กรุ่นรักเคียงธารา
กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ
เป็นหนึ่งในงานซีรีย์ชุด "พฤกษาธาราสวาท"
ซึ่งมีสี่เรื่องราว สี่ภาคด้วยกัน
เรื่องกรุ่นรักเคียงธารา เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำภาคเหนือครับ
ส่วนอีกสามเรื่องได้แก่...
มหานทีแห่งรัก โดย แอล เป็นเรื่องราวการอนุรักษ์แม่น้ำโขงและเรื่องราวการผันน้ำเข้ามาใช้การเกษตร (ภาคอีสาน)
ปลูกรักริมใจ โดย พิมพ์ชนก เป็นเรื่องราวของสองหนุ่มสาวหัวใจอนุรักษ์ต้นไม้กับการพยายามสร้างธรรมชาติบนพื้นที่เมืองหลวง (ภาคกลาง)
ทะเลรักล้อมดาว โดย ชุติวรรณ เรื่องราวการอนุรักษ์ผืนป่าชายเลน กับท้องทะเล (ภาคใต้)
มาร่วมกันเป็นกำลังใจให้แปดคนสี่คู่ ที่มีหัวใจอนุรักษ์ธรรมชาติเช่นเดียวกันได้ในงานชุดนี้ครับ
****
กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ
เป็นเรื่องราวของนักพัฒนาสาว ที่เดินทางสู่จังหวัดชิดขอบชายแดน กับผืนป่าที่มีมนตร์ขลังของเรื่องราวความเชื่อที่ถูกผนวกกันอย่างลงตัว
สาวเมืองกรุงอย่าง ธาราริน จะสามารถนำเอาแนวคิดสมัยใหม่ เข้าไปใช้ในหมู่บ้านกลางป่าใหญ่ ที่มีหลักความเชื่อที่แปลกแตกต่างจากคนทั่วไปหากจุดมุ่งหมายคืออนุรักษ์ผืนป่าให้ลูกให้หลานได้หรือไม่
ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร ติดตามและเอาใจช่วยนักพัฒนาสาวคนนี้ได้ใน...กรุ่นรัก เคียงธารา
เป็นหนึ่งในงานซีรีย์ชุด "พฤกษาธาราสวาท"
ซึ่งมีสี่เรื่องราว สี่ภาคด้วยกัน
เรื่องกรุ่นรักเคียงธารา เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำภาคเหนือครับ
ส่วนอีกสามเรื่องได้แก่...
มหานทีแห่งรัก โดย แอล เป็นเรื่องราวการอนุรักษ์แม่น้ำโขงและเรื่องราวการผันน้ำเข้ามาใช้การเกษตร (ภาคอีสาน)
ปลูกรักริมใจ โดย พิมพ์ชนก เป็นเรื่องราวของสองหนุ่มสาวหัวใจอนุรักษ์ต้นไม้กับการพยายามสร้างธรรมชาติบนพื้นที่เมืองหลวง (ภาคกลาง)
ทะเลรักล้อมดาว โดย ชุติวรรณ เรื่องราวการอนุรักษ์ผืนป่าชายเลน กับท้องทะเล (ภาคใต้)
มาร่วมกันเป็นกำลังใจให้แปดคนสี่คู่ ที่มีหัวใจอนุรักษ์ธรรมชาติเช่นเดียวกันได้ในงานชุดนี้ครับ
****
กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ
เป็นเรื่องราวของนักพัฒนาสาว ที่เดินทางสู่จังหวัดชิดขอบชายแดน กับผืนป่าที่มีมนตร์ขลังของเรื่องราวความเชื่อที่ถูกผนวกกันอย่างลงตัว
สาวเมืองกรุงอย่าง ธาราริน จะสามารถนำเอาแนวคิดสมัยใหม่ เข้าไปใช้ในหมู่บ้านกลางป่าใหญ่ ที่มีหลักความเชื่อที่แปลกแตกต่างจากคนทั่วไปหากจุดมุ่งหมายคืออนุรักษ์ผืนป่าให้ลูกให้หลานได้หรือไม่
ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร ติดตามและเอาใจช่วยนักพัฒนาสาวคนนี้ได้ใน...กรุ่นรัก เคียงธารา
Tags: อนุรักษ์ ผืนป่า แนวความคิด หลักเศรษฐกิจพอเพียง ความเชื่อ มนตร์ขลังของผืนป่ากว้าง
ตอน: ตอนที่ ๐๓ ลูกชายหัวหน้า
ตอนที่ ๓
ธารารินมาทำงานในช่วงเช้าของวันนั้นตามปกติ ทว่าในความรู้สึกของเธอกลับมองออกว่าในคลื่นแห่งความสงบเงียบนั้นมีกระแสบางอย่างแทรกเข้ามาจนเธอสัมผัสได้ เสมือนจะเป็นสงครามเย็นที่มาจากผู้คนรอบข้างเตรียมห้ำหั่นเธออย่างเลือดเย็น
หรือไม่ก็คล้ายกับบรรยากาศความนิ่งสงบของเหตุการณ์ก่อนเกิดพายุร้ายในช่วงนอกฤดูกาล
ซึ่งสิ่งเหล่านี้อริมาย่อมรับรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอนึกสงสารและห่วงหญิงสาวต่างบ้านต่างเมืองคนนี้จึงได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่และมิวายฉุดพาธารารินตามออกไปด้วย
เพียงแค่ลับหลังสองสาวไปเท่านั้น ก็บังเกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อันมีที่มาจากป้าพรเป็นอันดับแรก พร้อมจุดไฟไล่ไปยังเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ อย่างสนุกปาก ราวกับคนที่เพิ่งได้รับถ้วยรางวัลคนปากมากมาหมาดๆ
ดูเหมือนว่าใครหลายๆ คนที่ไม่ค่อยชอบธารารินตั้งแต่แรกอยู่แล้วยิ่งทบทวีแรงริษยาในตัวเด็กสาวมากขึ้นไปอีก ทั้งที่ไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็นเลยหากจะนับกับความสามารถและการทำงานกันจริงๆ
ในห้องของหัวหน้าอมรเทพ เขาได้แต่ยืนฟังบทสนทนาอันถึงพริกถึงขิงเหล่านั้นแล้วนิ่งเงียบ ชายวัยกลางคนได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับอุปนิสัยของกลุ่มลูกทีมที่มักใช้ปากพูดมากกว่าทำงาน
บ่อยครั้งที่เขาตักเตือน หากเพราะเห็นว่าอยู่มาก่อน ป้าพรหรือคนอื่นๆ กลับยิ่งตั้งแง่ มีทางเดียวที่หัวหน้าอมรเทพทำคือนิ่งเฉยแล้วทำงานเป็นตัวอย่าง พร้อมปล่อยให้ป้าพรหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ทำตามใจชอบเพราะเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีทั้งหมดก็จะปลดเกษียรและลาออกกันไปเอง จากนั้นก็จะมีนักพัฒนารุ่นใหม่อย่างธารารินและอริมาเข้ามาแทนที่
เขาเบื่อที่จะว่ากล่าวตักเตือน เพราะถึงพูดไปคนพวกนี้ก็ไม่ยอมฟังอยู่ดี
นี่เองหรอกหรือ...เจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง
###
ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเช้าของวันนั้น จนกระทั่งอริมาฉุดเธอออกจากสนามสงครามเย็น แต่ธารารินกลับเป็นฝ่ายนิ่งเงียบ ข่มและเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ในหัวใจ โดยใช้รอยยิ้มกลบเกลื่อนเอาไว้อย่างอดทน
แม้จะกลัวกับอิทธิพลมืดที่มีอยู่มากมาย ซึ่งก่อนหน้าพี่สีฟ้าเคยตักเตือนเธอมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่เธอยังเชื่อว่าการทำงานด้วยความสามารถของเธอจะทำให้ทุกๆ คน ทุกๆ ฝ่ายยอมรับ
จนกระทั่งบัดนี้ถึงได้รู้ว่าดวงจิตอันแน่วแน่ของเธอในคราวแรกที่ดื้อรั้นขอลงมาพัฒนางานยังอำเภอนี้มันไม่ได้มีความหมายเอาเสียเลย
ยังดีที่มีอริมาอยู่เคียงข้าง คอยเป็นพี่เลี้ยงที่มากกว่าพี่เลี้ยง
อย่างน้อยท่ามกลางความไร้น้ำใจของผู้คนก็ยังมีคนที่จริงใจกับเธออยู่
“พี่อบคะ...” หญิงสาวเอ่ยขึ้นหลังจากกลับมาจากการติดต่อประสานงานในตำบลของอริมาและทั้งสองมาแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ ในหมู่บ้าน “พี่เคยบอกกับธารว่าที่หมู่บ้านผาตะวันไม่เคยมีพัฒนากรใช่ไหมคะ”
