดี๋ยววันมะรืนจะไปโรงเรียนวันแรกแล้ว ไม่รู้จะงอแงไหม”

“ยายคงเหงาน่าดู” วงเดือนทำหน้าเศร้าก่อนจะเปล่งประกายในนาทีถัดมา “นายรักษ์ชาติฉันขอให้ลูกขุนมาพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ ได้ไหม ฝากให้เขียนไปพูดก็ไม่เห็นได้เรื่องเลย”

คนถูกโบ้ยเงียบปาก เธอจะกล้าขอเหรอ ถึงใจจะอยากให้กองพันอยู่ แต่เธอมักจะได้มาเป็นแพ็กคู่ ลูกอยู่พ่อมา และคงจะมาบ่อยจนเธอหาทางตั้งรับไม่ทัน

“ไม่มีปัญหาครับ จะลูกหรือพ่อก็อยากมาที่นี่บ่อยๆ อยู่แล้ว”

“พ่อไม่เกี่ยว” เขียนจันทร์เหน็บ และแยกเขี้ยวใส่คนโมเม ลุกขึ้นเชิดหน้าเดินออกไปหน้าบ้าน ไม่อยากให้เนื้อเธอหลุดไปมากกว่านี้ นึกๆ ไปหญิงสาวก็อยากกลับไปเป็นเด็ก พัฒนาสมองให้เก่งๆ คิดทันรักษ์ชาติ ไม่ใช่เกิดมาก็ยอมเขาไปหมด ยอมจนสมองกลวงคิดต่อต้านอะไรเขาถึงได้แพ้ไปหมด

ใครจะไปคิดว่ารักษ์ชาติหน้าด้านหน้าทน ปากไม่หนัก คอยมาเสนอหน้าอยู่ที่นี่เป็นแขกประจำ ถ้าเป็นรักษ์ชาติคนก่อน...ผู้ชายคนนั้นคงเหมือนมังกรไฟ ข้าจะเอา ข้าอยากได้ ข้าต้องได้ ไม่ใช่คนใหม่ที่ ผมอยากได้ ผมจะพยายาม ผมจะเข้าหา ผมจะรักครอบครัวเขาให้เหมือนรักเขา

การที่รักษ์ชาติผูกมิตรกับภาพวิจิตรได้ เป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับเธอในสามโลก และพอเธอไปถามเหตุผล คำตอบที่ได้รับจากปากน้องสาวก็ทำให้เธอต้องกลอกตาด้วยความเพลีย

‘ไม่น่าเชื่อพี่เขียน อีตาพี่ขุนพูดเพราะแล้วดูหล่อขึ้นเยอะ ใจดีเอาตั๋วไปอเมซอนมาให้ภาพด้วย ยังบอกอีกว่าถ้าเรียนจบแล้ว จะซื้อตั๋วให้ไปเที่ยวกาลาปากอสเป็นของขวัญ รู้ว่าถ้าดีแล้วจะได้เยอะขนาดนี้ ภาพดีด้วยตั้งแต่เกิดแล้ว’

ภาพวิจิตรดีกับรักษ์ชาติด้วยของล่อตาล้วนๆ พอเขาหันมาใช้กับหม่อมยายของหญิงสาว มีหรือที่เธอจะรู้ไม่ทัน

...เขามันน่ารักจนน่าขนลุกเลยล่ะ


เสียงหัวเราะดังแว่วมาจากลานหน้าบ้าน บุคคลสามชีวิตนั่งมองคนสามวัยวิ่งไล่กันสนุกกับสุนัขอีกสองตัวผ่านกระจกในบ้าน ศิลปินมองตามสายตาลูกชายของอดีตผู้บังคับบัญชาพบว่าแววตาอ่อนโยนนั้นเป็นดวงตาที่ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยมี

“คุณขุนไม่ออกไปเล่นกับลูกขุนเหรอครับ”

“จากนี้ไม่ต้องเรียกให้เกียรติผมขนาดนั้นหรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องให้เกียรติพวกคุณสองคน” รักษ์ชาติอธิบายด้วยรอยยิ้มอย่างคนมีมารยาท “เรียกผมว่าขุนเฉยๆ เถอะครับ คิดซะว่าผมเป็นลูกอีกคน”

