กลร้าย สะใภ้นิรนาม (ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์บลูมูน)
เธอมาพร้อมตำแหน่ง"สะใภ้นิรนาม"
เธอบอกกับทุกคนในบ้านว่าเป็นภรรยาของเขา ทั้งๆที่ไม่ใช่ความจริง
เพราะอยากรู้ว่าเธอมีแผนการณ์อะไรอยู่ในใจ เขาจึงใช้ความ "เสน่หา" และ "บทพิศวาส" บีบบังคับให้เธอยอมเผยความจริง
แม้สุดท้ายแล้ว...เขาจะต้องสูญเสียหัวใจให้เธอไปก็ตาม
Tags: นักสืบ , เซ็กซี่ , ขำขัน , น่ารัก , โรแมนติก

ตอน: เจอกันครั้งที่3... เธอก็บอกว่าเธอเป็นเมียผม

บทที่ 1
เจอกันครั้งที่3…เธอก็บอกว่าเธอเป็นเมียผม !!

ณ. บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่งเอเชีย ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงที่แออัดอัดไปด้วยตึกขนาดใหญ่ที่มีมากมายราวดอกเห็ดหน้าฝน หากทว่าตึกหนึ่งสีน้ำตาลกลับดูเด่นสะดุดตาด้วยตัวสีที่เป็นเอกลักษณ์และป้ายบ่งบอกถึงกิจการของเจ้าของบริษัท

‘ชยากร’ในชุดสูทสีดำสนิทภูมิฐาน ประกอบกับหน้าคมคายบูดบึ้ง คิ้วขมวด ทำให้เขาแลดูคล้ายซาตานร้ายในคราบเทพบุตรเดินก้มหน้าก้มตาลงบันไดชั้นที่31เพื่อมาที่ชั้น30โดยไม่ทันสังเกตเห็นร่างบางๆของใครบางคนที่ยืนแกว่งพวงกุญแจรออยู่ที่ราวบันไดชั้นที่30

ทันทีที่หน้าเรียวเงยขึ้นมาเห็นเขา ร่างบางก็ปราดขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็วจนปะทะเข้าที่อกล่ำๆที่อยู่ภายใต้เสื้อสูทหรูของชายหนุ่มเต็มแรงจนพวงกุญแจร่วงหล่นลงกระทบพื้นเสียงดังแผ่วๆแต่แว่วกังวานในโสตประสาทหู

กริ๊ก !

เสียงหล่นของสิ่งของชิ้นน้อยนั้นดูเบามาก เมื่อเทียบกับเสียงเจ้าของพวงกุญแจที่ดูจะดังเกินความจำเป็น

“ว้าย !” นอกจากเสียงอุทานจะแหลมปรี๊ดเหมือนนกหวีดแล้ว เจ้าหล่อนยังทำท่าเหมือนจะหงายหลังตกบันไดอยู่ร่อมร่อ ส่วนขนตาก็กระพือพึ่บพั่บเป็นเชิงอ้อนวอนเป็นนัยๆให้เขา‘ช่วยจับตัวเธอเอาไว้ที’ ตอนนี้เธอกำลังจะแย่เพราะทรงตัวไว้ไม่อยู่ ในขณะที่ตาคมเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนที่มือใหญ่จะคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อของหญิงสาวแล้วกระชากอย่างแรงจนร่างที่ทำท่าจะหงายหลังหล่นจากที่สูงได้กลับมายืนตัวตรงแน่วเหมือนเดิม

แม้จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่นอกจากเขาจะไม่คว้าร่างเธอมากอดแนบอกเหมือนในละครน้ำเน่าหลังข่าวที่เธอชอบดูแล้ว เขายังคว้าคอเสื้อเธอกระชากอีกต่างหาก…ผู้ชายอะไร ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลยสักนิด มากระชากคอเสื้อหญิงสาวที่แสนสวยและบอบบางอย่างเธอได้ยังไงกัน

“ขอบคุณค่ะ” ถึงจะนึกขุ่นเคืองใจ แต่ปากก็ยังอุตส่าห์กล่าวขอบคุณตามบทบาทที่ฝึกฝนมาจากหน้ากระจกจนคล่องปรื๊ด แถมยังฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันทั้งสามสิบสองซี่ แต่ทว่า…