อริมามองหน้าสาวรุ่นน้องอย่างแปลกใจในคำถาม ก่อนจะพยักหน้าในนาทีต่อมา
“ใช่จ้ะ ไม่มีใครยอมไปที่นั่นหรอกเพราะมันไกลจากตัวเมืองมาก เส้นทางสัญจรก็ลำบาก มีแต่ป่ากับภูเขาสูง น้องธารถามทำไมหรือคะ”
“แล้วพี่อบก็เคยบอกกับธารว่า หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านในโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ที่ในหลวงและพระราชินีท่านจัดสรรที่ทำกินให้กับชาวบ้าน ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้มีบรรยากาศดีมากๆ เลยใช่ไหมคะ”
“ค่ะ...บรรยากาศที่นั่นดีมากๆ เลยค่ะ พี่เคยไปมาครั้งหนึ่งเมื่อคราวที่ตัวแทนพระองค์ท่านเดินทางมาดูหมู่บ้านนี้เมื่อสองสามปีก่อน หลังจากนั้นพี่ก็ไม่ได้ไปอีกเลยเพราะมันไกลอย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ”
“ธารอยากจะไปที่หมู่บ้านนี้จังเลยค่ะ อยากไปดูการรวมกลุ่มทำงานของพวกเขาจัง”
“หมายความว่าอย่างไรคะ พี่ไม่เข้าใจ”
ในใจของอริมานั้นความจริงมีคำตอบอยู่แล้วว่าธารารินต้องการอะไร เพียงแต่ว่าเธอยังไม่อยากคิดไกลไปถึงขั้นนั้นเพราะอย่างน้อยคำตอบที่เธออยากจะได้ยินในเวลานี้คือธารารินต้องการข้อมูลของที่นั่นเพราะอยากจะไปเยี่ยมชมหมู่บ้านผาตะวันดูเท่านั้น
ไม่ใช่ต้องการปลีกตัวเองหนีสถานการณ์อันเลวร้ายไปทำงาน
ทว่าคำตอบที่ได้รับฟังจากสาวรุ่นน้องกลับทำให้อริมานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นั่นเพราะธารารินต้องการอย่างที่เธอนึกกลัวในคราวแรกจริงๆ
ครั้งให้เหตุผลว่าสถานที่นั่นลำบากและไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมากไปกว่าชุมชนในยุคสมัยที่ถอยหลังไปเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน กลับยิ่งกลายเป็นสิ่งผลักดันให้ธารารินยืนยันซึ่งความต้องการในคราวแรก
“พี่ไม่สนับสนุนเลยนะคะ กับความคิดที่จะต้องหนีปัญหาของน้อง”
“ธารไม่ได้หนีค่ะ”
เด็กสาวยิ้ม นั่นเป็นยิ้มที่สดใสน่ารักตามวัยของเธอ อริมาซึ่งอายุห่างจากธารารินเพียงไม่กี่ปียังนึกอิจฉาในความน่ารักของเธอไม่ได้
แม้จะเรียนจบปริญญาโท หากรูปร่างหน้าตาของธารารินไม่ได้แก่ตามภูมิความรู้เลยสักนิด หญิงสาวยังเสมือนสาวสวยวัยยี่สิบต้นๆ ที่เพิ่งเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำ
“ธารแค่ต้องการไปพัฒนาและเห็นวิถีชีวิตของหมู่บ้านผาตะวันสักหนึ่งปีเท่านั้นนะคะ...พัฒนาตามรอยพระราชินีที่เคยย่างพระบาทไปเยี่ยมชมหมู่บ้านแห่งนั้นพร้อมกับจัดสรรที่ทำกินให้กับกลุ่มชาวบ้าน ธารอยากจะเห็นค่ะ ธารอยากจะเห็นประชาชนของพระองค์ท่านหลังจากได้มีที่ทำกินเป็นของตัวเองแล้ว”
“แต่นั่นก็นานหลายสิบปีแล้วนะคะ นานมากแล้วที่พระองค์ท่านเสด็จมา หมู่บ้านแห่งนั้นก็เหมือนหมู่บ้านชาวพื้นเมืองทั่วๆ ไปนั่นแหละ เหมือนอย่างหมู่บ้านปางตอกที่น้องรับผิดชอบพื้นที่อย่างไรล่ะคะ”
“ในทางกลับกันธารกลับคิดว่ามันแตกต่างกันค่ะ”
หญิงสาวเถียง ประกายตาทั้งสองข้างทอสดใส
“อย่าลืมสิคะว่าหมู่บ้านผาตะวันเป็นหมู่บ้านในโครงการหลวง ย่อมจะมีความน่าสนใจอยู่อย่างมากมายเลย”
“ถ้าน้องธารอยากจะไป พี่พาไปได้ค่ะ แต่จะไปปฏิบัติหน้าที่ที่นั่นเห็นทีพี่จะขอคัดค้าน เพราะการสัญจรนั้นไกลและไม่สะดวกเอาเสียเลย กว่าจะเดินทางไปและกลับก็ใช้เวลาเป็นวันแล้วนะคะ แล้วเราจะไปเอาเวลาที่ไหนทำงาน”
“ธารจะไม่เดินทางค่ะ ธารจะพักที่นั่น”
“น้องธาร!!” อริมาขานชื่อน้องสาวเสียงดัง “อย่าลืมสิคะว่าที่หมู่บ้านนั้นมีแต่ป่ากับป่า เขาไม่มีรีสอร์ตหรือโรงแรมหรอกนะคะ”
“โรงเรียน วัด หรือบ้านชาวบ้านเขามีที่นอนให้นะคะ”
“วัดไม่มีค่ะ ส่วนโรงเรียนก็ไม่มี จะมีแต่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเท่านั้น”
“นั่นไงล่ะคะ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนก็คือที่นอนของธารได้นะคะ”
“ธาราริน ทำไมน้องถึงได้ดื้ออย่างนี้นะ สถานที่แบบนั้นมันไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่น้องคิดเลยนะคะ เชื่อพี่เถอะ อย่าไป ไม่มีใครเขาไปกันหรอกถ้าไม่จำเป็นที่จะจัดฉากกันจริงๆ”
“ธารไม่เถียงเลยนะคะที่ชาวบ้านผาตะวันจะถูกทอดทิ้งจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ”
หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าแล้วถอนใจ ฝ่ายอริมาก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน หล่อนกำลังคิดอ่านใจสาวรุ่นน้องว่าธารารินต้องการอะไรกันแน่
หนีจากเสียงนกเสียงกาและเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง ซึ่งมันอาจจะเป็นความคิดเพียงชั่ววูบของเด็กคนหนึ่งเท่านั้น
หรือทำงานทุกอย่างด้วยหัวใจรักในการพัฒนากันแน่
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหน อริมาดูเหมือนจะหนักใจเป็นที่สุดที่ต้องใช้ความพยายามห้ามไม่ให้หญิงสาวซึ่งไม่เคยพบกับสถานการณ์ลำบากลำบนมาก่อนหยุดความคิดเหล่านั้นได้เลย
ธาราริน ถิ่นเมฆา ดูเหมือนจะตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องไปยังหมู่บ้านนั้นให้ได้
หมู่บ้านผาตะวัน หมู่บ้านในโครงการหลวงที่พระราชินีท่านจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่พวกเขา
“นี่พี่ไม่สามารถจะหาเหตุผลอะไรมาห้ามน้องได้แล้วใช่ไหมคะ”
เนิ่นนานกว่าอริมาจะหลุดคำนั้นออกมาได้ ประหนึ่งมันคือหนทางสุดท้ายในหลายๆ เส้นทางที่มีแต่ทางตัน
ฝ่ายธารารินเปิดยิ้ม ดวงตาคู่สวยเป็นประกาย ก่อนสาวเจ้าจะเปิดเสียงหัวเราะออกมายามเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอริมา
“พี่อบทำหน้าเครียดเหมือนกับพี่ชายของธารในตอนที่รู้ว่าธารจะมาปฏิบัติงานราชการที่ภาคเหนือเลยนะคะ”
“ใช่ค่ะ” อริมาพยักหน้าเครียดๆ นั้น “พี่กำลังเครียดเหมือนอย่างกับน้องธารเข้าใจ นั่นเพราะพี่ก็คงจะมีเหตุผลคล้ายกับพี่ชายของน้องธารยามรู้ว่าน้องจะมาที่จังหวัดนี้”
“แต่พี่คินก็ไม่อาจจะขัดขวางความตั้งใจของธารได้ เพราะธารคิดและตรึกตรองทุกอย่างดีแล้วล่ะค่ะ”
“แต่พี่....”
