UnRomantic Love หนีไม่พ้นใจ (เล่ห์ลวงจันทร์)
เขียนจันทร์ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมารับพ่อที่กำลังเกษียณไปอยู่บ้าน

วันแรกที่กลับมาเธอก็พบผู้ชายปากร้าย แข็งกระด้าง มาตามหาพี่สาวของเธอ

ปากก็บอกตามหา แต่ทุกวันก็ยังวนเวียนอยู่กับเธอ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป

ทำไมผู้ชายนิสัยแบบนี้ คุมสถานบันเทิงใหญ่ จะเลี้ยงเด็กที่เขาบอกว่าเป็นลูกได้ดีเหรอ

แล้วทำไมถึงได้ยัดเยียดลูกให้เธอเลี้ยง ส่วนตัวเองก็ร่อนไปหาพี่สาวเธอแบบนี้เล่า

นายรักษ์ชาติ...นายมันผู้ชายยอดแย่ที่สุด

แล้วทำไมวันที่เธอมีปัญหาที่สุด คนแย่ๆ แบบเขากลับไม่ยอมทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาคนเดียว

กลัวจะไม่มีเบ๊ไว้ให้ใช้ล่ะสิท่า...อย่าคิดว่าคนอย่างเธออ่านเกมเขาไม่ออก
Tags: เขียนจันทร์ รักษ์ชาติ จักรตรากูล กองพัน

ตอน: บทที่ 23 : ช้าไปไหม

บทที่ 23

“น้องเขียน...อย่าเลยค่ะ พี่รู้ว่าน้องเขียนไม่ได้คิดแบบนั้น” บดินทร์ภัทรลูบผมเขียนจันทร์ด้วยความอ่อนโยน ยิ้มให้อย่างเข้าใจจริง “เป็นน้องสาวของพี่ก็ดีแล้วค่ะ วันนี้ที่พี่มาที่นี่ พี่ก็อยากมาคิดอะไรเรื่อยๆ เท่านั้นเอง พี่ไปหาหม่อมยายทักทายท่านหน่อยนะคะ”

บดินทร์ภัทรลุกขึ้นออกไป ปล่อยให้คำตอบตกลงของเขียนจันทร์ราวกราวเป็นเศษดินเศษหญ้าแถวๆ ที่ตัวเองนั่ง คนโดนปฏิเสธถอนหายใจเฮือกโต หน้าตาหงิกงอ เสียหน้ากับการมีรักษ์ชาติมารู้เห็นในเรื่องครั้งนี้

โป๊ก...มะเหงกงามๆ เขกลงด้วยแรงไม่หนักแต่ก็ไม่เบาใส่กลางกระหม่อมของหญิงสาว เขียนจันทร์หันขวับด้วยหน้าตาเอาเรื่อง แต่พบว่าดวงตาของอีกฝ่ายกำลังทอประกายกรุ่นโกรธ ระคนระอากับอะไรสักอย่าง...นี่รักษ์ชาติกล้าทำหน้าระอาเธอเหรอ

“อย่าประชดกันอีก ถ้าคุณชายเขาไม่ใช่คนดี จิตใจประเสริฐ คิดไหมว่าตัวเองจะมีความสุขไหม ทำอะไรไปทำไมถึงได้ใช้อารมณ์ชั่ววูบ”

“ฉันมีคุณเป็นแบบอย่างนั่นแหละ...มาสอนคนอื่น สอนตัวเองก่อนไหม”

รักษ์ชาติใช้มือทั้งสองข้างรองคาง หน้าตาเชื่อง ดวงตาสำนึกผิด “อ่ะ ให้เอาคืนแล้ว”

หญิงสาวตาโตด้วยความงงงันอีกรอบ ท่าหมาในร่างคนที่กำลังร้องขอความเห็นใจทำให้เขียนจันทร์ต้องกลั้นหัวเราะไว้ เก๊กขรึม

ดวงตากลมโตสอดส่ายหาของมาเอาคืนการถูกเขกมะเหงก และพูดไม่รู้จักคิด เจอถังน้ำพลาสติกสีฟ้าวางคว่ำอยู่ข้างกอมะลิ หญิงสาวเอื้อมไปหยิบมา ตบก้นถังเรียกข่มขวัญคนมองที่ยังไม่รู้เรื่อง

“ขอตบได้ไหม”

“ขอจีบผมดีกว่าไหม” รักษ์ชาติรีบหุบปาก ยื่นศีรษะเข้าไปใกล้ให้เขียนจันทร์คว่ำถึงใส่ศีรษะ ดันหูถังไว้ตรงปลายคาง รักษ์ชาติก็เริ่มรู้ชะตากรรมตัวเอง “เอาจริงเหรอ ผมมึนได้เลยนะ ตรงหน้าผากยังไม่หายดีเลย”

โป๊ก...มือบางฟาดลงไปที่ถังทีหนึ่ง เสียงดังก้องอยู่ภายในหัวอื้ออึง เขียนจันทร์กลั้นยิ้มเมื่อคนหน้าเข้มกำลังหลับตารับการกระทำเอาคืนของเธอ โป๊ก...โป๊ก โป๊ก

เขียนจันทร์กำลังจะลงมือรอบที่ห้า หน้าตานิ่งก็รีบลืมตา และเคลื่อนมายื่นปากจุ๊บเหม่งของเขียนจันทร์ ให้หญิงสาวอึ้งงัน อ้าปากค้าง มีเสียงหัวเราะห้าวดังถูกใจ ในสภาพที่บนหัวยังมีถังสวมอยู่

“ละครไทยเขาตบจูบ...อันนี้ผมก็ทำตามนั้น คุณตบ(ถัง)ผมจูบ แฟร์ๆ ดีไหม”

แฟร์บ้านเขาน่ะสิ...สายตาของเขียนจันทร์บอกอย่างนั้น แต่ไม่อยากพูดให้ตัวเองออกหน้าตามากกว่าเดิม เขียนจันทร์จึงยัวะใส่รักษ์ชาติด้วยการตีลงไปบนหมวกถังของเขาอีกทีหนึ่ง พอหน้าคนเจ้าเล่ห์กำลังพุ่งเข้ามา ฝ่ามืออรหันต์ของเขียนจันทร์ก็กางออกห้านิ้วผลักดันอีกฝ่ายที่ไม่ทันตั้งตัวให้ล้มหน้าหงายมองฟ้าไป

