ม่านลวง
การแต่งงานเพราะผลประโยชน์ทำให้เธอได้พบกับเขา ผู้ชายคนแรกในคืน one night stand น่าขำที่เธอตกหลุมรักชายคนนี้ทั้งที่ก่อนนั้นไม่อยากแต่งงาน และนั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลง แล้วเขาล่ะ...คิดกับเธออย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 4 (1/2)







สามสัปดาห์ที่ผ่านไปนับตั้งแต่รู้ความจริงเรื่องถิรคุณ ถิรมนมีกิจกรรมสำคัญคือการไปเยี่ยมบิดา หญิงสาวไม่กล้าเอ่ยถามว่าเหตุใดถิรคุณจึงอยู่ในเรือนจำเช่นนั้น สาเหตุเพราะอะไร ด้วยเมื่อไหร่ที่ได้พบถิรคุณ หญิงสาวก็ไม่กล้าทำลายบรรยากาศ เวลาที่เห็นหน้าและได้ยินเสียงก็น้อยนิดนัก จึงพยายามเลือกเอ่ยถึงแต่สิ่งดีๆ

วันนี้ก็เช่นกัน ถิรมนกำลังรอเข้าพบถิรคุณ ผู้คนมากมายไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดเหมือนเดิมอีก มีแต่ความเห็นใจและสงสาร พวกเขาก็คงเหมือนเธอที่เฝ้ารอได้เห็นหน้าคนที่รัก แม้คนอื่นอาจมองอย่างรังเกียจ มองว่านักโทษเป็นคนน่ากลัว ไม่อยากเข้าใกล้ แต่สำหรับเธอและใครอีกหลายคนที่กำลังนั่งรอตรงนี้มีเพียงแค่ขอให้ได้เห็นหน้าคนสำคัญของตนเองก็พอแล้ว

ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่หกที่เธอจะได้พบบิดา และเป็นครั้งที่สี่สำหรับการเดินทางเพียงลำพัง ทุกครั้งจะเรียกแท็กซี่ให้มารับที่บ้านประมาณตีสี่ครึ่งหรือตีห้าเพื่อมาให้ถึงเรือนจำและจองคิวเยี่ยม ปภาวีบอกว่าจำเป็นต้องให้ทันในภาคเช้า เพราะหากไม่ทันจะกลายเป็นภาคบ่าย ซึ่งถ้าวันไหนมีคนมาเป็นจำนวนมาก โอกาสไม่ได้เยี่ยมก็มีเพราะหมดเวลาของทางราชการเสียก่อนซึ่งเธอก็เห็นเช่นนั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง สงสารหลายคนที่ต้องเลื่อนการเยี่ยมเป็นรอบถัดไปตามกำหนดที่มี เพราะเรือนจำกลางบางขวางไม่ได้เปิดให้เยี่ยมทุกวัน อนุญาตเพียงแค่สองวันต่อสัปดาห์ นักโทษคนไหนอยู่แดนที่เท่าไหร่ วันเยี่ยมวันไหน ญาติต้องจำให้ขึ้นใจเอาเอง จะมีก็แต่แดนสิบที่เยี่ยมได้ทุกวันเว้นวันหยุดราชการเพราะใช้วีดีโอคอนเฟอร์เร้นซ์

‘ถ้าวันไหนมีใครไปเยี่ยมพี่คุณตัดหน้า ก็เท่ากับวันนั้นคนไปทีหลังจะไม่ได้เข้าเยี่ยมอีก ทำได้แค่ฝากของที่ซื้อจากร้านค้าสวัสดิการให้เท่านั้นเพราะเราจะซื้อของข้างนอกเข้าไปไม่ได้’ ปภาวีบอกขณะขับรถมาส่งในวันเยี่ยมรอบที่สอง

‘อามุกขา... คุณพ่อ ทำไมถึง...’ ถิรมนอ้ำอึ้งถามไม่จบประโยค

ปภาวีถอนหายใจ มองถิรมนแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปมองถนนที่ยังมืดมิด มีแสงไฟส่องทาง

‘หากพี่คุณพร้อม ก็คงบอกน้องเลิฟเอง อาไม่สะดวกใจที่จะพูดเรื่องนี้ น้องเลิฟเข้าใจอานะ’