นึกจะขัดคำนั้น ทว่ากลับถูกธารารินเลื่อนมากุมมือของเธอเอาไว้ อริมาจึงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือนั้นก็พบเจอกับสายตาแน่วแน่จนยากที่ใครจะขวางได้
“เชื่อธารนะคะ เชื่อว่าธารจะต้องทำได้ อย่าลืมสิคะว่าพวกเราเป็นนักพัฒนา เป็นข้ารองบาทขององค์พ่อหลวง ขนาดพระองค์ท่านยังไปได้ไหนเลยว่าเราจะไปไม่ได้ ใช่ไหมคะ”
สายตาของธารารินแน่วแน่เหลือเกิน แน่วแน่จนอริมานึกหวั่นกลัวกับเหตุการณ์ในภายภาคหน้า
สาวเมืองกรุงจะทำอย่างไรได้เล่า หากต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนต่างบ้านต่างเมืองและแปลกหน้า ซึ่งหล่อนไม่อาจจะรู้ได้ว่าใครที่จริงใจกับตัวอย่างแท้จริง
อริมาได้แต่ถอนใจและก้มหน้าลงทานข้าวเที่ยงของวันนั้นอย่างเงียบๆ เมื่อธารารินเป็นฝ่ายตัดบทชวนเธอทานข้าว ยุติเรื่องเครียดๆ เหล่านั้นลงอย่างไม่คิดจะหันมารื้อฟื้นให้ซ้ำซากอีก
###
ดูเหมือนจะเป็นการง่ายเหลือเกินสำหรับการขอย้ายพื้นที่ปฏิบัติงานของธาราริน เพราะหัวหน้าอมรเทพเห็นควรกับเหตุผลของหญิงสาวอยู่แล้ว ยิ่งเป็นหมู่บ้านห่างไกลที่ไม่เคยมีพัฒนากรคนใดเดินทางไปทำงานมาก่อน เขาจึงเห็นควรและอนุมัติอย่างทันที
บวกกับความตั้งใจอันแน่วแน่ของธาราริน แม้จะหวั่นกลัวอย่างอริมาที่เป็นในคราวแรก หากหัวหน้ากลับได้แต่นิ่งฟังหญิงสาวอธิบายถึงความจำเป็นในด้านต่างๆ รวมไปถึงบทบาทหน้าที่ของนักพัฒนาที่แม้จะเหน็ดเหนื่อยหรือยากลำบากเพียงใดก็ต้องทำด้วยหัวใจ
ยิ่งอริมาเสนอขอตามไปช่วยดูแลธารารินด้วย หัวหน้าวัยกลางคนจึงพอจะเบาใจลงเป็นเท่าตัว พร้อมกับโยกย้ายมอบหมายงานให้แก่พัฒนากรคนอื่นๆ เพิ่มเติมในวันนั้นเลย
และคนที่ได้รับหน้าที่อันมากมายนี้ไปอย่างเต็มๆ คือป้าพร ที่ต้องรับผิดชอบงานถึงสองตำบลและต้องสานต่องานของธารารินกับอริมาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาครึ่งปี
คุณป้าจอมปากมากถึงกับผงะเมื่อได้รับคำสั่งนั้นจากหัวหน้า ทั้งอิดออดขอผ่อนผัน ขอยกงานนี้ให้กับคนอื่น แต่หัวหน้ากลับค้านเพราะคนอื่นๆ ก็มีหน้าที่ของตนเองอยู่แล้ว
ผลที่ออกมา ยิ่งสร้างความไม่พึงใจในตัวของสาวกรุงเทพฯ และอริมาเท่าทบทวี โดยไม่คิดมองย้อนไปว่าตนนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุชนวนของเรื่องราวทั้งหมด
ความแค้นนั้นสุมแน่นในหัวอก หญิงชราวัยใกล้เกษียรเข่นเขี้ยวอย่างเจ็บแค้นและได้แต่เก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ในหน้าระหว่างอยู่ต่อหน้าผู้บังคับบัญชา จนกระทั่งทุกคนแยกย้ายออกจากห้องประชุม เห็นอริมากับธารารินเดินพูดคุยกะหนุงกะหนิงเตรียมจะไปทานข้าว คุณป้ามหาภัยจึงรี่มาดักหน้าพร้อมกับตีหน้ายักษ์หน้ามาร
เห็นดังนั้นทั้งธารารินและอริมาจึงรู้อย่างทันทีว่าคุณป้ามหาภัยต้องการอะไรจากพวกเธอ
“มีอะไรหรือคะป้าพร”
สาวจากเมืองกรุงทำใจดีสู้เสือร้าย ส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายพร้อมเชิดหน้าทำเป็นไม่เข้าใจในกระแสดำมืดที่แผ่มาจากหญิงสูงวัย
“ชั้นน่ะรึ....” หล่อนทำเสียงสูงพร้อมจิกตามองสองสาวรุ่นลูก “ก็แค่จะมาอวยพรให้กับพวกหล่อนเท่านั้นแหละ ชั้นขออนุโมทนาสาธุคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขอจงดลบันดาลให้พวกหล่อนได้เป็นคนป่าคนเถื่อนสมใจ เป็นคนแม้วคนดอยไปตลอดชีวิตนะ อย่าได้กลับมาที่พื้นราบนี่อีก นี่ถ้าขอให้ถูกทหารป่า พวกค้ายาจับไปเป็นเมียได้ชั้นก็จะขอแล้ว ติดแต่ว่ายังสงสารพวกเด็กอ่อนหัดอย่างพวกหล่อนอยู่น่ะเลยคิดยั้งปากเอาไว้ทัน”
พอประโยคนั้นจบลงหญิงสูงวัยก็นิ่งมองปฏิกิริยาของสองสาวที่ยังยืนนิ่ง จะนิ่งอึ้งตกใจหรือนิ่งด้วยเหตุผลอะไรเห็นจะเดายากในคราวนี้
ทางฝ่ายธารารินได้แค่จุดยิ้มแล้วกระทำในสิ่งที่ป้าพรไม่อาจคาดเดาว่าเธอจะทำง่ายๆ
สาวจากเมืองกรุงพนมมือแล้วไหว้หล่อนพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณด้วยลักษณะท่าทีนิ่งราวคนไม่สะทกสะท้านต่อคำประชดประชันเหล่านั้น ก่อนจะจูงมืออริมาเดินจากไปโดยไม่สนใจคุณป้าวัยดึกอีก
เป็นฝ่ายทางนางปากมากเสียเองที่ตัวสั่นเทิ้ม ควบคุมอาการโกรธแค้นชิงชังของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่
####
ระหว่างรับประทานอาหารเที่ยงนั้นอริมามองหน้าธาราริน พร้อมกับนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อนาทีก่อนแล้วพาลหนักใจตามไปด้วย
ดูเหมือนป้าพรจะแสดงความไม่พอใจออกมาแรงกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเห็นมา ยิ่งธารารินประกาศอย่างชัดเจนที่จะยืนอยู่อีกข้างของคุณป้ามหาภัย หล่อนก็ยิ่งหวั่นกลัวนั่นเพราะใจหนึ่งก็ยังเคารพในความเป็นผู้ใหญ่ของคุณป้าอยู่
“น้องธารไม่น่าทำท่าแบบนั้นกับป้าพรเลย” เธอเอ่ยเตือนเสียงแผ่ว มองหน้าธารารินอย่างหนักใจแทน
ฝ่ายสาวจากเมืองกรุงแค่จุดยิ้ม ก่อนจะวางช้อน ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่อินังขังขอบกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป
“ทำไมหรือคะ ธารก็แค่ยกมือรับไหว้เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่อวยพรก็เท่านั้น ไม่ได้ทำผิดอะไรนี่คะ”
“เท่าที่ดูก็รู้ว่าน้องประชดป้าแก”
“ไม่ได้ประชดจริงๆ ค่ะพี่อบ แหม...ธารไม่ได้ตั้งแง่หรืออะไรกับป้าแกเลยนะคะ พี่อบก็รู้นี่ว่าป้าพรเป็นคนอย่างไร”
“ดูเหมือนว่าป้าแกจะโกรธมากเลยนะคะที่เราเดินหนีมาอย่างไม่ตอบคำ นอกจากแค่ธารยกมือไหว้”