“สมน้ำหน้า ลามปามดีนัก” เขียนจันทร์แสยะยิ้มสาแก่ใจ ให้อีกฝ่ายโอดครวญ

“ไม่ดีเลย...แบบนี้ไม่ดีชะมัด”

“ไม่ดีตรงไหนไม่ทราบ ทำไมฉันจะยืนค้ำหัว ชี้นิ้วด่าคุณฉอดๆ บ้างไม่ได้เหรอ” เขียนจันทร์ลุกขึ้นยืนเท้าสะเอว ค้ำเหนือร่างที่นอนใช้มือดันหลังศีรษะมองตอบกลับมา เสียงห้าวหัวเราะในลำคอ

“ก็คุณทำตัวเหมือนเมียขี้บ่น...ผมก็ต้องยอม กราบเช้ากราบเย็นใช่ไหม”

“ละเมอยังไม่ตื่นสิท่า” เขียนจันทร์แขวะทิ้งท้าย ก่อนจะบังคับไม่ให้ตัวเองสะบัดหน้าท่าเดินอย่างคนงอนตุ้บป่อง พยายามทำตัวให้สง่าเข้มแข็ง ทั้งที่นึกอยากซ้ายตบขวาคนพูดให้หายปากดี แต่ละอย่างที่รักษ์ชาติพูดมานั้นมีแต่ทำให้ใจเธอคันยิบๆ มือนึกอยากตบเขาหลายๆ หน ไม่ใช่เพราะอยากได้จูบบ้าๆ ของเขาหรอก คันไม้คันมือ หมั่นไส้ปากเขาล้วนๆ

ภาพวิจิตรซอยเท้าออกจากในบ้านวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา ทรงผมที่ยังไม่ทันได้หวีให้เรียบร้อยกระเซิง หน้าตาสีซีดไร้การแต่งเติมกลายเป็นกระดาษขาว น้องสาวคนเล็กกระโดดกอดแขนพี่คนกลาง พูดออกมาอย่างหวาดกลัว

“พี่เขียนเกิดเรื่องใหญ่ระดับชาติกับภาพแล้ว”

เขียนจันทร์แตะมือเย็นเฉียบของภาพวิจิตร ไม่อยากตื่นกังวลจนไม่มีสติฟังในสิ่งที่น้องสาวจะพูด “ค่อยๆ พูด มีอะไร”

“คุณชายเขาทานยาลืมเขย่า หรือเมาจนสมองกลับ อาการเขาเพี้ยนหนักแล้วนะ”

“เกิดอะไรขึ้น” รักษ์ชาติถามเสียงเนือย ศีรษะยังไม่ทันได้ถอดถังออก

“นี่ก็อีกคน วันผู้ชายประหลาดแห่งชาติเหรอ” ภาพวิจิตรยกมือทาบแก้ม ส่ายหน้าไปมาโอดครวญ

รักษ์ชาติแยกเขี้ยวใส่คนวิจารณ์ ดึงถังออกจากศีรษะ “จะเล่าออกมาได้หรือยัง เขียนกลั้นหายใจจนหน้าซีดแล้ว”

คนกลั้นหายใจเพราะลุ้นถลึงตาดุใส่คนรู้ทัน ภาพวิจิตรมองสองคนกับบรรยากาศแปลกๆ โดยรอบพลันทำท่าขนลุกขนพอง

“คุณชายของพี่ขอหม่อมยายหมั้นกับภาพ...เขาบ้าหรือเปล่า”

“ไม่บ้าหรอก ภาพก็ช่วยคุณชายเขาหน่อยไม่ได้เหรอ แค่ชั่วคราว” เขียนจันทร์พยายามทำความเข้าใจในเรื่องราว บดินทร์ภัทรตั้งใจหนี และเลี่ยงไรรดาขนาดนี้...คำตอบของตอนจบมันก็ออกจะชัดเจน “บางครั้งความรัก ก็ไม่ทำให้คนสองคนอยู่ด้วยกันได้หรอกนะ”

เขียนจันทร์มองรักษ์ชาติด้วยความเฉยเมย ความรักมันจะทำให้คนสองคนฝ่าฟันกันไปได้มากแค่ไหนนั้น ถึงตรงนี้เธอก็ยังไม่รู้ เธอมีพ่อแม่ที่หย่าร้าง มีบดินทร์ภัทรที่ไม่มีความสุขกับคำว่ารัก หรือจะรักษ์ชาติ ผู้ชายที่ทำให้เธอรัก และเจ็บได้เสมอ ความรักมักจะมีของแถมในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้มาให้เราพบอยู่ตลอดเวลา

“มองอย่างนี้คิดถึงเรื่องของเราอยู่ใช่ไหม” รักษ์ชาติอมยิ้ม และนั่นยิ่งทำให้เขียนจันทร์อยากกระทืบเท้าคนฉลาดไม่บันยะบันยัง เขาควรฝึกว่าการทำตัวโง่ต้องทำอย่างไรนะ

“น้องฉันกำลังเดือดร้อนเพราะคุณ คุณเป็นคนไปพาตัวคุณไรรดามา”

“อะไรนะ!” ภาพวิจิตรตะโกนลั่น มือไม้ตีใส่คนตัวโตเป็นพัลวัน “ไอ้พี่ขุน ไอ้ตัวร้าย ตัวเองสบาย คนอื่นเดือดร้อนเนี่ยนะ”

“เฮ่ยๆ...ก็ใครจะคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ ก็คิดว่ายังรักกัน ก็น่าจะจบได้ด้วยดี”

“คิดสั้นๆ ล่ะสิไม่ว่า” เขียนจันทร์เท้าสะเอวมองคนถูกประทุษร้ายโดยไม่ช่วยเหลือ ให้น้องสาวยำรักษ์ชาติจนสาแก่ใจก็ดี เพราะฝ่ายนั้นก็จะไม่กล้าตอบโต้เอาคืน นอกจากปัดป้องตัวเองไป เพราะเธอยังยืนคุมอยู่

“ที่ผ่านมามันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว มาคิดถึงปัจจุบันดีกว่านะ” รักษ์ชาติพยายามสื่อถึงเรื่องตัวเอง แต่คนฟังกลับทำหูทวนลม จำต้องเข้าไปดึงร่างเล็กพริกขี้หนูของน้องสาวออกมาจากกกหูของรักษ์ชาติ ก่อนที่ฟันจะงับลงไป