ปิดตายการถามเรื่องนี้กับปภาวีไปโดยปริยาย ถิรมนไม่เห็นทางออกใดสำหรับการค้นหาคำเฉลยที่ต้องการ นอกจากรอบิดาเป็นคนพูดออกมาเอง

‘น้องเลิฟต้องจำขั้นตอนพวกนี้ให้ดี จะได้รู้ว่าเวลามาเยี่ยมพี่คุณต้องทำยังไง วันหลังอยากมาเมื่อไหร่จะได้มาเองไม่ต้องรออา แต่ยังไงก็ต้องบอกอาไว้ก่อนทุกครั้งนะลูก’

‘ค่ะ’

และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ถิรมนจัดการทุกอย่างได้คล่องแคล่วขึ้น ไม่ลำบากกับการเดินทางแม้จะได้รับอนุญาตให้ใช้รถที่บ้านแต่ถิรมนก็เกรงใจ ไม่สันทัดกับการขับรถบนท้องถนนของที่นี่ ส่วนบอร์ดี้การ์ดทั้งหลายก็หายไปจากชีวิตหลังเสร็จสิ้นงานแต่งงาน จะมีก็แต่สุธาที่พอเห็นหน้าเห็นตาบ้างเพราะติดตามปภาวี ส่วนปรมัตถ์นั้นไม่ต้องถามถึง เธอไม่ได้เห็นเขาอีก ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร แต่นั่นไม่ใช่กงการอะไรของเธอที่ต้องไปติดตามเมื่อภารกิจหลักได้สำเร็จลุล่วงลง

ตอนนี้มีเพียงแผนการดำเนินชีวิตที่ต้องเตรียม เธอกำลังจะทำงาน ตั้งใจจะออมเงินเพื่อสำรองไว้ใช้ในอนาคตเมื่อคุณพ่อออกมาจากเรือนจำ จากข้อมูลที่ทราบก็เหลือเวลาประมาณห้าปีเท่านั้นซึ่งหากมีวาระพิเศษและได้รับการอภัยโทษ เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันก็เร็วขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่วิเศษสุด

และแม้ว่าการเดินทางทุกครั้งจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่าห้าหรือหกชั่วโมง ถิรมนก็ไม่รู้สึกเหนื่อย เวลาสิบห้านาที่ได้พูดคุย ได้เห็นหน้าบิดามีค่ามากสำหรับเธอ มีค่ามากกว่าตอนไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน ทำอะไร มากพอจะลบล้างความสงสัย และอดทนรอคำตอบที่คงได้ในสักวัน ปัดเป่าความอ่อนล้าให้หายไปได้หมดสิ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

ตอนนี้เธอกำลังนั่งรอเงียบๆ คนเดียว คอยตั้งใจฟัง จนเมื่อเจ้าหน้าที่บอกชื่อนักโทษและลำดับการเข้าเยี่ยมจึงรีบลุกขึ้นทันที ประสาทการได้ยินของเธอได้ดีขึ้นมากทีเดียวแม้จะมาที่นี่ไม่บ่อยนัก ในใจนั้นฟูฟ่อง สดชื่น แจ่มใส เมื่อจะได้พบหน้าบิดาอีกครั้งหนึ่ง

ถิรมนเดินเข้าไป ทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำ เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของใครหลายคนในวันนั้น เพราะวันนี้เธอก็ไม่แตกต่างจากพวกเขา การได้พบคนที่เรารักและรอคอยเป็นสิ่งมีค่าที่สุด มีความสุขที่สุด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม

เธอนั่งรอตรงเก้าอี้และโทรศัพท์ตามหมายเลขช่องที่ได้รับ สายตาคอยมองถิรคุณ ไม่นานนักก็เห็นท่านเข้ามา หยุดยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ

ถิรมนยิ้มกว้าง รีบยกมือขึ้นไหว้ทันที ยกหูโทรศัพท์เมื่อท่านยกขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว

“น้องเลิฟพักบ้างก็ได้นะลูก พ่อเป็นห่วง มาคนเดียวใช่ไหม”

