ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๒ คุณหนูสามแห่งสกุลเฉิน

บทที่ ๒ คุณหนูสามแห่งสกุลเฉิน

หากมีคนต่างถิ่นเดินทางเข้าสู่แคว้นเจียงเฉียงแล้วเอ่ยถามว่า ‘เฉิน เหว่ยหง’ คือใคร คนผู้นั้นจะได้ยินคำสรรเสริญดังมาก่อนคำตอบเสียอีก เหตุเพราะชื่อนี้เป็นนามของเสนาบดีใหญ่ผู้ทรงคุณธรรม ชาวเมืองต่างก็ให้ความเคารพนับถือเสนาบดีเฉินเป็นอย่างมาก ขุนนางน้อยใหญ่ล้วนเกรงใจท่าน แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ทรงให้เกียรติเป็นอย่างมาก

นับตั้งแต่วันแรกที่รับราชการมาจนบัดนี้ เสนาบดีเฉินทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติเหลือคณา แต่ชีวิตส่วนตัวของท่านนั้นกลับต้องจมอยู่กับความทุกข์โศกจากการสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า

คนข้างกายรายแรกที่ด่วนจากไปคือบุตรสาวคนรองซึ่งป่วยตายด้วยโรคระบาด ถัดมาก็ฮูหยินที่ท่านเสนาบดีรักปานดวงใจ สองปีก่อนบุตรสาวคนโตที่เพิ่งจะแต่งงานออกเรือนไป ก็ต้องมาหมดลมหายใจในสภาพตายทั้งกลม ปัจจุบันสกุลเฉินเหลือบุตรธิดาที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงสามคน แต่มัจจุราชผู้โหดเหี้ยมก็ไม่ยอมรามือ วันนี้ในยามรุ่งสาง วิญญาณของคุณหนูสามได้ล่องลอยออกจากร่าง ไปสู่สถานที่อันเป็นนิรันดร์อย่างไม่มีวันหวนกลับ

ปฏิกิริยาของท่านเสนาบดีเฉินยามเมื่อรู้ข่าวร้ายคือนิ่งงันไปนาน สักพักใหญ่ท่านก็สั่งให้คนจัดเตรียมงานศพและแจ้งข่าวแก่บุตรชายคนโตให้เร่งกลับมา เสนาบดีเฉินให้ทุกคนในห้องออกไป แล้วใช้โอกาสนี้กอดร่างของบุตรสาวเอาไว้จนกระทั่งร่างนั้นไร้ไออุ่น

พ่อบ้านหลิวยืนนิ่งรออยู่หน้าประตูจนผู้เป็นนายเรียก จึงเข้าไปหาพร้อมกับประคองผ้าปักลวดลายงดงามมาให้ใช้คลุมหน้าศพ

“รอกุ้ยอี้มาก่อน” เสนาบดีเฉินยังไม่รับผ้าเอาไว้ พ่อบ้านหลิวจึงนำไปวางไว้บนโต๊ะก่อน

ไม่กี่อึดใจต่อมาคนที่รอก็เปิดประตูพรวดเข้ามาในห้อง

“ไม่จริงใช่ไหมท่านพ่อ กุ้ยฮวายังไม่เป็นอะไร น้องต้องไม่เป็นอะไร”

ใบหน้าของกุ้ยอี้ตื่นตระหนกเหมือนคนที่เพิ่งเจอกับฝันร้ายที่สุดในชีวิตมา เลยต้องการคำยืนยันว่าความฝันนั้นไม่มีวันเป็นจริง

ไม่มีใครในห้องนั้นเอ่ยสิ่งใด ความเงียบเป็นเสมือนคำตอบว่าบัดนี้ฝันร้ายที่กุ้ยอี้หวาดผวาได้กลายเป็นความจริงแล้ว

‘กุ้ยฮวาตายแล้ว...กุ้ยฮวาตายแล้ว...กุ้ยฮวาตายแล้ว’

ประโยคนี้ดังก้องซ้ำๆ อยู่ในหัว ร่างสูงใหญ่เดินโซซัดโซเซมายังเตียงนอน ชายหนุ่มเอื้อมมือไปแตะข้างแก้มของน้องสาว แล้วเลยไปจับชีพจรที่คอ ตัวนางไม่เพียงแต่เย็นเฉียบ ยังไร้การตอบสนองใดๆ ด้วย

“พี่ขอโทษกุ้ยฮวา พี่ขอโทษที่ไม่ทันมาดูใจเจ้า”

