ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๖ องค์หญิงลี่จู

ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๖ องค์หญิงลี่จู

ศาลาซึ่งเป็นจุดพักและจุดรอเข้าเฝ้าห่างจากเขตพระราชฐานชั้นกลางประมาณห้าร้อยเมตร การเดินทางจะใช้รถม้าไม่ก็รถลาก แว่นอยากจะชมสถานที่เลยขอเปลี่ยนมานั่งรถลากแทน

ในส่วนของชั้นกลางนี้ประกอบไปด้วยสิ่งปลูกสร้างสำคัญมากมาย ทั้งท้องพระโรงที่ใช้ว่าราชการ หอตำราซึ่งเป็นคลังขุมทรัพย์ทางปัญญาขนาดใหญ่ รวมถึงตำหนักของบรรดาองค์ชายทั้งหลาย ตัวอาคารส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมจีน เน้นความมั่นคงแข็งแรงและตกแต่งอย่างวิจิตร แม้กระทั่งยอดหลังคาก็ยังประดับทองคำและเพชรพลอย

แว่นรู้รายละเอียดเหล่านี้มาก่อนจากการศึกษา กระนั้นก็ยังอดตะลึงพรึงเพริดกับความงามประดุจแดนสวรรค์ไม่ได้ เขามองสองข้างทางเพลิน ไม่ทันตั้งตัวก็ต้องลงจากรถเพื่อเตรียมเข้าไปในพระราชฐานชั้นในแล้ว บริเวณนี้ห้ามบุรุษและผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา จึงมีเพียงกุ้ยฮวากับซีอิ๋งเท่านั้นที่ได้รับอนุญาต

สนมเฉินส่งนางกำนัลมารอรับและนำทางให้ ทั้งสองจึงตามไปแบบเงียบๆ ซีอิ๋งดูสงบสำรวมกว่าปกติเป็นอย่างมาก บรรยากาศของสถานที่เองก็เงียบสงัด แว่นเลยพลอยรู้สึกเกร็งตามไปด้วย ทั้งที่ท่องระเบียบวังมาจนขึ้นใจและฝึกมารยาทมาอย่างดีแล้ว หัวใจมันก็ยังเต้นถี่

แว่นรู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อมองทางเดินยาวเหยียดปูด้วยพรมสีแดงสด เลยเบนสายตาไปที่ภาพจิตรกรรมบนผนังแทน ทว่ามือมันกลับชื้นเหงื่อ หายใจขัดขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาคิดว่าเป็นเพราะอาการประหม่าก็เลยพยายามสงบใจ ไม่นานหัวใจก็กลับมาเต้นเป็นปกติ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ดีกับภาพบนผนังอยู่ ความรู้สึกนี้บอกให้รู้ว่ากุ้ยฮวากลัวภาพมังกร ท่าทางคงจะมีอะไรฝังใจในตอนเด็กเป็นแน่แท้

หลังจากคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยและประหม่าจนหายประหม่าไปหลายรอบ แว่นก็เริ่มคิดว่าเมื่อไรจะไปถึงตำหนักที่อาหญิงอยู่เสียที เลยกระซิบถามซีอิ๋ง

“พึ่งจะครึ่งทางเจ้าค่ะ คุณหนูเหนื่อยไหมเจ้าคะ จะพักก่อนไหม”

“ไม่เป็นไร ข้ายังไหว” แว่นทำเป็นว่ายังปกติทั้งที่ความจริงอยากจะทรุดลงนั่งแทบแย่

เขาไม่น่าลืมเลยว่าเขตราชฐานชั้นในไม่ต่างอะไรกับภูเขาลูกย่อมๆ เนื่องจากสร้างอยู่บนเนินสูง มีตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้อยู่บนสุด ตามมาด้วยตำหนักของฮองเฮาและสนมทั้งหลายไล่เรียงกันลงมา อาหญิงเป็นสนมเอก ดังนั้นตำหนักของนางจึงอยู่สูงเกือบที่สุด ต้องเดินไกลอย่างนี้เอง มินาเล่าหย่าลี่จึงเป็นห่วง ถามย้ำแล้วย้ำอีกว่าไหวหรือเปล่า

“ท่านหญิงจะพักอยู่ตรงนี้ก่อนก็ได้นะเจ้าคะ ข้าจะให้คนแบกเสลี่ยงมารับ” นางกำนัลที่มาด้วยบอกอย่างมีน้ำใจ เมื่อได้ยินการสนทนา

“อย่าลำบากเลย ข้าเดินไหว” แว่นปฏิเสธ

ในวังนี้มีแต่ฮ่องเต้กับเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถนั่งเสลี่ยงได้ ถึงจะอนุโลมให้สนมบางคนกับคนป่วย แต่ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าทำนัก อีกอย่างถ้าที่บ้านรู้ว่าขึ้นมาเองไม่ไหวต้องให้คนแบก ความหน้ามีหวังขอเข้าวังมายากขึ้นแน่ๆ

เนื่องจากห่วงเที่ยว แว่นเลยพยายามเดินด้วยสองขาของตัวเองมาจนถึงที่หมายได้ในที่สุด นั่งพักอยู่ในห้องรับรองได้สักอึดใจ บานประตูที่เชื่อมกับห้องด้านในก็ถูกเปิดออก แล้วก็มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินออกมา หนึ่งในนั้นมีสตรีท่าทางสง่างาม แต่งกายหรูหราต่างจากทุกคนรวมอยู่ด้วย แว่นเดาได้ว่าเป็นใคร ก็เลยลุกขึ้นแล้วย่อตัวแสดงความเคารพ