ประโยคแรกจากถิรคุณดังอย่างเป็นห่วงเมื่อสัญญาณเสียงเปิดให้ได้ยินทั้งสองฝั่ง แววตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายโดยเฉพาะความรักและห่วงใย

“มาคนเดียวค่ะ น้องเลิฟไม่เหนื่อยเลยค่ะคุณพ่อ คิดถึงคุณพ่อจังเลยค่ะ” ว่าแล้วก็ยิ้มหวานออดอ้อน

ถิรคุณยิ้มกว้าง เขาดีใจมากที่ได้ยินคำพูดนี้ของลูก ดีใจที่ได้เห็นหน้าลูก ได้ยินเสียง ยิ่งชื่นใจเมื่อได้พูดคุยกัน เวลาที่ผ่านไปสิบกว่าปีช่างทรมาน เหงา โดดเดี่ยว และเป็นห่วงถิรมนที่สุด ตอนนั้นได้แต่บอกตัวเองให้อดทนแม้ต้องฝากความหวังไว้กับคนอื่นที่ไม่ใช่แม้กระทั่งญาติตัวเอง นั่นจึงทำให้เขายิ้มกว้างแทบตลอดเวลา ไม่ปิดบังน้ำเสียงเวลาดีใจ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนที่ลูกกลับไปแล้ว เขาก็ยังเล่าให้บัดดี้ฟังอย่างยิ้มแย้มเสมอ

และเมื่อนึกขึ้นได้ ถิรคุณจึงถาม...

“น้องเลิฟบอกใครไว้หรือยังว่ามาหาพ่อ เดินทางคนเดียวไม่ค่อยปลอดภัย พ่อเป็นห่วง”

“น้องเลิฟบอกอามุกแล้วค่ะ”

ถิรคุณพยักหน้ารับรู้ “แล้วมัตถ์ล่ะ ไม่เห็นมาด้วยกันเลย”

ถิรมนตอบไม่ถูกเลยทีเดียวเมื่อเจอคำถามนี้ จะให้บอกท่านอย่างไรว่าพอปรมัตถ์ส่งเธอถึงบ้านในวันนั้น จนวันนี้ก็ยังไม่เห็นหน้าเขา แต่ก็จำต้องเอ่ยด้วยสีหน้าแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“พี่มัตถ์ยุ่งค่ะ น้องเลิฟเองก็ไม่อยากรบกวน คุณพ่อขา... พรุ่งนี้น้องเลิฟจะเริ่มทำงานที่บริษัทกับอามุกแล้วนะคะ” หญิงสาวบอกอย่างกระตือรือร้น หวังเบี่ยงความสนใจ

ถิรคุณเงียบไป ใบหน้าเศร้าลงนิดหนึ่งแต่ก็รีบยิ้มกลบเกลื่อน “ดีแล้วลูก ช่วยอามุกทำงานนะ เขาช่วยเราสองคนไว้มากทีเดียว”

รอยยิ้มจืดเจื่อนของถิรคุณทำให้ถิรมนปวดแปลบในใจ เธอไม่ควรเลือกพูดเรื่องนี้เลย จึงรีบยิ้มสดใสและเอ่ยว่า... “แต่น้องเลิฟบอกอามุกแล้วนะคะว่าจะมาหาคุณพ่อให้ได้ทุกวันเยี่ยมค่ะ อามุกอนุญาต แต่ถ้าวันไหนมาไม่ได้จริงๆ หรือมีเรื่องด่วน น้องเลิฟจะส่งอีเมลเข้าส่วนกลาง ให้เจ้าหน้าที่บอกคุณพ่อไว้ก่อน คุณพ่อจะได้ไม่ต้องรอนะคะ”

ถิรคุณหัวเราะเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว มากกว่านั้นคือคำสัญญา แม้จะใจหายไปบ้างที่รู้ว่าลูกอาจไม่ได้มาหาเขาบ่อยๆ แต่ก็ดีใจ และดีใจมากที่รู้ว่าลูกไม่เคยรังเกียจ ดีใจที่สุดที่รู้ว่าลูกยังรักและคิดถึง ซึ่งนั่นมีความหมายมากมายสำหรับคนขี้คุก มีประวัติไม่ดีติดตัว เพียงพอแล้วสำหรับความชื่นฉ่ำใจของคนเคยเดินผิดทาง แต่เขาก็มีเรื่องไม่สบายใจอยู่ดี

“น้องเลิฟ...” ถิรคุณมองลูก หญิงสาวตั้งใจฟัง “ลูกเสียใจไหมที่รู้เรื่องนี้ เรื่องที่พ่อ...”