น้ำตาไหลอาบแก้มชายหนุ่มเป็นสาย สร้างความสะเทือนใจให้กับพ่อบ้านหลิวจนไม่อาจทนมองได้อีก

ขนาดเป็นแค่พี่ยังเสียใจขนาดนี้แล้วคนเป็นพ่ออย่างเสนาบดีเฉินเล่า ดวงใจจะร้าวรานปานไหน ถึงจะเจ็บปวดผู้นำตระกูลอย่างเฉิน เหว่ยหงก็มิอาจแสดงความอ่อนแอออกมาได้ เหว่ยหงฝืนใจลุกแล้วเอามือวางบนบ่าลูกชาย

“คลุมผ้าให้นางเสีย น้องรอเจ้ามาส่งนานแล้ว” เอ่ยเสร็จเสนาบดีเฉินก็เดินออกไปเตรียมการเรื่องงานศพด้านนอก ทิ้งบุตรเอาไว้ให้ทำใจในห้องนั้น

‘คลุมผ้าอย่างนั้นหรือ?’ เขาจะทำมันได้อย่างไรในเมื่อมันกะทันหันเหลือเกิน หลายวันก่อนกุ้ยฮวายังอ้อนให้พาไปดูดอกท้อในเมืองอยู่เลย

กุ้ยอี้กอดร่างของน้องสาวเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความอาลัยอย่างสุดซึ้ง ชายหนุ่มพร่ำตัดพ้อสวรรค์ว่าเหตุใดจึงเร่งเอาชีวิตดรุณีน้อยนางนี้ไปเร็วนัก

“ทำไมถึงไม่เอาชีวิตข้าไปแทน…ทำไม” คำถามนี้เจือด้วยเสียงสะอื้นหนัก นอกจากความโศกาอาดูรแล้ว ในใจกุ้ยอี้ยังเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกผิด

“ท่านแม่ ข้าขอโทษที่ดูแลน้องได้ไม่ดี” ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งที่รักษาสัญญาเอาไว้ไม่ได้

ในบรรดาน้องสาวทั้งสามคน กุ้ยอี้สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่ารักกุ้ยฮวามากกว่าใครเพราะเลี้ยงมาเองกับมือ ตอนกุ้ยฮวาเกิด กุ้ยเซียน น้องสาวคนรองเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนกุ้ยเหรินก็ไปอยู่ในวังกับท่านน้า ความที่ท่านพ่องานยุ่งมาก ที่บ้านจึงเหลือกันเพียงสามแม่ลูกเท่านั้น

‘แม่ฝากน้องด้วยนะกุ้ยอี้ เจ้าเป็นพี่ใหญ่ต้องดูแลน้องให้ดีนะรู้ไหม’ ท่านแม่ซึ่งสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนักได้เอ่ยฝากฝังเอาไว้ในวันหนึ่ง

กุ้ยอี้ซึ่งขณะนั้นอายุแปดขวบ จารึกประโยคนี้ไว้ในใจและยึดถือเอาไว้ดังคำมั่น นับจากวันนั้นเขาก็ดูแลกุ้ยฮวาเรื่อยมา แม้แต่งานเปลี่ยนผ้าอ้อมก็ยังเคยทำมาแล้ว กุ้ยฮวาเองก็ติดเขามาก ต่อให้ร้องไห้โยเยแค่ไหน ถ้าได้กำนิ้วของพี่ใหญ่เอาไว้ก็จะสงบลงได้ในทันที ทุกครั้งที่อยู่กับพี่ใหญ่แกจะหัวเราะและยิ้มอย่างร่าเริงเสมอ ถึงแม้น้องจะยังพูดไม่ได้ แต่กุ้ยอี้ก็รู้ว่ากุ้ยฮวาเองก็รักเขามากเช่นกัน

กุ้ยฮวาเติมโตขึ้นมาเป็นเด็กหญิงหน้าตางดงามหมดจด นางน่ารักประหนึ่งเทพธิดาองค์น้อย แม้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่นางก็มักจะมีรอยยิ้มประดับใบหน้าเสมอ ผู้คนจึงเปรียบนางว่างดงามราวกับดอกท้อที่แย้มบานในฤดูใบไม้ผลิ

กุ้ยอี้ไม่เคยเห็นต่างเรื่องความงาม แต่กลับชิงชังคำเปรียบเปรยนี้นัก

‘พี่ไม่อยากให้เจ้าเป็นดังเช่นดอกท้อ บานอยู่อึดใจ ไม่เท่าไรก็โรยรา’

‘ถึงช่วงชีวิตจะสั้น แต่ก็งามตรึงตรามิใช่หรือคะ’ กุ้ยฮวาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ‘แม้โรยสู่พสุธา ยังผลิบานในใจนิรันดร์’