“อือ” ชยากรเพียงรับคำสั้นๆในลำคอเท่านั้นอย่างไม่สนใจ แต่ก็อดที่จะหลุบตาลงมองเธอจนทั่วตัวไม่ได้…เริ่มตั้งแต่พวงผมหยักศกสลวยสีดำสนิทซึ่งถูกมัดเป็นพวงไว้ด้านหลัง ใบหน้ารูปไข่ขาวผ่องแต่มันเยิ้มเหมือนไปวิ่งออกกำลังกายมาสักสิบกิโล ตากลมโตดูจะแฝงเลศนัยบางอย่าง ทำให้เขานึกเดาได้ทันทีว่าเธอคงจะเป็นคน‘กะล่อน’อยู่ไม่น้อย จมูกโด่งเล็ก ปากอิ่มสีชมพูสวย นับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีพอควรเลยทีเดียว แต่…ไม่ใช่สเปคของเขาอย่างแน่นอน !

ชายหนุ่มเลื่อนสายตาลงมาถึงหน้าอกอวบงามที่ดันเสื้อยืดออกมาท้าทายสายตา เอวเล็กคอดกิ่ว และสะโพกผายตึงที่เห็นเด่นชัดเพราะเธอนุ่งกางเกงยีนส์ขายาวรัดรูป

ถึงแม้ว่าจะสำรวจเธอจนครบทุกสัดส่วน แต่เขาก็ใช้สายตามองเธอเพียงแว่บเดียวเท่านั้นจนเธอแทบจะไม่รู้สึกว่าโดนเขามองแปลกๆเสียด้วยซ้ำ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเมินหน้าหนี แล้วเดินเลยเธอลงบันไดหนีหายไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้เมธาวียืนยิ้มค้างอยู่เพียงผู้เดียว

33วินาทีผ่านไป

ดวงตากลมโตเริ่มกระพริบปริบๆเมื่อสติเริ่มกลับมาดังเก่า…ตอนแรกที่ซักซ้อมอยู่หน้ากระจก เธอหมายมั่นปั้นมือเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะชวนเขาคุยยังไง แต่พอมาเจอเขาตัวจริง เธอกลับเอาแต่ยืนนิ่งอึ้ง คำพูดที่เตรียมท่องไว้เมื่อหลายวันก่อนก็พลอยลืมไปเสียหมด ใครจะไปกล้าคุยกับเขา…ดูสีหน้าเขาก่อนเถอะ เรื่องหล่อน่ะหล่อแน่อยู่แล้ว แต่ไอ้คิ้วขมวดเป็นปมเหมือนผูกโบว์ ปากงอๆ จมูกโด่งเชิดๆนั่นสิที่ทำให้เธอเกิดอาการกรามค้าง ไม่กล้าพูดด้วยมากไปกว่านี้

เธอก้มลงหยิบพวงกุญแจบนพื้น ก่อนจะนำมันมาควงเล่นชั่วครู่ จากนั้นจึงยัดกุญแจใส่ลงในกระเป๋าสะพายย่ามที่สะพายไว้ข้างตัวพร้อมหยิบรูปถ่ายยับย่นใบหนึ่งขึ้นมาดู

ผู้ชายในรูปที่เธอกำลังดูอยู่นั้น…กำลังยืนหันหน้าเข้าหากล้องเหมือนเต็มใจให้ถ่ายรูป หน้าของเขาคมสันได้รูปสมชายชาตรี คิ้วเข้มยาวพาดขนานดวงตาคมกริบสีน้ำตาล จมูกโด่งเป็นสันเหมือนเทพบุตรกรีก ริมฝีปากได้รูปเหยียดเป็นเส้นตรงอย่างไร้อารมณ์

ภาพหน้าตาที่แสนหล่อเหลาของคนในรูปช่างดูเหมือนกับผู้ชายที่เธอ‘จงใจ’ชนเมื่อครู่ไม่มีผิด และเธอก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนละคนกันเสียด้วยสิ

