ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๕ เข้าวังครั้งแรก

ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๕ เข้าวังครั้งแรก

กลางเดือนสามคือช่วงเวลาที่ดอกท้อซึ่งบานสะพรั่งกำลังทยอยร่วงหล่นลงมาจากต้น ลมพัดมาทีกลีบสีชมพูก็ร่วงกราวราวกับสายฝน อากาศก็เย็นสบายกำลังดี เหมาะแก่การออกไปท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่ครอบครัวใหม่ของแว่นไม่มีใครมีเวลาว่างมากพอจะทำอย่างนั้น

ท่านพ่อที่เป็นเสนาบดีใหญ่มีงานรัดตัว กลับบ้านดึกทุกวัน ส่วนพี่ชายถึงจะมีเวลาให้มากกว่า แต่ก็มักจะหายหน้าไปนอนค้างในวังทีละหลายคืน ทางด้านแม่เลี้ยงก็ดูจะยุ่งกับการจัดการเรื่องในบ้านและดูแลน้องที่ยังเล็ก แว่นเลยไม่กล้ากวน

ความทรงจำของกุ้ยฮวาเกี่ยวกับตัวแม่เลี้ยงมีค่อนข้างน้อย แว่นก็เลยต้องพยายามศึกษานิสัยใจคอของหย่าลี่เอาเอง แล้วก็ค้นพบว่านางเป็นคนดีคนหนึ่ง

หย่าลี่ให้ทุกคนเรียกตัวเองว่า ‘ฮูหยินรอง‘ ทั้งที่ตอนแต่งเข้ามามารดาของกุ้ยอี้กับกุ้ยฮวาเสียชีวิตไปนานแล้ว นางยอมเป็นรองเพื่อให้เกียรติผู้ตายซึ่งมาก่อนและมีฐานันดรสูงกว่า เวลากุ้ยอี้ซึ่งอายุห่างกันไม่มากคำนับให้ นางก็จะค้อมตัวกลับให้ต่ำยิ่งขึ้น เรียกว่าเป็นคนที่เจียมเนื้อเจียมตัวมากทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นคนธรรมะธรรมโมด้วย สังเกตจากที่มักจะเข้าไปในหอพระเพื่อสวดมนต์เสมอ

คนที่นี่นับถือพระโพธิสัตว์ เทพองค์สำคัญคือเง็กเซียนฮ่องเต้ ตามมาด้วยเจ้าแม่ชุดขาว ส่วนศาสนามีหลายลัทธิ แต่ที่คนส่วนใหญ่รวมถึงที่บ้านนี้นับถือคือลัทธิธรรม ซึ่งมีหลักคำสอนคล้ายกับศาสนาพุทธ

แว่นอยากสร้างความสนิทสนมกับแม่เลี้ยง เลยไปสวดมนต์ด้วยบ่อยๆ ไม่ก็ขอตัวน้องชายคนเล็กมาเล่นด้วย จื่อซ่านเป็นเด็กน่ารัก หุ่นจ้ำม่ำกำลังดี เวลาแกเรียก ‘พี่จ๋า’ แล้วทำตาแป๋ว คนมองนี่แทบจะอดใจคว้าตัวมากอดมาหอมไม่ได้ การได้ดูแลน้องทำให้ชีวิตมีสีสันขึ้นมาก เสียดายว่าพาตัวมาอยู่ด้วยนานๆ ไม่ได้ เพราะสังขารตัวเองไม่ค่อยจะเอื้อ

งานเลี้ยงเด็กเป็นงานลำบาก จื่อซ่านเองก็ซนมาก มีพลังเหลือล้น กับคนธรรมดาให้มาช่วยเลี้ยงยังบ่นว่าเหนื่อย นับประสาอะไรกับคนสุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรงแบบกุ้ยฮวา ถึงช่วงนี้จะไม่ได้ป่วยไข้ แต่ร่างกายของหญิงสาวนั้นช่างเปราะบางเหลือเกิน ถ้าฝืนใช้งานอย่างไม่ถนอมก็มีสิทธิ์จะหมดสติไปได้ง่ายๆ แว่นที่เป็นนักกิจกรรมตัวยงเลยอึดอัดคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง

แว่นรู้ว่าบ่นไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา เลยพยายามฟื้นฟูสภาพร่างกายด้วยการออกกำลัง ทำได้สักพักก็เริ่มเห็นผล กระนั้นก็ยังเหนื่อยง่ายกว่าคนปกติทั่วไปอยู่ดี กุ้ยฮวามีปัญหาเรื่องระบบหายใจ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคปอด ภูมิแพ้หรือโรคหัวใจกันแน่ รู้แต่หมอที่นี่เรียก ‘โรคลมปราณอ่อน’ เวลาอาการกำเริบขึ้นมาจะหายใจขัดแน่นหน้าอก ชีพจรเต้นเร็วแต่เบา ส่วนวิธีการรักษาให้หายขาดหมอบอกชัดว่าไม่มี เน้นประคองอาการกันไปและให้ยาตามอาการ