กลอนที่นางขับออกมายังดังก้องอยู่ในหู กุ้ยอี้ในตอนนั้นได้แต่ปรามน้องสาวว่าอย่าพูดอะไรเป็นลาง กุ้ยฮวายิ้มรับคำพูดเขาเหมือนอย่างที่เคย จากนั้นไม่นานนางก็เริ่มลงมือปักผ้าคลุมหน้า

เด็กสาวชาวเฉียงเจียงส่วนใหญ่มักจะออกเรือนไปเมื่อมีอายุได้ ๑๘ ตามธรรมเนียมของที่นี่ เจ้าสาวจะต้องลงมือปักผ้าคลุมหน้าด้วยตัวเอง เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการแต่งงานแล้ว ผ้าคลุมหน้านี้ก็จะถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี เพื่อใช้อีกครั้งในพิธีศพของตัวเอง

หญิงสาวปกติทั่วไปจะเริ่มปักผ้าคลุมหน้าก่อนแต่งงานประมาณครึ่งปี แต่กุ้ยฮวาเริ่มลงมือปักผ้าตั้งแต่เพิ่งจะ ๑๔ นางว่าสุขภาพของนางอ่อนแอ ค่อยๆ ทำไปจะดีกว่ามาเร่งทำในตอนท้าย

กุ้ยฮวาใช้เวลากว่าสองปี ผ้าคลุมหน้าซึ่งมีลวดลายวิจิตรงดงามจึงเสร็จสมบูรณ์ กุ้ยอี้ยังจำได้ดีใบหน้ายิ้มแย้มของน้องยามที่เอาผลงานมาอวด

‘ท่านพี่สัญญากับข้าได้ไหม ว่าจะเป็นคนคลุมผ้าคลุมหน้าให้ข้า’

กุ้ยอี้รับคำโดยไม่รู้เลยว่ามันคือลางแห่งการสูญเสีย เมื่อนึกย้อนไปชายหนุ่มก็เผลอขยุ้มผ้าปักที่พ่อบ้านนำมาวางเอาไว้ให้จนยับ

“พี่ควรจะได้ส่งเจ้าไปเป็นเจ้าสาวมิใช่หรือ ไม่ใช่ส่งเข้าโลงอย่างนี้”

หยาดน้ำตาของกุ้ยอี้หยดลงบนแก้มเนียนใส น่าเศร้านักที่เจ้าของร่างกายอันงดงามนี้ไม่อาจรับรู้ได้อีกแล้วว่าพี่ชายที่รักยิ่ง โศกาอาดูรปานใด



พิธีศพของชาวเจียงเฉียงจะใช้การฝังมากกว่าการเผา ส่วนเรื่องการเก็บศพเอาไว้ที่บ้านนั้นไม่มีระยะเวลาตายตัว แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะเก็บเอาไว้ประมาณเจ็ดวันก่อนจะเคลื่อนย้ายไปยังสุสาน

ในช่วงที่เก็บศพเอาไว้นี้จะไม่มีการทำพิธีทางศาสนาใดๆ ไม่มีการเชิญแขกมาร่วมงาน คนที่สามารถไว้อาลัยและมานอนเฝ้าข้างโลงได้มีเพียงคนในบ้านเท่านั้น พอใกล้ถึงกำหนดเคลื่อนย้ายไปยังสุสานแล้ว จึงค่อยเปิดบ้านให้คนนอกมาร่วมไว้อาลัย บางคนที่มีญาติมิตรเพื่อนฝูงมาก ก็จะเก็บศพเอาไว้ต่ออีกประมาณสามสี่วันเพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสนอนเฝ้าโลงกันอย่างทั่วถึง

การมานอนเฝ้าข้างโลงนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ดวงวิญญาณของผู้ตายได้มาบอกลา ถ้าจิตสามารถสื่อสารกันได้ก็จะได้ยินเสียงหรือฝันถึง กุ้ยอี้จึงมานอนเฝ้าศพของน้องสาวทุกคืนด้วยหวังจะได้พบน้อง

ปกติชายหนุ่มจะเป็นคนนอนไว แต่สำหรับวันนี้ไม่ว่าจะพยายามข่มตาสักเพียงไหนก็ไม่สามารถพักผ่อนได้ กุ้ยอี้ลุกขึ้นมานั่งถอนหายใจท่ามกลางความสลัว นี่เพิ่งจะเป็นคืนที่สองที่กุ้ยฮวาจากไป แต่สำหรับเขาแล้วช่วงเวลาแห่งความทรมานนี้ช่างยาวนานนัก