ชยากร โกสิทธิติยพงศ์ เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ผู้โด่งดังซึ่งประสบความสำเร็จในด้านการงานตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ทว่าในด้านความรัก…กลับอับโชคเพราะคู่หมายได้หายตัวไปทั้งๆที่ใกล้จะถึงวันวิวาห์ และคงเป็นเพราะจุดบอดในเรื่องของหัวใจกระมัง เขาจึงมีสีหน้าเย็นชาจนคล้ายคนไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลาแบบนี้

ปากอิ่มเหยียดยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างหมายมาด ดวงตาเป็นประกายวาววับ ยามที่เก็บรูปใบนั้นลงไว้ที่เดิมก่อนที่ขาเรียวจะก้าวเข้าลิฟต์ด้วยทีท่าที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจพร้อมกับประโยคหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว

‘นับจากวันนี้เป็นต้นไป…คุณจะได้เจอกับฉันอีกนาน อยากรู้นักว่า…คุณจะทำหยิ่งเฉยชาเหมือนคนไร้ความรู้สึกแบบนี้ไปได้นานสักแค่ไหน !!’


บ่ายนี้ชยากรรู้สึกเหนื่อยๆอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มจึงสั่งให้เลขาช่วยชงกาแฟมาให้ที่ห้องทำงาน ระหว่างที่รอคาเฟอีนอยู่นั้น มือใหญ่ก็วางปากกาที่หมุนเล่นลงบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นไปหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่าง

สะโพกสอบเพรียวพิงกรอบหน้าต่างบานโต สายตาคมกริบมองเหม่อออกไปด้านนอก สีหน้าที่ไร้อารมณ์ดูจะไร้จุดหมาย เสียงถอนหายใจดังแผ่วๆ

สายลมเอื่อยๆผสานกับไอแดดแรงร้อนปะทะใบหน้าคมจนทั้งแสบทั้งเย็นปะปนกัน แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ชีวิตที่ต้องขลุกอยู่บนตึกสูงๆ นั่งในห้องแอร์เย็นเฉียบ ชีวิตแบบนี้อาจเป็นที่อิจฉาของใครหลายๆคน แต่สำหรับเขา…มันช่างน่าเบื่อหน่าย แม้จะอยู่ในตำแหน่งใหญ่โต ไม่ต้องตากแดดกรำงานหนัก แต่การที่ต้องมานั่งอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ซึ่งเรียกว่า‘ห้องทำงาน’ก็ชวนให้เขารู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย ครั้นทอดสายตาออกไปมองวิวภายนอกก็จะเห็นแต่ทัศนียภาพที่เคยคุ้น…ตึกสีขาวทั้งเล็กและใหญ่ต่างตั้งเรียงรายจนแทบจะไม่มีช่องว่างให้รถเข้าแทรก การจราจรที่วุ่นวายบนท้องถนน สีหน้าคนในเมืองที่ดูยุ่งยาก เร่งรีบทำงานแข่งกับเวลา ต่างคนต่างเอาตัวรอดในสังคมจนลืมการใช้ชีวิตแบบชาวสยามในสมัยก่อนไปเสียสิ้น

เพราะเบื่อหน่ายในสังคมที่วุ่นวาย เขาจึงปลีกตัวไปอยู่คฤหาสน์หลังงามซึ่งอยู่ห่างไกลสายตาผู้คน เป็นสถานที่อันเงียบสงบ แต่บางครั้งก็แฝงความเหงาลึกๆ อย่างน้อย…มีเวลาเพียงช่วงเย็นจนถึงตอนเช้าที่เขาจะได้พักผ่อนในที่ส่วนตัว ก็นับว่าดีที่สุดแล้วสำหรับนักธุรกิจที่วันๆมีแต่เรื่องงานเช่นเขา

ระหว่างที่ยืนทอดอารมณ์ปลดปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปเรื่อยเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่เกิดจากการจ้องเอกสารสำคัญเป็นเวลานานอยู่นั้น เสียงแจ๋นๆก็ดังขึ้น พร้อมประตูห้องทำงานของเขาที่ถูกเปิดออก

