กรุ่นรักเคียงธารา
กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ
เป็นหนึ่งในงานซีรีย์ชุด "พฤกษาธาราสวาท"
ซึ่งมีสี่เรื่องราว สี่ภาคด้วยกัน
เรื่องกรุ่นรักเคียงธารา เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำภาคเหนือครับ
ส่วนอีกสามเรื่องได้แก่...
มหานทีแห่งรัก โดย แอล เป็นเรื่องราวการอนุรักษ์แม่น้ำโขงและเรื่องราวการผันน้ำเข้ามาใช้การเกษตร (ภาคอีสาน)
ปลูกรักริมใจ โดย พิมพ์ชนก เป็นเรื่องราวของสองหนุ่มสาวหัวใจอนุรักษ์ต้นไม้กับการพยายามสร้างธรรมชาติบนพื้นที่เมืองหลวง (ภาคกลาง)
ทะเลรักล้อมดาว โดย ชุติวรรณ เรื่องราวการอนุรักษ์ผืนป่าชายเลน กับท้องทะเล (ภาคใต้)
มาร่วมกันเป็นกำลังใจให้แปดคนสี่คู่ ที่มีหัวใจอนุรักษ์ธรรมชาติเช่นเดียวกันได้ในงานชุดนี้ครับ
****
กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ
เป็นเรื่องราวของนักพัฒนาสาว ที่เดินทางสู่จังหวัดชิดขอบชายแดน กับผืนป่าที่มีมนตร์ขลังของเรื่องราวความเชื่อที่ถูกผนวกกันอย่างลงตัว
สาวเมืองกรุงอย่าง ธาราริน จะสามารถนำเอาแนวคิดสมัยใหม่ เข้าไปใช้ในหมู่บ้านกลางป่าใหญ่ ที่มีหลักความเชื่อที่แปลกแตกต่างจากคนทั่วไปหากจุดมุ่งหมายคืออนุรักษ์ผืนป่าให้ลูกให้หลานได้หรือไม่
ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร ติดตามและเอาใจช่วยนักพัฒนาสาวคนนี้ได้ใน...กรุ่นรัก เคียงธารา
เป็นหนึ่งในงานซีรีย์ชุด "พฤกษาธาราสวาท"
ซึ่งมีสี่เรื่องราว สี่ภาคด้วยกัน
เรื่องกรุ่นรักเคียงธารา เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำภาคเหนือครับ
ส่วนอีกสามเรื่องได้แก่...
มหานทีแห่งรัก โดย แอล เป็นเรื่องราวการอนุรักษ์แม่น้ำโขงและเรื่องราวการผันน้ำเข้ามาใช้การเกษตร (ภาคอีสาน)
ปลูกรักริมใจ โดย พิมพ์ชนก เป็นเรื่องราวของสองหนุ่มสาวหัวใจอนุรักษ์ต้นไม้กับการพยายามสร้างธรรมชาติบนพื้นที่เมืองหลวง (ภาคกลาง)
ทะเลรักล้อมดาว โดย ชุติวรรณ เรื่องราวการอนุรักษ์ผืนป่าชายเลน กับท้องทะเล (ภาคใต้)
มาร่วมกันเป็นกำลังใจให้แปดคนสี่คู่ ที่มีหัวใจอนุรักษ์ธรรมชาติเช่นเดียวกันได้ในงานชุดนี้ครับ
****
กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ
เป็นเรื่องราวของนักพัฒนาสาว ที่เดินทางสู่จังหวัดชิดขอบชายแดน กับผืนป่าที่มีมนตร์ขลังของเรื่องราวความเชื่อที่ถูกผนวกกันอย่างลงตัว
สาวเมืองกรุงอย่าง ธาราริน จะสามารถนำเอาแนวคิดสมัยใหม่ เข้าไปใช้ในหมู่บ้านกลางป่าใหญ่ ที่มีหลักความเชื่อที่แปลกแตกต่างจากคนทั่วไปหากจุดมุ่งหมายคืออนุรักษ์ผืนป่าให้ลูกให้หลานได้หรือไม่
ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร ติดตามและเอาใจช่วยนักพัฒนาสาวคนนี้ได้ใน...กรุ่นรัก เคียงธารา
Tags: อนุรักษ์ ผืนป่า แนวความคิด หลักเศรษฐกิจพอเพียง ความเชื่อ มนตร์ขลังของผืนป่ากว้าง
ตอน: ตอนที่ ๐๔ สู่หมู่บ้านกลางป่า
ตอนที่ ๔
แสงจากกองไฟกองโตลุกโชน ความอบอุ่นของมันแผ่กระจายไปในรัศมีรอบๆ ให้กลุ่มบุคคลในที่นั้นคลายซึ่งเหน็บหนาวกับอากาศเย็นที่แผ่ปกคลุมทันทีที่ความมืดมาเยือนผืนป่ากว้าง
ไกลออกไปเหล่าแมลงไพรกรีดปีกประสานเสียงขับกล่อมบทเพลงอย่างไพเราะเสนาะหู ภูตะวันนั่งอยู่บนขอนไม้หน้ากองไฟ สองหูสดับฟังเสียงเพลงไพรก่อนจะพาตัวเองเข้าสู่ภวังค์ความคิดโดยบนตักของเขามีร่างน้อยๆ ของเด็กชายนอนหนุนและมีผ้าห่มคลุมห่มร่างนั้นอยู่
ในความคิดของเขานั้นหวนคิดไปไกลถึงระยะเวลาเมื่อสี่ปีก่อน สี่ปีที่เด็กชายอาเปายังไม่ได้ลืมตาดูโลก วันนั้นเป็นช่วงเช้าของฤดูหนาว ชายหนุ่มพาลูกทีมออกลาดตระเวนผืนไพรกว้างพร้อมกับกลุ่มอาสาสมัครทหารพราน โดยหารู้ไม่ว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าผืนป่าที่พวกเขาใช้เป็นจุดพักแรมในค่ำคืนที่ผ่านมานั้นจะก่อเกิดความวุ่นวายและเสียงดังสนั่นไปทั้งราวไพร
เช้านั้นเป็นเช้าที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เป็นเช้าที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดเนื้อของมนุษย์ทั้งสองฝ่าย
เริ่มตั้งแต่เจ้าหน้าที่อาสาคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามารายงานหัวหน้าทีมก่อนจะกระจายข่าวที่เขาไปเห็นมาให้แก่คนอื่นๆ ฟังว่าในระยะทางไม่ถึงห้าร้อยเมตรจากตรงจุดนั้นมีกลุ่มขบวนการขนยาเสพติดกำลังเดินทางลัดเลาะหมายใจจะนำของลงไปขายยังพื้นราบ
ซึ่งกลุ่มคนทำลายมนุษย์เหล่านั้นเป็นกลุ่มชาวเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของเขตแดนไทย
พอรับทราบเช่นนั้น เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขาตระเตรียมความพร้อม หลังเช็คอาวุธเรียบร้อยกองกำลังราวสิบห้าคนก็รุกไปดักหน้าขบวนการขนย้ายยาเสพติดทันที
เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้นเสียงปืนก็ดังสนั่นป่าเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมมอบตัว ต่อสู้อย่างหลังชนฝา
เหตุการณ์ในคราวนั้นกลุ่มชาวเขาฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิตทั้งหมด พร้อมทิ้งของกลางเป็นยาเสพติดประเภทยาบ้าและใบกระท่อมอีกจำนวนหนึ่ง หากเป็นเงินแล้วมีมูลค่ากว่าสามล้านบาทไทย
เช่นเดียวกับทางกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บหลายนายและสูญเสียบุคลากรในครั้งนั้นกว่าสามคน สองคนแรกเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกับอีกคนเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลูกน้องคนสนิทของภูตะวัน
ภูตะวันเสียใจอย่างมากมายที่พิชิตเพื่อนสนิทซึ่งเข้ามาประจำการที่หน่วยพิทักษ์ป่าฯ พร้อมกับเขาได้เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ปะทะอันรุนแรงครั้งนั้น
ชายหนุ่มได้แต่อุ้มศพเพื่อนกลับบ้านพักด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
จากนั้นภาพในความคิดของเขาก็ถูกตัดฉากไปยังเหตุการณ์ก่อนร่างของพิชิตจะจากโลกนี้ไปชั่วนิจนิรันดร์ ร่างอันไร้ซึ่งวิญญาณนอนอยู่ในโลกศพเหนือเชิงตะกอน ท่ามกลางผู้คนร่วมร้อยคนที่มาไว้อาลัยเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ในขณะนั้นเซปา หญิงสาวชาวเขาอายุเพียงสิบแปดปี ภรรยาของพิชิตกำลังอุ้มท้องลูกของเจ้าหน้าที่ป่าไม้หนุ่มในช่วงสองเดือน
ใกล้คลอดถึงกับเข่าทรุดร้องไห้นับตั้งแต่ทราบเรื่อง จนถึงวินาทีสุดท้ายที่ร่างของพิชิตมอดไหม้ไปกับกองเพลิง
ภาพทั้งหมดยิ่งชัดเจนเมื่อความมืดเริ่มแผ่ตัว ผู้มาร่วมไว้อาลัยต่างทยอยกลับกันจนเกือบหมด จะเหลือเพียงญาติๆ ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังอยู่ด้วยความซึมเศร้า หนึ่งในนั้นคือภูตะวันผู้ที่เป็นทั้งหัวหน้าและเพื่อนสนิทที่สุดของผู้ตาย
ชายหนุ่มเดินไปหยุดข้างหลังของหญิงท้องแก่ เขาและพิชิตรู้จักกับเซปาพร้อมๆ กัน นับตั้งแต่รู้จักกับหญิงสาวและพิชิตสานสัมพันธ์กับหญิงสาวจนถึงขั้นลงหลักปักฐานอยู่กินกับเธอที่หมู่บ้านผาตะวันเขาก็รู้เห็นและคอยช่วยเหลือให้ความรักของทั้งสอง