“โกรธพี่ที่มาส่งเจ้าไม่ทันหรือไร ถึงไม่ยอมมาพบหน้า กุ้ยฮวา...น้องน้อยของพี่ รู้ไหมพี่คิดถึงเจ้ายิ่งนัก” ชายหนุ่มพึมพำขณะเหม่อมองโลงไม้ซึ่งประดับประดาด้วยดอกไม้จำนวนมาก

ในขณะที่กำลังเหม่อนี้ เสียงกรีดร้องก็ดังมาจากด้านนอก พอมองรอดประตูออกไปก็เห็นใครคนหนึ่งลุกขึ้นมานั่งสะอื้น

กุ้ยอี้เห็นว่าบิดากับมารดาเลี้ยงยังนอนหลับอยู่ จึงค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก ห้องที่ใช้เก็บศพนี้เปิดประตูเอาไว้กว้าง ด้านในเป็นที่สำหรับเจ้านาย ส่วนด้านนอกมีคนรับใช้นอนอยู่

คนที่ลุกขึ้นมานั่งร้องไห้คือซีอิ๋ง นางเป็นลูกสาวของพ่อบ้านหลิวและเป็นคนรับใช้คนสนิทของกุ้ยฮวา ยังเดินไม่ถึงตัวก็ได้ยินเสียงฮูหยินของพ่อบ้านหลิวเอ็ดลูกสาว พอเห็นเขานางก็รีบขอโทษ

“ขออภัยคุณชายใหญ่เร็วเข้า เสียงเจ้าทำให้คุณชายตื่นนะรู้ไหม” ฮูหยินหลิวเร่งลูกสาวที่มัวแต่นั่งร้องไห้

“ขะ...ขออภัยเจ้าค่ะ” เด็กสาวก้มหัวให้แล้วพยายามกลั้นสะอื้น

“ช่วงเถอะ ข้ารู้ว่านางเองก็เสียใจมาก” กุ้ยอี้เอ่ยเสียงนุ่มขณะย่อตัวลงไปยื่นผ้าเช็ดหน้าให้

ซีอิ๋งรับผ้าเช็ดหน้ามาซับหน่วยตา แต่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นนางก็ร้องไห้ออกมาอีก

“เงียบเดี๋ยวนี้นะซีอิ๋ง เจ้ากำลังจะปลุกคนทั้งบ้านแล้ว” ฮูหลินหลิวค้อมตัวให้คุณชายใหญ่อีกครั้ง แล้วทำท่าจะพาตัวลูกสาวไปร้องไห้ที่อื่น

ซีอิ๋งฝืนตัวเอาไว้ นางกำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น เพื่อรวบรวมความกล้า รายงานสิ่งที่พบเจอมาให้คุณชายใหญ่ได้รับรู้

“...คุณชายเจ้าคะ ซีอิ๋งฝันเจ้าค่ะ ซีอิ๋งฝันถึงคุณหนูสาม”

“ฝันว่าอย่างไร เล่ามาให้หมด” กุ้ยอี้ถามเสียงรัว

“คุณหนูสามมาหาข้าเจ้าค่ะ นางบอกว่าอึดอัด ขอให้ช่วยพานางออกจากโลงที”

ฮูหยินหลิวถึงกับเอามือทาบอกเมื่อได้ยินคำพูดลูก

“เจ้าพูดอะไรน่ะซีอิ๋ง เลอะเทอะใหญ่แล้ว”

ชาวเฉียงเจียงมีความเชื่อว่าหากคลุมหน้าศพและปิดฝากโลงเรียบร้อยแล้ว การไปเปิดโลงหรือเปิดผ้าคลุมหน้าออกโดยพลการถือเป็นการลบหลู่ผู้ตาย กรณีเดียวที่สามารถเปิดโลงได้คือตอนที่นักบวชมาสวดบทส่งวิญญาณให้ก่อนฝัง ถึงกระนั้นก็จะไม่มีการแตะต้องผ้าคลุมหน้าเป็นอันเด็ดขาด

“เจ้าแน่ใจนะซีอิ๋งว่ากุ้ยฮวาพูดอย่างนี้จริง”

“จริงเจ้าค่ะ...คุณหนูย้ำกับข้าหลายรอบมาก ในฝันคุณหนูดูทรมานมากเหลือเกินเจ้าค่ะ คุณชายใหญ่ช่วยคุณหนูด้วยนะเจ้าคะ”