“กุ้ยฮวาคำนับพระสนม”

ปกติหากผู้ใหญ่เมตตาจะบอกว่าไม่ต้องมากพิธีแล้วบอกให้นั่ง ทว่าท่านอาหญิงของกุ้ยฮวานั้นแตกต่างจากคนทั่วไป นางต้อนรับการมาของหลานสาวด้วยการกอดเสียเต็มรัก จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาแบบไม่รักษาภาพพจน์เลยสักนิด

“อาคิดถึงเจ้าเหลือเกินกุ้ยฮวา นึกว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้พบหน้าเจ้าอีกแล้ว ดีเหลือเกินที่เจ้าฟื้นจากความตายมาได้” สนมเฉินเอ่ยเสียงเครือ

“กุ้ยฮวาก็คิดถึงพระสนมเพคะ”

“เรียกอาหญิงเถอะ ที่นี่มีแต่คนกันเอง” สนมเฉินแก้ให้

นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา แล้วถอยออกมาพิจารณาหน้าหลานสาวให้ละเอียดถี่ถ้วนขึ้น พอได้มองเต็มตาแล้วจึงยิ้มออก

“มีแต่คนบอกว่ายิ่งโตเจ้ายิ่งเหมือนรุ่ยฟาง เห็นทีจะมองผิด ความงามเจ้าล้ำหน้าแม่มากนักนะรู้ไหม”

แว่นยิ้มรับคำชมนี้ แล้วปล่อยให้สนมเฉินเป็นฝ่ายพูดเสียเป็นส่วนใหญ่ พอทักทายจนเป็นที่พอใจแล้ว อาหญิงก็ดึงตัวพามาที่ห้องซึ่งมีขนมนมเนยเตรียมเอาไว้มากมาย แต่ละอย่างล้วนเป็นของโปรดของกุ้ยฮวาในสมัยเด็ก ซึ่งไม่มีข้อมูลอยู่ในหัวเลย แว่นจึงพยายามเก็บรายละเอียดต่างๆ ผ่านการสนทนา

อาหญิงหงจิงพูดถึงมารดาของกุ้ยฮวาบ่อยครั้ง ภาษาที่นางใช้เมื่อเอ่ยถึงบ่งบอกความสนิทสนมได้เป็นอย่างดี พอพูดถึงความหลังนางก็ออกอาการน้ำตาซึมขึ้นมาอีก แสดงว่าเป็นคนอ่อนไหวทีเดียว

“พูดแล้วก็รู้สึกผิดต่อแม่เจ้านัก เพราะไปแต่งกับเจ้าพี่งี่เง่านั่นแท้ๆ ก็เลยตายตั้งแต่ยังสาว”

‘เจ้าพี่งี่เง่า’ ที่ว่าคือพ่อของกุ้ยฮวาอย่างไม่ต้องสงสัย วัฒนธรรมที่นี่มีระบบอาวุโส เป็นน้องแต่กล้าว่าพี่อย่างนี้ แสดงว่าท่านพ่อคงตามใจอาหญิงน่าดู เหมือนกับกุ้ยอี้ที่เอาใจกุ้ยฮวาไม่มีผิด

“ถ้าอารู้ล่วงหน้าสักนิดว่าจะเป็นแบบนี้ คงไม่แต่งงานมาอยู่ในวังให้โดนขังหรอก สู้ยอมขึ้นคานดีกว่าจะได้คอยดูแลสกุลเฉิน ไม่ต้องมานั่งห่วงอยู่ทุกวี่วัน” สนนเฉินเอ่ยด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด สักอึดใจก็พึมพำว่า “เพราะตาบ้านั่นคงเดียว”

“ตาบ้า?” แว่นทวนคำ

“อาหมายถึงฮ่องเต้น่ะ”

แว่นถึงกับสะดุ้งที่อาหญิงกล้าเรียกบุคคลที่เป็นประหนึ่งสมมุติเทพแบบนั้น เลยแอบปรายตามองดูว่าคนรอบตัวจะมีท่าทีอย่างไร ซีอิ๋งหันมาสบตาแล้วยิ้มแหยๆ ท่าทางคงตกใจจนปั้นหน้าไม่ถูกเหมือนกัน ส่วนนางกำนัลวันสามสิบปลายๆ สองคนที่อยู่ในห้องดูไม่สะทกสะท้านเท่าไร สงสัยว่าคงจะชินแล้ว แม้แต่การเรียกไทเฮาว่า ‘ยายแก่’ ก็ไม่ทำให้สีหน้าของพวกนางเปลี่ยนไป

ไทเฮาที่ว่าคือตำแหน่งพระมารดาของฮ่องเต้ ส่วนใหญ่มักเป็นสตรีที่เคยเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้ในรัชกาลก่อน แต่ในสมัยนี้ ไทเฮาคือพระมารดาของฮ่องเต้องค์ก่อน พูดให้เข้าใจง่ายก็คือแม่เลี้ยงของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนั่นเอง