บรรจบกันอย่างสวยงาม จนกระทั่งเซปาตั้งท้อง เพื่อนของเขากลับมาด่วนจากลาทั้งที่ ไม่ทันได้เห็นหน้าลูกน้อยซึ่งกำลังจะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“กลับบ้านได้แล้วนะ เซปา”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหมายปลอบใจหญิงสาวและชักชวนให้เธอกลับบ้าน
ทว่าคำตอบที่ได้กลับเป็นคำที่ตรึงแน่นในหัวใจของชายหนุ่มตราบจนวินาทีนี้และอาจจะยาวนานไปชั่วนิรันดร์ คำนั้นแทรกลึกสู่บาดแผลหัวใจของชายหนุ่มให้ยิ่งรู้สึกผิด
มันตอกย้ำ หนักแน่นถึงความสัพเพร่าของเขาที่พาลูกทีมไปสูญเสียชีวิต
หญิงวัยรุ่นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสามีทั้งน้ำตาและแววตาอันเจ็บปวด
“ไม่...เซปาอยากจะอยู่กับพี่ชิดอีกสักนิด เพราะต่อไปเราก็คงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกต่อไปแล้ว”
ภูตะวันนิ่งอึ้งกับคำนั้นราวห้านาที สายตาอันเจ็บปวดไม่แพ้กันของเขามองผ่านร่างแบบบางของหญิงสาวชาวเขาไปยังกองเพลิงที่มีกองถ่านสีแดงโร่กับกองเถ้ากระดูกของพิชิตแล้วถอนหายใจ
“ชิดเขาจะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไปนะเซปา ฉันอยากจะให้เธออดทนเอาไว้เพื่อตัวเอง เพื่อชิดและเพื่อลูกของเธอกับเขา”
ดูเหมือนคำนั้นจะยิ่งเพิ่มรอยสะอื้นให้แก่หญิงสาวมากเป็นสองเท่า ร่างอุ้ยอ้ายนั้นค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางกึ่ง
สั่นโยน ภูตะวันเห็นดังนั้นจึงเข้าไปช่วยพยุงร่างของเธอพร้อมกับประคองเอาไว้
เซปายิ่งสะอื้นหนัก พร้อมกับความเงียบและความมืดที่โรยตัวครอบคลุมพื้นที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว
มันเย็นเยือกราวหัวใจของทั้งเขาและเธอถูกแช่อยู่ในอุณหภูมิที่ติดลบ
“พี่ภู เซปาไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตของตัวเองต่อไปแล้วตอนนี้ เซปาคิดถึงพี่ชิด เซปาอยากตาย”
อ้อมแขนอันแข็งแรงของชายหนุ่มกระชับร่างนั้นเข้าแนบอก พยายามส่งผ่านความอบอุ่นจากตัวเขาไปยังหญิงสาวพร้อมกับหัวใจที่สะท้านลึก ชายหนุ่มบอกตัวเอง ตนจะเป็นตัวแทนพิชิต ดูแลเซปาและลูกน้อยเอง...
ร่างแบบบางที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ กับหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลำน้ำยมทำให้เขาต้องละวางความนึกคิดที่หวนย้อนไปยังเวลาวานเอาไว้พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างนั้นแล้วจุดยิ้ม
“จะกลับแล้วหรือ เซปา”
หญิงสาวชาวเขาทรุดกายลงนั่งกับขอนไม้ข้างๆ กับชายหนุ่มก่อนจะหยุดสายตาที่ลูกน้อยซึ่งนอนอยู่บนตักของภูตะวัน
“หลับอีกแล้วนะอาเปา จะกลับได้ไหมเนี่ย รบกวนพี่ภูอีกแล้วนะคะ มะเดี๋ยวเซปาจะอุ้มลูกเอง”
เธอเอื้อมมือจะมาคว้าเอาร่างสั้นป้อมของเด็กชายอาเปา ทว่าเจ้าหนุ่มกลับยกมือขึ้นดักเอาไว้แล้วบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ไม่เป็นไรครับ ให้อาเปานอนที่นี่แหละ เซปาจะกลับบ้านก็กลับไปก่อนเลยนะ”
“จะดีหรือคะ...”
ดวงตาคู่สวยของเด็กสาวชาวเขาทอดขึ้นมองหน้าหล่อคมเข้มของภูตะวัน
ระยะกว่าสี่ปีเต็มที่หญิงสาวอยู่อย่างเดียวดายกับลูกน้อยและพ่อแม่ แม้บางครั้งความเจ็บปวดจากการสูญเสียจะแสดงออกมาจากใบหน้างามนั้น ซึ่งมันไม่มีวันจางหายไป แต่ก็ยังดีที่มีภูตะวันยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ กล่าวกับเธออย่างเอื้ออาทรให้เธอนึกถึงเด็กชายอาเปาให้มากๆ เขาอยากจะให้เธออยู่เพื่ออาเปา ซึ่งความคิดนี้ถ้าหากเป็นพิชิตก็คงจะกล่าวในลักษณะไม่ต่างกัน
พิชิตและภูตะวันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ครั้งพอได้บรรจุงานพร้อมกันทั้งสองหนุ่มจึงเลือกมายังหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำแห่งนี้ ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ผืนป่าให้อยู่จนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
ตั้งแต่ภูตะวันกล่าวให้กำลังใจเซปา หญิงสาวชาวเขาซึ่งขณะนั้นเพิ่งคลอดอาเปาได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นก็ฮึดลุกขึ้นสู้ ไม่ท้อแท้เพราะการสูญเสียอีกต่อไป
“เซปารักใครไม่ได้อีกแล้ว นอกจากพี่ชิด” หญิงสาวเคยบอกเพื่อนของสามีในวันที่ชายหนุ่มต้องการรับผิดชอบเธอแทนเพื่อน “พี่ภูอย่าทำแบบนี้เลยนะคะ อนาคตของพี่จะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ พี่ภูอย่าเอาตัวเองมาจบลงที่ความรับผิดชอบเลยค่ะ เซปาเข้าใจว่าพี่ก็เสียใจที่ต้องสูญเสียเพื่อน แต่พี่เคยบอกเซปาไม่ใช่หรือว่าพี่ชิดเขาไปดีแล้ว เขาได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มความสามารถแล้ว”
“แต่พี่...”
เขายังรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เซปาเจ็บปวดเช่นไร เขาก็เจ็บปวดไม่ต่างกันนัก
บาดแผลในหัวใจมันทำให้ร่างกายของเขาเชื่องชาไประยะหนึ่ง
“ไม่ค่ะ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เราทั้งสองคน เออ...ไม่สิคะ ยังมีอาเปาอีกคนที่ต่างต้องสูญเสียคนที่เรารักไปในเวลาที่พร้อมๆ กัน เราอย่านำเอาความเจ็บปวดเหล่านั้นมาเพิ่มภาระให้แก่กันและกันเลยนะคะ”
ทั้งสองหนุ่มสาวได้แค่ปลอบกันไปมา จนกระทั่งระยะเวลาทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เซปาอยู่ได้ด้วยลูกน้อย ส่วนภูตะวันก็อยู่ด้วยการทำงาน พวกเขาต่างเชื่อว่าพิชิตไม่ได้ไปไหน เจ้าหน้าที่ป่าไม้หนุ่มยังอยู่ในหัวใจตลอดไป
ทางด้านภูตะวันนั้นสามารถลืมทุกอย่างไปได้ด้วยการทำงานก็จริง แต่เขาก็ยังเชื่อโดยไม่ยอมเปิดเผยออกมาว่าบาดแผลในหัวใจของเขานั้นก็ยังคงอยู่
เช่นเดียวกับเซปา ที่เลือกจะใช้เวลาทั้งหมดทุ่มเทให้กับลูกน้อยที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไร...
///////
“อย่าลืมสิว่าอาเปาก็ลูกของพี่คนหนึ่งนะ ให้นอนที่นี่แหละดีแล้ว” ชายหนุ่มบอกหญิงสาวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะมองไปยังกลุ่มชาวบ้านที่เตรียมตัวจะเดินทางกลับหมู่บ้าน
เขาบอกหญิงสาว
“ไปสิเซปา คนอื่นจะกลับกันแล้วนะ ให้อาเปานอนกับพี่ที่นี่แหละพรุ่งนี้เช้าพี่จะพาไปส่งที่บ้านเอง”
ได้รับคำยืนยันเช่นนั้นหญิงชาวเขาจึงมองหน้าชายหนุ่มเนิ่นนานราวตัดสินใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ค้อมศีรษะให้กับชายหนุ่มเป็นเชิงขอบคุณแล้วหมุนกายกลับไปรวมกลุ่มกับชาวบ้านคนอื่นๆ และเดินทางกลับหมู่บ้านไปที่สุด
ภูตะวันมองตามกลุ่มชาวบ้านที่เดินจากไปจนลับตา กลุ่มชาวบ้านพวกนี้มักนำอาหารการกินมาให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกครั้งที่ทราบว่าพวกเขากลับจากการลาดตระเวนป่า ด้วยสินน้ำใจและความเอื้ออารีที่มีต่อกัน
ถอนหายใจแล้วมองร่างน้อยๆ บนตัก ก่อนจะตัดสินใจอุ้มเด็กชายอาเปาขึ้นแล้วพากลับห้องพักไปในที่สุด
เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่ต่างแยกย้ายกลับที่พักในเวลาต่อมา ทิ้งให้กองเพลิงที่อ่อนล้าแสงค่อยๆ ดับมอดอยู่ท่ามกลางความเงียบและเย็นยะเยือกของผืนป่ากว้าง...