ซีอิ๋งถึงกับลงทุนเอาหัวโขกพื้นเพื่อวิงวอน บ่งบอกว่าจริงจังกับความฝันเป็นอย่างมาก กุ้ยอี้จึงตรงไปที่โลงศพในทันที

“อย่านะเจ้าคะคุณชายใหญ่ ไปรบกวนคนตายจะถูกสาปเอา” ฮูหยินหลินร้องเสียงหลง ส่งผลให้ใครต่อใครเริ่มตื่นมาดูเหตุการณ์

“ถูกสาปก็ถูกสาปสิ กุ้ยฮวาเป็นน้องข้า นางอยากทำอะไรก็ปล่อยตามใจนาง” ขาดคำชายหนุ่มก็กระชากฝาโลงออก

“ขอไฟให้ข้าหน่อย จุดตะเกียงให้สว่างกว่านี้” ชายหนุ่มหันมาสั่งบ่าวไพร่

“เจ้าจะทำอะไรน่ะกุ้ยอี้” เสนาบดีเฉินเอ็ดลูกชายเสียงดัง เมื่อตื่นมาเห็นว่ากำลังลบหลู่คนตาย

“ซีอิ๋งฝันว่ากุ้ยฮวามาบอกว่าอยากออกจากโลง นางอึดอัดทรมานมาก ท่านพ่ออย่าห้ามข้าเลย ข้าจะช่วยน้อง”

เสนาบดีเฉินนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยิน คนเป็นพ่อลุกขึ้นมายืนเคียงข้างลูกชาย เพื่อเอ่ยเตือนสติ

“ซีอิ๋วอาจจะแค่คิดมากก็เลยฝันเพ้อเจ้อ กุ้ยฮวาหลับอย่างสงบแล้ว เจ้าปล่อยให้นางได้พักผ่อนเถอะ”

คำพูดของบิดารั้งมือที่กำลังจะกระชากผ้าคลุมปิดหน้าออกให้หยุดอยู่กับที่ ใจหนึ่งกุ้ยอี้ก็อยากจะเชื่อฟังผู้ให้กำเนิด แต่อีกใจก็ไม่สามารถสลัดคำพูดของสาวใช้ออกไปจากหัวได้

‘กุ้ยฮวากำลังทรมาน’ พอคิดได้แบบนั้นแล้วคำว่าถูกผิดหรือขนบธรรมเนียม ก็ไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป ชายหนุ่มดึงผ้าคลุมหน้าซึ่งตัวเองเป็นคนบรรจงคลุมให้ออกในทันที

เสนาบดีเฉินส่งเสียงครางในลำคอ ยังไม่ทันได้ตำหนิลูก บ่าวคนหนึ่งก็ยื่นตะเกียงมาตรงกลางระหว่างสองพ่อลูก ซูหยวนตื่นมาทีหลัง ได้ยินแต่เสียงคุณชายใหญ่บอกว่าขอไฟเลยกุลีกุจอไปจัดหามาให้ ไม่ทันได้ดูสถานการณ์ว่าคุณชายใหญ่จะเอาไฟไปทำอะไร

กุ้ยอี้รับตะเกียงจากคนรับใช้มาส่งดูหน้าน้องสาว ใบหน้านางไม่เหมือนคนตายเลยสักนิด ยังคงงดงามเหมือนดังเช่นที่เขาเห็นเมื่อหลายวันก่อน

“กุ้ยฮวา บอกพี่มาสิว่าเจ้าต้องการอะไร จะให้พี่พาไปไหนหรือทำอะไรก็บอกมา”

เมื่อไร้เสียงตอบรับ ชายหนุ่มก็วางตะเกียงลงแล้วทำท่าจะอุ้มร่างของน้องสาวออกมาจากโลง เสนาบดีเฉินจึงรีบยึดมือบุตรชายเอาไว้

“พอได้แล้วกุ้ยอี้ กุ้ยฮวาตายไปแล้ว เจ้าต้องการให้นางจากไปอย่างทุกข์ตรมหรือ”

กุ้ยอี้กำหมัดแน่น เขาเถียงบิดากลับอย่างที่ไม่เคยทำ

“แต่น้องกำลังทรมาน ข้าจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร”

“ต่อให้เอาน้องออกมาจริงแล้วเจ้าจะทำอะไรได้ ปล่อยให้ร่างนางเน่าเปื่อย อยู่ในสภาพเวทนา ไม่ทำพิธีให้ถูกต้องอย่างนั้นรึ”

กุ้ยอี้ไม่อาจโต้แย้งบิดาได้อีก เขาสำนึกได้ว่าบัดนี้ตนเองขาดเหตุผลยิ่งนัก จึงก้มลงคุกเข่าเพื่อขอโทษ