“น้องเลิฟนับวันรอได้พบคุณพ่อตลอดเวลาค่ะ” ถิรมนยิ้มกว้างประจบ ไม่รอให้บิดาพูดครบประโยคเพราะรู้ดีว่าท่านจะเอ่ยถึงอะไร

“พ่อดีใจที่ลูกเข้มแข็ง” ถิรคุณสูดลมหายใจเข้าลึก รอยยิ้มนั้นเหมือนมีบางอย่างในใจ

“คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“น้องเลิฟ พ่อ...เลือกบอกความจริงกับลูก ยอมให้ลูกมาหาพ่อที่นี่ เพราะพ่ออยากให้เราได้พบกันโดยเร็วที่สุด” เขารอดูปฏิกิริยาของลูกสาว เมื่อเห็นว่าตั้งใจฟัง จึงเอ่ยต่อ “ความจริงที่รับรู้มันอาจเจ็บปวด แต่ก็ดีกว่าการโกหกปิดบัง ซึ่งนั่นอาจทำให้เราไม่ได้พบกันตลอดชีวิต มันเป็นความคิดที่โง่มากหากพ่อเลือกโกหกลูกตลอดไป แต่เพราะพ่อเคยโง่มาแล้ว พ่อจึงไม่อยากเดินซ้ำรอยเดิมอีก”

ถิรมนพยักหน้า ยิ้มให้กำลังใจท่าน

“มัตถ์... มัตถ์เขาดีกับลูกหรือเปล่า”

หญิงสาวเผลอกลั้นหายใจ พยายามระมัดระวังกิริยาที่สุด “ดีค่ะ ดีมากๆ ค่ะ น้องเลิฟกับพี่มัตถ์ไปกันได้สวยค่ะ”

“ดีแล้ว ดี” ถิรคุณอ้ำอึ้ง แต่ที่สุดก็เลือกจะพูดตรงๆ “จริงแล้วพ่อไม่มีสิทธิ์จะถาม ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของลูก”

“ไม่ค่ะไม่” ถิรมนโบกไม้โบกมือ “คุณพ่อถามน้องเลิฟได้เลยค่ะ น้องเลิฟบอกได้” และยิ้มกว้างยืนยัน

“พ่อไม่คิดว่ามัตถ์จะแต่งงานกับน้องเลิฟ มันเร็วมากตอนที่พ่อรู้ข่าว”

ถิรมนพูดไม่ถูก ค่อยๆ เรียบเรียงคำพูด และบอกท่านไปว่า “พี่มัตถ์ใจดีค่ะ เหมือนวันนั้นที่คุณพ่อเห็น พี่มัตถ์เป็นคนน่ารักนะคะ แค่ไม่ค่อยพูดเท่านั้นเอง” พูดไปแผ่นหลังก็ร้อนวาบๆ ไป เขามีนิสัยเช่นนั้นจริงหรือไม่เธอก็สุดหยั่งรู้เหมือนกัน

“น้องเลิฟไม่ได้โกหกพ่อใช่ไหม”

แผ่นหลังยิ่งร้อนวาบหนักขึ้นกับคำพูดนี้ของท่าน ถิรมนยิ้มกว้างมากกว่าเดิมจนแทบเห็นฟันครบทุกซี่เลยทีเดียว พูดเสียงหนักแน่นว่า “น้องเลิฟไม่มีอะไรต้องโกหกคุณพ่อเลยค่ะ” และยิ้มให้ “คุณพ่อสบายใจได้นะคะ พี่มัตถ์เอ็นดูน้องเลิฟมาก รักและเข้าใจน้องเลิฟ คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ เรื่องแต่งงาน...จริงแล้วน้องเลิฟก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ค่ะ”