ฮ่องเต้องค์ก่อนสละราชสมบัติตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์แทน ส่งผลให้ไทเฮาไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้ฮ่องเต้โหย่งซินจะเพิ่มพระยศและให้อยู่ในฐานะไทเฮาต่อไป พระนางก็ยังแสดงท่าทีต่อต้าน ด้วยการไม่ยอมเสด็จมาร่วมพิธีการสำคัญ

“ไทเฮาทรงใจร้ายกับอาหญิงหรือ ท่านจึงไม่ชอบพระนาง” แว่นลองเลียบเคียงถามดู

“ใช่...ร้ายมาก” สนมเฉินเอ่ยอย่างมีอารมณ์ “อยู่ๆ ก็มาแย่งลี่จูไปจากข้า พรากแม่พรากลูกอย่างนี้จะไม่ให้อาช้ำใจได้อย่างไร”

ลี่จูหรือองค์หญิงสิบอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับกุ้ยฮวา ความที่โตมาด้วยกันจึงรักกันเหมือนพี่น้อง หลังจากกุ้ยฮวาออกจากวังมาแล้วก็ยังติดต่อกันอยู่

“เหตุใดไทเฮาจึงทรงทำเช่นนั้น”

เท่าที่ฟังดูไทเฮาค่อนข้างเก็บตัว พระนางนึกอย่างไรกันถึงได้มาเอาตัวองค์หญิงลี่จูไป ทั้งที่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด แว่นจึงคิดไปในทางว่านี่อาจจะเป็นเกมการเมือง ทว่าเมื่อได้ฟังคำตอบแล้ว กลับไม่ใช่เรื่องน่าวิตกอย่างที่เข้าใจ

“ก็เพราะลี่จูของอาน่ารักมากน่ะสิ ยายแก่นั่นก็เลยยึดเอาไว้คนเดียว ให้กลับมาค้างกับแม่แค่อาทิตย์ละไม่กี่วันเท่านั้น”

มาจนถึงตอนนี้แล้ว แว่นก็ได้เข้าใจธรรมชาตินิสัยของอาหญิงตัวเอง นางแค่โวยวายระบายอารมณ์ไปอย่างนั้นเอง เนื้อแท้มิได้ผูกใจเจ็บไทเฮาที่เอาตัวธิดาไปเลี้ยงดูเลย

ต่อจากนั้นสนมเฉินก็ยังบ่นอีกหลายเรื่อง ซึ่งแว่นก็รับฟังแต่โดยดี โดยที่ไม่รู้สึกรำคาญสักนิด เขาตระหนักดีว่าที่อาหญิงยอมพูดให้ฟังก็เพราะไว้ใจนั่นเอง

ก่อนเข้าวังมาหย่าลี่ได้เรียกตัวกุ้ยฮวาไปพบ เพื่อสอนเรื่องเกี่ยวกับวังหลวงให้รับรู้ พลางย้ำว่าที่นั่นน่ากลัว จะพูดจะจาอะไรก็ต้องระวัง คำพูดที่เอ่ยเพียงเพราะคะนองปากอาจนำภัยมาสู่ตัวได้ หย่าลี่ไม่ใช่คนที่ชอบขู่ ดังนั้นแว่นจึงจำข้อความนี้ใส่ใจเอาไว้ให้มั่น



กุ้ยฮวาถูกสนมเฉินรั้งตัวไว้ให้ค้างในวัง ด้วยเหตุผลว่าเย็นมากแล้ว จะได้ไม่ต้องรีบร้อนเดินทางกลับก่อนประตูวังปิดและจะได้เจอองค์หญิงลี่จูในวันรุ่งขึ้นด้วย แว่นตอบตกลงในทันที แค่นึกถึงระยะทางที่ต้องเดินกลับลงไปก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว

สนมเฉินจัดให้หลานสาวนอนในห้องรับรองพิเศษในตำหนัก เสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนก็เป็นของใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้ ทีแรกแว่นคิดว่าคงเป็นขององค์หญิงลี่จู แต่พอนางกำนัลมากระซิบบอกว่านี่เป็นของที่สั่งตัดให้กุ้ยฮวาโดยเฉพาะ เพิ่งจะเสร็จเมื่อวันก่อนนี่เองจึงยังไม่ได้ส่งไปให้

แว่นถูกใจห้องนอนที่ตกแต่งอย่างสวยหวาน บ่งบอกความเป็นผู้หญิง ต่างกับห้องของกุ้ยฮวาที่บ้านสกุลเฉินที่ดูเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ถ้าซีอิ๋งมาเห็นห้องนี้คงชอบใจน่าดู เสียดายว่าถูกจัดให้ไปนอนอีกที่ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้เข้ามารับใช้หรือเปล่า

ถึงต้องแยกกับสาวใช้ แว่นก็ไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว สนมเฉินส่งนางกำนัลมานอนเป็นเพื่อนและคอยดูแลเรื่องต่างๆ ให้ นางกำนัลคนนี้ชื่อซุ่ยเซียน อายุไม่เกินยี่สิบห้าท่าทางช่างพูดช่างคุย ก็เลยได้สนทนากันหลายเรื่อง ก่อนจะวกมาที่คำพูดของอาหญิงในวันนี้

“ท่านหญิงอย่าไปบอกใครนะเจ้าคะว่าพระสนมเอ่ยถึงฮ่องเต้กับไทเฮาว่าอย่างไร”