ดูแล้วการแพทย์ที่นี่ไม่ค่อยเจริญนัก ชื่อยาก็ไม่ค่อยจะคุ้นหู แว่นเลยใช้เวลาว่างที่ตัวเองมีอยู่อย่างเหลือล้นศึกษาตำราแพทย์กับสมุนไพรเพื่อจะได้รู้ว่าวันหนึ่งๆ กินยาอะไรเข้าไปบ้าง

เมื่ออ่านตำรายาจนหมดบ้าน แว่นก็ไม่สามารถทนจับเจ่าอยู่แต่ในเขตรั้วได้อีก ถึงบ้านสกุลเฉินจะกว้างใหญ่เพียงไร ก็ยังคับแคบกว่าโลกภายนอก เมื่อธรรมชาตินักสำรวจในตัวเร่งเร้ามากเข้า แว่นก็เริ่มหาเรื่องออกไปข้างนอก ด้วยการอ้างว่าอยากไปร้านหนังสือ

หย่าลี่ดูประหลาดใจเมื่อลูกเลี้ยงมาขออนุญาต ที่แปลกไปกว่านั้นคือนางทัดทานไม่ให้ไป ทั้งที่ปกติตามใจตลอด

“ร้านหนังสือมีผู้คนเข้าออกมา ฝุ่นก็เยอะ เจ้าเพิ่งหายป่วย อย่าออกไปเลย”

“ท่านน้าไม่ต้องห่วงเรื่องฝุ่นหรอก ข้าสัญญาณว่าจะเอาผ้าปิดจมูกไปด้วย”

ในความรู้สึกของแว่นร้านหนังสือก็แค่ร้านขายของธรรมดา ด้วยเหตุนี้ก็เลยไม่เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงของแม่เลี้ยง

โลกในขณะนี้การศึกษายังไม่เปิดกว้าง คนที่ได้ร่ำเรียนสูงๆ มีน้อย ร้านหนังสือจึงเปรียบเสมือนแหล่งชุมนุมของบรรดาปราชญ์และผู้มีความรู้ นอกจากจะขายหนังสือแล้ว ชั้นสองของร้านยังจัดสถานที่เอาไว้ให้นั่งเสวนากันและขายพวกขนมน้ำชาไปด้วย เมื่อมีบุรุษมารวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก ร้านหนังสือจึงกลายเป็นสถานที่อโคจรสำหรับกุลสตรีทั้งหลายไป

หย่าลี่อธิบายให้ฟังอย่างมีเหตุผล แว่นจึงไม่ดื้อดึงอีก เขาตัดสินใจถามไปตรงๆ เลยว่าตัวเองได้รับอนุญาตให้ไปที่ไหนได้บ้าง

“ถ้าไม่มีกุ้ยอี้ไปด้วย น้าก็ไม่กล้าอนุญาตให้เจ้าไปไหนหรอก นอกจากจะเข้าไปในวัง”

แว่นรู้สึกตื่นเต้นกับประโยคสุดท้าย พอคำว่า ‘วัง’ เข้ามาในระบบความคิด ความทรงจำที่เกี่ยวข้องก็ถูกดึงออกมา กุ้ยฮวาถูกอาหญิง ซึ่งเป็นสนมเอกของฮ่องเต้ นำตัวมาเลี้ยงในวังตั้งแต่อายุห้าขวบ พออายุสิบสองบิดาก็พาตัวกลับมาอยู่ที่บ้าน เพราะอาการป่วยเริ่มทรุดหนัก

ช่วงที่ยังเด็กชีวิตของกุ้ยฮวาค่อนข้างมีความสุขทีเดียว นอกจากสนมเฉินซึ่งเป็นอาแท้ๆ จะรักนางประหนึ่งลูกในไส้แล้ว ฮ่องเต้ก็ยังทรงเมตตามากด้วย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะองค์หญิงรุ่ยฟาง มารดาของกุ้ยฮวาเป็นขนิษฐาของฮ่องเต้ เมื่อนางจากไปตั้งแต่ยังสาว ย่อมเป็นธรรมดาที่ฮ่องเต้จะต้องทรงเวทนาหลานสาวตัวน้อย ขณะที่อยู่ในวังกุ้ยฮวาจึงได้รับเกียรติและการดูแลทัดเทียมกับบรรดาองค์หญิงทั้งหลาย

“ท่านน้าข้าอยากเข้าวัง” แว่นโพล่งออกมาในทันที

“ก็ได้อยู่หรอก แต่ว่าไหวแน่หรือ สุขภาพ...”