“ธารหิวนี่คะเลยรีบพาพี่หนีออกมา พอค่ะพอ ธารว่าเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้กันเลยนะคะ เรามาวางแผนกันดีกว่าว่าจะเตรียมตัวเดินทางไปที่หมู่บ้านผาตะวันกันเมื่อไหร่”
“เหอะ...คิดเร็ว ทำเร็วจริงๆ นะ พี่ชักจะหมั่นไส้เพราะตามไม่ทันเธอแล้วสิ”
อริมาค้อนน้องสาวก่อนจะรวบช้อนแล้วเลื่อนจานอาหารไปไว้ด้านข้าง แล้วจึงหันมาปราศรัยกับธารารินในเรื่องการเตรียมตัวเดินทางไปปฏิบัติงานยังหมู่บ้านผาตะวันในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า
ซึ่งข้อมูลที่ธารารินได้รับฟังจากอริมาเพิ่มเติมในวินาทีนั้นว่า จริงๆ แล้วอำเภอเชียงตะวันมีทั้งหมดสิบตำบล ซึ่งหมู่บ้านผาตะวันอยู่ในเขตความรับผิดชิดของตำบลผาม่าน ซึ่งหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้อยู่ห่างไกลความเจริญและห่างจากที่ว่าการองค์การบริหารส่วนตำบลผาม่านอยู่ไกลอักโข ซึ่งระยะทางของหมู่บ้านในป่าใหญ่นี้ไกลจากตัวอำเภอถึงเจ็ดสิบกิโลเมตร การสัญจรไปมาแต่ละครั้งลำบากเพราะต้องผ่านห้วยระหานและขุนเขาน้อยใหญ่อันทุรกันดาร
ด้วยการสัญจรที่ยากลำบากนี่เองจึงไม่ค่อยมีหน่วยงานทางราชการเดินทางไปดูแล ได้แต่ปล่อยให้ชาวบ้านผาตะวันกันเอง จะมีเพียงเจ้าหน้าที่อาสาสมัครทหารพรานและเจ้าหน้าที่จากหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลำน้ำยมเท่านั้นที่ดูแลและช่วยเหลือกลุ่มชาวบ้านในยามจำเป็น
รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนจากกองร้อยในพื้นที่ก็ได้เดินทางมาดูแลชาวบ้านเป็นครั้งคราวเท่านั้น
###
แสงตะวันค่อยๆ เลือนลาลับเหลี่ยมเขาไปทีละน้อยพร้อมกับแสงสุดท้ายของวันนั้นหมดลงไป โดยมีความเย็นแทรกผ่านแทนที่แผ่ปกคลุมไปทั่วผืนป่าแห่งนั้น
ที่หน้าสำนักงานหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลำน้ำยม ซึ่งในอาณาบริเวณนั้นมีบ้านพักของข้าราชการพลเรือนอยู่สองหลังให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งประจำการอยู่เพียงห้านายเท่านั้น คือนักวิชาการป่าไม้และควบตำแหน่งหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำฯ คือภูตะวัน สัญธิมา เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ได้แก่ ศิลา กมลภักดิ์, ภูผา นิลวรรณ, ณัฐวัฒน์ กุลนันท์และพัน พงษ์พันธ์ ซึ่งเรือนพักหลังแรกนั้นเป็นของภูตะวันและศิลา ส่วนอีกหลังหนึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่อีกสามนายพักร่วมกัน
ณัฐวัฒน์ได้ก่อกองไฟกองใหญ่ขึ้นที่ลานด้านหน้าเรือนพักทั้งสองหลังและอาคารสำนักงานซึ่งหันหน้าจรดเข้าหากันเป็นรูปตัวยู ก่อนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ จะช่วยกันขนโต๊ะออกมาตั้งพร้อมทำอาหารเย็นแบบง่ายๆ กันตรงนั้นเลย
เสียงพูดคุยกันตามประสาหนุ่มๆ ดังหยอกกันอยู่เป็นระยะ บ้างก็พูดเล่นตามความที่สนิทสนมกัน ก่อนจะวกกลับไปคุยถึงเรื่องการเดินป่าของเจ้าหน้าที่ทั้งสี่นายยกเว้นภูผา นิลวรรณที่อยู่เฝ้าสำนักงาน บรรยากาศในป่าที่เต็มไปด้วยความงดงาม กับเหตุการณ์ชวนระทึกขวัญที่พวกเขาและเจ้าหน้าที่อาสาสมัครทหารพรานพบเจอกับฝูงกระทิงป่าที่กำลังเดินทางไปกินหญ้าที่ทุ่งลานดาว ทุ่งหญ้าผืนใหญ่เพียงแห่งเดียวที่ซุกตัวอยู่ในผืนป่ากว้างแห่งนี้
ไม่นานภูตะวัน ก็เดินลงจากเรือนพักพร้อมกับถ้วยกาแฟ หัวหน้าของพวกเขาขยับมานั่งบนขอนไม้ข้างกองไฟกองใหญ่นั้น
“หัวหน้าครับ อาทิตย์หน้าเราจะไปทางทุ่งลานดาวไหมครับ ผมจะได้นำกล้องถ่ายภาพติดตัวไปถ่ายกระทิงฝูงนั้นด้วย”
ณัฐวัฒน์หันไปถามหัวหน้าทีมอย่างสนใจในคำตอบ เสียดายวันก่อนเขาลืมนำกล้องถ่ายภาพติดตัวไปด้วยจึงอดที่จะได้ภาพสวยๆ มาเก็บไว้
ณัฐวัฒน์ กุลนันท์เป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกลที่เพิ่งบรรจุเข้าทำงานในหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลำน้ำยม เด็กหนุ่มอายุกำลังย่างยี่สิบห้า พร้อมกับเป็นคนที่ชอบถ่ายภาพมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาจึงชื่นชอบบรรยากาศในผืนป่าใหญ่อันเขียวขจีกับธรรมชาติอันรังสรรค์อย่างลงตัวจึงได้ขอเข้าบรรจุงานที่หน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำแห่งนี้
ซึ่งความสามารถของณัฐวัฒน์นี่เองที่เป็นส่วนช่วยให้หน่วยพิทักษ์ฯ แห่งนี้มีภาพถ่ายสวยๆ ประกอบการรายงาน
เช่นเดียวกับศิลา ซึ่งอายุอานามห่างจากณัฐวัฒน์เพียงไม่กี่ปี ประกอบกับอุปนิสัยที่ร่าเริงคล้ายๆ กัน ทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว โดยมีศิลานี่ล่ะที่ช่วยสอนงานในด้านต่างๆ ให้กับณัฐวัฒน์จนเป็นงานอย่างรวดเร็ว
ทางฝ่ายของภูผาและพัน นั้นทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่วัยกลางคนซึ่งอยู่ที่หน่วยพิทักษ์ฯ แห่งนี้ตั้งแต่ยังไม่มีสำนักงาน พวกเขาประจำการตั้งแต่แรกเริ่มที่เป็นแค่ศูนย์ระวังและรักษาป่าต้นน้ำเท่านั้น จึงจัดว่าเป็นคนเก่าคนแก่ที่สุดของหน่วยแห่งนี้
“พี่ไม่แน่ใจหรอกนะ เพราะอาทิตย์หน้าเราจะไปทางทิศเหนือ ไปดูผืนป่าผาม่านเพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของต้นน้ำยม”
หัวหน้าทีมหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ
“แต่ถ้าทิวหมอกอยากจะไป ตอนเดินทางกลับเราสามารถตัดสันเขาไปแวะที่นั่นสักวันก็ได้”
“ยอดเยี่ยมเลยครับหัวหน้า” เด็กหนุ่มยิ้มแย้มอย่างดีใจเป็นที่สุด รอยยิ้มของเขาดูสดใสตามวัย ยิ่งเห็นเขี้ยวเสน่ห์ทั้งสองข้างแล้วเชื่อได้ว่าเมื่อหญิงสาวคนใดเห็นแล้วเป็นต้องหลงเจ้าหนุ่มอย่างทันทีแน่นอน