เห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยเจ้านาย แว่นก็ยิ้มรับ

“พี่ซุ่ยเซียนไม่ต้องห่วงหรอก ข้าความจำไม่ดีนัก จำได้แต่อาหญิงสรรเสริญฮองเฮาให้ฟังเท่านั้น ที่เหลือลืมไปหมดเสียแล้ว”

ประโยคนี้บอกให้รู้ว่าแว่นไม่เพียงแต่จะปิดปากเงียบ แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็จะช่วยแก้ต่างให้อาหญิงด้วย ซุ่ยเซียนจึงค้อมกายให้แทนการขอบคุณ

ดูจากนิสัยเอาแต่ใจและติดจะปากร้ายของอาหญิงแล้ว แว่นก็อดสงสัยไม่ได้เลยจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้เอาตัวรอดในวังที่มีการแข่งขันแย่งชิงกันมาได้อย่างไร แล้วก็ยิ่งแปลกใจเมื่อรู้ว่าจนบัดนี้ฮ่องเต้ก็ยังโปรดปรานสนมเฉิน

แว่นยอมรับว่าอาหญิงหงจิงเป็นคนสวย ถึงจะอายุสี่สิบกว่าแล้ว หน้าตาผิวพรรณก็ยังสู้คนอายุสามสิบได้สบาย ถึงอย่างนั้นก็ยังมองไม่เห็นความสามารถในการผูกมัดใจชายจากตัวผู้เป็นอาเลย ฮ่องเต้มีสนมกำนัลมากมาย สาวกว่าสวยกว่าก็เยอะ เอาใจเก่งก็มีมาก แต่ก็ยังทรงมาประทับที่ตำหนักนี้อย่างสม่ำเสมอ

ครั้นจะถามนางกำนัลว่าพระสนมเฉินมีดีตรงไหนก็ไม่กล้า เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าดูถูกญาติผู้ใหญ่ตัวเองเสียเปล่าๆ เลยได้แต่เดาไปตามเรื่องว่าท่านอาคงเป็นสตรีที่อยู่ในพระทัยของฮ่องเต้ การได้รับความรักอย่างมากมายนี้ถือว่าโชคดีทีเดียว



ในค่ำคืนนั้นเมื่อกุ้ยฮวาหลับสนิทแล้ว นางกำนัลก็ย่องอย่างเงียบกริบออกไปรายงานทุกถ้อยคำที่ได้สนทนากันให้พระสนมทราบ จริงอยู่ที่หงจิงมีนิสัยเสียอยู่หลายอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่มากเท่ากับความชาญฉลาดของนาง วันนี้ที่พร่ำบ่นอะไรต่อมิอะไรไปสารพัด ไม่ใช่เพื่อระบายเท่านั้น แต่ยังเป็นการทดสอบไปในตัว กุ้ยฮวาพ้นจากการอบรมของนางไปห้าปีแล้ว สนมเฉินจึงอยากจะเห็นพัฒนาการของหลานสาว

แว่นตื่นขึ้นมารับอรุณอย่างสดชื่นโดยไม่ระแคะระคายเรื่องการทดสอบสักนิด พอล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดและจัดแต่งทรงผมใหม่แล้ว ก็มีนางกำนัลเดินเข้ามากับซีอิ๋ง พร้อมกับข้าวของที่ส่งมาจากที่บ้าน ในกล่องใบใหญ่กับห่อผ้ามีทั้งยาที่ต้องกินเป็นประจำ ชุดชั้นใน เสื้อผ้า เครื่องประดับ เรียกว่าพร้อมสรรพทุกอย่าง แว่นสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ในการจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ จึงรู้สึกรักแม่เลี้ยงมากขึ้นอีกหลายเท่า

เช้านี้อาหญิงสั่งนางกำนัลว่าให้เชิญท่านหญิงรุ่ยฟางมารับประทานอาหารเช้าด้วยกัน เวลาอาหารเช้าปกติของสนมเฉินคือสองยามสาย แว่นเห็นว่ายังมีเวลาเหลืออีกมาก จึงไปช่วยซีอิ๋งจัดของ

“ออมแรงไว้เถอะเจ้าค่ะคุณหนู วันนี้ท่านมีเรื่องต้องทำอีกมาก เดี๋ยวจะเหนื่อยเสียก่อน” ซีอิ๋งห้าม

แว่นไม่แย้งแต่เพ่งมองใบหน้าของสาวใช้แทน

“หน้าเจ้าดูเซียวๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่า”

“มะ...ไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้า...ข้าแค่นอนไม่ค่อยหลับ” ซีอิ๋งโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

แว่นไม่เชื่อเสียทีเดียวก็เลยเอามือแตะหน้าผากให้คลายสงสัย ผลคือตัวซีอิ๋งเย็นกว่ามาก

“ถึงจะไม่มีไข้แต่สีหน้าเจ้าดูแย่มากเลย กินข้าวแล้วนอนพักสักหน่อยเถอะ”

“เจ้าค่ะคุณหนู ซีอิ๋งขอบคุณที่เป็นห่วง”

ค้อมกายให้เสร็จ เด็กสาวก็กลับมาจัดของต่อ ในจังหวะที่กำลังเอาเสื้อผ้าไปแขวนก็ต้องสะดุ้ง เพราะคำพูดของคุณหนู