///////
วันเดินทางสู่หมู่บ้านผาตะวันของธารารินและอริมามาถึงในช่วงเช้าของฤดูหนาวที่มีไอหมอกลอยเกลี่ยเหนือยอดไม้กับเสียงน้ำค้างที่ไหลหยดลงกระทบใบไม้แห้งเสียงดังเปาะแปะ
เช้านี้อากาศหนาวกว่าทุกวันที่ผ่าน ยิ่งสายหมอกก็ยิ่งลงหนาจนเมื่อมองออกไปข้างนอกตัวเรือนสามารถเห็นละอองหมอกเม็ดเล็กๆ ลอยกรุ่นราวหิมะตก
ฝ่ายพระอาทิตย์ก็ยังหลบอยู่หลังเทือกเขาสูง ห่มตัวเองด้วยผืนป่าสีเขียวขจีไม่ยอมออกมาทำหน้าที่ของตนเอง
นักพัฒนาสาวในชุดเสื้อโค้ทตัวโคร่งถือกระเป๋าสัมภาระเพียงใบเดียวที่จัดไปเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นกับของใช้จำเป็นเท่านั้นออกมารอรถสองแถวที่พวกเธอเหมาจ้างให้ไปส่งยังบ้านป่าบ้านดอยที่หน้าอำเภอ
ที่ศาลารอรถอริมายืนรอเธออยู่ก่อนหน้าแล้ว
“เช้านี้หนาวกว่าทุกวันเลยนะคะ น้องธาร”
เป็นประโยคแรกที่อริมาทักสาวรุ่นน้อง พร้อมกับมองชุดตัวโคร่งของหญิงสาวแล้วยิ้มขำ
“เหมือนว่าจะต้อนรับพวกเราเลยนะ”
“นั่นสิคะ ดีที่ธารเตรียมเสื้อโค้ทตัวนี้มาด้วย” หญิงสาววางกระเป๋าลงก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกแล้วรำพึงเสียงสั่น “ไม่รู้ว่าบนดอยจะอากาศดีเหมือนที่นี่หรือเปล่า ธารชอบจังเลยค่ะ”
“ชอบก็เตรียมตัวไว้เลยนะ เชื่อพี่สิอากาศที่นั่นจะต้องทวีเป็นสองเท่าของอากาศเวลานี้แน่”
ทั้งสองส่งยิ้มให้แก่กัน ก่อนจะเปิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างปีติ
ไม่นานหลังจากนั้นรถสองแถวที่พวกเธอว่าจ้างก็เดินทางมาถึง ธารารินรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากมายที่จะได้ไปยังหมู่บ้านโครงการหลวง ได้รู้จัก ได้เห็นถึงวิถีชีวิตชาวบ้านซึ่งอริมาได้เคยเล่าว่าพวกเขาต่างอยู่อย่างพอเพียงตามรอยพระราชดำริของพ่อหลวงและแม่หลวงของพวกเขา
หลังขนของขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว รถจึงได้เคลื่อนไปตามเส้นทางมุ่งสู่ทิศเหนือของตัวอำเภอ ผ่านหมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่ากว่าสิบกิโลเมตรก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางถนนลูกรังที่มีแต่ฝุ่นผงสีแดง ผ่านป่าไม้ ผ่านลำห้วย ขึ้นสู่ที่สูงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมองเห็นทิวเขาซึ่งอริมาบอกว่านั่นล่ะคือที่ตั้งของหมู่บ้านผาตะวัน
ไกลออกไปอยู่ลิบๆ เห็นหลังคาเรือนชาวบ้านซุกตัวอยู่ท่ามกลางสายหมอกสีขาวดั่งปุยนุ่นและผืนป่ากว้าง โดยตัดกับความแห้งแล้งของขุนเขาอันซึ่งเป็นพื้นที่ทำการเกษตรของชาวบ้าน
รถสองแถวคันนั้นยังคงแล่นไปตามเส้นทางที่วางตัวอยู่บนเขาสูงและชัน ถ้าหากหันมองกลับไปยังเส้นทางที่เพิ่งจากมาก็จะเห็นตัวอำเภอเชียงตะวันทั้งหมด เห็นหลังคาเรือนของชาวบ้าน เห็นวัดวา เห็นต้นไม้และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอยู่ลิบๆ ซุกตัวอยู่ในแอ่งที่มีหุบเขาใหญ่ล้อมรอบทั้งสี่ทิศ
เกือบเที่ยงรถคันนั้นจึงหยุดลงกลางทาง ซึ่งทางข้างหน้าเป็นถนนลูกรังที่จะต้องไต่ขึ้นเขาที่เกือบจะตั้งฉาก ธารารินและอริมามองหน้าคนขับสลับกับเส้นทางด้วยคำถาม ก่อนสาวจากเมืองกรุงจะเอ่ยขึ้น
“จอดรถทำไมล่ะคะลุง”
ชายชราผู้ทำหน้าที่พลขับไม่เอ่ยคำใด เขาลงจากรถแล้วรี่ไปข้างหลังรถ ขนสัมภาระของทั้งสองสาวลงวางกับพื้นอย่างไม่สนใจสีหน้าแปลกใจและคำถามจากทั้งสองสาวที่ตามลงมาโวยวายเสียงดังลั่น
โดยเฉพาะอริมาที่ตาลุกเป็นเพลิงราวจะแผดเผาชายคนนั้นให้มอดไหม้
“นี่ลุง อะไรกันมันยังไม่ถึงเลยนะ จะเอาของพวกหนูลงทำไม”
“ไปบ่ได้แล้ว” ชายชราเอ่ยเป็นภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ “ทางมันจิ่ง รถลุงไปบ่ไหว”
“อ้าว...ก็ไหนคราวแรกว่าไปไหวล่ะคะ” นักพัฒนาสาวเถียงต่อ ใบหน้างามแดงก่ำอย่างไม่พอใจสุดๆ
“ใช่ค่ะ ตอนแรกที่ตกลงกันไม่ใช่แบบนี้นี่คะ”
“ไปบ่ได้แต๊ๆ ครับ พวกคุณย่างเท้าไปเตอะ อีกแค่สามกิโลเอง เฮ้อ...มันไกลแต๊ๆ บ่เอาๆ ต่อไปลุงบ่มาแหมแล้ว”
ชายชราเกาหัวแล้วเดินกลับมายังรถ เปิดประตูเตรียมจะขึ้นไปนั่ง หากเวลานั้นอริมาก็รีบรี่เข้ามาขวางเอาไว้
“ลุงจะเอาตังส์แหมเต้าใด” สาวเมืองเหนือว่าอย่างเหลืออด เตรียมถลกแขนเสื้อขึ้นอย่างเอาเรื่อง อากาศที่ว่าหนาวนั้นบัดนี้จางหายไปพร้อมกับอารมณ์โกรธเสียแล้ว
“บ่เอาๆ มันไปบ่ไหวแต๊ๆ นะนี่น้ำมันจะปิ๊กเข้าในเมืองจะมีก่อบ่ฮู้”
“เฮาบ่หื้อกลับ” อริมาว่าเสียงเข้มจัด หญิงสาวมองเลยร่างสั้นม่อต้อของชายชราไปยังธารารินที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่กับกองสัมภาระ
ฝ่ายตาเฒ่าได้แต่ทำหน้าเครียดพร้อมกับยกมือขึ้นพนมไหว้
“แต๊ๆ ละ รถลุงไปบ่ไหวแล้ว ดูก่าน้ำหม้อจะไหม้แล้ว สูทั้งสองจะไปก็เดินกันไปเต๊อะ จากตรงนี้ก็บ่ไกลหรอก ถ้าโชคดีก็อาจจะปะรถชาวบ้านที่กลับจากในเมือง ขอเต๊อะอีหล้า รถของลุงมันบ่เคยมาไกลขนาดนี้หื้อลุงกลับเต๊อะ”
“บ่ได้ ตอนแรกก็ตกลงกันแล้วนี่ว่าจะส่งถึงที่ แต่นี่ยังบ่ถึงเลยนะ”
“เต๊อะหล้า ขอเต๊อะ อิดูลุงเต๊อะ”
“บ่!!”
เห็นท่าทางของตาเฒ่าและสภาพของรถแล้วธารารินก็ได้แต่ส่ายหน้า หญิงสาวถอนใจแล้วเดินมาจับแขนของอริมาแล้วว่า
“ช่างเถอะค่ะพี่อบ เราเดินกันไปก็ได้นะคะ”
“แต่มันไกลนะน้องธาร อีกตั้งสามกิโลมันไม่ใช่น้อยๆ” หันไปปรารภกับหญิงสาวเมืองกรุงเสร็จแล้วก็หันกลับมาถลึงตาใส่ตาเฒ่าที่ยังทำหน้าตาน่าสงสารอยู่ข้างๆ “ปู่เฒ่านี้ก็เหมือนกัน ตกลงไม่เป็นตกลง ถ้าไม่เห็นว่าเป็นคนแก่เฮาจะฆ่าหมกป่านี้แล้วละ”
เสียงขู่ฟ่อของหญิงสาวทำให้ตาเฒ่าสะดุ้งแล้วถอยกรูด
ธารารินเห็นดังนั้นจึงเข้ามาจูงแขนสาวพี่เลี้ยงให้กลับมายังกองสัมภาระปล่อยให้ตาเฒ่าขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องแล้วกลับรถบึ่งหนีจนฝุ่นตลบอย่างทันที
“บ่าเฒ่า บ่ห่ายอกเอ้ย สัจจะบ่มี!!”