“อาละวาดไปก็ไม่ช่วยให้เรื่องดีขึ้นหรอกภาพ ยังไงตอนนี้ภาพก็ยังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ช่วยคุณชายเขาหน่อยจะเป็นไร”

“ใครบอกไม่มี...ภาพมีแฟนแล้ว หล่อด้วย”

เขียนจันทร์กุมขมับ อดเหวี่ยงค้อนใส่คนสร้างเรื่องไม่ไหว...ผู้ชายบ้าที่กลัวเธอจะแต่งงานจนต้องหาคนมาขวาง แล้วชีวิตเธอมันสงบสุขขึ้นหรือไง

“เอาละๆ เรื่องมันคงไม่ได้เร็วขนาดนั้น ภาพใจเย็นๆ ก่อนเถอะ”

“หม่อมยายตกลงไปแล้ว...ให้ภาพใจเย็นยังไงไหว” ภาพวิจิตรกำหมัดแน่น และก่อนที่เขียนจันทร์จะรู้ตัว กำปั้นเหนาะๆ ก็ซัดใส่ดั้งจมูกรักษ์ชาติอย่างจัง หมัดเล็กแต่หนักเรียกเลือดกำเดาจากปลายจมูกโด่งให้ไหลลงมา เขียนจันทร์ร้องเสียงหลง หน้าตาตื่น พอน้องเธอเห็นเลือดจากปลายจมูกของรักษ์ชาติแทนที่จะใจเย็นลง กลับกรีดเสียงร้องหงุดหงิด ระบายความอัดอั้นด้วยการเตะปลายหญ้า ฮึดฮัดออกไป

“คุณก็สมควรโดนจริงๆ นั่นแหละ” นอกจากไม่ช่วย เขียนจันทร์ยังนึกอยากซ้ำลงไปอีกหลายๆ หมัด ใครกันที่ลากไรรดาเข้ามา ถ้าไม่ใช่รักษ์ชาติ

“ผมจะแก้ไขเอง”

หน้าตาม่อยๆ กับน้ำเสียงอ้อนวอนอย่างกับเป็นขุนเขาที่พร้อมแบกรับเรื่องทุกอย่างทำให้เขียนจันทร์สงบสติอารมณ์ได้มากขึ้น แต่อาการอ้าแขนสองข้างชูคล้ายขอให้เธอช่วยพยุงเขาขึ้นนั้น เขียนจันทร์กำลังคิดว่าเธอควรใส่ใจเขาไหม ร่างเล็กของกองพันก็วิ่งหน้าเลิ่กเข้ามา เพราะอยากจะเข้ามาตั้งนานแล้วแต่ถูกแจงกันไว้

“พ่อขุนเป็นอะไรครับ”

“พ่อโดนต่อย แม่เขียนไม่ช่วยพ่อเลย” คนตัวโตออกปาก ‘ฟ้อง’ ได้หน้าตาเฉย และมันก็ได้ผลเมื่อร่างเล็กกระตุกมือบางของเขียนจันทร์ หน้าตาร้อนรน

“แม่เขียนช่วยพ่อขุนด้วยนะครับ”

เขียนจันทร์หักลบคะแนนรักษ์ชาติไปหนึ่งแต้มในใจ ข้อหา ‘ทำตัวน่าหมั่นไส้’ และ ‘ใช้ลูกเป็นเครื่องมือ’ ผู้ชายคนนี้ยังคงร้ายกาจได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

แต่ภาพที่ใช้ฝ่ามือรองเลือดกำเดา ย่นจมูกก็ทำให้เขียนจันทร์อดไม่ได้ที่จะต้องดึงร่างโตขึ้นยืน “ขาก็ไม่ได้เจ็บ แค่นี้ทำเป็นลุกไม่ขึ้นนะ” ไหนจะยังมือปลาหมึกที่วางแปะตรงเอวเธอไม่ปล่อยอีก เห็นแล้วน่าจับทุ่ม ถ้าเธอจะต่อสู้เป็น

“เคยได้ยินว่าคนเราออเซาะฉอเลาะแล้วมันน่ารัก...เลยทำดู”

เขียนจันทร์ตีมือหนึบหนับออกจากเอว ดึงกองพันมาไว้ข้างๆ กันรักษ์ชาติถึงตัว ก่อนจะเดินนำไปยังบ้านหลังย่อมของศิลปิน

“คนน่ารักทำก็น่ารักอยู่หรอก แต่คนน่าร้ายอย่างคุณทำแล้วมันน่าเกลียด” เขียนจันทร์ก้มลงพูดกับกองพัน ที่ยืนมองผู้ใหญ่สองคนคล้ายคนหนึ่งอยากทะเลาะ อีกคนอยากยิงหมัดจีบด้วยความงงงวย ไม่เข้าใจในสถานการณ์ “น้องขุนครับ อะไรที่พ่อขุนแสดงออก น้องขุนไม่ต้องไปเลียนแบบให้มากนะครับ ต้องมาถามแม่เขียนก่อนว่าการกระทำพวกนั้นมันดีไหม”

“ขุนเชื่อแม่เขียนครับ”

เจ้าของเสียงเล็กเจื้อยแจ้วหน้าเกือบทิ่ม เพราะมีมือดีมาผลักศีรษะไปด้านหน้า เขียนจันทร์ยกนิ้วชี้หน้าคนลอยหน้าลอยตาผลักหัวลูกแล้วไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้กองพันกะพริบตาปริบๆ สอดส่ายสายตาหาที่มาว่า ‘อะไร’ มาดันหัว

เดี๋ยววันจันทร์มาถึงเมื่อไหร่...เธอจะเอาคืนรักษ์ชาติให้เข็ดเลย หญิงสาวได้แต่ลูบผมปลอบเด็กชายตัวน้อย นึกบริภาษคนร้ายกาจ หักไปอีกหนึ่งคะแนนในใจ ‘นิสัยเสีย’


เด็กชายตัวเล็กในชุดนักเรียน กางเกงสีน้ำเงิน ผมสีดำหวีเรียบ นั่งสงบ และเกร็งบนเก้าอี้ไม้ในห้องของครูใหญ่ เขียนจันทร์คอยนั่งอยู่ข้างๆ รับฟังว่าโรงเรียนแห่งนี้จะมีการดูแลกองพันอย่างไรบ้าง แต่อาการเกร็ง และหวาดกลัวของกองพันก็ยังแสดงออกชัดเจน เขียนจันทร์ยังเคยได้ยินมารดาเล่าให้ฟังว่าเธอเองในวันแรกที่ต้องเข้าโรงเรียนนั้นไม่ยอมปล่อยแม่ให้จากไปไหน แม่เธอต้องแอบใช้เวลาเธอเผลอ และแอบกลับไป วันนั้นเธอก็ร้องไห้กับครูประจำชั้น