“ที่จริงหน้าเจ้าไม่เหมือนคนอดนอนเท่าไรหรอกนะ เหมือนเด็กฝันร้ายที่ยังไม่หายเสียขวัญมากกว่า” แว่นพูดไปตามความรู้สึก

ซีอิ๋งเกือบจะทำความแตกเพราะร้อนตัวเสียแล้ว ดีที่ว่ากุ้ยฮวาหันไปสนใจเครื่องประดับในหีบใบเล็กเสียก่อน เด็กสาวก็เลยรอดตัวมาได้

เมื่อคืนนางเจอกับสิ่งที่เฉียดๆ กับฝันร้ายมา เพราะถูกเรียกตัวไปเฝ้าพระสนมกลางดึก เด็กสาวตกใจไม่น้อยที่ถูกปิดตาพาเข้าไปในห้องที่ไม่มีหน้าต่าง ภายในมีเทียนจุดเอาไว้เพียงสลัว สนมที่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโต ดูงดงามและน่าพรั่นพรึงราวกับราชินีปีศาจ

แม้พระสนมจะแค่พูดคุยสอบถามธรรมดาว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ซีอิ๋งก็ยังตัวสั่น ทั้งยังไม่กล้าสบตาด้วย สนมเฉินถามอะไรมาก็พูดโพล่งบอกไปจนหมดโดยไม่ทันได้คิด กว่าจะรู้ว่าเผลอเล่าเรื่องที่คุณหนูตระกูลอื่นทำไม่ดีกับกุ้ยฮวา สีหน้าของพระสนมก็เปลี่ยนไปแล้ว จากที่แย้มยิ้มก็กลายเป็นนิ่งสนิท

‘กุ้ยฮวามีท่าทีอย่างไร นางร้องไห้หรือเปล่า’

‘ปะ...เปล่าเพคะ คุณหนูดูจะชอบใจ นะ...นางบอกว่าดีที่ได้เห็นธาตุแท้คน’

‘แล้วมีใครทำอะไรกุ้ยฮวาของข้าอีกไหม’ สนมเฉินถามเสียงเย็น

ตอนนั้นซีอิ๋งกลัวจนแทบจะหยุดหายใจเลยทีเดียว ในหัวมีแต่คำว่าถ้าโกหกต้องตายแน่ๆ ก็เลยเล่าทุกอย่างไปแบบหมดเปลือก

‘คุณหนูสกุลอู๋เทขนมลงน้ำเจ้าค่ะ บอกว่าขนมเรามีค่าแค่อาหารปลา’

‘ร้ายกาจยิ่งนัก’ นางกำนัลคนสนิทของสนมเฉินอดที่จะแสดงความเห็นเพราะโกรธเคืองแทนไม่ได้

‘แล้วกุ้ยฮวาว่าอย่างไร’ สนมเฉินถามอีก

ซีอิ๋งตอบว่ากุ้ยฮวาไม่ได้เดือดร้อน นางดูดีใจที่ขนมชั้นเลิศกลายเป็นอาหารปลามากกว่าให้คุณหนูใจร้ายคนนั้นกิน

พระสนมหัวเราะลั่นกับเรื่องเล่านี้ แต่แม้จะชอบใจปานใด สนมเฉินก็ยังไม่ลืมเรื่องเสียมารยาทที่บรรดาคุณหนูทั้งหลายทำกับกุ้ยฮวา สีหน้าของนางยามเอ่ยว่าต้องตอบแทนคืนกลับไปให้สาสมทำซีอิ๋งขนลุกซู่ไปทั้งตัว

หลังจากนั้นเด็กสาวก็ถูกปล่อยตัวกลับมา โดยปราศจากรอยขีดข่วนและได้รับการตกรางวัลก้อนใหญ่ ที่รู้โดยนัยว่านี่คือค่าปิดปาก

‘ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ก็อย่าได้บังอาจแพร่งพรายเรื่องนี้ให้กุ้ยฮวารู้เป็นอันขาด’

คำขู่นี้ดังก้องอยู่ในหู ซีอิ๋งเลยผวาจนนอนไม่หลับ ได้แต่สวดภาวนาว่าขออย่าให้ต้องมาพบเจอประสบการณ์แบบนี้อีกเลย



บททดสอบของสนมเฉินเริ่มต้นอีกครั้งหลังอาหารเช้า นางชวนหลานสาวมาเล่นหมากล้อม หมากล้อมที่โลกนี้มีกฎกติกาเหมือนกับหมากล้อมในโลกของแว่นทุกประการ ทำให้สามารถเล่นได้โดยไม่ติดขัด

สมัยมหาวิทยาลัยแว่นเคยอยู่ชมรมหมากล้อมหรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘โกะ’ มาก่อน สาเหตุที่เข้าไปเพราะเห็นว่ามีรุ่นพี่ผู้ชายหน้าตาดีเยอะ เวลาที่เข้าชมรมก็จะแค่เล่นสนุกๆ ไม่ได้จริงจัง จนกระทั่งประธานชมรมเห็นความสามารถ ก็เลยจัดแมตช์ท้าดวลแบบพลีชีพขึ้นมา