“สุขภาพข้าสมบูรณ์ดี ท่านน้าอนุญาตให้ข้าไปเถอะนะ ข้าอยากจะเข้าวังไปขอบคุณพระสนมเรื่องที่ประทานของบำรุงมาให้”

เรื่องโน้มน้าวคนแว่นเก่งและพูดได้คล่องปากอยู่แล้ว หย่าลี่เองก็เป็นคนมีเหตุผล ทั้งยังคล้อยตามคนง่าย ก็เลยอนุญาตในที่สุด


การที่ใครคนหนึ่งจะเข้าวังไปพบพระสนมได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต่อให้เป็นญาติสนิทก็ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย แว่นถึงกับตกใจเมื่อรู้ว่าต้องส่งจดหมายไปขอเฝ้าก่อน จากนั้นก็ต้องรอไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือนจึงจะได้พบ โชคดีเหลือเกินที่แว่นเป็นหลานรัก พอส่งจดหมายเข้าไปไม่ทันไรก็ได้รับการตอบกลับและได้รับอนุญาตให้เข้าพบได้ โดยเสียเวลาในการรอไม่นาน

กำหนดการเข้าพบพระสนมคือในอีกสามวันข้างหน้า ซึ่งรวดเร็วเสียจนหย่าลี่ที่มักจะใจเย็นเสมอวิตกว่าจะเตรียมตัวไม่ทัน ฟังแล้วก็ออกจะงงอยู่ไม่น้อยว่าจะต้องห่วงอะไรอีก พอถามซีอิ๋งนางก็ร่ายยาวทีเดียวว่าต้องเตรียมตัดเสื้อผ้าสำหรับใส่เข้าวังใหม่ ตัวเกี้ยวสำหรับนั่งก็ต้องเอาไปทำความสะอาดตกแต่งเพิ่ม พวกของใช้ติดตัวก็ต้องให้ความสำคัญ อย่างถุงหอมหรือผ้าเช็ดหน้า จะใช้ของที่มีหรือของดาดๆ ไม่ได้เป็นอันขาด

“เรื่องอื่นก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก แต่เสื้อผ้าไม่เห็นต้องยุ่งยากเลย ตัวสวยๆ ที่ไม่เคยใส่ออกเยอะไป” แว่นให้ความเห็น

“ของพวกนั้นยังไม่ดีพอเจ้าค่ะ ก็แค่ของใส่อยู่บ้านกับพอรับแขกได้นิดหน่อย”

“แล้วอย่างนี้จะทันเหรอ มีเวลาแค่ไม่กี่วันเอง”

โลกนี้ไม่มีจักรเย็บผ้า จะทำอะไรก็ต้องเย็บด้วยมือทีละฝีเข็ม แล้วชุดของผู้หญิงที่นี่ก็เน้นการปักลวดลายลงไปเป็นสำคัญเสียด้วย

“โชคดีได้ผ้าปักผืนงามมาเจ้าค่ะ ตอนนี้ฝ่ายตัดเย็บกำลังเร่งอยู่ เรื่องอื่นๆ ฮูหยินก็ลงมาควบคุมดูแลด้วยตัวเอง คาดว่าน่าจะทันเจ้าค่ะ”

ฟังแล้วแว่นก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ความเอาแต่ใจของตัวเองทำให้แม่เลี้ยงลำบาก เขาไม่คิดเลยว่าการจะเข้าวังแต่ละทีจะยุ่งยากปานนี้

“แล้วมีอะไรที่ข้าจะพอช่วยได้บ้างไหม”

“คุณหนูระวังเรื่องสุขภาพ หยิบกฎวังมาทบทวน แล้วหัดใส่รองเท้าให้คล่องก็พอเจ้าค่ะ”

รองเท้าที่ว่าคือรองเท้าส้นสูง แต่แปลกตาหน่อยตรงที่ฐานมันเป็นสี่เหลี่ยมรูปทรงกระถาง ตัวส้นนี้ทำจากไม้ทาสีขาว ส่วนตัวรองเท้าทำจากผ้าเนื้อดีมีลายปักอย่างวิจิตร นิยมใส่กันในหมู่หญิงสาวที่มีฐานะหรือชนชั้นสูงเท่านั้น จึงถือว่าเป็นเครื่องแสดงฐานะอย่างหนึ่ง