“ลูกผิดไปแล้วท่านพ่อ”

เสนาบดีเฉินสั่งให้ลุกขึ้นแทนคำให้อภัย เขาหันไปสั่งภรรยาให้พาบุตรชายคนเล็กกลับไปนอนที่ห้อง แล้วให้พวกบ่าวไพร่หลบไปก่อน

“จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย อีกหนึ่งชั่วยามพ่อจะกลับมา”

ถึงจะตำหนิลูกชายไปหลายคำแต่เหว่ยหงก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี จึงให้เวลาส่วนตัวเพื่อทำใจ การรับมือกับความสูญเสียไม่ใช่สิ่งที่สามารถสอนกันได้ ต้องปล่อยให้เรียนรู้เองว่าควรทำอย่างไร จึงสามารถตั้งสติได้ ในภาวะที่ความเจ็บปวดยังไม่จางหาย

กุ้ยอี้ก้มลงกระซิบขอโทษน้องสาว ชายหนุ่มบรรจงจูบที่หน้าผาก เสร็จแล้วก็ถอยออกมาเพื่อที่จะได้มองใบหน้าได้ถนัดขึ้น

“พี่จะไม่รบกวนเจ้าอีกแล้ว หลับให้สบายเถอะนะกุ้ยฮวา”

กุ้ยอี้ฝืนใจคลุมผ้าปิดหน้าให้น้องอีกครั้ง แล้วค่อยๆ เลื่อนฝาโลงให้ปิดกลับไปดังเดิม ชายหนุ่มตั้งใจอย่างแม่นมั่นว่าต่อให้ใครฝันถึงกุ้ยฮวาอีก เขาก็จะไม่ขาดสติอย่างนี้อีกแล้ว ทว่าความตั้งใจกลับพังทลายลง เมื่อผ้าคลุมหน้าขยับเองได้

ชายหนุ่มกระพริบตาถี่ๆ มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา เขาโน้มตัวลงไปดูใกล้ๆ แล้วก็เหมือนจะได้ยินเสียงหายใจ กุ้ยอี้คิดว่าตัวเองอาจจะเห็นภาพหลอน กระนั้นก็ยังเลือกที่จะยึดความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง ชายหนุ่มเลิกผ้าคลุมหน้าออก แล้วเอามือไปอังที่จมูกของกุ้ยฮวา

กุ้ยอี้ชาไปทั้งร่างเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจ แม้จะค่อยข้างแผ่วก็ตาม ชายหนุ่มรีบคลำหาชีพจร มันเต้นแผ่วมากจนเขาไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เจอเป็นชีพจรของน้องหรือตัวเอง ในขณะที่กำลังแคลงใจ ริมฝีปากสีชมพูของกุ้ยฮวาก็เริ่มขยับ แล้วมีเสียงครางเบาๆ ลอดออกมา

“เจ้ายังไม่ตายจริงๆ ด้วย ขอบคุณเหลือเกินที่ยอมกลับมาหาพี่” ชายหนุ่มตะโกนลั่นด้วยความยินดี ก่อนจะรีบพาน้องสาวออกมาจากโลง แล้วตะโกนให้ตามหมอมาดูอาการ



‘ที่นี่คือที่ไหนกัน?’

แว่นถามตัวเองด้วยคำถามเดิมๆ เป็นครั้งที่ร้อย ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รับคำตอบ ครั้นจะลืมตาขึ้นมามองก็ลืมไม่ขึ้นเสียอีก หนังตามันหนักราวกับมีคนเอากาวมาติดไว้ ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง ทำได้แค่ขยับปากกับครางอืออาเท่านั้น

สติของแว่นพร่าเบลอ เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ในโลกความจริงสลับกับความฝัน เรื่องเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวคือเขาถูกฟ้าผ่า แว่นมั่นใจว่าตัวเองคงบาดเจ็บหนัก แต่ใครจะพามาส่งโรงพยาบาลหรือจะอยู่ที่ไหนอย่างไรยังเป็นเรื่องน่ากังขา

เท่าที่เงี่ยหูฟังดู ผู้คนที่ดูแลเขาพูดจาด้วยภาษาประหลาด มันไม่ใช่ภาษาที่แว่นเคยเรียนรู้มา แต่กลับสามารถฟังออกและเข้าใจความหมายของมันได้ แว่นรู้สึกร้อนใจระคนหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานที่ที่ไม่น่าไว้วางใจ สิ่งเดียวที่ทำให้สงบลงได้คือคำปลอบโยนของคนที่แทนตัวเองว่า ‘พี่’