ศิลปินสบตากับดาวเดือนก่อนจะหัวเราะให้กันเบาๆ ท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างถูกวิธีของรักษ์ชาติสร้างความประทับใจให้ผู้ใหญ่ทั้งสองมากขึ้น รักษ์ชาติไม่ดูเหมือนเด็กเอาแต่ใจอย่างที่เคยพบเจอมาตลอด คนๆ นั้นไม่เคยคิดถึงจิตใจคนอื่นสักเท่าไหร่

“จะดีเหรอครับ...พวกเราคงไม่ค่อยชิน”

“ผมไม่รีบครับ แต่เรื่องที่ผมรีบคือเรื่องของพวกคุณ”

ศิลปินขยับตัวไปมา เริ่มออกอาการหายใจไม่ทั่วท้อง ‘เรื่องของพวกคุณ’ คงหมายถึงเรื่องของเขากับดาวเดือน

“ผมอยากทำความฝันของเขียนให้เป็นจริง อย่าหาว่าผมยุ่งเลยนะครับ เพราะผมก็ยุ่งกับทุกเรื่องที่เป็นเรื่องของเขียนอยู่แล้ว”

ดาวเดือนหลุดหัวเราะออกมา ชักคิดว่าจริงๆ รักษ์ชาติก็ยังเป็นรักษาติคนเดิมนั่นแหละ

“ฝันของเขียน...ยังไงคะ” ดาวเดือนแกล้งไม่รู้

“พวกคุณกลับมาแต่งงานกันจะได้ไหมครับ ผมรู้ว่าพวกคุณรักกัน แต่ก็เกรงใจกลัวคุณหญิงวงเดือนจะไม่พอใจ...เชื่อเถอะครับ ทำยังไงคุณหญิงก็ไม่พอใจ”

“อ้าว...อย่างนั้นก็ไม่ควรทำให้ไม่พอใจไม่ดีกว่าเหรอครับ”

รักษ์ชาติหัวเราะหึ มุมปากกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ “หัวใจของมนุษย์สองคน หากเริ่มแล้วหาอะไรมาขวางไม่ได้หรอกครับ ถ้าพวกคุณจะแต่งเสียอย่าง ผมสัญญาว่าทันทีที่พวกคุณแต่งงาน ผมจะมารับช่วงคำวิจารณ์จากปากคุณหญิงต่อให้ทันที”

ดาวเดือนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แต่รู้ว่าคนที่อยากได้แล้วต้องได้อย่างรักษ์ชาติจะหาวิธีทุกทางเพื่อให้ได้มาเสมอ

“คุณจะทำอะไรคะ...ฉันไม่อยากให้เขียนเสียใจ”

“ไม่หรอกครับ เขียนจะดีใจมากแน่ๆ ถ้าพวกคุณสองคนแต่งงานกัน ผมอยากเห็นเขียนมีความสุข ผมรู้ว่าที่ผ่านมาผมทำผิดกับเขียนมาก ความสุขอะไรที่ผมอยากทำให้เขียนได้ก็จะทำ และไม่จำเป็นที่เขียนต้องรู้ ผมขอยกความดีให้พวกคุณ เพราะพวกคุณเป็นคนตัดสินใจแต่งงานเอง”

ศิลปินอ้าปากค้างกับหัวใจนักเลงของรักษ์ชาติ คิดว่าตัวเองกำลังพบสิ่งมหัศจรรย์ผุดขึ้นมาใจกลางกรุงเทพฯ อีกหนึ่งอย่าง

“ส่วนเรื่องที่ผมบอกว่าจะมารับช่วงให้คุณหญิงออกปากวิจารณ์จนลืมเรื่องพวกคุณสองคนไปเลยก็ง่ายๆ” รักษ์ชาติไหวไหล่อย่างธรรมชาติ ใบหน้าผ่อนคลายไร้รอยกังวล “ผมจะมาเป็นหลานเขยของคุณหญิง จะอยู่ให้ท่านกัดแขวะได้ตลอดเวลา ผมพร้อมรับคำวิจารณ์ทุกรูปแบบ”