“ฝากครูไหมดูแลน้องขุนด้วยนะคะ” เขียนจันทร์อยากจะดึงเจ้าตัวเล็กมากอดไว้ให้หายกลัว แต่ก็เกรงว่าเธอจะใจไม่แข็งพอ แล้วพากองพันกลับบ้าน

“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” ครูไหมบอกกลับมาด้วยรอยยิ้ม หากทำให้คุณแม่หน้าแดงเล็กน้อย เธอชินกับการมีกองพันเรียก แต่ไม่ชินเท่าไหร่กับสายตาที่คนอื่นมองมาว่าเธอเป็นแม่ ในเมื่อเธอไม่ใช่แม่จริงๆ ของเด็กชาย

“แม่เขียนไปก่อนนะครับ เชื่อฟังครูไหมเข้าใจไหมครับ แล้วเดี๋ยวตอนบ่ายๆ แม่เขียนจะมารับ”

เด็กชายกองพันตาเริ่มแดง แต่ก็พยักหน้ารับ ไม่รั้งเขียนจันทร์ไว้ หญิงสาวเดินออกมา นึกอยากจะเหลียวหลังกลับไปดู แต่ก็ต้องอดทน กลัวจะทำให้กองพันไม่เข้มแข็งพอที่จะผ่านวันแรกของการมาโรงเรียนได้

เขียนจันทร์ออกมานอกโรงเรียน พบว่าบดินทร์ภัทรกำลังยืนรออยู่ คุณหมอหนุ่มมีสาวสวยลูกครึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ และใช้สายตาจิกกัดมองเธอหากเธอคิดอยู่ใกล้บดินทร์ภัทรเกินสามก้าว

“น้องขุนเป็นไงบ้างคะ ร้องไห้ไหม”

“ไม่ค่ะ น้องขุนเข้มแข็งมาก แต่ก็กลัวว่าจะเงียบไม่พูดจากับเพื่อนใหม่” เขียนจันทร์หน้าตายังไม่มั่นใจเท่าไหร่

“เธอถึงได้คิดแผนปัญญาอ่อนขึ้นมา” ไรรดาส่งเสียงแขวะ หน้าสวยเชิดรั้นบ่งนิสัยเอาแต่ใจ

คนที่เผชิญอารมณ์ และนิสัยของรักษ์ชาติมาแต่กำเนิดนั้นไม่ได้รู้สึกของขึ้นเมื่อได้ฟังคำระคายหู “ถ้าคุณมีปัญญามาก คุณจะทำอะไรคะ” หญิงสาวเลิกคิ้ว มุมปากยิ้มใส่ เห็นอาการหางตาไรรดากระตุกก็ต้องแอบสะบัดพู่เฮลั่นในใจ ปล่อยให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองต่อไป

ประตูรถแวนที่จอดห่างออกไปเปิดออก ศดาธรและเกียรติยศออกมายืนรอนอกรถ และเท้าผ้าหนาสีน้ำตาลทำจากผ้าติดขนนุ่มก็ยื่นออกมาจากรถข้างหนึ่ง เขียนจันทร์กอดอกมอง ยกมือแตะปลายจมูกกลั้นขำกับมาสคอสสุนัขปากยาวตัวใหญ่ที่มีผู้ชายตัวโตสวมใส่มันอยู่ ดวงตากลมโตของตุ๊กตาจ้องมองมายังคนสั่งให้ใส่ก่อนจะพาเท้าอันใหญ่เทอะทะเดินมาหยุดลงตรงหน้าเขียนจันทร์ หมุนรอบตัวอวดโฉมอันน่ารักของตัวเอง

“ห้ามเกเรใส่น้องขุน ถ้าฉันรู้ว่าคุณแกล้งน้องขุนอีก อยู่มันในชุดนี้ทั้งวันนั่นแหละ ฉันจะให้คุณก้อง คุณดาม คุณชายคอยสอดส่องพฤติกรรมของคุณ”

มาสคอสตัวโตพยักหน้าหงึกหงัก และเกี่ยวแขนเขียนจันทร์พาออกเดินเข้าไปในโรงเรียนด้วยกันอีกครั้ง หญิงสาวอยากจะประท้วง แต่คนตัวโตที่เก็บปากเงียบ ทำให้เขียนจันทร์หัวเราะน้อยๆ และอวดโฉมสุนัขน่ารักให้กองพันที่นั่งแปลกแยกกับพ้องเพื่อนในห้อง ได้หันมาให้ความสนใจ เสียงครื้นเครงของเพื่อนๆ ตัวน้อยของกองพันวิ่งกรูมาหาตุ๊กตาตัวโต เมื่อกองพันเห็นเขียนจันทร์ และตุ๊กตาที่เกี่ยวแขนแม่เขียนตัวเองไว้ เด็กฉลาดก็รู้ว่าใครที่อยู่ในนี้

“พ่อขุน!” กองพันวิ่งมาหยุดยืนตรงหน้าตุ๊กตา หันไปบอกเพื่อนๆ ด้วยรอยยิ้มเต็มแก้ม “นี่พ่อของเราเอง”


“ยาหยีผมขอล่ะ...คุณควรรู้ว่าเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้”

เขียนจันทร์ชะงักเท้าที่กำลังเดินมาข้างนอกเพื่อปล่อยให้พ่อตุ๊กตาหมาตัวน่ารักกับเหล่าเด็กๆ ไปอย่างสนุกสนาน หญิงสาวไม่คิดว่าเพียงแค่เธอคิดหลบมุมมานั้น เธอจะพบฉากที่เด็ดยิ่งกว่า คนสองคนกับบรรยากาศมาคุข้างรถที่จอดอยู่ในโรงเรียน คนหนึ่งกำลังเกรี้ยวกราด และอีกคนกำลังแสดงออกถึงความเหนื่อยหน่ายอย่างชัดเจน

“บดินทร์คะ ฉันรู้นะว่าคุณยังรักฉันอยู่” คนแอบฟังลืมต้มมารยาทกินไปชั่วขณะ เธอแอบซุ่มอยู่ข้างตึก ประโยคคุ้นหูนั้นออกจะคุ้นเคยกับเธอ