นอกจากนี้การที่เด็กหญิงสาวได้รับรองเท้ามีส้นเป็นของขวัญจากครอบครัว ยังหมายถึงการประกาศอย่างเป็นทางการว่าพ้นสภาพความเป็นเด็ก ต้องเลิกเที่ยวเล่นหันมาหัดเรียนรู้การบ้านการเรือน ส่วนใหญ่จึงมักจะให้กันในช่วงที่บุตรสาวอายุประมาณสิบสองสิบสาม

สำหรับรองเท้าที่ใช้หัดเดินอยู่นี้ กุ้ยฮวาได้รับจากอาหญิงตอนอายุสิบสี่ สังเกตจากที่ยังใส่ได้พอดี แสดงว่าร่างกายของกุ้ยฮวาไม่ได้เติบโตขึ้นจากตอนนั้นสักเท่าไร แว่นลองใส่แล้วก็รู้สึกไม่ชิน แม้จะเดินได้อย่างมั่นคงจนซีอิ๋งประหลาดใจก็ตาม

“คุณหนูเก่งจังเจ้าค่ะ ตอนคุณหนูใหญ่หัดใส่ยังใช้เวลาตั้งหลายวัน”

แว่นยิ้มรับแทนคำตอบ ไม่อยากจะบอกเลยว่าสมัยสาวๆ เคยใส่ส้นเข็มสี่นิ้วครึ่งไปจิกผู้ชายในผับมาแล้ว ส้นตึกแค่นี้ขอบอกว่าจิ๊บๆ


สามวันผ่านไป ทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้ก็เสร็จสมบูรณ์ เหลือก็แต่เตรียมตัวให้เรียบร้อยก็ออกเดินทางได้ คราวนี้บทหนักตกมาอยู่ที่แว่นเพราะถูกปลุกขึ้นมาให้อาบน้ำประพรมน้ำหอมตั้งแต่ยังไม่ทันเข้ายามรุ่ง

ระบบเวลาของที่นี่นอกจากจะมีสามสิบสองชั่วยามแล้ว ยังแบ่งเป็นทั้งหมดแปดช่วงคือ เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ มืด ดึกและรุ่ง ในแต่ละช่วงเวลาจะมีอยู่สี่ชั่วยาม หากถามว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ก็จะยึดเอาช่วงเวลาเป็นหลักในการบอก

ยกตัวอย่างเช่น สามยามสายก็คือเลยเวลาสายมาได้สามชั่วยามแล้ว ข้อสำคัญคือถึงแต่ละช่วงจะมีสี่ชั่วยาม แต่จะไม่นับเลขสี่มาใช้ในการบอกเวลา อย่างสี่ยามเช้า ก็จะบอกว่าสายไปเลย สี่ยามดึก ก็จะเรียกว่ารุ่ง ส่วนสี่ยามสายก็จะมีคำเรียกพิเศษว่าเที่ยง แว่นมึนกับเรื่องเวลาไปพักหนึ่ง แต่ตอนนี้เทียบกับเวลาของโลกตัวเองได้คล่องแล้ว ที่บอกว่าตื่นก่อนรุ่ง ก็คือตื่นก่อนตีสามนั่นเอง

เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วก็ได้เวลามาแต่งหน้าทำผม ทรงผมที่นิยมกันคือการถักเปียแล้วเกล้าขึ้นมาเป็นทรง เน้นความวิจิตรอลังการเป็นสำคัญ แต่จะไม่รวบเก็บเอาไว้จนหมด มีปล่อยปอยผมบางส่วนให้ทิ้งตัวลงมาอย่างอิสระด้วย ถ้าผมไม่หนาพอจัดเป็นทรงสวยๆ ก็จะแซมผมปลอมเข้าไป จากนั้นก็ปักปิ่นใส่เครื่องประดับเข้าไปอีกจำนวนหนึ่ง น้ำหนักรวมจึงมากพอควร

แว่นรู้สึกอยากเอาทุกอย่างที่อยู่บนหัวออก แต่ขืนทำอย่างนั้นก็คงอดเข้าวังกันพอดี เลยต้องอดทนเอาไว้ พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ซีอิ๋งก็ประคองให้คุณหนูลุกขึ้นยืนพามาให้ยลโฉมตัวเองที่หน้ากระจกบานใหญ่ แว่นถึงกับหยุดจ้องเงาสะท้อนตรงหน้าไม่ได้เลย กุ้ยฮวามีความงามเป็นทุนอยู่แล้ว พอมาแต่งแบบนี้ก็ยิ่งดูสวยสะกดสายตา ชุดสีฟ้าขลิบชายแดงที่สวมก็เข้ากันกับบุคลิกเธอดี นอกจากจะดูมีรสนิยมแล้วยังขับให้ผิวขาวซีดให้ดูผ่องขึ้นมาด้วย