“เลิฟท้องเหรอ” เสียงของถิรคุณตกใจ

ถิรมนส่ายหน้ารัว โบกมือพัลวัน “น้องเลิฟหมายถึงเดิมก็แค่คบกันค่ะ แต่จู่ๆ พี่มัตถ์ชวนแต่งงาน น้องเลิฟก็ไม่ขัดข้อง เท่านั้นค่ะ” พูดจบก็แอบกัดปากตัวเองไปด้วย

ถิรคุณยิ้ม แสดงออกทางสีหน้าว่าเข้าใจแล้ว “ที่พ่อถามก็แค่สงสัย เพราะปกติมุกมีอะไรเขาก็เล่าให้พ่อฟังเสมอเวลามาเยี่ยม บอกเล่าความเป็นอยู่ของลูกให้พ่อฟัง เรื่องการเรียนบ้าง เรื่องเพื่อนบ้าง แต่ไม่เคยเล่าเรื่องมัตถ์คบกับลูกให้พ่อได้ยิน พ่อก็เลยแปลกใจที่จู่ๆ มุกมาบอกว่าลูกกับมัตถ์จะแต่งงาน แต่พ่อก็ไม่ได้อยู่กับลูก มุกเขาว่าไงพ่อก็ต้องว่าตามนั้น”

ถิรมนร้องอ๋อเบาๆ พยักหน้าไปพร้อมกัน รีบหาคำตอบไว้สำรองเป็นทางหนีทีไล่อย่างรวดเร็วเพราะกลัวท่านอาจจับได้ว่าเธอโกหกจริงๆ

“น้องเลิฟเสียใจไหมที่มีพ่อแบบนี้”

ถิรมนยิ้มอย่างอ่อนโยน ให้กำลังใจ “ไม่เลยค่ะ ไม่เคยเสียใจ คุณพ่อขา...น้องเลิฟมีคุณพ่อคนเดียว นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด น้องเลิฟดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกคุณพ่อนะคะ” เสียงนั้นดังอย่างมั่นคงชัดเจน

ถิรคุณน้ำตาคลอ รู้สึกโล่งใจ เขาสารภาพ... “พ่อบอกมุกมาตลอด ว่าเมื่อไหร่ที่น้องเลิฟเรียนจบ ได้กลับเมืองไทย พ่อขอให้ลูกได้มาพบพ่อ”

หญิงสาวรู้สึกผิดปกติกับคำพูดนี้ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าฟังแล้วสะดุดตรงไหน อีกทั้งไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่ท่านต้องการจะสื่อนัก จึงรอฟังเผื่อจะได้คำตอบที่ชัดเจนมากกว่า

“พ่อคิดว่าการที่น้องเลิฟเติบโตที่เมืองนอก อยู่ในบ้านเมืองที่ใช้เหตุผล ดูแลตัวเอง และคิดเองเป็น จะช่วยให้ลูกมีความคิดวิจารณญาณที่ดีได้ สำคัญที่สุดคืออาจทำให้น้องเลิฟโตพอจะรับความจริงเรื่องพ่อติดคุก แต่พ่อก็กลัวเสมอ กลัวมาตลอดว่าหากวันหนึ่งลูกรู้ ลูก...อาจจะเกลียดพ่อ นั่นคือสิ่งที่พ่อกลัว... กลัวมาตลอด”

“คุณพ่ออย่าคิดมากนะคะ”

ถิรคุณยิ้มกลบเกลื่อนความเศร้าที่ปรากฏขึ้น เขาบอกลูกว่า “ความจริงมันเจ็บปวด มันทำร้ายเรา แต่บางทีก็อาจเป็นยา ซึ่งพ่อไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบไหนสำหรับน้องเลิฟ”

“ถ้าอย่างนั้นน้องเลิฟก็ได้ยาค่ะ เป็นยาดีมากๆ ด้วยนะคะ เพราะน้องเลิฟแข็งแรงมากค่ะ” ถิรมนพูดแล้วก็ทำท่าเบ่งกล้ามให้ดู สีหน้าท่าทางจริงจังแต่ก็ยังยิ้มทะเล้น