“อันนั้นพวกเราจะให้เขียนตัดสินใจเองดีกว่าไหมครับ” ศิลปินอดจะเหยียบเบรกรั้งความมั่นใจรักษ์ชาติไม่ไหว

“เรื่องนั้นผมจัดการเองครับ ผมแค่จะถามว่าสรุปพวกคุณจะแต่งงานกันไหม พวกคุณน่าจะมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ผมรู้ว่ามนุษย์มักมีข้อผิดพลาดที่อาจไม่น่าให้อภัยหลายๆ อย่าง” รักษ์ชาติตั้งใจพูดกับวงเดือน “ผมเองก็มี แต่อดีตพวกเรากลับไปแก้ไขไม่ได้ ปัจจุบันเป็นยังไง...สำคัญที่สุดจริงไหมครับ”

“ต้องถามเขียนแล้วล่ะค่ะ...ว่าจะให้อภัยคุณไหม”

ดาวเดือนตอบกลับมาได้ตรงจุด รักษ์ชาติถอนหายใจเฮือกใหญ่ หน้าตามีความกังวลระบายอยู่เต็มดวงตาสองข้าง

“ผมก็หวังว่ามันจะไม่ยาวนานถึงสิบห้าปีนะครับ”

...เหมือนกับพ่อแม่ของเขียนจันทร์ที่ร้างลากันไปนานถึงสิบห้าปี


สุนัขพุดเดิลกับเจ้าปั๊กอ้วนม่อต่อกระโดดผลัดกันงับให้คนมองสนุกกับการเล่นของสุนัขสองตัว เขียนจันทร์วิ่งไล่รักษ์ชาติจนเหนื่อยจึงนั่งพักบนสนามหญ้า ข้างแปลงมะลิกอใหญ่ที่รักษ์ชาติเป็นคนเอามาง้อตอนอาทิตย์ก่อนโน้น และเป็นคนลงปลูกในดินให้เอง กลิ่นหอมอ่อน และดอกที่ออกสะพรั่งนั้นทำหม่อมยายเธอมาเก็บไปร้อยพวงมาลัยไหว้พระได้วันสองวันมาแล้ว

กองพันวิ่งเหนื่อยหอบ ผิวขาวขึ้นสีชมพูจากการวิ่งเล่นมานานมาหยุดลงบนตักของเขียนจันทร์ นั่งหันหน้าออกอารมณ์ดี เขียนจันทร์รับหมวกแก๊ปที่แจงถือวิ่งตามมาใส่ลงบนศีรษะให้กับกองพัน

“วันจันทร์จะไปโรงเรียนแล้ว...จะร้องไห้ไหมครับ”

เด็กชายตัวเล็กเม้มปาก ดวงตาเป็นประกายวาว ไม่รู้ว่าเธอเลี้ยงกองพันอย่างเอาใจมากไปไหม เด็กชายจึงอ่อนไหวง่ายเหลือเกิน

“ไม่เอาไม่ร้องนะครับ โรงเรียนน้องขุนจะเจอเพื่อนใหม่ๆ วัยเดียวกัน เจอครูน่ารัก ใจดี ได้เรียนอะไรสนุกๆ นะครับ”

“ไม่มีแม่เขียน ไม่มีพ่อขุน ขุนกลัวครับ” กองพันปากเบะหนักกว่าเดิม

“เราเจอกันตอนเช้า แล้วก็กลับมาเจอกันตอนเย็น ลูกขุนจะเอาเรื่องที่เจอที่โรงเรียนมาเล่าให้แม่เขียนฟังไงครับ”

เด็กชายสะอื้นลม กอดเอวเขียนจันทร์ไว้ บู้ปากไม่ยอมท่าเดียว ปล่อยให้แม่เขียนได้แต่ลูบผมนุ่มของกองพันอย่างปลอบใจ หัวสมองครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้เด็กชายกล้าที่จะไปโรงเรียน สุนัขปั๊กตัวอ้วนเดินต้วมเตี้ยมเอาขามาสะกิดเขียนจันทร์ หญิงสาวมองก่อนจะยิ่งยิ้มแป้นกว่าเดิม