“คุณหนูงามเหลือเกินเจ้าค่ะ งามอย่างกับเทพธิดา” ซีอิ๋งปาดน้ำตาอย่างปลื้มอกปลื้มใจ

เด็กสาวรู้สึกโกรธแทนกุ้ยฮวามานานแล้ว ที่ใครๆ พากันเรียกคุณหนูของนางว่าโฉมงามผู้อาภัพ

‘มีดีแต่ไม่ได้อวด ก็เหมือนดอกไม้งามที่ร่วงโรยก่อนมีคนได้เชยชม’

ประโยคที่ทำให้เจ็บใจนี้มาจากคนที่ริษยา ความนัยที่แฝงมาคือถึงกุ้ยฮวาจะสวยแบบหยาดฟ้ามาดิน แต่ก็คงจะป่วยตายไปก่อนได้ออกเรือน ดังนั้นการที่คุณหนูได้ลุกขึ้นมาแต่งตัวสวย ไปอวดโฉมให้คนในวังเห็นแบบนี้ จึงสร้างความยินดีละคนสะใจให้ซีอิ๋งเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ต้องเดินทางด้วยรถม้า จากบ้านไปที่วังใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ไปถึงก็สายพอดี พอเข้าประตูวังมาได้ รถม้าก็จะจอดอยู่ที่ลานด้านหน้า ต้องเปลี่ยนมานั่งเกี้ยวแทน แล้วต่อแถวเพื่อเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นแรก

ประตูทางเข้าตรงนี้มีทั้งหมดสามประตู ประด้านบนมีรูปมังกรเป็นสัญลักษณ์ว่าใช้เป็นทางผ่านสำหรับเชื้อพระวงศ์ ซึ่งขณะนี้ถูกปิดเอาไว้ ประตูที่สองเป็นรูปสิงห์เปิดกว้างเอาไว้ให้ขุนนางเข้าออก ประตูสุดท้ายเป็นรูปกิเลนเปิดให้เป็นทางผ่านสำหรับคนนอก ตรงส่วนนี้จะมีการตรวจตราอย่างเข้มงวดทำให้แถวขยับไปได้ช้ามาก

แว่นลงมาจากรถม้ามาเห็นแถวยาวหลายร้อยเมตรก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“รู้อย่างนี้กินอะไรรองท้องมาก็ดีหรอก” แว่นอดบ่นกับซีอิ๋งไม่ได้

ใจก็นึกเสียดายขนมที่แม่เลี้ยงเตรียมเอาไว้ให้ ความที่รีบร้อนออกมาเลยไม่ได้แตะแม้แต่คำเดียว

“อดทนอีกสักครึ่งชั่วยามไหวไหมเจ้าคะ เดี๋ยวก็ถึงจุดพักแล้ว”

“แน่ใจหรือซีอิ๋ง แถวยาวอย่างนี้สักเที่ยงจะได้เข้าไปหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”

“เราไม่ได้จะเข้าทางประตูกิเลนเจ้าค่ะ” ซีอิ๋งตอบง่ายๆ

พอดีมีคนเปิดประตูเกี้ยวให้เข้าไปนั่งก่อน แว่นเลยไม่ทันได้ถามว่าจะให้เข้าไปทางประตูไหน สักพักเกี้ยวที่นั่งก็เคลื่อนผ่านแถวยาวเหยียดไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูมังกร ผู้ติดตามซึ่งเป็นพี่ชายของซีอิ๋งหยิบป้ายแสดงฐานะออกมาให้ทหารยามดู อึดใจประตูบานโตก็เปิดออก แว่นเลยได้รู้ในตอนนี้เองว่ากุ้ยฮวาเป็นคุณหนูตระกูลสูงที่เส้นใหญ่สุดๆ

ครึ่งชั่วยามต่อมาก็ถึงจุดแวะพักตามที่ซีอิ๋งบอกไว้ จุดแวะพักนี้เป็นสวนขนาดใหญ่ มีสระน้ำตรงกลาง รอบสระมีศาลาที่พักหลากหลายรูปแบบปลูกเรียงรายกันอยู่และเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้

เมื่อคุณหนูลงมาจากเกี้ยวแล้ว พวกผู้ติดตามผู้ชายก็แยกย้ายกันไปรอที่จุดรอรับกลับ เหลือเอาไว้แต่คนรับใช้ผู้หญิงให้คอยดูแลกุ้ยฮวา