ร่างเล็กๆ ของอริมาเต้นแหยงๆ อย่างไม่พอใจ ก่อนเธอจะก้มลงเก็บก้อนหินแถวนั้นขว้างตามรถสองแถวคันนั้นไปอย่างระบายความโกรธ
“น้องธารก็อีกคน” อริมาหันมาเหวใส่สาวรุ่นน้องที่ยืนทำตาปริบๆ ต่อ “ไปยอมมันทำไม”
“ธารดูสภาพรถแล้วก็น่าจะไปต่อไม่ไหว เราควรจะปล่อยให้ลุงแกกลับไปเถอะนะคะ”
“เห็นไหมคะว่าหมู่บ้านผาตะวันมันไม่สมควรมาแค่ไหน โห...จะไปกันยังไงเนี่ย อีกตั้งสามกิโล”
“คนเราเมื่อมีความตั้งใจแล้ว แม้ว่าจะไกลแค่ไหนก็ต้องไปให้ถึงนะคะ”
ธารารินบอก ส่วนตัวนึกหวั่นอยู่ไม่น้อยที่ถูกทิ้งอยู่กลางป่ากลางเขาแบบนี้ แต่เมื่อนึกถึงความตั้งใจของการเป็นนักพัฒนาในคราวแรกแล้วเธอจึงเก็บงำความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ให้ลึกสุดหัวใจแล้วใช้ความพยายามเปลี่ยนความหวาดกลัวเป็นกำลังแรงใจในการต่อสู้ดิ้นรนต่อไป
"เพราะขนาดองค์พ่อหลวงของเรา พระองค์ท่านยังไปถึงได้นะคะ”
“แต่นี่เราเดินเท้านะน้องธาร มันไกลมากเลย ไม่ใช่ฮอ. เหมือนสมัยที่พระเจ้าอยู่หัวหรือพระราชินีท่านเสด็จมาสักหน่อย”
“ธารว่าเราเอาเวลาบ่นนี่ยกเป้ขึ้นสะพายบ่าแล้วออกเดินทางต่อเถอะค่ะ ถือว่านี่เป็นบททดสอบสำหรับเราในการมาเป็นนักพัฒนานะคะพี่สาว”
สาวจากเมืองกรุงผู้มีจุดหมายแน่วแน่ก้มลงยกเป้ขึ้นสะพายบ่าแล้วหันไปจูงมือสาวรุ่นพี่ให้ก้าวเดินตาม
“นึกถึงสมัยที่เราเดินทางไกลลูกเสือเนตรนารีนะคะพี่ ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว ธารเชื่อค่ะว่าปลายทางมันจะต้องสวยสดงดงามอย่างที่เราต้องการ เดินเท้านี่มีประโยชน์นะคะ ไม่หนาวด้วย”
อริมาได้แต่ทำหน้ายู่พร้อมค้อนธารารินไปเสียวงโต ก่อนจะตัดสินใจคว้ากระเป๋าขึ้นพาดบ่าเดินตามนักพัฒนาเมืองกรุงปีนเส้นทางอันทุรกันดารนั้นในที่สุด
ไกลออกมาราวหนึ่งกิโลเมตร ชายชราผู้ขับรถสองแถวชะลอรถแล้วจอดลงข้างทาง เขาเปิดประตูลงจากรถ หันกลับไปยังเส้นทางที่เพิ่งขับจากมาแล้วถอนใจ
“ลุงขอโทษด้วยนะหนูๆ ลุงบ่ได้ตั้งใจแต๊ๆ”
ชายเฒ่าส่ายหน้าแล้วนึกย้อนไปเมื่อวันก่อนหลังจากติดต่อตกลงกับธารารินและอริมาให้มาส่งยังหมู่บ้านผาตะวันเรียบร้อยแล้วเขาก็ได้พบเจอกับป้าพร หญิงชราผู้เป็นพัฒนากรและเป็นญาติห่างๆ กับเขา พร้อมกับเงินก้อนโตจากหล่อยที่มากับข้อเสนอให้ตาเฒ่ากลั่นแกล้งส่งสองสาวแค่กลางทางแล้วหาทางหลบเลี่ยงกลับ
“ลุงขอให้พวกหนูโชคดีปะรถของชาวบ้านหรือไม่ก็รถที่จะไปหมู่บ้านนั้นเน่อ...”
ว่าจบชายชราจึงตัดสินใจกลับมายังรถแล้วขับกลับบ้านไปด้วยสีหน้าและแววตาไม่สบายใจสักเท่าไร
/////
ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ในการเดินทางสู่หมู่บ้านผาตะวัน ธารารินจึงกัดฟันฝืนความเจ็บปวดที่ระบมไปทั้งเท้าจากการเดินทางฝ่าเปลวแดดยามบ่ายของวันนั้น ประกอบกับตัวเองเป็นฝ่ายดั้นด้นมาด้วยตัวเองจึงไม่ยอมปริปากบ่นให้อริมาที่เดินตามมาได้ยิน
ไม่ได้ เธอจะต้องไม่ท้อ เส้นทางข้างหน้ามันจะต้องสวยงาม เส้นทางมันจะต้องเป็นทางที่มีความหมายสำหรับเธอ...
หญิงสาวบอกกับตัวเองมาตลอดเส้นทางร่วมหนึ่งกิโลเมตร เหลียวมองอริมาที่นั่งพักใต้ต้นไม้ก็เดินกลับไปนั่งลงข้างๆ
“โอ้ย ปวดๆ เมื่อยๆ”
สองมือน้อยๆ ทุบเข่าทุบขาของตนเองพร้อมบ่นอุบอิบ ใบหน้านั้นแดงก่ำเพราะแดดร้อนกับความเหน็ดเหนื่อยที่แล่นริ้วไปทั่วทั้งร่างกาย
“อดทนเอานะคะ ประเดี๋ยวก็จะถึงแล้ว”
“อีกสักกี่เดี๋ยวล่ะ นี่มันเพิ่งผ่านมาแค่หนึ่งกิโลเท่านั้นนะ อีกตั้งครึ่งค่อนเส้นทาง โห...เท้าพี่ไม่ต้องเน่าเละเลยหรือ บ้า...มันบ้าที่สุด”
ธารารินได้แต่ถอนใจ ไม่รู้จะเอ่ยคำไหนมากไปกว่านิ่งเงียบและมองสาวรุ่นพี่อย่างนึกสงสาร
“ธารขอโทษจริงๆ นะคะที่พาพี่อบมาลำบากแบบนี้”
“เฮ้อ...” อริมาก็ได้แต่ถอนใจ ยกมือขึ้นโบกกับตัวเอง “ความจริงพี่ก็อยากจะโกรธน้องนะคะ แต่บอกตรงๆ ว่าพี่โกรธน้องไม่ลงหรอก เพราะพี่เคยบอกน้องไปแล้วว่าพี่จริงใจกับน้อง คนที่จริงใจต่อกันไม่มีวันคิดโกรธเกลียดกันได้ลงหรอกนะคะ”
ทั้งสองสาวส่งยิ้มให้แก่กันและกัน ก่อนจะใช้เวลานั้นพักกายให้หายเหน็ดเหนื่อยพร้อมต่อการเดินทางไกลในนาทีต่อไป
วินาทีนั้นเหมือนธรรมชาติของผืนป่ากว้างจะรับรู้ซึ่งความแน่วแน่ของทั้งสอง พัดพาเอาอากาศเย็นสบายให้แก่พวกเธอ เช่นเดียวกับหมู่ใบไม้ที่พัดสะบัดพรูส่งเสียงราวกับเริ่มบรรเลงดนตรีแห่งพงไพร
นานร่วมครึ่งชั่วโมง สองสาวจากในเมืองจึงฮึดสู้เดินทางต่ออีกครั้งหนึ่ง
“หวังว่าเราจะไปถึงหมู่บ้านผาตะวันก่อนค่ำนะ” อริมาหันไปบอกเพื่อนร่วมทางเดินของตนเอง “และพี่ก็ยังหวังว่าจะมีใครสักคนผ่านมารับเราแล้วพาไปส่งให้ถึงยังที่หมายในไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่ง”
เส้นทางมุ่งสู่หมู่บ้านกลางป่าใหญ่มีหมู่ไม้ใหญ่น้อยยืนต้นพอจะให้ร่มเงาได้บ้าง ความสงบของพงไพรมีเสียงแมลงไพรกรีดปีกบรรเลงบทเพลงมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะเช่นเดียวกันกับสายลมแผ่วๆ ที่พัดพอจะให้คลายร้อน
อีกร่วมหนึ่งชั่วโมงต่อมาก็พ้นออกจากเส้นทางที่สูงชันและมีแต่ต้นไม้ เป็นเส้นทางบนสันเขาสูงที่สามารถมองเห็นกลุ่มตัวเรือนหลายสิบหลังคาตั้งเป็นกลุ่มๆ ห่างกันอยู่พอประมาณ โดยมีเส้นทางสีแดงของถนนลูกรังเชื่อมต่อแต่ละกลุ่มของกลุ่มบ้านเหล่านั้น
ไม่ไกลจากจุดที่พวกเธอเดินไปนั้นเป็นกลุ่มพืชไร่ที่ถูกจัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งทั้งสองสาวยังกะไม่ได้ว่าเป็นพืชไร่ชนิดไหน
อีกราวห้านาทีต่อมา ระหว่างที่พวกเธอกำลังย่างเท้าไปข้างหน้าอย่างมุ่งหวังซึ่งจุดหมายปลายทางนั้นสองหูอันเต็มไปด้วยความหวังของพวกเธอก็สดับยินเสียงรถค่อยๆ ไต่ขึ้นเขาทางด้านหลัง ก่อนจะเห็นรถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาพร้อมกับฝุ่นที่ตลบไล่หลัง สาวสวยจากเมืองกรุงจุดยิ้มอย่างดีใจหันไปปรารภกับสาวรุ่นพี่ว่าพวกเธอกำลังจะรอดพ้นจากสถานการณ์ทุกขเวทนานี้แล้ว
หากอนิจจาเมื่อรถคันนั้นขับมาถึงตรงจุดที่พวกเธอหยุดยืนคอย พร้อมกับฝุ่นผงมากมายนั้นกลับแล่นผ่านไปอย่างไม่ไยดี
เห็นดังนั้นอริมาก็ออกไปยืนเท้าเอวกลางถนนพร้อมกับแหกปากด่าเป็นภาษาเหนือพื้นเมืองอย่างโกรธแค้นเป็นที่สุด
รถยนต์คันเก่านั้นไม่ได้จอดรับพวกเธอ ตรงกันข้ามกลับทิ้งฝุ่นให้ทั้งสองสาวสำลักเล่นอย่างไม่คิดจะหันกลับมาสนใจไยดี
“จั๊ดง่าว ตาบ่หันคนหรือยังไง ง่าวๆ”