เธอรู้แล้ว...ว่าต้องทำอย่างไร

“สัญญานะครับ ว่าถ้าวันแรกไป น้องขุนจะไม่ร้อง แม่เขียนจะอยู่ดูพฤติกรรมน้องขุน ถ้าเห็นน้องขุนร้องไห้ แม่เขียนจะกลับทันที ตกลงไหมครับ”

“ขุนจะเข้มแข็ง ให้เหมือนปู่ครับ”

“ปู่เหรอครับ” เขียนจันทร์ถามอย่างสงสัย ถ้าปู่ที่ลูกขุนว่า คงจะเป็นพ่อเจ้าของสายเลือดในกายกองพันเองนั่นแหละ

“ครับ พ่อขุนสอนให้ขุนเข้มแข็งเหมือนปู่ พ่อขุนบอกปู่เหมือนซุปเปอร์แมน”

เขียนจันทร์ยิ้มตาม รู้สึกดีที่อย่างน้อยรักษ์ชาติก็ยังเหลือความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับพ่อแท้ๆ ไว้ในหัวของกองพันให้นึกถึง ให้เป็นแบบอย่างที่ดี แม้จะไร้อินทรีย์หยาบไว้จับต้องแล้วก็ตาม

“ปู่ของขุนเป็นชายชาติทหารที่เก่งมากนะครับ” เขียนจันทร์บอกต่อ ก่อนชักชวนให้กองพันหันมาสนใจเจ้าหมูมูนหลังจากมันพยายามยกเล็บแหลมสะกิดขาเธอเรียกความสนใจจนขาเธอจะลายอยู่แล้ว

“ดูท่าทางสนุกกันเชียวนะคะ” น้ำเสียงสุภาพมาพร้อมร่างสูงของบดินทร์ภัทรที่ทรุดนั่งลงข้างกาย เขียนจันทร์หันไปยิ้มอย่างยินดีที่ได้พบอีกฝ่ายในรอบหลายวัน แต่ใบหน้าอมทุกข์ และสีหน้าย่ำแย่คล้ายแบกโลกไว้ทั้งใบของคุณหมอไม่ได้ยินดีกับการพบเจอรอยยิ้มของเธอเลย

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณชาย”

“พี่ไม่มีความสุขเลยน้องเขียน”

“เรื่องของคุณไรรดาเหรอคะ”

บดินทร์ภัทรถอนหายใจอย่างอัดอั้น พยายามฝืนยิ้มทั้งที่มันไม่ใช่ความสุขจริงๆ เขียนจันทร์แตะแขนคุณหมอผู้ที่เคยเป็นที่ปรึกษาที่ดีแก่เธอมาเสมอด้วยความเป็นห่วง หรือว่าจะถึงเวลาที่เธอช่วยเหลือเขาจริงๆ จังๆ สักที

“ฉันช่วยอะไรได้ไหมคะ”

“น้องเขียน...พี่ไม่อยากดึงน้องเขียนมาลำบากใจด้วยกัน”

“ถ้าเรื่องแต่งงาน เขียนเขาคงไม่อยากปฏิเสธหรอกครับ” รักษ์ชาติเดินมานั่งอีกข้างของเขียนจันทร์ หน้าตาไม่ได้ยินดีนักกับสิ่งที่พูดออกไป “ถ้าเขียนเขาอยากทำร้ายจิตใจผม เขียนเขาคงกระโดดรับข้อเสนอของคุณชายแทบไม่ทัน”

คนกลางนั่งขัดสมาธิด้วยความกรุ่นโกรธ โชคดีที่กองพันวิ่งเล่นไปไกลแล้วจึงไม่ต้องมานั่งหน้าปั้นยากรับแรงโกรธ ไม่พอใจของเธอ เขียนจันทร์มองผู้ชายที่พูดกระทบกระเทียบความรู้สึกของเธอด้วยดวงตาเคืองขุ่น เขาไม่เคยกลั่นอะไรออกมาจากปากเลย คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น