นอกจากซีอิ๋งแล้วยังมีสาวใช้คนอื่นตามมาด้วยอีกหก จำนวนผู้ติดตามนี้บ่งบอกถึงฐานะของเจ้านายได้เป็นอย่างดี บรรดาผู้คนที่พักผ่อนรอการเข้าเฝ้าอยู่แถวนั้นจึงพากันชำเลืองมองสตรีโฉมงามแปลกหน้าด้วยความสนใจ

ศาลาสำหรับนั่งพักนี้แบ่งแยกชายหญิงเช่นกัน ทั้งยังแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน ศาลาหลังใหญ่ที่สร้างขึ้นสำหรับพวกทูตหรือพวกพระญาติจะมีคนคอยดูแลอยู่ รองลงมาก็จะสำหรับแขกขององค์ชาย ญาติพระสนม เล็กที่สุดก็เห็นจะเป็นศาลาสำหรับสามัญชนซึ่งถูกเรียกให้เข้าวังมาด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งก็มีไม่บ่อยนัก

ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์อันหรูหราและจำนวนผู้ติดตามแล้ว คนส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่ากุ้ยฮวาต้องมาจากตระกูลขุนนางที่มีอำนาจ ในขณะที่กำลังคาดเดาไปในทางนี้ นางก็ทำให้ผู้คนแปลกใจด้วยการแวะเข้าพักในศาลาหลักเล็กที่สุด ทำให้รู้ว่าถ้าไม่ใช่บุตรีของเศรษฐีใหญ่ก็ต้องเป็น ‘นางคณิกา’

ที่เจียงเฉียงอาชีพคณิกาถือว่าถูกกฎหมาย มีมากมายที่ขายฝีมือไม่ได้ขายเรือนร่าง แต่ถึงกระนั้นคุณค่าของสตรีเหล่านี้ก็ยังดูด้อยค่าในสายตาของใครหลายคน

“คุณหนูจะพักตรงนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ ไปที่ศาลาด้านในดีกว่า มีเตาร้อนให้อุ่นอาหาร แล้วก็โอ่โถงกว่านี้ตั้งเยอะ”

จุดที่ซีอิ๋งอยากให้เข้าไปนั่งพักคือสถานที่สำหรับพระญาติ ถึงนางจะยังอายุน้อย แต่ก็เคยติดตามมารดาที่เป็นอดีตคนสนิทของพระสนมเข้าวังหลายครั้งหลายครา จึงตระหนักดีว่าวังหลวงแบ่งชนชั้นอย่างเข้มงวด รวมถึงมองออกว่าคุณหนูของนางอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอะไร

“นั่งตรงนี้แหละ วิวดีออก”

ซีอิ๋งมองตามสายตาของคุณหนูไปก็ไม่เห็นว่ามีอะไรน่าสนใจ ทิวทัศน์ก็สุดแสนธรรมดา แถมยังต้องมารำคาญกับสายตาแทะโลมของพวกผู้ชายที่พักผ่อนกันอยู่ฝั่งตรงข้ามอีก

“มีอะไรน่าชมหรือเจ้าคะ” เด็กสาวถามด้วยความสงสัย

“เยอะแยะไป ที่นี่น่ะจุดยุทธศาสตร์เชียวนะ”

‘บอกเลยว่าไม่มีศาลาหลังไหนใช้ส่องผู้ชายได้ชัดเท่าตรงนี้อีกแล้ว’

เมื่อคุณหนูแสดงท่าทีว่าจะนั่งพักตรงนี้ให้ได้ ซีอิ๋งกับสาวใช้ที่เหลือก็ต้องตามใจ พวกนางคิดกันเอาเองว่าคุณหนูอาจจะเหนื่อยเลยไม่อยากเดินไปไกล ก็เลยกระวีกระวาดหาน้ำดื่มกับจัดสำหรับอาหารให้อย่างเร่งด่วน

แว่นรับประทานอาหารไป มองหนุ่มๆ ไปอย่างเพลิดเพลินเจริญจิต ผู้ชายที่นี่ไว้ผมยาวกันเป็นส่วนใหญ่ จะตัดก็ตอนไว้ทุกข์หรือตอนบวชเท่านั้น แว่นชอบหนุ่มแนวนี้เป็นทุนอยู่แล้ว เลยมีความสุขเป็นพิเศษ

ในระหว่างที่กำลังพักเหนื่อยอยู่นี้ก็มีสาวใช้ของคนอื่น นำขนมหวานใส่จานมาให้ การกระทำแบบนี้ถือเป็นการผูกมิตรอย่างหนึ่ง คุณหนูส่วนใหญ่ต่างก็เดาว่ากุ้ยฮวาเป็นคณิกาไม่ก็ชาติตระกูลต่ำ จึงไม่อยากเสวนาด้วย มีก็แต่คุณหนูตระกูลกัวเท่านั้นที่ไม่สนใจคำครหา นางเห็นสตรีแปลกหน้าคนนี้แล้วถูกชะตา จึงอยากทำความรู้จัก