ถิรคุณหัวเราะทั้งน้ำตาคลอ “พ่อดีใจที่พ่อคิดถูกนะ พ่อหวังเสมอว่าเมื่อไร่ที่เราได้พบกัน ความสุขที่มีมันจะเจือจางความเจ็บช้ำไปได้ ลูก...เข้มแข็งกว่าที่พ่อคิดไว้มาก ลูกจ๋า” ถิรคุณก้มหน้าลง เสียงนั้นติดสั่น เขาบีบที่หัวตา

ถิรมนรู้ว่าบิดากำลังร้องให้และแอบเช็ดน้ำตาอยู่ เธอรู้ว่าท่านสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเงยหน้าขึ้น ท่านยิ้มให้ พูดว่า...

“พ่อเคยทำสิ่งที่โง่ที่สุดด้วยการเข้ามาอยู่ที่นี่ ทิ้งเวลามีค่าของพ่อไปกับความโง่ กับการใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล แต่เมื่อหลายอย่างผ่านไปทำให้พ่อได้คิด ทำให้พ่อเลือกจะยอมรับความจริง พ่อจึงใช้เหตุผล ลดความกลัว หยุดอารมณ์ที่พาให้คิดไปต่างๆ นานาถึงอนาคตที่อาจไม่ใช่ของจริงเหมือนเราจินตนาการก็ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พ่อยอมให้ลูกมาหาพ่อที่นี่ ยอมให้ลูกรู้ และทำให้เรามีวันนี้” ถิรคุณมองลูกสาวด้วยแววตาเปี่ยมรักและดีใจ “ความสุขที่มีในปัจจุบัน มันจะลบล้างความเจ็บช้ำหากเราเลือกใช้ให้เป็น โดยไม่ลืมพื้นฐานความจริง”

ถิรมนเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่บิดาเอ่ย แต่... “น้องเลิฟไม่เข้าใจค่ะคุณพ่อ”

ถิรคุณยิ้มให้ “พ่อแค่คิดว่าเมื่อไหร่ที่ลูกโตพอ ความจริงเรื่องพ่อติดคุกจะทำร้ายลูกไม่ได้ คำพูดของใครที่พูดถึงพ่อในทางไม่ดีจะทำร้ายลูกไม่ได้ เช่นเดียวกับชีวิตคู่ของลูก ที่ใครจะทำร้ายไม่ได้หากลูกเลือกจะใช้เหตุผล อยู่กับความจริง ใช้ความสุขที่มีไม่ว่าจะมากหรือน้อยเป็นแรงใจให้เข้มแข็งฝ่าฟัน น้องเลิฟเข้าใจคำพูดของพ่อใช่ไหม”

ลึกซึ้งนักเมื่อได้ฟังคำเฉลยถึงสิ่งที่ท่านต้องการจะบอก ถิรมนไม่รู้ว่าต้นเหตุเรื่องใดทำให้ถินคุณต้องอยู่ในเรือนจำ แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเพราะความผิดพลาดและใช้อารมณ์ของท่านในครั้งนั้นทำให้เป็นไปเช่นนี้ และท่านเป็นห่วงเธอมาก ตอนนี้คุณพ่ออาจยังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องทั้งหมด แต่ก็รักและเป็นห่วงเธอ จึงยอมบอกใบ้ ซึ่งแน่นอนว่าวันหนึ่งข้างหน้าที่คงได้รู้ และที่สำคัญคือเธอจะไม่ผิดพลาดเช่นกัน

ถิรมนจึงตอบไปว่า “น้องเลิฟจะใช้ชีวิตด้วยการไม่หลอกตัวเอง จะอยู่กับความจริง ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ค่ะ น้องเลิฟสัญญา”

ถิรคุณยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เขาถอนหายใจอย่างโล่งออก “พ่อดีใจที่ลูกเป็นแบบนี้ ดีใจจริงๆ”

หญิงสาวยิ้มรับ คำสอนของท่านมีค่ามากสำหรับเธอ กระนั้นก็จำต้องหันไปมองนาฬิกา เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองนาที จึงบอกท่านว่า..