“ฉันไม่จำเป็นต้องหวังทำร้ายจิตใจคุณหรอกค่ะ การตอบรับคำขอของคุณชาย มันไม่ได้ทำให้ฉันอึดอัดใจเลย ดีเสียอีกถ้าฉันจะทำให้ชีวิตคุณชายมีความสุขมากขึ้น และทำให้ฉันหลุดพ้นจากสิ่งเดิมๆ” เขียนจันทร์ฟาดฟันสายตากับรักษ์ชาติ มั่นใจว่าเธอเห็นแววตาเจ็บปวดอีกฝ่ายชัดเจน จึงปั้นยิ้มบอกกับบดินทร์ภัทรที่หน้าตาก็ยังย่ำแย่เหมือนเดิม ถึงเธอจะตอบรับคำขอแล้วก็ตาม

“ท่านชายท่านหญิงต้องดีใจกับการตัดสินใจของฉันแน่ค่ะ...ฉันตกลง”


.......................................

คุณ ร้อยวจี ขอบคุณนะคะ รีบเอามาแปะไว้ยามเย็น อิอิ

คุณ mhengjhy มาเอาใจช่วยให้เขียนใจแข็งกันต่อนะคะ ฮา

คุณ อัศวินนภา คนเขียนเรื่องนี้ชักจะโรคจิต เรื่องเริ่มดีลากมาม่าอีกแล้ว ฮา ขอให้เชื่อว่าเจ้าขุนควบคุมได้ทุกอย่างค่ะ ฮา

คุณ ใบบัวน่ารัก โรงแรมระเบิดเกิดควบคุ๋กับทางไทยที่จักรตรากูลปลอดภัยจากเสี่ยหลงค่า เจ้าหมูน่าสนใจจัง เจ้าขุนเล่นไปแล้วค่า อิอิ

คุณ konhin ถ้าเขียนใจแข็งมากๆ กลัวเรื่องนี้จะยาวไม่มีวันจบค่ะ ฮา แข็งนอกอ่อนในแทนเนอะ ใจรัก แต่ยังกลัวเจ็บดีกว่า

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ นางเอกเรื่องนี้บอกชัดว่าฉลาดไม่เท่าพระเอกค่ะ กร๊าก ถ้านางฉลาดนางจะไม่รักเจ้าขุน ฮา

ขอบคุณทุกความเห็น ทุกไลค์ และนักอ่านทุกท่านนะคะ พระเอกเรื่องนี้นิสัยยังคงความเกรียนไว้แบบเดิมไม่มีเปลี่ยน ฮา





ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2557, 18:33:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2557, 18:53:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1856





<< บทที่ 21 : ยาหยี?   บทที่ 23 : ช้าไปไหม >>
ใบบัวน่ารัก 12 มิ.ย. 2557, 19:23:52 น.
รู้แล้วว่าเจ้าขุนรักเขียนแต่จะดีแค่ในช่วงโปรโมชั่นได้กี่ปีกี่เดือน
เด๋วลายก็ออกเขียนก็ต้องยอมเป็นนางทาสตลอดไป
แฟนเก่าคุณชายอีก ร้ายจังไปชอบไปรักได้ไง แล้วหายไปอยู่ไหนมา
เกิดอาการของที่ทิ้งไปแล้วอยากได้คืน. สงสารคุณชาย


Heronett 12 มิ.ย. 2557, 20:30:40 น.
อะไรของเธอเขียน ประชดอยู่ได้
จะมีใครรักเธอเท่าคุณขุนอีกยะหล่อน
หล่อนไม่เอา ฉันเอานะยะ


konhin 12 มิ.ย. 2557, 21:07:28 น.
อืมมม จะแต่งจริงอ่ะ?


อัศวินนภา 12 มิ.ย. 2557, 21:13:02 น.
รู้สึกว่าได้กลิ่นม่าม่า ดราม่า โอ้อย่าเพิ่งมาเลย กำลังน่ารัก


ร้อยวจี 12 มิ.ย. 2557, 21:55:31 น.
ประเภทรักผู้หญิงให้อิงผู้ใหญ่หรือเปล่าเอ่ย ห้าห้า ต้องดูกันต่อไปค่ะ


ผักหวาน 19 มิ.ย. 2557, 21:58:16 น.
จะแกล้งพี่ขุนไปถึงไหนจ๊ะหนูเขียน

ระวังท่านขุนคนเดิมจะสิงร่างเอานา 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account