ธารารินได้แต่ส่ายหน้าแล้วยิ้ม ยามฟังสาวรุ่นพี่ด่าเจ้าของรถคันเมื่อครู่ด้วยภาษาพื้นเมืองที่เธอเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
/////โปรดติดตามตอนต่อไป//////
แสงจากกองไฟกองโตลุกโชน ความอบอุ่นของมันแผ่กระจายไปในรัศมีรอบๆ ให้กลุ่มบุคคลในที่นั้นคลายซึ่งเหน็บหนาวกับอากาศเย็นที่แผ่ปกคลุมทันทีที่ความมืดมาเยือนผืนป่ากว้าง
ไกลออกไปเหล่าแมลงไพรกรีดปีกประสานเสียงขับกล่อมบทเพลงอย่างไพเราะเสนาะหู ภูตะวันนั่งอยู่บนขอนไม้หน้ากองไฟ สองหูสดับฟังเสียงเพลงไพรก่อนจะพาตัวเองเข้าสู่ภวังค์ความคิดโดยบนตักของเขามีร่างน้อยๆ ของเด็กชายนอนหนุนและมีผ้าห่มคลุมห่มร่างนั้นอยู่
ในความคิดของเขานั้นหวนคิดไปไกลถึงระยะเวลาเมื่อสี่ปีก่อน สี่ปีที่เด็กชายอาเปายังไม่ได้ลืมตาดูโลก วันนั้นเป็นช่วงเช้าของฤดูหนาว ชายหนุ่มพาลูกทีมออกลาดตระเวนผืนไพรกว้างพร้อมกับกลุ่มอาสาสมัครทหารพราน โดยหารู้ไม่ว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าผืนป่าที่พวกเขาใช้เป็นจุดพักแรมในค่ำคืนที่ผ่านมานั้นจะก่อเกิดความวุ่นวายและเสียงดังสนั่นไปทั้งราวไพร
เช้านั้นเป็นเช้าที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เป็นเช้าที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดเนื้อของมนุษย์ทั้งสองฝ่าย
เริ่มตั้งแต่เจ้าหน้าที่อาสาคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามารายงานหัวหน้าทีมก่อนจะกระจายข่าวที่เขาไปเห็นมาให้แก่คนอื่นๆ ฟังว่าในระยะทางไม่ถึงห้าร้อยเมตรจากตรงจุดนั้นมีกลุ่มขบวนการขนยาเสพติดกำลังเดินทางลัดเลาะหมายใจจะนำของลงไปขายยังพื้นราบ
ซึ่งกลุ่มคนทำลายมนุษย์เหล่านั้นเป็นกลุ่มชาวเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของเขตแดนไทย
พอรับทราบเช่นนั้น เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขาตระเตรียมความพร้อม หลังเช็คอาวุธเรียบร้อยกองกำลังราวสิบห้าคนก็รุกไปดักหน้าขบวนการขนย้ายยาเสพติดทันที
เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้นเสียงปืนก็ดังสนั่นป่าเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมมอบตัว ต่อสู้อย่างหลังชนฝา
เหตุการณ์ในคราวนั้นกลุ่มชาวเขาฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิตทั้งหมด พร้อมทิ้งของกลางเป็นยาเสพติดประเภทยาบ้าและใบกระท่อมอีกจำนวนหนึ่ง หากเป็นเงินแล้วมีมูลค่ากว่าสามล้านบาทไทย
เช่นเดียวกับทางกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บหลายนายและสูญเสียบุคลากรในครั้งนั้นกว่าสามคน สองคนแรกเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกับอีกคนเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลูกน้องคนสนิทของภูตะวัน
ภูตะวันเสียใจอย่างมากมายที่พิชิตเพื่อนสนิทซึ่งเข้ามาประจำการที่หน่วยพิทักษ์ป่าฯ พร้อมกับเขาได้เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ปะทะอันรุนแรงครั้งนั้น
ชายหนุ่มได้แต่อุ้มศพเพื่อนกลับบ้านพักด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
จากนั้นภาพในความคิดของเขาก็ถูกตัดฉากไปยังเหตุการณ์ก่อนร่างของพิชิตจะจากโลกนี้ไปชั่วนิจนิรันดร์ ร่างอันไร้ซึ่งวิญญาณนอนอยู่ในโลกศพเหนือเชิงตะกอน ท่ามกลางผู้คนร่วมร้อยคนที่มาไว้อาลัยเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ในขณะนั้นเซปา หญิงสาวชาวเขาอายุเพียงสิบแปดปี ภรรยาของพิชิตกำลังอุ้มท้องลูกของเจ้าหน้าที่ป่าไม้หนุ่มในช่วงสองเดือน
ใกล้คลอดถึงกับเข่าทรุดร้องไห้นับตั้งแต่ทราบเรื่อง จนถึงวินาทีสุดท้ายที่ร่างของพิชิตมอดไหม้ไปกับกองเพลิง
ภาพทั้งหมดยิ่งชัดเจนเมื่อความมืดเริ่มแผ่ตัว ผู้มาร่วมไว้อาลัยต่างทยอยกลับกันจนเกือบหมด จะเหลือเพียงญาติๆ ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังอยู่ด้วยความซึมเศร้า หนึ่งในนั้นคือภูตะวันผู้ที่เป็นทั้งหัวหน้าและเพื่อนสนิทที่สุดของผู้ตาย
ชายหนุ่มเดินไปหยุดข้างหลังของหญิงท้องแก่ เขาและพิชิตรู้จักกับเซปาพร้อมๆ กัน นับตั้งแต่รู้จักกับหญิงสาวและพิชิตสานสัมพันธ์กับหญิงสาวจนถึงขั้นลงหลักปักฐานอยู่กินกับเธอที่หมู่บ้านผาตะวันเขาก็รู้เห็นและคอยช่วยเหลือให้ความรักของทั้งสอง
บรรจบกันอย่างสวยงาม จนกระทั่งเซปาตั้งท้อง เพื่อนของเขากลับมาด่วนจากลาทั้งที่ ไม่ทันได้เห็นหน้าลูกน้อยซึ่งกำลังจะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“กลับบ้านได้แล้วนะ เซปา”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหมายปลอบใจหญิงสาวและชักชวนให้เธอกลับบ้าน
ทว่าคำตอบที่ได้กลับเป็นคำที่ตรึงแน่นในหัวใจของชายหนุ่มตราบจนวินาทีนี้และอาจจะยาวนานไปชั่วนิรันดร์ คำนั้นแทรกลึกสู่บาดแผลหัวใจของชายหนุ่มให้ยิ่งรู้สึกผิด
มันตอกย้ำ หนักแน่นถึงความสัพเพร่าของเขาที่พาลูกทีมไปสูญเสียชีวิต
หญิงวัยรุ่นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสามีทั้งน้ำตาและแววตาอันเจ็บปวด
“ไม่...เซปาอยากจะอยู่กับพี่ชิดอีกสักนิด เพราะต่อไปเราก็คงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกต่อไปแล้ว”
ภูตะวันนิ่งอึ้งกับคำนั้นราวห้านาที สายตาอันเจ็บปวดไม่แพ้กันของเขามองผ่านร่างแบบบางของหญิงสาวชาวเขาไปยังกองเพลิงที่มีกองถ่านสีแดงโร่กับกองเถ้ากระดูกของพิชิตแล้วถอนหายใจ
“ชิดเขาจะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไปนะเซปา ฉันอยากจะให้เธออดทนเอาไว้เพื่อตัวเอง เพื่อชิดและเพื่อลูกของเธอกับเขา”
ดูเหมือนคำนั้นจะยิ่งเพิ่มรอยสะอื้นให้แก่หญิงสาวมากเป็นสองเท่า ร่างอุ้ยอ้ายนั้นค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางกึ่ง
สั่นโยน ภูตะวันเห็นดังนั้นจึงเข้าไปช่วยพยุงร่างของเธอพร้อมกับประคองเอาไว้
เซปายิ่งสะอื้นหนัก พร้อมกับความเงียบและความมืดที่โรยตัวครอบคลุมพื้นที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว
มันเย็นเยือกราวหัวใจของทั้งเขาและเธอถูกแช่อยู่ในอุณหภูมิที่ติดลบ
“พี่ภู เซปาไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตของตัวเองต่อไปแล้วตอนนี้ เซปาคิดถึงพี่ชิด เซปาอยากตาย”
อ้อมแขนอันแข็งแรงของชายหนุ่มกระชับร่างนั้นเข้าแนบอก พยายามส่งผ่านความอบอุ่นจากตัวเขาไปยังหญิงสาวพร้อมกับหัวใจที่สะท้านลึก ชายหนุ่มบอกตัวเอง ตนจะเป็นตัวแทนพิชิต ดูแลเซปาและลูกน้อยเอง...