“น้องเลิฟรักคุณพ่อนะคะ”

“ลูกรักมัตถ์มากหรือเปล่า”

แผ่นหลังของถิรมนร้อนวาบขึ้นมาอีกครั้ง ในท้องมวนไหววูบโหวง คำถามนี้ทำเอาพูดไม่ถูก จะตอบท่านไปอย่างไรดี

“รัก... รักค่ะ รักมาก” เพราะถึงไม่รักก็พูดไม่ได้อยู่แล้วนี่

“น้องเลิฟมีความสุข พ่อก็ดีใจแล้ว”

หญิงสาวรีบยิ้มกว้างทันที อาจเพราะท่านไม่เห็นปรมัตถ์มาส่งเธอก็เป็นได้ จึงทำให้ท่านสงสัย จึงแก้ตัวไปว่า “หากพี่มัตถ์ว่างก็จะมาด้วยค่ะ พี่มัตถ์บอกไว้อย่างนั้น แต่ช่วงนี้ยุ่งๆ ต้องบินไปต่างประเทศด้วยค่ะ น้องเลิฟมีของฝากให้คุณพ่อด้วยนะคะ คุณพ่อรอรับนะคะ”

ถิรคุณมองนาฬิกา “ขอบใจมากจ้ะลูก พ่อรักน้องเลิฟนะ”

“น้องเลิฟก็รักคุณพ่อค่ะ”

แล้วสัญญาณก็ถูกตัดหลังจากนั้นไม่กี่วินาที ต่างฝ่ายต่างไม่ได้ยินอะไรระหว่างกันอีก มีเพียงรอยยิ้มที่มอบให้ไว้เป็นกำลังใจ

ถิรมนมองบิดาที่เดินไปยังทางออก ท่านยังหันหลังกลับมามองเธอเป็นระยะ หญิงสาวโบกมือและยิ้มให้ ในใจรู้สึกผิดที่โกหกแต่ก็ไม่มีทางเลือก

เมื่อถิรคุณพ้นประตู ถิรมนจึงเดินออกมา บอกย้ำกับเจ้าหน้าที่หน้าห้องอีกครั้งว่ามีของฝากโดยก่อนหน้านั้นเขียนไว้ในใบคำขอเข้าเยี่ยมแล้ว แต่ก็จำเป็นต้องย้ำอีกครั้ง มิฉะนั้นบิดาอาจจะไม่ได้รับ หรือต้องเดินออกมารับอีกรอบซึ่งเป็นระยะทางไกล เสียเวลา ทุกอย่างต้องจัดการให้รวดเร็วและถูกต้องตามระเบียบมากที่สุดเช่นปภาวีเคยสอน และเธอก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ถิรมนรีบซื้อขนมและอาหารจากร้านค้าสวัสดิการด้วยความกระฉับกระเฉง เขียนชื่อ ‘ถิรคุณ นพรัตนชาติ’ ไว้ตัวใหญ่เห็นชัดเจนเพราะปภาวีเคยบอกว่าช่วงแรกหล่อนเขียนตัวเล็ก ปรากฏว่าถิรคุณไม่ได้รับ และไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใคร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ก็จึงเก็บไว้เป็นบทเรียน ส่วนเงินสดที่ปภาวีใส่ไว้ในบัญชีของถิรคุณสำหรับเบิกเป็นคูปองจ่ายค่าอาหารและซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ มีเจ้าหน้าที่ดูแลและเพียงพอแล้ว ทว่าถิรมนก็อยากซื้ออะไรให้ท่านด้วยเงินของตัวเองบ้าง เงินเก็บจากการทำงานพิเศษยังมี เป็นความภาคภูมิใจเล็กๆ ที่ได้ตอบแทนบิดา ไม่ใช่เงินที่ขอมาจากใคร

เมื่อเรียบร้อย ถิรมนส่งของฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ ยิ้มคนเดียวขณะเดินออกมา

‘แม้จะสุขไม่มาก แต่ก็มีความสุขที่สุดสำหรับสถานการณ์เช่นนี้’

ยิ้มและเดินต่อไป ทุกอย่างเป็นเหมือนที่เคยเป็น เธอออกจากอาคาร เดินผ่านต้นไม้ใหญ่ ผ่านกำแพงฝั่งเข้าห้องเยี่ยม เดินบนบาทวิถีไปเรื่อยๆ ตรงไปยังทางออกของเรือนจำ