แต่ความมีเสน่ห์นี้กลับทำให้เด็กหนุ่มไม่ชอบใจนักเพราะตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมจวบจนเรียนมหาลัยเขามักจะถูกเพื่อนที่สนิทกันแซวว่าเขี้ยวเสน่ห์ของเขานั้นที่จริงแล้วเรียกอีกอย่างว่าเขี้ยวหมา
ซึ่งในเวลานี้คนที่แซวต่อจากกลุ่มเพื่อนของเขานั้นเห็นจะไม่พ้นศิลา
“ตลอดเลยนะครับหัวหน้า ตามใจไอ้นี่อยู่เรื่อย ดูสิมันแยกเขี้ยวเหมือนจะกัดผมอีกแล้ว”
เสียงแซวจากศิลาทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นในหมู่ของเจ้าหน้าที่หนุ่มๆ หากยกเว้นณัฐวัฒน์ที่หุบยิ้มอย่างทันทีก่อนจะทำหน้าบึ้งค้อนพี่ชายนายหินไปเสียวงโต
“อย่าให้ผมได้กัดนะครับพี่หิน ผมจะกัดไม่ปล่อยเลยล่ะ”
“งั้นฉันไม่อยู่ใกล้แกล่ะไอ้ทิว เดี๋ยวโดนกัด”
ศิลารับมุกแล้วกระโดดไปนั่งบนขอนไม้ข้างๆ กับหัวหน้าของตน
“นู่นครับหัวหน้า...มีใครมาอีกล่ะนั่น”
มานั่งไม่ถึงนาที สายตาอันคมกล้าของศิลาก็จับเข้ากับบุคคลกว่าห้าคนที่เดินลัดเลาะมาตามเส้นทางตรงมายังกลุ่มเจ้าหน้าที่หนุ่มที่กำลังจัดเตรียมอาหารเย็นกันอยู่
เช่นเดียวกับภูตะวันที่มองตามคำของศิลา เจ้าหนุ่มจุดยิ้มแล้วลุกจากที่เมื่อเห็นอย่างชัดเจนว่ากลุ่มชาวบ้านที่เดินมาหานั้นเป็นใคร
และเพียงแค่เห็นนักวิชาการป่าไม้หนุ่มเท่านั้น เด็กชายตัวน้อยวัยสามหรือสี่ขวบที่มารดาจูงแขนมาพร้อมกับชาวบ้านกลุ่มนั้นก็ยิ้มแล้วร้องเรียกชายหนุ่ม ก่อนเจ้าของร่างสั้นป้อมนั้นจะปล่อยมือจากมารดาแล้ววิ่งรี่มาหาเขาอย่างทันที
“นั่น ลูกชายหัวหน้ามาหาแล้ว”
ศิลาเปิดเสียงหัวเราะแล้วแซวหัวหน้าของตนตามประสา
####โปรดติดตามตอนต่อไป####
ธารารินมาทำงานในช่วงเช้าของวันนั้นตามปกติ ทว่าในความรู้สึกของเธอกลับมองออกว่าในคลื่นแห่งความสงบเงียบนั้นมีกระแสบางอย่างแทรกเข้ามาจนเธอสัมผัสได้ เสมือนจะเป็นสงครามเย็นที่มาจากผู้คนรอบข้างเตรียมห้ำหั่นเธออย่างเลือดเย็น
หรือไม่ก็คล้ายกับบรรยากาศความนิ่งสงบของเหตุการณ์ก่อนเกิดพายุร้ายในช่วงนอกฤดูกาล
ซึ่งสิ่งเหล่านี้อริมาย่อมรับรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอนึกสงสารและห่วงหญิงสาวต่างบ้านต่างเมืองคนนี้จึงได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่และมิวายฉุดพาธารารินตามออกไปด้วย
เพียงแค่ลับหลังสองสาวไปเท่านั้น ก็บังเกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อันมีที่มาจากป้าพรเป็นอันดับแรก พร้อมจุดไฟไล่ไปยังเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ อย่างสนุกปาก ราวกับคนที่เพิ่งได้รับถ้วยรางวัลคนปากมากมาหมาดๆ
ดูเหมือนว่าใครหลายๆ คนที่ไม่ค่อยชอบธารารินตั้งแต่แรกอยู่แล้วยิ่งทบทวีแรงริษยาในตัวเด็กสาวมากขึ้นไปอีก ทั้งที่ไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็นเลยหากจะนับกับความสามารถและการทำงานกันจริงๆ
ในห้องของหัวหน้าอมรเทพ เขาได้แต่ยืนฟังบทสนทนาอันถึงพริกถึงขิงเหล่านั้นแล้วนิ่งเงียบ ชายวัยกลางคนได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับอุปนิสัยของกลุ่มลูกทีมที่มักใช้ปากพูดมากกว่าทำงาน
บ่อยครั้งที่เขาตักเตือน หากเพราะเห็นว่าอยู่มาก่อน ป้าพรหรือคนอื่นๆ กลับยิ่งตั้งแง่ มีทางเดียวที่หัวหน้าอมรเทพทำคือนิ่งเฉยแล้วทำงานเป็นตัวอย่าง พร้อมปล่อยให้ป้าพรหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ทำตามใจชอบเพราะเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีทั้งหมดก็จะปลดเกษียรและลาออกกันไปเอง จากนั้นก็จะมีนักพัฒนารุ่นใหม่อย่างธารารินและอริมาเข้ามาแทนที่
เขาเบื่อที่จะว่ากล่าวตักเตือน เพราะถึงพูดไปคนพวกนี้ก็ไม่ยอมฟังอยู่ดี
นี่เองหรอกหรือ...เจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง
###
ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเช้าของวันนั้น จนกระทั่งอริมาฉุดเธอออกจากสนามสงครามเย็น แต่ธารารินกลับเป็นฝ่ายนิ่งเงียบ ข่มและเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ในหัวใจ โดยใช้รอยยิ้มกลบเกลื่อนเอาไว้อย่างอดทน
แม้จะกลัวกับอิทธิพลมืดที่มีอยู่มากมาย ซึ่งก่อนหน้าพี่สีฟ้าเคยตักเตือนเธอมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่เธอยังเชื่อว่าการทำงานด้วยความสามารถของเธอจะทำให้ทุกๆ คน ทุกๆ ฝ่ายยอมรับ
จนกระทั่งบัดนี้ถึงได้รู้ว่าดวงจิตอันแน่วแน่ของเธอในคราวแรกที่ดื้อรั้นขอลงมาพัฒนางานยังอำเภอนี้มันไม่ได้มีความหมายเอาเสียเลย
ยังดีที่มีอริมาอยู่เคียงข้าง คอยเป็นพี่เลี้ยงที่มากกว่าพี่เลี้ยง
อย่างน้อยท่ามกลางความไร้น้ำใจของผู้คนก็ยังมีคนที่จริงใจกับเธออยู่
“พี่อบคะ...” หญิงสาวเอ่ยขึ้นหลังจากกลับมาจากการติดต่อประสานงานในตำบลของอริมาและทั้งสองมาแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ ในหมู่บ้าน “พี่เคยบอกกับธารว่าที่หมู่บ้านผาตะวันไม่เคยมีพัฒนากรใช่ไหมคะ”
อริมามองหน้าสาวรุ่นน้องอย่างแปลกใจในคำถาม ก่อนจะพยักหน้าในนาทีต่อมา
“ใช่จ้ะ ไม่มีใครยอมไปที่นั่นหรอกเพราะมันไกลจากตัวเมืองมาก เส้นทางสัญจรก็ลำบาก มีแต่ป่ากับภูเขาสูง น้องธารถามทำไมหรือคะ”
“แล้วพี่อบก็เคยบอกกับธารว่า หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านในโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ที่ในหลวงและพระราชินีท่านจัดสรรที่ทำกินให้กับชาวบ้าน ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้มีบรรยากาศดีมากๆ เลยใช่ไหมคะ”