ร่างแบบบางที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ กับหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลำน้ำยมทำให้เขาต้องละวางความนึกคิดที่หวนย้อนไปยังเวลาวานเอาไว้พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างนั้นแล้วจุดยิ้ม
“จะกลับแล้วหรือ เซปา”
หญิงสาวชาวเขาทรุดกายลงนั่งกับขอนไม้ข้างๆ กับชายหนุ่มก่อนจะหยุดสายตาที่ลูกน้อยซึ่งนอนอยู่บนตักของภูตะวัน
“หลับอีกแล้วนะอาเปา จะกลับได้ไหมเนี่ย รบกวนพี่ภูอีกแล้วนะคะ มะเดี๋ยวเซปาจะอุ้มลูกเอง”
เธอเอื้อมมือจะมาคว้าเอาร่างสั้นป้อมของเด็กชายอาเปา ทว่าเจ้าหนุ่มกลับยกมือขึ้นดักเอาไว้แล้วบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ไม่เป็นไรครับ ให้อาเปานอนที่นี่แหละ เซปาจะกลับบ้านก็กลับไปก่อนเลยนะ”
“จะดีหรือคะ...”
ดวงตาคู่สวยของเด็กสาวชาวเขาทอดขึ้นมองหน้าหล่อคมเข้มของภูตะวัน
ระยะกว่าสี่ปีเต็มที่หญิงสาวอยู่อย่างเดียวดายกับลูกน้อยและพ่อแม่ แม้บางครั้งความเจ็บปวดจากการสูญเสียจะแสดงออกมาจากใบหน้างามนั้น ซึ่งมันไม่มีวันจางหายไป แต่ก็ยังดีที่มีภูตะวันยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ กล่าวกับเธออย่างเอื้ออาทรให้เธอนึกถึงเด็กชายอาเปาให้มากๆ เขาอยากจะให้เธออยู่เพื่ออาเปา ซึ่งความคิดนี้ถ้าหากเป็นพิชิตก็คงจะกล่าวในลักษณะไม่ต่างกัน
พิชิตและภูตะวันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ครั้งพอได้บรรจุงานพร้อมกันทั้งสองหนุ่มจึงเลือกมายังหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำแห่งนี้ ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ผืนป่าให้อยู่จนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
ตั้งแต่ภูตะวันกล่าวให้กำลังใจเซปา หญิงสาวชาวเขาซึ่งขณะนั้นเพิ่งคลอดอาเปาได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นก็ฮึดลุกขึ้นสู้ ไม่ท้อแท้เพราะการสูญเสียอีกต่อไป
“เซปารักใครไม่ได้อีกแล้ว นอกจากพี่ชิด” หญิงสาวเคยบอกเพื่อนของสามีในวันที่ชายหนุ่มต้องการรับผิดชอบเธอแทนเพื่อน “พี่ภูอย่าทำแบบนี้เลยนะคะ อนาคตของพี่จะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ พี่ภูอย่าเอาตัวเองมาจบลงที่ความรับผิดชอบเลยค่ะ เซปาเข้าใจว่าพี่ก็เสียใจที่ต้องสูญเสียเพื่อน แต่พี่เคยบอกเซปาไม่ใช่หรือว่าพี่ชิดเขาไปดีแล้ว เขาได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มความสามารถแล้ว”
“แต่พี่...”
เขายังรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เซปาเจ็บปวดเช่นไร เขาก็เจ็บปวดไม่ต่างกันนัก
บาดแผลในหัวใจมันทำให้ร่างกายของเขาเชื่องชาไประยะหนึ่ง
“ไม่ค่ะ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เราทั้งสองคน เออ...ไม่สิคะ ยังมีอาเปาอีกคนที่ต่างต้องสูญเสียคนที่เรารักไปในเวลาที่พร้อมๆ กัน เราอย่านำเอาความเจ็บปวดเหล่านั้นมาเพิ่มภาระให้แก่กันและกันเลยนะคะ”
ทั้งสองหนุ่มสาวได้แค่ปลอบกันไปมา จนกระทั่งระยะเวลาทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เซปาอยู่ได้ด้วยลูกน้อย ส่วนภูตะวันก็อยู่ด้วยการทำงาน พวกเขาต่างเชื่อว่าพิชิตไม่ได้ไปไหน เจ้าหน้าที่ป่าไม้หนุ่มยังอยู่ในหัวใจตลอดไป
ทางด้านภูตะวันนั้นสามารถลืมทุกอย่างไปได้ด้วยการทำงานก็จริง แต่เขาก็ยังเชื่อโดยไม่ยอมเปิดเผยออกมาว่าบาดแผลในหัวใจของเขานั้นก็ยังคงอยู่
เช่นเดียวกับเซปา ที่เลือกจะใช้เวลาทั้งหมดทุ่มเทให้กับลูกน้อยที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไร...
///////
“อย่าลืมสิว่าอาเปาก็ลูกของพี่คนหนึ่งนะ ให้นอนที่นี่แหละดีแล้ว” ชายหนุ่มบอกหญิงสาวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะมองไปยังกลุ่มชาวบ้านที่เตรียมตัวจะเดินทางกลับหมู่บ้าน
เขาบอกหญิงสาว
“ไปสิเซปา คนอื่นจะกลับกันแล้วนะ ให้อาเปานอนกับพี่ที่นี่แหละพรุ่งนี้เช้าพี่จะพาไปส่งที่บ้านเอง”
ได้รับคำยืนยันเช่นนั้นหญิงชาวเขาจึงมองหน้าชายหนุ่มเนิ่นนานราวตัดสินใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ค้อมศีรษะให้กับชายหนุ่มเป็นเชิงขอบคุณแล้วหมุนกายกลับไปรวมกลุ่มกับชาวบ้านคนอื่นๆ และเดินทางกลับหมู่บ้านไปที่สุด
ภูตะวันมองตามกลุ่มชาวบ้านที่เดินจากไปจนลับตา กลุ่มชาวบ้านพวกนี้มักนำอาหารการกินมาให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกครั้งที่ทราบว่าพวกเขากลับจากการลาดตระเวนป่า ด้วยสินน้ำใจและความเอื้ออารีที่มีต่อกัน
ถอนหายใจแล้วมองร่างน้อยๆ บนตัก ก่อนจะตัดสินใจอุ้มเด็กชายอาเปาขึ้นแล้วพากลับห้องพักไปในที่สุด
เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่ต่างแยกย้ายกลับที่พักในเวลาต่อมา ทิ้งให้กองเพลิงที่อ่อนล้าแสงค่อยๆ ดับมอดอยู่ท่ามกลางความเงียบและเย็นยะเยือกของผืนป่ากว้าง...