‘คนประเภทหลงตัวเอง’ เท่านั้น จึงจะพูดประโยคทำนองนี้ออกมาได้ เขียนจันทร์ถอนหายใจเบาๆ ชะตากรรมของเธอกับบดินทร์ภัทรคล้ายคลึงกัน แต่บดินทร์ภัทรอาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่ทรมานใจยิ่งกว่า ไม่รู้สิ...ถึงเธอจะบอกชัดว่าไม่พอใจกับการกระทำอันนับไม่ถ้วนของรักษ์ชาติ แต่เขาก็ยังแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะไม่ได้สมบูรณ์ หลุดนิสัยเกรียนๆ เสียๆ ของตัวเองออกมาบ้าง แต่เขาไม่ได้ทำร้ายจิตใจเธออย่างแต่ก่อนแล้ว

ผู้ชายคนนั้นพยายามคิดถึงจิตใจของเธอมากขึ้น ในขณะที่ไรรดา แม้จะพูดได้ว่าพอๆ กันกับรักษ์ชาติ แต่เธอยังเห็นแววตาเดียวกันกับรักษ์ชาติในอดีต แววตาของคนเอาแต่ใจ และยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล

“ผมไม่อยากให้ครอบครัวผิดหวัง...ผมยอมทิ้งความรัก”

“บดินทร์!” ไรรดามีสีหน้าที่รับไม่ได้ คำพูดแสลงหูทิ่มแทงจิตใจของตัวเอง

“รู้คำตอบที่ชัดเจนจากปากผมแล้ว คุณก็ควรกลับไปซะ อย่าให้ผมต้องไล่คุณซ้ำๆ ซากๆ เลย คุณมีโอกาสพบใครก็ได้ที่ดีกว่า คู่ควรกว่า”

“ทำไมคุณทำเหมือนเราไม่เคยรักกัน ทั้งที่ฉันกลับมาหาคุณแล้วนี่ไง ฉันขอโทษที่ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ฉันเย่อหยิ่ง คิดว่ายังไงคุณก็ยังรัก แต่นี่มันไม่ใช่เลย คุณหมดรักฉันแล้วใช่ไหม” ไรรดาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด หมดสภาพของผู้หญิงที่เคยเย่อหยิ่ง

“ถ้าผมตอบว่าใช่...คุณจะจากไปใช่ไหม”

คนที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแอบฟังด้วยความสะเทือนใจ ในคราแรกเธอรู้สึกสงสารบดินทร์ภัทร ใช่ว่าคนปฏิเสธจะไม่มีความเจ็บปวด คุณชายไม่ได้มีความสุข หน้าตาไม่ได้เบิกบานอย่างที่แล้วมา ยิ่งพบไรรดา ช่วงเวลาของบดินทร์ภัทรก็ดูอมทุกข์มากขึ้น ในขณะที่ไรรดาเองก็ทรมานใจ

ความรัก...มันไม่ได้มีเพียงรสหวาน ความหวานมันอาจเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในชีวิตรักของใครบางคน หลังจากนั้นหากยังผ่านช่วงเวลาขมปร่าที่ผ่านเข้ามาไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องจบลง

“ฉันจะเปิดเผยความลับของคุณ ดูซิว่าท่านพ่อท่านแม่ของคุณจะยังเอาหน้าตาที่มีในสังคมไปทำอะไรได้อีกไหม”

“ก็ดีนะครับ เพราะผมจะได้เลิกรู้สึกคาราคาซังกับความรู้สึกพวกนี้สักที...ให้มันจบลงจริงๆ นับจากนี้”

เขียนจันทร์ปิดปากไม่ให้เสียงแปลกใจของเธอหลุดรอดออกไป เธอไม่เคยเห็นท่าทีจริงจัง และเด็ดขาดจากบดินทร์ภัทร ผู้ชายที่ไม่ว่าผ่านไปเท่าไหร่ในสายตาเธอนั้นก็ยังคงอ่อนโยน สุภาพ และพร้อมรับฟังทุกปัญหาของเธอ แต่บดินทร์ในยามนี้นั้นมั่นคงในการตัดสินใจของตัวเองที่สุด

“ได้...บดินทร์อย่ามาดูถูกฉันแล้วกัน”

ไรรดาน้ำตาคลอ ปากเม้มเป็นเส้นตรง เจ้าหล่อนมีสายตาเคืองโกรธที่เขียนจันทร์เห็นแล้วยะเยือกในอก เธอกลัวว่าผู้หญิงร้ายกาจอย่างไรรดาจะทำอันตราย พอคล้อยหลังสาวลูกครึ่ง เขียนจันทร์จึงค่อยเดินย่องออกมาจากเงาตึก มองใบหน้าหมองหม่นของบดินทร์ภัทรก็ยิ่งสงสาร

“คุณชายคะ” เขียนจันทร์ใช้เสียงเรียกนำ บดินทร์ภัทรยืนนิ่งงันจึงเริ่มได้สติ หันกลับมายิ้มขมขื่นให้

“น้องเขียน”

“อีตาบ้ารักษ์ชาติไม่น่าตามคุณไรรดามาเลย”

บดินทร์ภัทรหัวเราะได้นิดหน่อย เห็นหน้าตางอง้ำและไม่สบอารมณ์ของอีกฝ่ายก็พอจะเข้าใจ เดินนำร่างระหงไปนั่งยังเก้าอี้ม้าหินในลานตัวหนอนที่ปูไว้สำหรับให้เด็กมานั่งเล่น ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขียนจันทร์คงอยากจะรู้หลายๆ เรื่องจากปากเขา

“พี่ไม่โทษคุณขุนหรอกค่ะ บางทีเรื่องของพี่กับยาหยีมันก็เหมือนจบ แต่ไม่เคยจบอย่างสมบูรณ์ ครั้งนี้เราอาจจะจบลงจริงๆ ก็ได้”

คนนอกที่กลายเป็นผู้รู้เห็นวางมือไว้บนโต๊ะ นั่งหลังตรง เธออยากจะกลายเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งขึ้นมาบ้างเพื่อจะได้รับฟังปัญหาของบดินทร์ภัทร หลังจากที่เขาทำหน้าที่เป็นผู้รับฟังที่ดีของเธอมาตลอด