“ค่ะ...บรรยากาศที่นั่นดีมากๆ เลยค่ะ พี่เคยไปมาครั้งหนึ่งเมื่อคราวที่ตัวแทนพระองค์ท่านเดินทางมาดูหมู่บ้านนี้เมื่อสองสามปีก่อน หลังจากนั้นพี่ก็ไม่ได้ไปอีกเลยเพราะมันไกลอย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ”
“ธารอยากจะไปที่หมู่บ้านนี้จังเลยค่ะ อยากไปดูการรวมกลุ่มทำงานของพวกเขาจัง”
“หมายความว่าอย่างไรคะ พี่ไม่เข้าใจ”
ในใจของอริมานั้นความจริงมีคำตอบอยู่แล้วว่าธารารินต้องการอะไร เพียงแต่ว่าเธอยังไม่อยากคิดไกลไปถึงขั้นนั้นเพราะอย่างน้อยคำตอบที่เธออยากจะได้ยินในเวลานี้คือธารารินต้องการข้อมูลของที่นั่นเพราะอยากจะไปเยี่ยมชมหมู่บ้านผาตะวันดูเท่านั้น
ไม่ใช่ต้องการปลีกตัวเองหนีสถานการณ์อันเลวร้ายไปทำงาน
ทว่าคำตอบที่ได้รับฟังจากสาวรุ่นน้องกลับทำให้อริมานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นั่นเพราะธารารินต้องการอย่างที่เธอนึกกลัวในคราวแรกจริงๆ
ครั้งให้เหตุผลว่าสถานที่นั่นลำบากและไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมากไปกว่าชุมชนในยุคสมัยที่ถอยหลังไปเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน กลับยิ่งกลายเป็นสิ่งผลักดันให้ธารารินยืนยันซึ่งความต้องการในคราวแรก
“พี่ไม่สนับสนุนเลยนะคะ กับความคิดที่จะต้องหนีปัญหาของน้อง”
“ธารไม่ได้หนีค่ะ”
เด็กสาวยิ้ม นั่นเป็นยิ้มที่สดใสน่ารักตามวัยของเธอ อริมาซึ่งอายุห่างจากธารารินเพียงไม่กี่ปียังนึกอิจฉาในความน่ารักของเธอไม่ได้
แม้จะเรียนจบปริญญาโท หากรูปร่างหน้าตาของธารารินไม่ได้แก่ตามภูมิความรู้เลยสักนิด หญิงสาวยังเสมือนสาวสวยวัยยี่สิบต้นๆ ที่เพิ่งเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำ
“ธารแค่ต้องการไปพัฒนาและเห็นวิถีชีวิตของหมู่บ้านผาตะวันสักหนึ่งปีเท่านั้นนะคะ...พัฒนาตามรอยพระราชินีที่เคยย่างพระบาทไปเยี่ยมชมหมู่บ้านแห่งนั้นพร้อมกับจัดสรรที่ทำกินให้กับกลุ่มชาวบ้าน ธารอยากจะเห็นค่ะ ธารอยากจะเห็นประชาชนของพระองค์ท่านหลังจากได้มีที่ทำกินเป็นของตัวเองแล้ว”
“แต่นั่นก็นานหลายสิบปีแล้วนะคะ นานมากแล้วที่พระองค์ท่านเสด็จมา หมู่บ้านแห่งนั้นก็เหมือนหมู่บ้านชาวพื้นเมืองทั่วๆ ไปนั่นแหละ เหมือนอย่างหมู่บ้านปางตอกที่น้องรับผิดชอบพื้นที่อย่างไรล่ะคะ”
“ในทางกลับกันธารกลับคิดว่ามันแตกต่างกันค่ะ”
หญิงสาวเถียง ประกายตาทั้งสองข้างทอสดใส
“อย่าลืมสิคะว่าหมู่บ้านผาตะวันเป็นหมู่บ้านในโครงการหลวง ย่อมจะมีความน่าสนใจอยู่อย่างมากมายเลย”
“ถ้าน้องธารอยากจะไป พี่พาไปได้ค่ะ แต่จะไปปฏิบัติหน้าที่ที่นั่นเห็นทีพี่จะขอคัดค้าน เพราะการสัญจรนั้นไกลและไม่สะดวกเอาเสียเลย กว่าจะเดินทางไปและกลับก็ใช้เวลาเป็นวันแล้วนะคะ แล้วเราจะไปเอาเวลาที่ไหนทำงาน”
“ธารจะไม่เดินทางค่ะ ธารจะพักที่นั่น”
“น้องธาร!!” อริมาขานชื่อน้องสาวเสียงดัง “อย่าลืมสิคะว่าที่หมู่บ้านนั้นมีแต่ป่ากับป่า เขาไม่มีรีสอร์ตหรือโรงแรมหรอกนะคะ”
“โรงเรียน วัด หรือบ้านชาวบ้านเขามีที่นอนให้นะคะ”
“วัดไม่มีค่ะ ส่วนโรงเรียนก็ไม่มี จะมีแต่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเท่านั้น”
“นั่นไงล่ะคะ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนก็คือที่นอนของธารได้นะคะ”
“ธาราริน ทำไมน้องถึงได้ดื้ออย่างนี้นะ สถานที่แบบนั้นมันไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่น้องคิดเลยนะคะ เชื่อพี่เถอะ อย่าไป ไม่มีใครเขาไปกันหรอกถ้าไม่จำเป็นที่จะจัดฉากกันจริงๆ”
“ธารไม่เถียงเลยนะคะที่ชาวบ้านผาตะวันจะถูกทอดทิ้งจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ”
หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าแล้วถอนใจ ฝ่ายอริมาก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน หล่อนกำลังคิดอ่านใจสาวรุ่นน้องว่าธารารินต้องการอะไรกันแน่
หนีจากเสียงนกเสียงกาและเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง ซึ่งมันอาจจะเป็นความคิดเพียงชั่ววูบของเด็กคนหนึ่งเท่านั้น
หรือทำงานทุกอย่างด้วยหัวใจรักในการพัฒนากันแน่
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหน อริมาดูเหมือนจะหนักใจเป็นที่สุดที่ต้องใช้ความพยายามห้ามไม่ให้หญิงสาวซึ่งไม่เคยพบกับสถานการณ์ลำบากลำบนมาก่อนหยุดความคิดเหล่านั้นได้เลย
ธาราริน ถิ่นเมฆา ดูเหมือนจะตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องไปยังหมู่บ้านนั้นให้ได้
หมู่บ้านผาตะวัน หมู่บ้านในโครงการหลวงที่พระราชินีท่านจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่พวกเขา
“นี่พี่ไม่สามารถจะหาเหตุผลอะไรมาห้ามน้องได้แล้วใช่ไหมคะ”
เนิ่นนานกว่าอริมาจะหลุดคำนั้นออกมาได้ ประหนึ่งมันคือหนทางสุดท้ายในหลายๆ เส้นทางที่มีแต่ทางตัน
ฝ่ายธารารินเปิดยิ้ม ดวงตาคู่สวยเป็นประกาย ก่อนสาวเจ้าจะเปิดเสียงหัวเราะออกมายามเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอริมา
“พี่อบทำหน้าเครียดเหมือนกับพี่ชายของธารในตอนที่รู้ว่าธารจะมาปฏิบัติงานราชการที่ภาคเหนือเลยนะคะ”
“ใช่ค่ะ” อริมาพยักหน้าเครียดๆ นั้น “พี่กำลังเครียดเหมือนอย่างกับน้องธารเข้าใจ นั่นเพราะพี่ก็คงจะมีเหตุผลคล้ายกับพี่ชายของน้องธารยามรู้ว่าน้องจะมาที่จังหวัดนี้”
“แต่พี่คินก็ไม่อาจจะขัดขวางความตั้งใจของธารได้ เพราะธารคิดและตรึกตรองทุกอย่างดีแล้วล่ะค่ะ”
“แต่พี่....”