“คุณหนูของข้าให้นำขนมมาให้แม่นางเจ้าค่ะ”

“แม่นางงั้นรึ เสียมาร...” คนรับใช้ที่อาวุโสที่สุดของกุ้ยฮวาทำท่าจะเอ็ดใส่ แต่เงียบไปเสียก่อนเพราะเจ้านายปรามเอาไว้

สาเหตุที่คนรับใช้เคืองเพราะตามมารยาทแล้วถ้าต่ำศักดิ์กว่า แม้จะไม่รู้จักก็ต้องเรียกคุณหนูหรือนายหญิงเพื่อเป็นการให้เกียรติ คำเรียกนี้จึงตีความได้สองอย่าง ถ้าไม่กำลังดูแคลน ก็แสดงว่าผู้พูดขาดการอบรม ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นอย่างหลัง

“ขอบคุณคุณหนูของเจ้ามาก บอกข้าได้หรือไม่ว่าคุณหนูของเจ้าเป็นใคร” แว่นหันมาพูดด้วยอย่างเป็นมิตร

น้ำเสียงไพเราะกับความสวยของกุ้ยฮวา สะกดใจเสียจนสาวใช้ประหม่า พูดตอบกลับมาไม่เป็นคำเลย กว่าจะจับใจความได้ว่าเป็นคุณหนูสามของสกุลกัว ก็ต้องถามซ้ำหลายครั้ง

“บังเอิญจริง ข้าก็เป็นคุณหนูสามเหมือนกัน นายเจ้านามว่าอะไรหรือ”

“คุณหนูข้านามว่าเจียเก๋อเจ้าค่ะ กัว เจียเก๋อ”

แว่นพึมพำชื่อตามก่อนจะหันไปบอกให้คนเปิดกล่องอาหาร จัดขนมที่ดูสวยและน่ารับประทานที่สุด ใส่จานใบเดิมที่อีกฝ่ายนำมา ฝากสาวใช้นำไปมอบให้

การให้ขนมกลับมาถือเป็นการตอบรับมิตรภาพและมารยาททางสังคมอย่างหนึ่ง ฮูหยินเฉินก็เลยให้เตรียมเอามาเผื่อไว้เยอะพอควร นางมองออกว่าต้องมีคุณหนูจากตระกูลอื่นมาผูกมิตรเป็นจำนวนมาก เสียดายที่แว่นทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเป็นคณิกาไปเสียแล้ว ขนมก็เลยเหลือเต็มไปหมด แว่นเสียดายจึงเป็นฝ่ายเอาไปให้คุณหนูคนอื่นก่อน ผลคือจากที่แจกไปหลายสิบจาน ได้ของคืนกลับมาตามมารยาทแค่สองจานเท่านั้น

“คุณหนูน่าจะให้ข้าเปิดเผยตัวว่าเป็นใคร พวกนั้นจะได้ไม่เสียมารยาทด้วย รู้ไหมเจ้าคะว่าบางคนถึงกับเทขนมทิ้งต่อหน้า”

“เทลงพื้นเลยเหรอ”

“เทลงสระเจ้าค่ะ แถมยังประชดว่าขนมเรามีค่าแค่อาหารปลา”

“ดีออก ขนมของดีให้คนแบบนั้นกินก็เสียดายแย่ ให้ปลากินดีกว่าตั้งเยอะ”

“แล้วคุณหนูไม่เจ็บใจบ้างหรือเจ้าคะ ที่เขาทำกับเราขนาดนี้”

หากเป็นคุณหนูบ้านอื่นคงร้องไห้ไปแล้ว ที่ถูกคนกลุ่มใหญ่ปฏิเสธไมตรี

“อืม...ก็ไม่นะ ของเราให้เขาไปแล้วนี่ จะเอาไปทำอะไรต่อก็สุดแล้วแต่ ที่จริงออกจะกำไรด้วยซ้ำที่ได้เห็นธาตุแท้คน” แว่นเอ่ยด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนกำลังสนุกอยู่

นี่เป็นอีกครั้งที่ซีอิ๋งรู้สึกว่าความคิดความอ่านของคุณหนูเริ่มดูแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ

‘คุณหนูยังเป็นคุณหนูแต่บางทีก็เหมือนกับไม่ใช่คุณหนู’

คิดเองก็เริ่มจะสับสนเอง ซีอิ๋งเลยแก้มึนด้วยการนั่งกินขนมที่เหลืออยู่เงียบๆ ในขณะที่รอให้เวลาผ่านไป