“มันร้ายแรงมากเลยเหรอคะ”

“พี่พบยาหยีตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลในอังกฤษค่ะ เราสองคนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน พี่ก็แค่แอบชอบเขาเงียบๆ มาตลอด จนจบไฮสคูล ยาหยีกับพี่ถึงเปิดใจ เราถึงรู้ว่าเราใจตรงกัน” บดินทร์ภัทรเล่าไปใบหน้า และแววตาเหมือนย้อนกลับไปสู่วันวานด้วยเช่นกัน “พี่กลับมาเรียนแพทย์ต่อที่ไทย เราสองคนก็ทะเลาะกันมาเรื่อยๆ จากที่พี่เคยคิดว่าชีวิตคู่ของพวกเราจะประคับประคองผ่านไปได้ มันไม่ง่ายเลยค่ะ ปีหนึ่งพี่กับยาหยีจะได้เจอกันแค่ปีละครั้ง ระยะสั้นๆ น้องเขียนก็รู้ใช่ไหมว่าหมอเรียนหนัก พี่ไม่มีเวลาบินไปอังกฤษได้บ่อยๆ”

เขียนจันทร์พยักหน้ารับ และตั้งใจฟังต่อ...

“ยาหยีไม่เข้าใจพี่ เขาต้องการเวลา ต้องการให้พี่ไปอยู่ที่อังกฤษ ในขณะที่พี่ต้องการอยู่เมืองไทย เราสองคนทะเลาะกันร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ พี่เองก็เครียดกับการเรียนมากพอแล้ว ตอนที่ยาหยียื่นคำขาดตอนพี่เรียนปีห้าว่าทันทีที่พี่เรียนจบ เขาอยากให้พี่ไปอยู่อังกฤษ พี่ใช้เวลาคิดแค่หนึ่งวินาที ก็รู้ว่าทางของพี่กับยาหยีบางทีมันอาจจะไปต่อไม่ได้มานานแล้วก็ได้”

“เขียนเข้าใจคุณชายนะคะ...มนุษย์เราทุกคนล้วนมีเหตุผล ใครบอกกันว่าความรักจะทำให้คนเราไปถึงปลายทางได้ มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งต่างหาก เราจะรับเขาได้ไหม จะเข้าใจกันหรือเปล่า จะให้อภัยในความผิดเขามากแค่ไหน และจะรอคอยเพื่อปลายทางที่ดีได้หรือเปล่า...ความรักมันเป็นสิ่งเล็กน้อย เป็นแค่การเริ่มต้นของบททดสอบ”

“และพี่ผ่านบททดสอบนั้นไปไม่ได้”

“ไม่จริงหรอกค่ะ...คุณไรรดาต่างหาก ที่ผ่านบททดสอบในครั้งนี้ไปไม่ได้ เขาขาดความเข้าใจ คล้ายคุณขุน”
บดินทร์ภัทรยิ้มขำ หน้าตาบูดบึ้งของเขียนจันทร์เองก็กำลังงอนคนถูกเปรียบเทียบ “น้องขุนยังมีเวลาที่จะเข้าใจคุณขุนนะคะ...เปิดใจ และรับฟัง คุณขุนเขาได้ผ่านจุดที่ไม่เข้าใจน้องเขียนมาแล้ว พี่ว่าเวลานี้คุณขุนน่าจะรู้จักน้องเขียนดีที่สุด เข้าใจที่สุด และรอการให้อภัยจากน้องเขียน...ความรักนอกจากความเข้าใจ การให้อภัยก็เป็นสิ่งหนึ่งในนั้นนะคะ พี่อยากเห็นน้องสาวของพี่มีความสุข”

“นั่นสิคะ...เขียนบอกคุณชาย แต่ตัวเองยังกลัวการให้อภัยอยู่เลย” เขียนจันทร์กลั้วหัวเราะ นัยน์ตาครุ่นคิด แต่ก่อนจะได้ซึมซับบรรยากาศของลมยามสายนี้ เสียงร้องไห้ของเด็กชายก็แทรกผ่านมาเข้าหูของคนทั้งสอง เขียนจันทร์ลุกพรวดขึ้น สีหน้าซีดเผือดด้วยจำได้ดีว่าเสียงเล็กที่ร้องจ้านั้นเป็นของใคร ร่างระหงซอยเท้าวิ่งรัวไปยังห้องเรียนของกองพัน

เด็กชายร้องห่มร้องไห้ดวงตาแดงก่ำ มีรักษ์ชาติที่ถอดหัวสุนัขออกวางลงข้างตัว เหงื่อออกเต็มใบหน้ากำลังเกรี้ยวกราด และถมึงทึง มือที่ยังไม่ได้ถอดจากตุ๊กตากำรอบข้อมือของไรรดา บีบไว้จนแทบแหลกคามือ

เธอกำลังเห็นปีศาจรักษ์ชาติกลับมา...เขียนจันทร์ย่อตัวลงกอดกองพันที่ร้องไห้ไว้แนบอก ครูไหมพาเด็กๆ ออกไปนอกห้อง ไม่ให้พบเจอฉากจัดการปัญหาของผู้ใหญ่

“เขาบอกว่าขุนไม่ใช่ลูกพ่อขุน” น้ำเสียงสะอื้นของเด็กชายดังข้างหู เขียนจันทร์ยืดเด็กชายไว้สุดแขน หันขวับไปมองตัวต้นเหตุที่เกือบจะแหลกคามือรักษ์ชาติด้วยดวงตาชิงชัง

“คิดว่าความลับจะมีในโลกนี้หรือไง” ไรรดาเยาะเย้ยกลับมา

เขียนจันทร์ลุกพรวดพราด เดินดุ่มไปยังร่างสาวลูกครึ่ง มือบางวาดสุดแขนเหวี่ยงสุดแรงไปบนซีกแก้มของไรรดา เขียนจันทร์ต้องสูดลมหายใจระงับความโกรธไว้อย่างยากเย็นเพื่อไม่ให้มือข้างเดิมปล่อยแรงไปบนซีกแก้มอีกข้างไรรดา

“ปัญหาของผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยว ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณชายเขาถึงผลักไสคุณให้ไปไกลๆ คุณไม่ใช่แค่คนนิสัยเสียที่ใครอยู่ใกล้ก็ขยาด แต่คุณมันไม่มีหัวใจ รักใครไม่เป็น คุณรักเป็นแต่ตัวเอง ไม่สนว่าจะทำร้ายใครบ้าง”