นึกจะขัดคำนั้น ทว่ากลับถูกธารารินเลื่อนมากุมมือของเธอเอาไว้ อริมาจึงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือนั้นก็พบเจอกับสายตาแน่วแน่จนยากที่ใครจะขวางได้
“เชื่อธารนะคะ เชื่อว่าธารจะต้องทำได้ อย่าลืมสิคะว่าพวกเราเป็นนักพัฒนา เป็นข้ารองบาทขององค์พ่อหลวง ขนาดพระองค์ท่านยังไปได้ไหนเลยว่าเราจะไปไม่ได้ ใช่ไหมคะ”
สายตาของธารารินแน่วแน่เหลือเกิน แน่วแน่จนอริมานึกหวั่นกลัวกับเหตุการณ์ในภายภาคหน้า
สาวเมืองกรุงจะทำอย่างไรได้เล่า หากต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนต่างบ้านต่างเมืองและแปลกหน้า ซึ่งหล่อนไม่อาจจะรู้ได้ว่าใครที่จริงใจกับตัวอย่างแท้จริง
อริมาได้แต่ถอนใจและก้มหน้าลงทานข้าวเที่ยงของวันนั้นอย่างเงียบๆ เมื่อธารารินเป็นฝ่ายตัดบทชวนเธอทานข้าว ยุติเรื่องเครียดๆ เหล่านั้นลงอย่างไม่คิดจะหันมารื้อฟื้นให้ซ้ำซากอีก
###
ดูเหมือนจะเป็นการง่ายเหลือเกินสำหรับการขอย้ายพื้นที่ปฏิบัติงานของธาราริน เพราะหัวหน้าอมรเทพเห็นควรกับเหตุผลของหญิงสาวอยู่แล้ว ยิ่งเป็นหมู่บ้านห่างไกลที่ไม่เคยมีพัฒนากรคนใดเดินทางไปทำงานมาก่อน เขาจึงเห็นควรและอนุมัติอย่างทันที
บวกกับความตั้งใจอันแน่วแน่ของธาราริน แม้จะหวั่นกลัวอย่างอริมาที่เป็นในคราวแรก หากหัวหน้ากลับได้แต่นิ่งฟังหญิงสาวอธิบายถึงความจำเป็นในด้านต่างๆ รวมไปถึงบทบาทหน้าที่ของนักพัฒนาที่แม้จะเหน็ดเหนื่อยหรือยากลำบากเพียงใดก็ต้องทำด้วยหัวใจ
ยิ่งอริมาเสนอขอตามไปช่วยดูแลธารารินด้วย หัวหน้าวัยกลางคนจึงพอจะเบาใจลงเป็นเท่าตัว พร้อมกับโยกย้ายมอบหมายงานให้แก่พัฒนากรคนอื่นๆ เพิ่มเติมในวันนั้นเลย
และคนที่ได้รับหน้าที่อันมากมายนี้ไปอย่างเต็มๆ คือป้าพร ที่ต้องรับผิดชอบงานถึงสองตำบลและต้องสานต่องานของธารารินกับอริมาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาครึ่งปี
คุณป้าจอมปากมากถึงกับผงะเมื่อได้รับคำสั่งนั้นจากหัวหน้า ทั้งอิดออดขอผ่อนผัน ขอยกงานนี้ให้กับคนอื่น แต่หัวหน้ากลับค้านเพราะคนอื่นๆ ก็มีหน้าที่ของตนเองอยู่แล้ว
ผลที่ออกมา ยิ่งสร้างความไม่พึงใจในตัวของสาวกรุงเทพฯ และอริมาเท่าทบทวี โดยไม่คิดมองย้อนไปว่าตนนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุชนวนของเรื่องราวทั้งหมด
ความแค้นนั้นสุมแน่นในหัวอก หญิงชราวัยใกล้เกษียรเข่นเขี้ยวอย่างเจ็บแค้นและได้แต่เก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ในหน้าระหว่างอยู่ต่อหน้าผู้บังคับบัญชา จนกระทั่งทุกคนแยกย้ายออกจากห้องประชุม เห็นอริมากับธารารินเดินพูดคุยกะหนุงกะหนิงเตรียมจะไปทานข้าว คุณป้ามหาภัยจึงรี่มาดักหน้าพร้อมกับตีหน้ายักษ์หน้ามาร
เห็นดังนั้นทั้งธารารินและอริมาจึงรู้อย่างทันทีว่าคุณป้ามหาภัยต้องการอะไรจากพวกเธอ
“มีอะไรหรือคะป้าพร”
สาวจากเมืองกรุงทำใจดีสู้เสือร้าย ส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายพร้อมเชิดหน้าทำเป็นไม่เข้าใจในกระแสดำมืดที่แผ่มาจากหญิงสูงวัย
“ชั้นน่ะรึ....” หล่อนทำเสียงสูงพร้อมจิกตามองสองสาวรุ่นลูก “ก็แค่จะมาอวยพรให้กับพวกหล่อนเท่านั้นแหละ ชั้นขออนุโมทนาสาธุคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขอจงดลบันดาลให้พวกหล่อนได้เป็นคนป่าคนเถื่อนสมใจ เป็นคนแม้วคนดอยไปตลอดชีวิตนะ อย่าได้กลับมาที่พื้นราบนี่อีก นี่ถ้าขอให้ถูกทหารป่า พวกค้ายาจับไปเป็นเมียได้ชั้นก็จะขอแล้ว ติดแต่ว่ายังสงสารพวกเด็กอ่อนหัดอย่างพวกหล่อนอยู่น่ะเลยคิดยั้งปากเอาไว้ทัน”
พอประโยคนั้นจบลงหญิงสูงวัยก็นิ่งมองปฏิกิริยาของสองสาวที่ยังยืนนิ่ง จะนิ่งอึ้งตกใจหรือนิ่งด้วยเหตุผลอะไรเห็นจะเดายากในคราวนี้
ทางฝ่ายธารารินได้แค่จุดยิ้มแล้วกระทำในสิ่งที่ป้าพรไม่อาจคาดเดาว่าเธอจะทำง่ายๆ
สาวจากเมืองกรุงพนมมือแล้วไหว้หล่อนพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณด้วยลักษณะท่าทีนิ่งราวคนไม่สะทกสะท้านต่อคำประชดประชันเหล่านั้น ก่อนจะจูงมืออริมาเดินจากไปโดยไม่สนใจคุณป้าวัยดึกอีก
เป็นฝ่ายทางนางปากมากเสียเองที่ตัวสั่นเทิ้ม ควบคุมอาการโกรธแค้นชิงชังของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่
####
ระหว่างรับประทานอาหารเที่ยงนั้นอริมามองหน้าธาราริน พร้อมกับนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อนาทีก่อนแล้วพาลหนักใจตามไปด้วย
ดูเหมือนป้าพรจะแสดงความไม่พอใจออกมาแรงกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเห็นมา ยิ่งธารารินประกาศอย่างชัดเจนที่จะยืนอยู่อีกข้างของคุณป้ามหาภัย หล่อนก็ยิ่งหวั่นกลัวนั่นเพราะใจหนึ่งก็ยังเคารพในความเป็นผู้ใหญ่ของคุณป้าอยู่
“น้องธารไม่น่าทำท่าแบบนั้นกับป้าพรเลย” เธอเอ่ยเตือนเสียงแผ่ว มองหน้าธารารินอย่างหนักใจแทน
ฝ่ายสาวจากเมืองกรุงแค่จุดยิ้ม ก่อนจะวางช้อน ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่อินังขังขอบกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป
“ทำไมหรือคะ ธารก็แค่ยกมือรับไหว้เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่อวยพรก็เท่านั้น ไม่ได้ทำผิดอะไรนี่คะ”
“เท่าที่ดูก็รู้ว่าน้องประชดป้าแก”
“ไม่ได้ประชดจริงๆ ค่ะพี่อบ แหม...ธารไม่ได้ตั้งแง่หรืออะไรกับป้าแกเลยนะคะ พี่อบก็รู้นี่ว่าป้าพรเป็นคนอย่างไร”
“ดูเหมือนว่าป้าแกจะโกรธมากเลยนะคะที่เราเดินหนีมาอย่างไม่ตอบคำ นอกจากแค่ธารยกมือไหว้”
“ธารหิวนี่คะเลยรีบพาพี่หนีออกมา พอค่ะพอ ธารว่าเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้กันเลยนะคะ เรามาวางแผนกันดีกว่าว่าจะเตรียมตัวเดินทางไปที่หมู่บ้านผาตะวันกันเมื่อไหร่”
“เหอะ...คิดเร็ว ทำเร็วจริงๆ นะ พี่ชักจะหมั่นไส้เพราะตามไม่ทันเธอแล้วสิ”
อริมาค้อนน้องสาวก่อนจะรวบช้อนแล้วเลื่อนจานอาหารไปไว้ด้านข้าง แล้วจึงหันมาปราศรัยกับธารารินในเรื่องการเตรียมตัวเดินทางไปปฏิบัติงานยังหมู่บ้านผาตะวันในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า
ซึ่งข้อมูลที่ธารารินได้รับฟังจากอริมาเพิ่มเติมในวินาทีนั้นว่า จริงๆ แล้วอำเภอเชียงตะวันมีทั้งหมดสิบตำบล ซึ่งหมู่บ้านผาตะวันอยู่ในเขตความรับผิดชิดของตำบลผาม่าน ซึ่งหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้อยู่ห่างไกลความเจริญและห่างจากที่ว่าการองค์การบริหารส่วนตำบลผาม่านอยู่ไกลอักโข ซึ่งระยะทางของหมู่บ้านในป่าใหญ่นี้ไกลจากตัวอำเภอถึงเจ็ดสิบกิโลเมตร การสัญจรไปมาแต่ละครั้งลำบากเพราะต้องผ่านห้วยระหานและขุนเขาน้อยใหญ่อันทุรกันดาร