คนคนนี้เป็นชายหนุ่ม ฟังจากเสียงแล้วอายุของคนคนนี้น่าจะอยู่ในช่วงยี่สิบถึงสามสิบปี เขาคอยปลอบว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ทั้งยังบีบมือให้กำลังใจตลอด เขาอีกเหมือนกันที่ป้อนน้ำให้ดื่มทีละน้อย เพื่อบรรเทาอาการลำคอแห้งผากให้

การได้ดื่มน้ำทำให้รู้สึกมีกำลังขึ้นมาบ้าง แว่นนึกอยากถ่างตาตัวเองดู เสียแต่ว่ามีแรงแค่ขยับนิ้วได้เท่านั้น ในขณะที่กำลังนอนทิ้งร่างอย่างสิ้นหวัง ใครบางคนก็ช่วยใช้มือดึงเปลือกตาออกจากกันให้ ทำให้สามารถลืมตาได้ง่ายขึ้น

“นางลืมตาแล้วท่านพ่อ กุ้ยฮวาลืมตาแล้ว” เสียงผู้ชายคนที่ช่วยดูแลเธอดังขึ้นด้วยอารมณ์ตื่นเต้นยินดี

“พ่อเห็นแล้วกุ้ยอี้ หลบออกมาก่อนเถอะ ท่านหมอจะได้ตรวจได้สะดวก”

แว่นหันไปทางเสียงของคนที่แทนตัวเองว่าพ่อ สิ่งที่เห็นคือชายวัยกลางคนหน้าตาดี ไว้เคราพอประมาณ ถัดไปก็คือชายหนุ่มผมยาว จมูกโด่ง เครื่องหน้าคม ‘บอกเลยว่าโคตรหล่อ’

พอเขาเปิดปากพูด แว่นก็มั่นใจว่าผู้ชายคนนี้นี่เองที่แทนตัวเองว่าพี่ แว่นอยากลุกขึ้นมาคุยกับเขา เลยพยายามลุกขึ้นนั่ง ทว่าก็ทำได้แค่ยกมือขึ้นมาเท่านั้น

“อย่าเพิ่งฝืน นอนเฉยๆ ก่อน ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องการคือการรักษาและการพักผ่อน” ผู้ชายที่เหมือนจะเป็นหมอบอก

แว่นเบนสายตามามองหมอ แล้วก็ต้องอุทานในใจอีกครั้ง หมอหนุ่มคนนี้รูปงามอย่างเหลือเชื่อ ทำเอาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอยู่บนโลกมนุษย์หรือสรวงสวรรค์กันแน่

หมอตรวจอาการอยู่พักหนึ่งก็เอาเข็มจิ้มที่แขนแว่น แล้วจัดการให้สารน้ำบางอย่างทางเส้นเลือด จากนั้นแว่นก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลยเพราะหมดสติไป



แว่นหลับไปนานอีกเท่าไรก็ไม่รู้ ในความฝันเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็นใครอีกคน ที่คิดแบบนั้นเพราะอยู่ๆ ความทรงจำของเด็กสาวคนหนึ่งก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว เธอคนนี้ชื่อเฉิน กุ้ยฮวา ชื่อเดียวกันกับที่บรรดาคนแปลกหน้าเรียกแว่น

ก่อนจะตื่นจากความฝัน สิ่งสุดท้ายที่แว่นเห็นคือภาพของเด็กสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง เธอพูดเพียงว่า ‘ขอฝากด้วย’ พอค้อมตัวให้เสร็จก็หายไปพร้อมกับลำแสงสีทอง

แว่นลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยอาการสับสน ตอนนี้เป็นยามสาย แสงสว่างทำให้ตาพร่าทีเดียว แต่เมื่อปรับสายตาได้มันก็ไม่เลวร้ายนัก แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างพร้อมสายลมเย็น ให้ความรู้สึกสดชื่น กำลังวังชาในขณะนี้ก็เหมือนจะกลับคืนมาหลายส่วน

แว่นลุกขึ้นนั่ง พอมองสำรวจร่างกายตัวเองก็ต้องขมวดคิ้ว มือใหญ่หนาเปลี่ยนเป็นมือเล็กบอบบาง ผิวพรรณก็ขาวขึ้น ยิ่งเสื้อผ้าที่สวมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดูแปลกตาเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์จีนเรื่องไหนสักเรื่อง