‘แพ้แล้วถอด’ เป็นคอนเซ็ปต์หลักที่ผู้เข้าร่วมทุกคนต้องปฏิบัติ ไม่รู้เพราะพลังสมองหรือเพราะพลังหื่น แว่นถึงชนะคู่ต่อสู้ผู้ชายทุกคนและเสมอกับบรรดาสาวๆ แบบจงใจทุกคนเช่นกัน พอรู้ถึงพรสวรรค์ของตัวเองแล้ว แว่นก็เข้าแข่งขันและได้รับรางวัลมามากมาย ทุกวันนี้ก็ยังเล่นอยู่และเป็นที่ปรึกษาให้ชมรมโกะของมหาวิทยาลัยด้วย

เมื่ออยู่ในร่างกุ้ยฮวาความสามารถของแว่นก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย กลับรู้สึกว่ามองเกมออกง่ายขึ้นด้วยซ้ำ ในหัวมีกลยุทธ์หลากหลายโผล่ขึ้นมาให้นำเอาไปพลิกแพลง แสดงว่ากุ้ยฮวาคงจะเล่นหมากล้อมเก่งเช่นกัน แว่นจึงเอาชนะสนมเฉินได้หนึ่งตา เสมอไปหนึ่งและแกล้งแพ้ไปอีกหนึ่งได้ไม่ยาก

สนมเฉินดูจะชอบใจที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ กุ้ยฮวาคล้ายนางตรงที่ชอบเอาชนะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้จักเอาใจผู้ใหญ่ ด้วยการสร้างข้อผิดพลาดเล็กน้อยให้ตัวเองต้องแพ้ แบบไม่ให้คู่แข่งติดใจสงสัยมาก

เสร็จจากการแข่งหมากล้อม กุ้ยฮวาก็ได้พักประมาณสามชั่วยาม จากนั้นพระสนมก็ขอให้ช่วยเขียนเทียบเชิญให้ฉบับหนึ่ง ลายมือของกุ้ยฮวาเป็นที่น่าประทับใจ ส่วนฝีมือวาดรูปนั้นไม่จำเป็นต้องทดสอบเพราะมีผลงานของนางหลายชิ้นถูกส่งเข้าวังมาเป็นของขวัญให้ประจักษ์ถึงฝีมือแล้ว

ในโลกนี้วิชาของลูกผู้หญิงมีที่จำเป็นอยู่ห้าอย่างคือ เย็บปัก เขียนพู่กัน วาดรูป หมากล้อมและดนตรี กุ้ยฮวามีสิ่งเหล่านี้อยู่ครบครัน พอผนวกเข้ากับความงามและสติปัญญาแล้ว ตำแหน่งจอมนางแห่งวังหลวงย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

‘น่าเสียดายยิ่งนัก น่าเสียดายเหลือเกิน’

สนมเฉินได้แต่พร่ำพูดประโยคเดิมซ้ำๆ แล้วถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงสุขภาพของกุ้ยฮวา สกุลเฉินช่างอับโชค จะไม่มีสักรุ่นเลยหรือไรที่ได้เป็นฮองเฮา



ตกเย็นกุ้ยฮวาก็ต้องค้างอยู่ในวังอีกเป็นคืนที่สอง เนื่องจากอาหญิงยังไม่คลายคิดถึงและไทเฮาไม่ยอมปล่อยตัวองค์หญิงลี่จูให้กลับมาหามารดาก่อนกำหนด

เมื่อนึกถึงลูกพี่ลูกน้องคนนี้ ความทรงจำหลากหลายก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิด แว่นเลยพลอยรู้สึกกับองค์หญิงสิบเหมือนเพื่อนสนิทคนหนึ่งไปด้วย ถึงประสบการณ์ที่เคยมีร่วมกันในวันวานจะเลือนราง กระนั้นก็ยังอยากพบ อยากเห็นหน้า

องค์หญิงลี่จูเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน นางรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาหา ได้เจอหน้าแล้วก็โผเข้ามาจับไม้จับมืออย่างยินดี แว่นเองก็ยิ้มไม่หุบ เขาปล่อยใจไปกับความผูกพันโดยไม่แข็งขืน เพื่อถนอมความรู้สึกและมิตรภาพที่องค์หญิงลี่จูมอบให้

“ขอโทษที่ต้องให้รอนะกุ้ยฮวา เราไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าเข้าวังมาหลายวันแล้ว” องค์หญิงลี่จูบอก

“ต้องเป็นฝีมือยายแก่ชั่วร้ายนั่นแน่ ทั้งที่ส่งคนไปย้ำว่าเป็นเรื่องด่วนแท้ๆ ก็ยังไม่ยอมให้นางกำนัลไปบอกเจ้า” สนมเฉินเอ่ยแทรก

องค์หญิงลี่จูตอบรับด้วยการยิ้ม สำหรับนางแล้ว สนมเฉินเป็นมารดาที่รักยิ่ง ส่วนไทเฮาก็เป็นท่านย่าที่ประเสริฐ ถึงต่างฝ่ายจะเรียกกันลับหลังว่า ‘ยายแก่’ กับ ‘นางจิ้งจอก’ แต่ทั้งคู่ก็มิใช่ศัตรูที่หมายจะห้ำหั่นกันถึงตาย อย่างมากก็แค่หมั่นไส้และนินทาพอหอมปากหอมคอเท่านั้น คนกลางอย่างนางจึงไม่รู้สึกลำบากใจ