ไรรดาหน้าชาดิก คำต่อว่าต่อขานมันไม่ได้ทะลุผ่านเปลือกหนาในใจ รักษ์ชาติปล่อยมือที่รั้งจนเกือบจะบีบหักให้ร่วงลงไปกองกับพื้น เขาอยากจะบีบคอไรรดาให้หักที่บังอาจมาแตะต้องความลับที่เขาเพียรรักษาไว้ ยังไงถ้าความลับมันจะแตก ก็ขอให้มันเปิดในวันที่กองพันโตพอที่จะรับรู้...ซึ่งไม่ใช่ในวัยของเด็กอายุสี่ขวบ

รักษ์ชาติในชุดตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่อุ้มเด็กขี้แยขึ้น มืออีกข้างกุมเจ้าของฝ่ามือที่ลงมือฟาดไปบนหน้าไรรดา และพาดึงออกไป เขียนจันทร์ยังคงสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ เธอสงสารกองพันกับการมาโรงเรียนในวันแรก เธอไม่เคยคิดว่าเรื่องมันจะลงเอยในทำนองนี้

“น้องขุน...แม่เขียนขอโทษที่ไม่อยู่กับน้องขุนนะครับ” มือบางแตะไปบนแก้มแดงยุ้ยของเด็กชาย ซึ่งกำลังสะอื้นตาแดง แต่หยุดฟูมฟายแล้ว

“ขุนกลัวพ่อขุนแม่เขียนไม่รัก”

ความจริงเรื่องที่กองพันไม่ใช่ลูกของรักษ์ชาติคงฝังใจเด็กน้อยไปแล้ว เขียนจันทร์สะอึก รู้สึกมีก้อนบางอย่างจุกอยู่กลางลำคอ พอทั้งสามเข้ามาในรถแวน พ่อขุนก็ปล่อยให้กองพันเป็นอิสระ และเริ่มร้องไห้อีกหน

“อย่าเกลียดขุนนะ”

“น้องขุนมาหาแม่เขียนเร็ว” เขียนจันทร์กางมือรับร่างเล็กที่ค่อยๆ กระเถิบมาหา แต่ยังสะอื้นให้คนได้เห็นได้ยินหัวใจโยกไหวอย่างแรง กระทั่งเด็กน้อยมานั่งบนตัก ตำแหน่งที่เขียนจันทร์รู้ว่ากองพันจะรู้สึกอบอุ่นที่สุดหญิงสาวจึงโอบกอดเด็กน้อยไว้แนบตัว มือลูบแผ่นหลังเบาๆ เป็นการปลอบ “แล้วที่ผ่านมาน้องขุนรู้สึกว่าพ่อขุนไม่รักน้องขุนหรือเปล่า หืม...ถึงเขาจะเป็นพี่ชาย แต่เขาก็ทำหน้าที่ของพ่อได้ดีเยี่ยมมาตลอด น้องขุนยังต้องกลัวอะไรครับ”

“ขุนไม่รู้ พ่อขุนชอบแกล้งขุน” ผู้ใหญ่สองคนค่อยหัวเราะออก เขียนจันทร์กลัวในตอนแรกว่ากองพันจะปิดใจตัวเอง และเป็นเด็กมีปัญหาหากรู้ว่าที่จริงแล้วตัวเองเป็นน้องของรักษ์ชาติ ไม่ใช่ลูก ไหนจะยังมีแม่เป็นพี่สาวของบดินทร์ภัทรอีก

“พ่อแกล้งเรา เพราะเรามันน่ารักต่างหาก” รักษ์ชาติแก้ตัว รับหัวตุ๊กตาที่ศดาธรส่งมาให้สวมใส่ ขยับคอไปมา “พ่อเรามันน่ารักที่สุด”

“ถ้าพ่อขุนของลูกขุนไม่น่ารัก แม่เขียนจะตีพ่อขุนให้ตัวลายเลย” เขียนจันทร์ถือโอกาสขู่ฟ่อคนชอบแกล้งเด็ก เมื่อเห็นว่ากองพันมีอาการดีขึ้น และรับความจริงได้มากขึ้น เธอก็รู้ว่าจากนี้คงต้องค่อยๆ บอกความจริงให้เด็กชายรู้

“ขุนอยากมีน้อง...ขุนจะได้ไม่โดนแกล้งคนเดียว”

คนอยากมีน้องทำหญิงสาวเจ้าของเบาะนั่งของเด็กชายหน้าแดงก่ำ เขียนจันทร์กระแอมไอในลำคอ ไม่รู้จะตอบอย่างไร หากการเร่งปฏิเสธก็ออกจะทำร้ายจิตใจเด็กน้อยเกินไป แต่หากรับปาก เป็นเธอเองที่จะโดนผู้ชายร้ายกาจแถวนี้ผูกมัดเอา

“ยุเยอะๆ ลูกขุน จะได้รู้ว่าการเป็นพี่ใหญ่มันดีมาก”

อดีตพี่ใหญ่ในค่ายกรมสัตว์อวยออกมาจากหัวสุนัขปากยาว เขียนจันทร์ยกมือตบลงไปบนผ้าหนาของส่วนหัวอย่างหมั่นไส้ ขืนมีรักษ์ชาติคอยปลูกฝังนิสัยเสียๆ ลงไปในตัวกองพัน เธอได้กุมขมับเครียดไปอีกนาน

“ขืนพูดอะไรออกมาอีกคำเดียว ออกไปนอกรถเลยนะ”

“แม่เขียนว่าขุนเหรอครับ”

เขียนจันทร์หันไปมองค้อนคนในตัวตุ๊กตายักษ์ อยากงับหัวที่อีกฝ่ายกำลังทำตัวเป็นใบ้ โบกไม้โบกมือได้น่าโบกแรงๆ สักที...คนอะไรกวนได้เสมอต้นเสมอปลาย

“ลูกขุนน่ารักขนาดนี้แม่เขียนจะไปว่าได้ยังไงครับ”

แต่ถ้าเป็นเจ้าขุนสิ...เธอด่าได้สามวันติดต่อกันยังไม่สาแก่ใจเลย


บดินทร์ภัทรมองสภาพห้องเรียนที่เหลือเพียงผู้หญิงนัยน์ตาฟ้าคนหนึ่งนั่งหายใจหอบบนพื้นกระเบื้อง มุมปากมีเลือดซึม ซีกแก้มแดงเถือกขึ้นเป็นรอยมือ รอบข้อมือแดงก่ำ แต่ทายาทกาสิโนใหญ่ในอังกฤษไม่ปริปากร้องออกมา นอกจากกัดปากจนริมฝีปากร้าวเป็นแผลแตกมากขึ้น