“คุณหนูฟื้นแล้ว!” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้น

เธอคนนี้เฝ้าอยู่ข้างเตียงมาตลอด แต่แว่นไม่ทันสังเกตเพราะมีม่านบังเอาไว้ พอเหลียวไปมองในหัวมันก็มีความคิดวาบขึ้นมาว่านางคือสาวใช้คนสนิทของกุ้ยฮวา

“รอสักครู่นะเจ้าคะ ซีอิ๋งจะไปตามท่านหมอมาให้” เด็กสาวผุดลุกขึ้นแล้วทำท่าจะวิ่งออกไปจากห้อง

“เดี๋ยว! ขอกระจกให้ทีได้ไหม” แว่นร้องออกมาเป็นภาษาไทยโดยไม่รู้ตัว

แม้จะไม่เข้าใจอีกฝ่ายก็ยังหมุนตัวกลับมาหา

“ขอประทานอภัยเจ้าค่ะ คุณหนูต้องการสิ่งใดนะเจ้าคะ ซีอิ๋งไม่ทันฟัง”

“ฉันอยากได้กระจก” แว่นบอกซ้ำ

พอเห็นหน้าไม่เข้าใจของสาวใช้ แว่นก็รู้ว่าเผลอตัวพูดภาษาไทย ขณะนี้เขาฟังซีอิ๋งรู้เรื่อง จึงคิดว่าน่าจะสื่อสารกันได้ เลยรวบรวมความคิดพูดภาษาเดียวกันกับอีกฝ่ายกลับไป ทีแรกแว่นคิดว่าการพูดภาษาที่ไม่คุ้นเคยจะเป็นเรื่องลำบาก แต่เปล่าเลย แว่นออกเสียงทุกคำได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่ามันเป็นภาษาแม่ จะต่างจากปกติก็ตรงเสียงที่เปล่งออกมาไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นเสียงกังวานใสน่าฟังไม่คุ้นหูเลย

“กระจกหรือเจ้าคะ ได้เจ้าค่ะ” ซีอิ๋งกระวีกระวาดจัดเตรียมให้ แล้วรีบไปตามหมอเพื่อมาดูอาการของคุณหนู

เมื่อได้อยู่ลำพังแว่นก็มองสำรวจตัวเอง ใบหน้าของเขาขณะนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากกะเทยไทยหน้าตาธรรมดา กลายเป็นเด็กสาวแสนสวย ถึงจะดูซูบซีดเพราะป่วย แต่ก็ยังงดงามสะกดสายตา

แว่นหยิบกระจกขึ้นมาพินิจพิจารณาตัวเองอีกครั้ง แม้จะรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริงแต่ความคิดของแว่นก็ยังสับสนกระจัดกระจาย ตอนนี้เลยทำอะไรไม่ค่อยถูก ได้แต่เริ่มสำรวจร่างกายตัวเองไปทีละส่วน มองบ้าง จับบ้างไปตามเรื่อง ท้ายที่สุดก็ต้องเบิกตาค้างเมื่อเห็นภาพสะท้อนของบางสิ่งในกระจก

“อิแม่! หนูมีหอยยย”




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2557, 00:01:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2557, 11:41:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1685





<< ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑ เข็มทิศมหาลาภ   ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๓ สู่โลกใหม่ >>
ไม้เอก 20 มิ.ย. 2557, 00:44:52 น.
ฮาตอนท้ายนี่แหละ 555


Auuuu 20 มิ.ย. 2557, 10:12:48 น.
55555 ประโยคสุดท้ายยย


นักอ่านเหนียวหนึบ 20 มิ.ย. 2557, 12:33:03 น.
เปิดมาเจอ น้องแว่นก่อนเลย นึกว่าอิเจ้ จะมาสิงในร่างนี้ซะอีกกก
อ่ออ ต้องขอให้อิเจ้เป็นสาวบ้านอื่น แล้วให้มาคู่กะพี่ชายน้องแว่นสินะ 555 ฮิ้วววว ตื่นเต้น ปนรั่วๆ 555


อัศวินนภา 20 มิ.ย. 2557, 21:28:50 น.
เฮ้ย แหวกแนวมากๆเลยคะ อ่านแล้วแบบสนุกมากๆ


Zephyr 22 มิ.ย. 2557, 15:29:06 น.
ฮ่าๆๆๆๆ ประโยคท้ายมัน โธ่ นาง เสียภาพพจน์กุ้ยฮวาหมด
ทีนี้ ลุ้นกันละ อีกสามคนจะม่ร่างไหน คู่ใคร ฮ่าาาาา
ขอขำก่อน โอ้ย หอยพุ่งงงงง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account