กุ้ยฮวาตั้งใจว่าจะกลับบ้านวันนี้ สนมเฉินจึงเปิดโอกาสให้ธิดากับหลานสาวได้พูดคุยและเที่ยวเล่นด้วยกันเต็มที่ โดยยอมปล่อยตัวให้ออกจากตำหนักมาตั้งแต่ยังไม่เที่ยง

ขากลับออกมานี้ค่อนข้างสบายเพราะมีการจัดเสลี่ยงมาให้ ตอนแรกแว่นหวาดเสียวกลัวตกเวลาถูกหามลงบันไดชันๆ แต่เมื่อปรับตัวได้แล้วก็รู้สึกว่าสนุกและสะดวกดี

ระหว่างที่เดินทางนี้องค์หญิงลี่จูชวนคุยหลายเรื่อง จนนางกำนัลคนสนิทที่ตามมาด้วยอดหยอกไม่ได้

“ท่านหญิงรุ่ยฟางต้องเข้าวังมาบ่อยๆ นะเจ้าคะ ปกติองค์หญิงของหม่อมฉันพูดแทบจะนับคำได้เลย แต่พอมีท่านหญิงเป็นเพื่อนแล้วก็กลายเป็นนกน้อยช่างจ้อขึ้นมาทันที”

“ตายจริง...เราคงไม่ได้พูดมากจนพวกเจ้ารำคาญหรอกนะ” องค์หญิงคนงามถาม

“ไม่เลยเพคะ หม่อมฉันเห็นองค์หญิงทรงเกษมสำราญก็รู้สึกแจ่มใสตามไปด้วย” นางกำนัลตอบกลับอย่างจริงใจ ไม่ได้ประจบสอพลอ

องค์หญิงลี่จูแทบไม่ได้เปลี่ยนไปจากวัยเด็กเลย เคยอ่อนโยน ไร้เดียงสา มองโลกในแง่ดีอย่างไรทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนจะรักและชื่นชอบนาง

“ลายปักผ้าเช็ดหน้าเจ้าสวยจริง” แว่นชมเมื่อเหลือบไปเห็น

“เราทำเอง ถ้าเจ้าชอบเราจะทำให้นะ”

แม้จะไม่ฉลาดเฉลียวอย่างกุ้ยฮวา แต่องค์หญิงลี่จูก็มีคุณสมบัติของกุลสตรีที่โดดเด่น นางมีฝีมือเรื่องการเย็บปักถักร้อยเป็นเลิศ หากนางปักผีเสื้อ ผีเสื้อนั้นก็จะงามสมจริงราวกับจะโบยบินออกมาจากผืนผ้าได้

“ขอบคุณมาก ข้าจะคอยนะ จริงสิ! ตอนนี้เจ้ายังเล่นกู่เจิง อยู่ไหม” แว่นถามเพราะนึกขึ้นมาได้

“ยังเล่นอยู่เกือบทุกวัน ไทเฮาทรงโปรดให้เราบรรเลงถวายบ่อยๆ”

“ข้าอยากฟังจัง ไปถึงอุทยานแล้ว เล่นให้ฟังได้ไหม”

แว่นรู้แต่ว่ามันเพราะจับใจ แต่เพราะอย่างไรจำไม่ได้เสียแล้ว ข้อมูลที่เหลืออยู่มีแค่องค์หญิงลี่จูนั้นฝีมือชั้นครู อายุแค่สิบสองก็เก่งล้ำหน้าผู้ใหญ่หลายคนไปไกล

“ได้สิ แต่เจ้าต้องร้องเพลงคลอตามไปด้วยนะ”

“ตกลง” แว่นตอบรับในทันที



กุ้ยฮวากับองค์หญิงสิบก็มาถึงอุทยานกลางเขตพระราชฐานโดยใช้เวลาไม่นาน ที่เลือกตรงนี้เพราะมันคือสถานที่แห่งความทรงจำของทั้งสอง

อุทยานกลางจัดเป็นทางผ่านสำคัญไปยังจุดต่างๆ จึงเปิดให้ใช้ได้ทั้งชายและหญิง สมัยก่อนกุ้ยฮวาเลยมาที่นี่เกือบทุกวันเพื่อดักรอพบท่านพ่อกับท่านพี่ องค์หญิงลี่จูรู้จึงตามมาเล่นด้วย จนกลายเป็นที่ประจำของทั้งคู่ไป

นั่งเล่นคุยกันได้ระยะหนึ่ง นางกำนัลก็จัดเตรียมกู่เจิงมาให้ เนื่องจากเครื่องดนตรีอันนี้ไม่ใช่ของส่วนตัวที่เล่นจนเคยมือ องค์หญิงลี่จูจึงขอลองซ้อมก่อน แม้จะเป็นการลองเล่นเพลงง่ายๆ แต่เสียงเครื่องดนตรีอันไพเราะก็ดึงดูดชักชวนผู้คนให้เข้ามาใกล้ หลายคนหยุดฟังและหนึ่งในนั้นก็มีนางกำนัลช่างสังเกตรวมอยู่ด้วย นางเห็นสตรีโฉมงามแปลกหน้านั่งอยู่ข้างๆ องค์หญิงสิบ จึงแอบย่องไปถามว่าเป็นใคร