///////
วันเดินทางสู่หมู่บ้านผาตะวันของธารารินและอริมามาถึงในช่วงเช้าของฤดูหนาวที่มีไอหมอกลอยเกลี่ยเหนือยอดไม้กับเสียงน้ำค้างที่ไหลหยดลงกระทบใบไม้แห้งเสียงดังเปาะแปะ
เช้านี้อากาศหนาวกว่าทุกวันที่ผ่าน ยิ่งสายหมอกก็ยิ่งลงหนาจนเมื่อมองออกไปข้างนอกตัวเรือนสามารถเห็นละอองหมอกเม็ดเล็กๆ ลอยกรุ่นราวหิมะตก
ฝ่ายพระอาทิตย์ก็ยังหลบอยู่หลังเทือกเขาสูง ห่มตัวเองด้วยผืนป่าสีเขียวขจีไม่ยอมออกมาทำหน้าที่ของตนเอง
นักพัฒนาสาวในชุดเสื้อโค้ทตัวโคร่งถือกระเป๋าสัมภาระเพียงใบเดียวที่จัดไปเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นกับของใช้จำเป็นเท่านั้นออกมารอรถสองแถวที่พวกเธอเหมาจ้างให้ไปส่งยังบ้านป่าบ้านดอยที่หน้าอำเภอ
ที่ศาลารอรถอริมายืนรอเธออยู่ก่อนหน้าแล้ว
“เช้านี้หนาวกว่าทุกวันเลยนะคะ น้องธาร”
เป็นประโยคแรกที่อริมาทักสาวรุ่นน้อง พร้อมกับมองชุดตัวโคร่งของหญิงสาวแล้วยิ้มขำ
“เหมือนว่าจะต้อนรับพวกเราเลยนะ”
“นั่นสิคะ ดีที่ธารเตรียมเสื้อโค้ทตัวนี้มาด้วย” หญิงสาววางกระเป๋าลงก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกแล้วรำพึงเสียงสั่น “ไม่รู้ว่าบนดอยจะอากาศดีเหมือนที่นี่หรือเปล่า ธารชอบจังเลยค่ะ”
“ชอบก็เตรียมตัวไว้เลยนะ เชื่อพี่สิอากาศที่นั่นจะต้องทวีเป็นสองเท่าของอากาศเวลานี้แน่”
ทั้งสองส่งยิ้มให้แก่กัน ก่อนจะเปิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างปีติ
ไม่นานหลังจากนั้นรถสองแถวที่พวกเธอว่าจ้างก็เดินทางมาถึง ธารารินรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากมายที่จะได้ไปยังหมู่บ้านโครงการหลวง ได้รู้จัก ได้เห็นถึงวิถีชีวิตชาวบ้านซึ่งอริมาได้เคยเล่าว่าพวกเขาต่างอยู่อย่างพอเพียงตามรอยพระราชดำริของพ่อหลวงและแม่หลวงของพวกเขา
หลังขนของขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว รถจึงได้เคลื่อนไปตามเส้นทางมุ่งสู่ทิศเหนือของตัวอำเภอ ผ่านหมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่ากว่าสิบกิโลเมตรก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางถนนลูกรังที่มีแต่ฝุ่นผงสีแดง ผ่านป่าไม้ ผ่านลำห้วย ขึ้นสู่ที่สูงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมองเห็นทิวเขาซึ่งอริมาบอกว่านั่นล่ะคือที่ตั้งของหมู่บ้านผาตะวัน
ไกลออกไปอยู่ลิบๆ เห็นหลังคาเรือนชาวบ้านซุกตัวอยู่ท่ามกลางสายหมอกสีขาวดั่งปุยนุ่นและผืนป่ากว้าง โดยตัดกับความแห้งแล้งของขุนเขาอันซึ่งเป็นพื้นที่ทำการเกษตรของชาวบ้าน
รถสองแถวคันนั้นยังคงแล่นไปตามเส้นทางที่วางตัวอยู่บนเขาสูงและชัน ถ้าหากหันมองกลับไปยังเส้นทางที่เพิ่งจากมาก็จะเห็นตัวอำเภอเชียงตะวันทั้งหมด เห็นหลังคาเรือนของชาวบ้าน เห็นวัดวา เห็นต้นไม้และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอยู่ลิบๆ ซุกตัวอยู่ในแอ่งที่มีหุบเขาใหญ่ล้อมรอบทั้งสี่ทิศ
เกือบเที่ยงรถคันนั้นจึงหยุดลงกลางทาง ซึ่งทางข้างหน้าเป็นถนนลูกรังที่จะต้องไต่ขึ้นเขาที่เกือบจะตั้งฉาก ธารารินและอริมามองหน้าคนขับสลับกับเส้นทางด้วยคำถาม ก่อนสาวจากเมืองกรุงจะเอ่ยขึ้น
“จอดรถทำไมล่ะคะลุง”
ชายชราผู้ทำหน้าที่พลขับไม่เอ่ยคำใด เขาลงจากรถแล้วรี่ไปข้างหลังรถ ขนสัมภาระของทั้งสองสาวลงวางกับพื้นอย่างไม่สนใจสีหน้าแปลกใจและคำถามจากทั้งสองสาวที่ตามลงมาโวยวายเสียงดังลั่น
โดยเฉพาะอริมาที่ตาลุกเป็นเพลิงราวจะแผดเผาชายคนนั้นให้มอดไหม้
“นี่ลุง อะไรกันมันยังไม่ถึงเลยนะ จะเอาของพวกหนูลงทำไม”
“ไปบ่ได้แล้ว” ชายชราเอ่ยเป็นภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ “ทางมันจิ่ง รถลุงไปบ่ไหว”
“อ้าว...ก็ไหนคราวแรกว่าไปไหวล่ะคะ” นักพัฒนาสาวเถียงต่อ ใบหน้างามแดงก่ำอย่างไม่พอใจสุดๆ
“ใช่ค่ะ ตอนแรกที่ตกลงกันไม่ใช่แบบนี้นี่คะ”
“ไปบ่ได้แต๊ๆ ครับ พวกคุณย่างเท้าไปเตอะ อีกแค่สามกิโลเอง เฮ้อ...มันไกลแต๊ๆ บ่เอาๆ ต่อไปลุงบ่มาแหมแล้ว”
ชายชราเกาหัวแล้วเดินกลับมายังรถ เปิดประตูเตรียมจะขึ้นไปนั่ง หากเวลานั้นอริมาก็รีบรี่เข้ามาขวางเอาไว้
“ลุงจะเอาตังส์แหมเต้าใด” สาวเมืองเหนือว่าอย่างเหลืออด เตรียมถลกแขนเสื้อขึ้นอย่างเอาเรื่อง อากาศที่ว่าหนาวนั้นบัดนี้จางหายไปพร้อมกับอารมณ์โกรธเสียแล้ว
“บ่เอาๆ มันไปบ่ไหวแต๊ๆ นะนี่น้ำมันจะปิ๊กเข้าในเมืองจะมีก่อบ่ฮู้”
“เฮาบ่หื้อกลับ” อริมาว่าเสียงเข้มจัด หญิงสาวมองเลยร่างสั้นม่อต้อของชายชราไปยังธารารินที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่กับกองสัมภาระ
ฝ่ายตาเฒ่าได้แต่ทำหน้าเครียดพร้อมกับยกมือขึ้นพนมไหว้
“แต๊ๆ ละ รถลุงไปบ่ไหวแล้ว ดูก่าน้ำหม้อจะไหม้แล้ว สูทั้งสองจะไปก็เดินกันไปเต๊อะ จากตรงนี้ก็บ่ไกลหรอก ถ้าโชคดีก็อาจจะปะรถชาวบ้านที่กลับจากในเมือง ขอเต๊อะอีหล้า รถของลุงมันบ่เคยมาไกลขนาดนี้หื้อลุงกลับเต๊อะ”
“บ่ได้ ตอนแรกก็ตกลงกันแล้วนี่ว่าจะส่งถึงที่ แต่นี่ยังบ่ถึงเลยนะ”
“เต๊อะหล้า ขอเต๊อะ อิดูลุงเต๊อะ”
“บ่!!”
เห็นท่าทางของตาเฒ่าและสภาพของรถแล้วธารารินก็ได้แต่ส่ายหน้า หญิงสาวถอนใจแล้วเดินมาจับแขนของอริมาแล้วว่า
“ช่างเถอะค่ะพี่อบ เราเดินกันไปก็ได้นะคะ”
“แต่มันไกลนะน้องธาร อีกตั้งสามกิโลมันไม่ใช่น้อยๆ” หันไปปรารภกับหญิงสาวเมืองกรุงเสร็จแล้วก็หันกลับมาถลึงตาใส่ตาเฒ่าที่ยังทำหน้าตาน่าสงสารอยู่ข้างๆ “ปู่เฒ่านี้ก็เหมือนกัน ตกลงไม่เป็นตกลง ถ้าไม่เห็นว่าเป็นคนแก่เฮาจะฆ่าหมกป่านี้แล้วละ”
เสียงขู่ฟ่อของหญิงสาวทำให้ตาเฒ่าสะดุ้งแล้วถอยกรูด
ธารารินเห็นดังนั้นจึงเข้ามาจูงแขนสาวพี่เลี้ยงให้กลับมายังกองสัมภาระปล่อยให้ตาเฒ่าขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องแล้วกลับรถบึ่งหนีจนฝุ่นตลบอย่างทันที
“บ่าเฒ่า บ่ห่ายอกเอ้ย สัจจะบ่มี!!”