ตามกำหนดในเทียบเชิญ กุ้ยฮวาจะได้เข้าเฝ้าสนมเฉินในตอนบ่าย สักใกล้เที่ยงจึงค่อยเดินทางต่อ เจียเก๋อรู้ว่ากุ้ยฮวายังอยู่อีกนานจึงให้คนส่งของมาให้อีก คราวนี้เป็นกลอน นางขึ้นบทแรกให้ แล้วเว้นว่างให้ต่อบทที่สอง แว่นต่อโคลงกลอนไม่เก่ง เลยวาดรูปแถมไปให้ด้วยพร้อมจดหมาย โต้ตอบกันไปมาผ่านสาวใช้อยู่พักหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างก็อยากเจอหน้ากันจึงเดินออกมาจากศาลา เป็นเหตุให้พบกันกลางทางพอดี

เจียเก๋อค่อนข้างโผงผาง หน้าตาธรรมดาแต่ก็ดูสดใสตามวัย ทั้งคู่คุยกันถูกคอทีเดียว ก่อนไปแว่นจึงเฉลยว่าตัวเองเป็นใคร เผื่อว่าเจียเก๋ออยากเขียนจดหมายหาจะได้ส่งถูก

“เจ้าคือท่านหญิงรุ่ยฟาง!” เจียเก๋อดูตกใจมากเมื่อรู้ความจริง

แว่นเกือบจะพูดไปแล้วว่ารุ่ยฟางเป็นชื่อแม่ แล้วแม่ก็เป็นองค์หญิงไม่ใช่ท่านหญิง ดีที่นึกออกก่อนว่านามนี้ได้มาเพราะฮ่องเต้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วคำว่าท่านหญิงจะใช้เรียกเฉพาะแต่ธิดาขององค์ชายเท่านั้น กรณีของกุ้ยฮวาจึงถือว่าพิเศษมาก

“ใช่ แต่ที่บ้านข้าไม่เคยเรียกแบบนั้นสักที ก็เลยไม่ชิน”

“ข้ากัว เจียเก๋อ ขออภัยที่ล่วงเกินท่านหญิง” หญิงสาวรีบค้อมตัวให้ในทันที

“ไม่เอาน่า อย่าทำแบบนี้สิ” แว่นดึงตัวเอาไว้ “เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ เรื่องฐานันดรอย่าเอามาคิดให้ปวดหัวเลย”

แว่นรู้ว่าที่นี่แบ่งชนชั้นกัน แต่ไม่คิดว่ามันจะแยกย่อยขนาดนี้ ทั้งที่เป็นลูกขุนนางเหมือนกันแต่ก็ต้องมานั่งเกรงใจว่าคนนั้นมาจากตระกูลใหญ่ คนนี้เป็นญาติพระสนม ขนาดว่าตัวเองมีฐานะดีกว่าคนอื่นยังรู้สึกรำคาญ

“ขอบคุณท่านหญิงรุ่ยฟางที่ไม่ถือสา”

“ไม่เอาท่านหญิง เรียกกุ้ยฮวาสิ” แว่นแก้

“กุ้ยฮวาก็กุ้ยฮวา” เจียเก๋อยอมตามใจโดยง่ายกระนั้นก็ยังไม่วายพูดในสิ่งที่คิดออกมา “เจ้ารู้ตัวบ้างไหมว่าเป็นคนแปลก”

“รู้สิ แล้วก็ถือว่านั่นเป็นคำชมด้วย” แว่นส่งยิ้มให้ ก่อนจะขอตัวไปทำธุระต่อ

เมื่อเพื่อนใหม่หายลับไปจากสายตาแล้ว เจียเก๋อก็หัวเราะออกมาเสียงดัง นางเคยได้ยินว่าคุณหนูสามของสกุลเฉินร่างกายอ่อนแอ ภาพในจินตนาการจึงเป็นอีกแบบหนึ่ง พอมาเจอตัวจริงเลยอดตกใจไม่ได้ แม้กุ้ยฮวาจะมีภาพลักษณ์ที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอม แต่เนื้อในกลับเป็นไม้งามที่มีหนามแหลมคม ถ้าคุณหนูผู้นี้เข้าวังมาบ่อยๆ เห็นทีจะมีเรื่องน่าสนุก



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.ค. 2557, 00:13:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ค. 2557, 00:13:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1375





<< ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๔ คำขอร้องของเฉิงหมิน   ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๖ องค์หญิงลี่จู >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 2 ก.ค. 2557, 01:22:56 น.
อยากให้มาต่ออีกไวๆ จังงงงง


Zephyr 6 ก.ค. 2557, 23:59:54 น.
นางจะป่วนวังไหมนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account