นางกำนัลขององค์หญิงบอกไปอย่างไม่ปิดบังว่าเป็นคุณหนูสามแห่งสกุลเฉิน ผู้คนก็เลยพากันตื่นเต้นยินดี รีบกระจายข่าวจนรู้โดยทั่วกัน

‘สองเทพธิดากลับมาแล้ว’ คือคำพูดที่ใช้บอกต่อ กว่าห้าปีแล้วที่ผู้คนไม่ได้เห็นสองดรุณีน้อยแห่งวังหลวง สมัยก่อนพวกนางตัวติดกันราวกับเป็นฝาแฝด ทั้งยังมีหน้าตาที่งดงาม ใครเห็นก็อดเอ็นดูไม่ได้ ทุกคราวที่เดินผ่านอุทยานแห่งนี้ เป็นต้องเผลอสอดส่ายสายตามองหา

เมื่อกุ้ยฮวาออกจากวังไปรักษาตัวอย่างไม่มีกำหนดกลับ องค์หญิงสิบก็ไม่เคยย่างกรายมาที่อุทยานแห่งนี้อีกเลย สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงภาพความทรงจำกับเรื่องเล่าขานที่เสมือนหนึ่งตำนานของสวน

ใครเลยจะคาดคิดว่าในวันที่ผู้คนเริ่มตัดใจและเกือบจะลืมเลือนเรื่องนี้ไปแล้ว กุ้ยฮวาจะกลับมายังวังหลวงอีกครั้ง พร้อมกับความงามที่ทำให้ตะลึงพึงเพริด องค์หญิงสิบเองก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน นางมีใบหน้าสวยหวานชวนพิศชนิดที่ไม่มีความหวานใดจะเทียบเคียงได้ พอมาอยู่ด้วยกันก็ยิ่งช่วยส่งเสริมให้โดดเด่น

กุ้ยฮวากับองค์หญิงลี่จูไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา เนื่องจากสมาธิอยู่ที่การขับร้องและเล่นดนตรี เสียงหวานกังวานใสของกุ้ยฮวาผสานเข้ากับกู่เจิงได้อย่างลงตัว แม้แต่แว่นเองยังประหลาดใจในพรสวรรค์อันนี้

‘เพราะจับใจเหลือเกิน’ ไม่ว่าใครที่ได้ฟังต่างก็พากันชื่นชมเป็นเสียงเดียว

ในขณะที่ผู้คนกำลังต้องมนต์สะกดแห่งเสียงเพลง สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น ธนูดอกหนึ่งพุ่งตรงไปยังองค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทันได้ตั้งตัว มันก็ปักฉึกลงตรงกลางลำต้นของต้นไม้ ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างหญิงสาวทั้งสองแล้ว

เสียงเพลงเงียบหายไปในบัดดล แว่นรีบมองหาที่มาที่ไปของธนู ทว่ากับเห็นแต่ภาพความโกลาหน ผู้คนจำนวนมากที่รายล้อมรอบตัวอยู่พากันแตกฮือวิ่งหนีตาย ไม่ก็ตะโกนโหวกแหวกหวีดร้อง แว่นไม่รู้ว่านี่เป็นฝีมือใคร ความที่เป็นห่วงองค์หญิง ก็เลยตรงเข้าไปคว้ามือเอาไว้หมายจะพาไปหาที่หลบเผื่อคนร้ายจะยิงมาอีก

“ไปเร็วลี่จู”

อีกฝ่ายไม่ตอบรับ องค์หญิงสิบยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มือนางขยับขึ้นมาทาบอกอย่างช้าๆ ก่อนจะอุทานคำที่แว่นไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากปากสตรีโฉมงามสูงศักดิ์

“เชี่ย!” หนึ่งพยางค์ เน้นๆ ชัดเต็มสองหูและเป็นภาษาไทย

อึดใจภาพของใครคนหนึ่งก็ซ้อนทับเข้ามา ช้าไปสองสเต็ปและติดสโลว์แบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้ว

“อิหน่อม นั่นแกใช่ไหม!!!”



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ค. 2557, 00:00:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ค. 2557, 00:00:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1612





<< ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๕ เข้าวังครั้งแรก   ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๗ เบาะแสของสหาย (พบกันในเล่ม1นะคะ) >>
ไม้เอก 6 ก.ค. 2557, 01:00:20 น.
อ้ายยย อีกคนออกมาแล้ว ^^


สีฟ้า 6 ก.ค. 2557, 03:20:35 น.
สนุกจังเลย อยากอ่านต่อแล้วค่ะ


kaelek 6 ก.ค. 2557, 07:54:43 น.
แหม่!! อุทานได้ใจจริงๆ


อัศวินนภา 6 ก.ค. 2557, 15:10:57 น.
อ่านเพลินๆ จินนาการตามเรื่อยๆแอบยิ้มบ้าง พอตอนท้าย ฮาแตกเลยอ่ะ เริ่มเจอเพื่อนแล้ว


ใบบัวน่ารัก 6 ก.ค. 2557, 16:08:55 น.
สนุกจัง มีสาระ แล้ว ลุ้นๆๆ


Zephyr 7 ก.ค. 2557, 00:51:49 น.
อุต้ะ กะลังเพลินๆ
มา เชี่ยยยยยยยย
อ้ายยยยย กุลสตรีเป็นแบบนี้รึ
มาสองละ อีกสองงงงงงง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account