ด้วยการสัญจรที่ยากลำบากนี่เองจึงไม่ค่อยมีหน่วยงานทางราชการเดินทางไปดูแล ได้แต่ปล่อยให้ชาวบ้านผาตะวันกันเอง จะมีเพียงเจ้าหน้าที่อาสาสมัครทหารพรานและเจ้าหน้าที่จากหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลำน้ำยมเท่านั้นที่ดูแลและช่วยเหลือกลุ่มชาวบ้านในยามจำเป็น
รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนจากกองร้อยในพื้นที่ก็ได้เดินทางมาดูแลชาวบ้านเป็นครั้งคราวเท่านั้น
###
แสงตะวันค่อยๆ เลือนลาลับเหลี่ยมเขาไปทีละน้อยพร้อมกับแสงสุดท้ายของวันนั้นหมดลงไป โดยมีความเย็นแทรกผ่านแทนที่แผ่ปกคลุมไปทั่วผืนป่าแห่งนั้น
ที่หน้าสำนักงานหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลำน้ำยม ซึ่งในอาณาบริเวณนั้นมีบ้านพักของข้าราชการพลเรือนอยู่สองหลังให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งประจำการอยู่เพียงห้านายเท่านั้น คือนักวิชาการป่าไม้และควบตำแหน่งหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำฯ คือภูตะวัน สัญธิมา เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ได้แก่ ศิลา กมลภักดิ์, ภูผา นิลวรรณ, ณัฐวัฒน์ กุลนันท์และพัน พงษ์พันธ์ ซึ่งเรือนพักหลังแรกนั้นเป็นของภูตะวันและศิลา ส่วนอีกหลังหนึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่อีกสามนายพักร่วมกัน
ณัฐวัฒน์ได้ก่อกองไฟกองใหญ่ขึ้นที่ลานด้านหน้าเรือนพักทั้งสองหลังและอาคารสำนักงานซึ่งหันหน้าจรดเข้าหากันเป็นรูปตัวยู ก่อนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ จะช่วยกันขนโต๊ะออกมาตั้งพร้อมทำอาหารเย็นแบบง่ายๆ กันตรงนั้นเลย
เสียงพูดคุยกันตามประสาหนุ่มๆ ดังหยอกกันอยู่เป็นระยะ บ้างก็พูดเล่นตามความที่สนิทสนมกัน ก่อนจะวกกลับไปคุยถึงเรื่องการเดินป่าของเจ้าหน้าที่ทั้งสี่นายยกเว้นภูผา นิลวรรณที่อยู่เฝ้าสำนักงาน บรรยากาศในป่าที่เต็มไปด้วยความงดงาม กับเหตุการณ์ชวนระทึกขวัญที่พวกเขาและเจ้าหน้าที่อาสาสมัครทหารพรานพบเจอกับฝูงกระทิงป่าที่กำลังเดินทางไปกินหญ้าที่ทุ่งลานดาว ทุ่งหญ้าผืนใหญ่เพียงแห่งเดียวที่ซุกตัวอยู่ในผืนป่ากว้างแห่งนี้
ไม่นานภูตะวัน ก็เดินลงจากเรือนพักพร้อมกับถ้วยกาแฟ หัวหน้าของพวกเขาขยับมานั่งบนขอนไม้ข้างกองไฟกองใหญ่นั้น
“หัวหน้าครับ อาทิตย์หน้าเราจะไปทางทุ่งลานดาวไหมครับ ผมจะได้นำกล้องถ่ายภาพติดตัวไปถ่ายกระทิงฝูงนั้นด้วย”
ณัฐวัฒน์หันไปถามหัวหน้าทีมอย่างสนใจในคำตอบ เสียดายวันก่อนเขาลืมนำกล้องถ่ายภาพติดตัวไปด้วยจึงอดที่จะได้ภาพสวยๆ มาเก็บไว้
ณัฐวัฒน์ กุลนันท์เป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกลที่เพิ่งบรรจุเข้าทำงานในหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลำน้ำยม เด็กหนุ่มอายุกำลังย่างยี่สิบห้า พร้อมกับเป็นคนที่ชอบถ่ายภาพมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาจึงชื่นชอบบรรยากาศในผืนป่าใหญ่อันเขียวขจีกับธรรมชาติอันรังสรรค์อย่างลงตัวจึงได้ขอเข้าบรรจุงานที่หน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำแห่งนี้
ซึ่งความสามารถของณัฐวัฒน์นี่เองที่เป็นส่วนช่วยให้หน่วยพิทักษ์ฯ แห่งนี้มีภาพถ่ายสวยๆ ประกอบการรายงาน
เช่นเดียวกับศิลา ซึ่งอายุอานามห่างจากณัฐวัฒน์เพียงไม่กี่ปี ประกอบกับอุปนิสัยที่ร่าเริงคล้ายๆ กัน ทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว โดยมีศิลานี่ล่ะที่ช่วยสอนงานในด้านต่างๆ ให้กับณัฐวัฒน์จนเป็นงานอย่างรวดเร็ว
ทางฝ่ายของภูผาและพัน นั้นทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่วัยกลางคนซึ่งอยู่ที่หน่วยพิทักษ์ฯ แห่งนี้ตั้งแต่ยังไม่มีสำนักงาน พวกเขาประจำการตั้งแต่แรกเริ่มที่เป็นแค่ศูนย์ระวังและรักษาป่าต้นน้ำเท่านั้น จึงจัดว่าเป็นคนเก่าคนแก่ที่สุดของหน่วยแห่งนี้
“พี่ไม่แน่ใจหรอกนะ เพราะอาทิตย์หน้าเราจะไปทางทิศเหนือ ไปดูผืนป่าผาม่านเพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของต้นน้ำยม”
หัวหน้าทีมหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ
“แต่ถ้าทิวหมอกอยากจะไป ตอนเดินทางกลับเราสามารถตัดสันเขาไปแวะที่นั่นสักวันก็ได้”
“ยอดเยี่ยมเลยครับหัวหน้า” เด็กหนุ่มยิ้มแย้มอย่างดีใจเป็นที่สุด รอยยิ้มของเขาดูสดใสตามวัย ยิ่งเห็นเขี้ยวเสน่ห์ทั้งสองข้างแล้วเชื่อได้ว่าเมื่อหญิงสาวคนใดเห็นแล้วเป็นต้องหลงเจ้าหนุ่มอย่างทันทีแน่นอน
แต่ความมีเสน่ห์นี้กลับทำให้เด็กหนุ่มไม่ชอบใจนักเพราะตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมจวบจนเรียนมหาลัยเขามักจะถูกเพื่อนที่สนิทกันแซวว่าเขี้ยวเสน่ห์ของเขานั้นที่จริงแล้วเรียกอีกอย่างว่าเขี้ยวหมา
ซึ่งในเวลานี้คนที่แซวต่อจากกลุ่มเพื่อนของเขานั้นเห็นจะไม่พ้นศิลา
“ตลอดเลยนะครับหัวหน้า ตามใจไอ้นี่อยู่เรื่อย ดูสิมันแยกเขี้ยวเหมือนจะกัดผมอีกแล้ว”
เสียงแซวจากศิลาทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นในหมู่ของเจ้าหน้าที่หนุ่มๆ หากยกเว้นณัฐวัฒน์ที่หุบยิ้มอย่างทันทีก่อนจะทำหน้าบึ้งค้อนพี่ชายนายหินไปเสียวงโต
“อย่าให้ผมได้กัดนะครับพี่หิน ผมจะกัดไม่ปล่อยเลยล่ะ”
“งั้นฉันไม่อยู่ใกล้แกล่ะไอ้ทิว เดี๋ยวโดนกัด”
ศิลารับมุกแล้วกระโดดไปนั่งบนขอนไม้ข้างๆ กับหัวหน้าของตน
“นู่นครับหัวหน้า...มีใครมาอีกล่ะนั่น”
มานั่งไม่ถึงนาที สายตาอันคมกล้าของศิลาก็จับเข้ากับบุคคลกว่าห้าคนที่เดินลัดเลาะมาตามเส้นทางตรงมายังกลุ่มเจ้าหน้าที่หนุ่มที่กำลังจัดเตรียมอาหารเย็นกันอยู่
เช่นเดียวกับภูตะวันที่มองตามคำของศิลา เจ้าหนุ่มจุดยิ้มแล้วลุกจากที่เมื่อเห็นอย่างชัดเจนว่ากลุ่มชาวบ้านที่เดินมาหานั้นเป็นใคร
และเพียงแค่เห็นนักวิชาการป่าไม้หนุ่มเท่านั้น เด็กชายตัวน้อยวัยสามหรือสี่ขวบที่มารดาจูงแขนมาพร้อมกับชาวบ้านกลุ่มนั้นก็ยิ้มแล้วร้องเรียกชายหนุ่ม ก่อนเจ้าของร่างสั้นป้อมนั้นจะปล่อยมือจากมารดาแล้ววิ่งรี่มาหาเขาอย่างทันที
“นั่น ลูกชายหัวหน้ามาหาแล้ว”
ศิลาเปิดเสียงหัวเราะแล้วแซวหัวหน้าของตนตามประสา
####โปรดติดตามตอนต่อไป####
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มิ.ย. 2557, 17:07:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ค. 2557, 15:06:18 น.
จำนวนการเข้าชม : 1107
<< ตอนที่ ๐๒ งานพัฒนา | ตอนที่ ๐๔ สู่หมู่บ้านกลางป่า >> |