ในใจวาดฝันถึงวันข้างหน้าที่มีเธอกับคุณพ่ออยู่ด้วยกันสองคน ขอแค่บ้านเล็กๆ กับพื้นที่เพาะปลูกพืชผักสวนครัวเล็กน้อยก็เพียงพอ เห็นว่าอากาศทางภาคเหนือดีไม่น้อย เธอคงจะซื้อที่แถวนั้นไว้สักแปลงหนึ่ง แต่นั่นก็คงหลังจากศึกษางาน มีประสบการณ์มากพอและตอบแทนปภาวีตามสมควรแล้วจึงค่อยแยกออกมาทำอะไรส่วนตัวในแบบพอเลี้ยงตัวเองกับคุณพ่อได้

ถิรมนคิดไปก็ยิ้มไป อยากให้วันนั้นมาถึงโดยเร็วเหลือเกิน

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2557, 15:45:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2557, 15:45:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1908





<< บทที่ 3 (2/2)   บทที่ 4 (2/2) >>
สุชาคริยา 29 มิ.ย. 2557, 16:06:00 น.

ตอบคอมเม้นท์จากตอนที่แล้ว >>

คุณคิมหันตุ์ = คือจริงแล้วพี่มัตถ์ในเรื่องนี้ (ม่านลวง) คือคาแรกเตอร์ของ 'พะลัญจะ' ในรูปแบบพระเอกจ้า ส่วนเนื้อหาไม่มีเกี่ยวกับพักตร์อสูรเน้อ จุ๊บๆ

คุณแล่นแต๊ = ดีใจที่ทำได้แบบนี้ค่ะ ว่าแล้วก็ซับน้ำตาให้เบาๆ จุ๊บๆ

คุณ konhin = ช็อกไม่น้อยแน่ๆ จ้า ^^

คุณ nunoi = สงสารเหมือนกันค่ะ (คิดถึงนะคะ ม๊วฟๆ)

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ = โอ๋ๆๆๆๆ มามะ เช็ดน้ำตาให้น้าาาาาา จุ๊บๆ

คุณ lupayalak = ขอบพระคุณมากๆ ที่ติดตามจ้า จุ๊บๆ ตอนต่อไปมาแว้ววว



kaelek 29 มิ.ย. 2557, 20:45:52 น.
พี่มัตถ์หายไปไหน? ทำไมคุณพ่ออยู่ในคุก? ..อยากรู้ๆๆ รอๆๆๆ


konhin 29 มิ.ย. 2557, 21:06:15 น.
ปรับตัวได้เร็วมากๆ น้องเลิฟน่ารัก


ใบบัวน่ารัก 29 มิ.ย. 2557, 21:43:31 น.
เศร้าใจ
น้องเลิฟจะไหวไหม สู้ๆๆๆ
แต่งงานก็เหมือนไม่แต่นิ. เวลาคนถามก็บอกว่า โสด สวย จบจากต่างประเทศ
นิสัยร่ารักค่ะ จุจุบๆๆ


แล่นแต๊ 29 มิ.ย. 2557, 22:12:38 น.
พี่มัตถ์ไปไหน


แว่นใส 29 มิ.ย. 2557, 23:21:00 น.
ยังเป็นความลับอยู่


คิมหันตุ์ 30 มิ.ย. 2557, 01:41:28 น.
เนี่ย
ปมมาพรึบพรั่บ. กางเสื่อรอจ้า


nunoi 1 ก.ค. 2557, 17:39:19 น.
ทำไมพี่มัตถ์ ถึงปล่อยให้น้องเลิฟ ไปคนเดียว


นักอ่านเหนียวหนึบ 2 ก.ค. 2557, 01:59:22 น.
ฮือออ จะเอาเหตุผลจากไหนคะ ทุกคำ ทุกตัวอักษร บีบคั้น สร้างเสริมอารมณ์ล้วนๆ กระซิกๆ ปริ่มๆๆ


supayalak 5 ก.ค. 2557, 23:44:27 น.
ต้องมีอะไรแหง่มๆ มันคืออะไรกันหนอ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account