ร่างเล็กๆ ของอริมาเต้นแหยงๆ อย่างไม่พอใจ ก่อนเธอจะก้มลงเก็บก้อนหินแถวนั้นขว้างตามรถสองแถวคันนั้นไปอย่างระบายความโกรธ
“น้องธารก็อีกคน” อริมาหันมาเหวใส่สาวรุ่นน้องที่ยืนทำตาปริบๆ ต่อ “ไปยอมมันทำไม”
“ธารดูสภาพรถแล้วก็น่าจะไปต่อไม่ไหว เราควรจะปล่อยให้ลุงแกกลับไปเถอะนะคะ”
“เห็นไหมคะว่าหมู่บ้านผาตะวันมันไม่สมควรมาแค่ไหน โห...จะไปกันยังไงเนี่ย อีกตั้งสามกิโล”
“คนเราเมื่อมีความตั้งใจแล้ว แม้ว่าจะไกลแค่ไหนก็ต้องไปให้ถึงนะคะ”
ธารารินบอก ส่วนตัวนึกหวั่นอยู่ไม่น้อยที่ถูกทิ้งอยู่กลางป่ากลางเขาแบบนี้ แต่เมื่อนึกถึงความตั้งใจของการเป็นนักพัฒนาในคราวแรกแล้วเธอจึงเก็บงำความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ให้ลึกสุดหัวใจแล้วใช้ความพยายามเปลี่ยนความหวาดกลัวเป็นกำลังแรงใจในการต่อสู้ดิ้นรนต่อไป
"เพราะขนาดองค์พ่อหลวงของเรา พระองค์ท่านยังไปถึงได้นะคะ”
“แต่นี่เราเดินเท้านะน้องธาร มันไกลมากเลย ไม่ใช่ฮอ. เหมือนสมัยที่พระเจ้าอยู่หัวหรือพระราชินีท่านเสด็จมาสักหน่อย”
“ธารว่าเราเอาเวลาบ่นนี่ยกเป้ขึ้นสะพายบ่าแล้วออกเดินทางต่อเถอะค่ะ ถือว่านี่เป็นบททดสอบสำหรับเราในการมาเป็นนักพัฒนานะคะพี่สาว”
สาวจากเมืองกรุงผู้มีจุดหมายแน่วแน่ก้มลงยกเป้ขึ้นสะพายบ่าแล้วหันไปจูงมือสาวรุ่นพี่ให้ก้าวเดินตาม
“นึกถึงสมัยที่เราเดินทางไกลลูกเสือเนตรนารีนะคะพี่ ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว ธารเชื่อค่ะว่าปลายทางมันจะต้องสวยสดงดงามอย่างที่เราต้องการ เดินเท้านี่มีประโยชน์นะคะ ไม่หนาวด้วย”
อริมาได้แต่ทำหน้ายู่พร้อมค้อนธารารินไปเสียวงโต ก่อนจะตัดสินใจคว้ากระเป๋าขึ้นพาดบ่าเดินตามนักพัฒนาเมืองกรุงปีนเส้นทางอันทุรกันดารนั้นในที่สุด
ไกลออกมาราวหนึ่งกิโลเมตร ชายชราผู้ขับรถสองแถวชะลอรถแล้วจอดลงข้างทาง เขาเปิดประตูลงจากรถ หันกลับไปยังเส้นทางที่เพิ่งขับจากมาแล้วถอนใจ
“ลุงขอโทษด้วยนะหนูๆ ลุงบ่ได้ตั้งใจแต๊ๆ”
ชายเฒ่าส่ายหน้าแล้วนึกย้อนไปเมื่อวันก่อนหลังจากติดต่อตกลงกับธารารินและอริมาให้มาส่งยังหมู่บ้านผาตะวันเรียบร้อยแล้วเขาก็ได้พบเจอกับป้าพร หญิงชราผู้เป็นพัฒนากรและเป็นญาติห่างๆ กับเขา พร้อมกับเงินก้อนโตจากหล่อยที่มากับข้อเสนอให้ตาเฒ่ากลั่นแกล้งส่งสองสาวแค่กลางทางแล้วหาทางหลบเลี่ยงกลับ
“ลุงขอให้พวกหนูโชคดีปะรถของชาวบ้านหรือไม่ก็รถที่จะไปหมู่บ้านนั้นเน่อ...”
ว่าจบชายชราจึงตัดสินใจกลับมายังรถแล้วขับกลับบ้านไปด้วยสีหน้าและแววตาไม่สบายใจสักเท่าไร
/////
ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ในการเดินทางสู่หมู่บ้านผาตะวัน ธารารินจึงกัดฟันฝืนความเจ็บปวดที่ระบมไปทั้งเท้าจากการเดินทางฝ่าเปลวแดดยามบ่ายของวันนั้น ประกอบกับตัวเองเป็นฝ่ายดั้นด้นมาด้วยตัวเองจึงไม่ยอมปริปากบ่นให้อริมาที่เดินตามมาได้ยิน
ไม่ได้ เธอจะต้องไม่ท้อ เส้นทางข้างหน้ามันจะต้องสวยงาม เส้นทางมันจะต้องเป็นทางที่มีความหมายสำหรับเธอ...
หญิงสาวบอกกับตัวเองมาตลอดเส้นทางร่วมหนึ่งกิโลเมตร เหลียวมองอริมาที่นั่งพักใต้ต้นไม้ก็เดินกลับไปนั่งลงข้างๆ
“โอ้ย ปวดๆ เมื่อยๆ”
สองมือน้อยๆ ทุบเข่าทุบขาของตนเองพร้อมบ่นอุบอิบ ใบหน้านั้นแดงก่ำเพราะแดดร้อนกับความเหน็ดเหนื่อยที่แล่นริ้วไปทั่วทั้งร่างกาย
“อดทนเอานะคะ ประเดี๋ยวก็จะถึงแล้ว”
“อีกสักกี่เดี๋ยวล่ะ นี่มันเพิ่งผ่านมาแค่หนึ่งกิโลเท่านั้นนะ อีกตั้งครึ่งค่อนเส้นทาง โห...เท้าพี่ไม่ต้องเน่าเละเลยหรือ บ้า...มันบ้าที่สุด”
ธารารินได้แต่ถอนใจ ไม่รู้จะเอ่ยคำไหนมากไปกว่านิ่งเงียบและมองสาวรุ่นพี่อย่างนึกสงสาร
“ธารขอโทษจริงๆ นะคะที่พาพี่อบมาลำบากแบบนี้”
“เฮ้อ...” อริมาก็ได้แต่ถอนใจ ยกมือขึ้นโบกกับตัวเอง “ความจริงพี่ก็อยากจะโกรธน้องนะคะ แต่บอกตรงๆ ว่าพี่โกรธน้องไม่ลงหรอก เพราะพี่เคยบอกน้องไปแล้วว่าพี่จริงใจกับน้อง คนที่จริงใจต่อกันไม่มีวันคิดโกรธเกลียดกันได้ลงหรอกนะคะ”
ทั้งสองสาวส่งยิ้มให้แก่กันและกัน ก่อนจะใช้เวลานั้นพักกายให้หายเหน็ดเหนื่อยพร้อมต่อการเดินทางไกลในนาทีต่อไป
วินาทีนั้นเหมือนธรรมชาติของผืนป่ากว้างจะรับรู้ซึ่งความแน่วแน่ของทั้งสอง พัดพาเอาอากาศเย็นสบายให้แก่พวกเธอ เช่นเดียวกับหมู่ใบไม้ที่พัดสะบัดพรูส่งเสียงราวกับเริ่มบรรเลงดนตรีแห่งพงไพร
นานร่วมครึ่งชั่วโมง สองสาวจากในเมืองจึงฮึดสู้เดินทางต่ออีกครั้งหนึ่ง
“หวังว่าเราจะไปถึงหมู่บ้านผาตะวันก่อนค่ำนะ” อริมาหันไปบอกเพื่อนร่วมทางเดินของตนเอง “และพี่ก็ยังหวังว่าจะมีใครสักคนผ่านมารับเราแล้วพาไปส่งให้ถึงยังที่หมายในไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่ง”
เส้นทางมุ่งสู่หมู่บ้านกลางป่าใหญ่มีหมู่ไม้ใหญ่น้อยยืนต้นพอจะให้ร่มเงาได้บ้าง ความสงบของพงไพรมีเสียงแมลงไพรกรีดปีกบรรเลงบทเพลงมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะเช่นเดียวกันกับสายลมแผ่วๆ ที่พัดพอจะให้คลายร้อน
อีกร่วมหนึ่งชั่วโมงต่อมาก็พ้นออกจากเส้นทางที่สูงชันและมีแต่ต้นไม้ เป็นเส้นทางบนสันเขาสูงที่สามารถมองเห็นกลุ่มตัวเรือนหลายสิบหลังคาตั้งเป็นกลุ่มๆ ห่างกันอยู่พอประมาณ โดยมีเส้นทางสีแดงของถนนลูกรังเชื่อมต่อแต่ละกลุ่มของกลุ่มบ้านเหล่านั้น
ไม่ไกลจากจุดที่พวกเธอเดินไปนั้นเป็นกลุ่มพืชไร่ที่ถูกจัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งทั้งสองสาวยังกะไม่ได้ว่าเป็นพืชไร่ชนิดไหน
อีกราวห้านาทีต่อมา ระหว่างที่พวกเธอกำลังย่างเท้าไปข้างหน้าอย่างมุ่งหวังซึ่งจุดหมายปลายทางนั้นสองหูอันเต็มไปด้วยความหวังของพวกเธอก็สดับยินเสียงรถค่อยๆ ไต่ขึ้นเขาทางด้านหลัง ก่อนจะเห็นรถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาพร้อมกับฝุ่นที่ตลบไล่หลัง สาวสวยจากเมืองกรุงจุดยิ้มอย่างดีใจหันไปปรารภกับสาวรุ่นพี่ว่าพวกเธอกำลังจะรอดพ้นจากสถานการณ์ทุกขเวทนานี้แล้ว
หากอนิจจาเมื่อรถคันนั้นขับมาถึงตรงจุดที่พวกเธอหยุดยืนคอย พร้อมกับฝุ่นผงมากมายนั้นกลับแล่นผ่านไปอย่างไม่ไยดี
เห็นดังนั้นอริมาก็ออกไปยืนเท้าเอวกลางถนนพร้อมกับแหกปากด่าเป็นภาษาเหนือพื้นเมืองอย่างโกรธแค้นเป็นที่สุด
รถยนต์คันเก่านั้นไม่ได้จอดรับพวกเธอ ตรงกันข้ามกลับทิ้งฝุ่นให้ทั้งสองสาวสำลักเล่นอย่างไม่คิดจะหันกลับมาสนใจไยดี
“จั๊ดง่าว ตาบ่หันคนหรือยังไง ง่าวๆ”
ธารารินได้แต่ส่ายหน้าแล้วยิ้ม ยามฟังสาวรุ่นพี่ด่าเจ้าของรถคันเมื่อครู่ด้วยภาษาพื้นเมืองที่เธอเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
/////โปรดติดตามตอนต่อไป//////
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ค. 2557, 15:05:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ค. 2557, 15:06:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 1067
<< ตอนที่ ๐๓ ลูกชายหัวหน้า | ตอนที่ ๐๕ ความหวังพลังใจ >> |