“คุณทำทุกอย่างมันพัง” คุณชายหนุ่มพูดด้วยเสียงเย็นชา แต่ตนใจดำต่อคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีความสุข ความรัก ความปรารถนาดีต่อกันไม่ได้ บดินทร์ภัทรเดินเข้ามาประคองร่างอ่อนปวกเปียกของไรรดา แต่อีกฝ่ายกลับสะบัดตัวหนี

“จะมาหัวเราะเยาะฉันหรือไง”

“มันก็สาสมกับสิ่งที่คุณทำ คุณทำร้ายหลานผม คุณมันใจดำ”

“คุณทำร้ายใจฉันก่อน คุณไม่เคยเลือกฉันเลยสักครั้ง”

คุณหมอหนุ่มแค่นเสียงหัวเราะ ลุกขึ้นยืนเมื่ออีกฝ่ายยังคงดึงดันที่จะนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม “คิดดูให้ดีเถอะ ว่าคุณเคยเข้าใจว่ารักมันคืออะไรหรือเปล่ายาหยี รักของผมกับของคุณมันคงนิยามออกมาไม่เหมือนกัน...และมันเดินหน้าต่อไปไม่ได้ เลิกดันทุรังเถอะ เพราะมันจะทำให้ผมเกลียดคุณในเวลาอันใกล้นี้แน่ๆ”

“ไม่จริง...คุณยังรักฉัน” ไรรดากรีดร้องทั้งน้ำตา แต่ใครเลยจะสนใจ ความปรารถนาดีที่บดินทร์ภัทรหยิบยื่นให้นั้น เป็นเธอที่ไม่รับไว้

“ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงมันอีกแล้วยาหยี...ผมกำลังจะหมั้น”

ประโยคทิ้งท้ายเป็นหินก้อนหนักทับลงกลางใจไรรดา หญิงสาวน้ำตาร่วงพรูด้วยความแค้นระคนเสียใจ เธอไม่เคยรู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน ไม่เคยมีใครบอก บ้านของเธอทุกคนล้วนต้องตามใจ เธอไม่จำเป็นต้องวิ่งตามใคร และคิดมาเสมอว่าคนรักของเธอจะเป็นฝ่ายวิ่งมาหา ไม่ใช่ให้วิ่งไล่ตาม

แต่การไม่ตามของเธอ...มันไม่ได้หมายถึงการปล่อยให้เขาไป ไม่ใช่เลย

“อย่าลดคุณค่าในตัวเองเลยยาหยี ผมรู้ว่าคุณก็รู้ ว่าเหตุผลที่ผมไม่กลับไป นอกจากท่านพ่อท่านแม่ของผม หรืออาชีพของคุณ เหตุผลหลักมันคือตัวคุณและผม ที่เราเข้ากันไม่ได้...ห้าปีที่เราห่างกันไป ผมอยู่ได้โดยไม่รู้สึกทรมาน แต่พอคุณมา ผมถึงเริ่มรู้สึกว่าความสุขมันขาดหายไปจากชีวิตของผม” บดินทร์ภัทรมองอีกฝ่ายด้วยความเฉยชา “คุณไม่ทำให้ผมมีความสุขเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้วยาหยี”

.....................................................................


คุณ ใบบัวน่ารัก คุณชายโหมดนี้อาจทำร้ายจิตใจได้ยิ่งกว่าที่เจ้าขุนทำก็ได้ค่ะ ฮา คนดีเวลาโกรธ เวลาตัดขาด ฉับๆ เลย

คุณ Heronett ทำไมต้องประชดเยอะแยะเนอะคะ จะมีใครรักเธอเท่าเจ้าขุนไหม ฮา ตอนนี้มาเครียดแทนคุณชายต่ออีก

คุณ konhin คุณชายเป็นคนดีค่ะ ฮา ทิ้งตอนไว้ แล้วเปิดมาเป็นหนังคนละม้วนเลย ภาพซวยแทน

คุณ อัศวินนภา มาม่าร้อนๆ อีกสักหม้อไหมคะ ฮา ได้กลิ่นมาแต่ไกล พยายามแทรกฉากน่ารักให้ค่า

คุณ ร้อยวจี เจ้าขุนทำทุกทางค่ะ มาช่วยให้เขาพยายามต่อไป เฮ่

ขอบคุณทุกความเห็น ทุกไลค์ และนักอ่านทุกท่านค่า ตอนนี้สปีตการอัพเริ่มตก แถมยังมีบอลโลกมายั่วกิเลสในการดูอีก ฮา ไม่รู้มีใครเชียร์อัศวินสีส้มเหมือนกันไหม อิอิ



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2557, 10:54:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2557, 10:54:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 2001





<< บทที่ 22 : เข้าหาครอบครัว   บทที่ 24 : ไม่แน่ใจ >>
ใบบัวน่ารัก 14 มิ.ย. 2557, 11:41:18 น.
ผ่านมา5ปี ไม่มาตามไม่มาหาคุณชายเข้มแข็งและเป็นคนดี มากกว่าอีตาพ่อขุนอีก
แล้วจะเอาไงต่อ ให้ภาพสู้เอง จะโดนตามมาตบไหม หนูภาพสู้ๆๆๆ


อัศวินนภา 14 มิ.ย. 2557, 12:03:45 น.
เฮ้อ คุณหมอพูดกับยาหยี เจ็บลึกถึงทรวงไปเลย 555 แอบเจ็บแทน


yimyum 14 มิ.ย. 2557, 12:10:57 น.
อ้าวๆๆๆ น้องขุนช่างพูดเนอะ^^


ร้อยวจี 14 มิ.ย. 2557, 13:48:03 น.
ยัยยาหยีสมควรโดนค่ะ น่าจะจัดให้หนักกว่านี้


konhin 14 มิ.ย. 2557, 21:44:11 น.
โหยยย ทำร้ายเด็ก


ผักหวาน 19 มิ.ย. 2557, 22:09:47 น.
สาเหตุคงหนักหนากว่าที่คุณชายบอกกับหนูเขียนแน่ๆ ค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account