“มาแล้วค่า” ลลิสาเลขาหน้าหวานถือถ้วยกาแฟหอมกรุ่นเข้ามา พร้อมรอยยิ้มที่จงใจส่งตรงถึงเขาโดยเฉพาะ พร้อมนำกาแฟมาวางไว้บนโต๊ะให้เขา ดวงตาซึ่งติดขนตาปลอมไว้เป็นแพหนาพยายามกระพือหลายๆหนเพื่อส่งความนัยบางอย่าง

“ครับ ขอบคุณ” แต่ดูเหมือนว่าผู้เป็นเจ้านายจะไม่ยอมรับรู้ถึงสะพานเสริมคอนกรีตที่เธอพยายามทอดให้เลยสักนิด เพราะเขาเพียงกล่าวขอบคุณสั้นๆด้วยสีหน้าเฉยชา ร่างสูงเดินมาทรุดกายลงนั่งที่เดิมพลางหยิบถ้วยกาแฟมาจิบ ส่วนสายตาก็หลุบลงอ่านแฟ้มบนโต๊ะที่เปิดคาไว้ เล่นเอารอยยิ้มกว้างต้องหุบฉับลงทันควัน

“ค่ะ” รับคำด้วยเสียงกึ่งๆเสียดาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากกว่านั้น ก่อนที่ร่างระหงซึ่งสวมส้นสูงร่วมหกนิ้วได้ก้าวฉับๆออกไปจากห้องทันทีด้วยอารมณ์ที่เคืองขุ่น…

ชยากร…หล่ออย่างชนิดที่จะหาใครมาเทียบด้วยได้ยาก ทั้งรูปหน้าคมเข้ม ดวงตาล้ำลึกมีเสน่ห์ แต่ในขณะเดียวกัน เสน่ห์ของเขาก็ถูกบดบังด้วยสีหน้าที่แสนเฉยเมยจนคล้ายคนไร้ความรู้สึก

แม้ว่าผู้หญิงหลายๆคนจะมองว่าเขาเป็นผู้ชายไร้อารมณ์ ไม่น่าเข้าใกล้เพราะเขาไม่รู้จักยิ้ม

แต่สำหรับลลิสาแล้ว…เขาคือบุคคลที่น่าค้นหา และมีพลังลึกลับบางอย่างที่ทำให้เธออยากชิดใกล้ และที่สำคัญคือ…เขารวย เพราะฉะนั้น…เธอจะต้องจับเขาให้ได้ !!


เมื่อเคลียร์งานชิ้นสำคัญเกือบเสร็จแล้ว ข้อมือหนาก็ถูกพลิกขึ้นดูนาฬิกา เห็นเข็มสั้นชี้บอกเวลาบ่ายสามแล้ว เกือบถึงเวลานัดหมายกับลูกค้ารายใหญ่

เพื่อไม่ให้เสียเวลา ชยากรรีบผุดลุกขึ้นทันที หยิบแฟ้มงานมาถือไว้ พร้อมสาวเท้ายาวๆออกจากประตูห้องไป พบเลขาหน้าแฉล้มที่กำลังนั่งเสริมสวยอยู่ที่โต๊ะหน้าห้องเขา จึงเอ่ยบอกสั้นๆว่า

“ผมต้องออกไปคุยงานกับลูกค้า งานของคุณถ้าเคลียร์เสร็จหมดแล้ว จะกลับเลยก็ได้นะ วันนี้ให้กลับบ้านไวได้”

“ค่ะ…ให้ฉันไปช่วยมั้ยคะคุณชา” เธอถามเหมือนสนใจเรื่องการงาน ทว่าแววตากลับวิบวับบ่งบอกความนัยบางอย่าง…หากได้ใกล้ชิดเขามากกว่านี้ก็คงดีสินะ ต่อให้ต้องทำงานเหนื่อยมากขึ้นกว่าเดิม เธอก็ยอม

“ไม่เป็นไร ผมไปคนเดียวน่าจะสะดวกกว่า” ชายหนุ่มตอบเมินเฉย ก่อนเดินจากไปทันที ทิ้งให้ลลิสาเม้มปากแน่นอย่างขัดใจอยู่ตามลำพัง


ชยากรใช้เวลาในการขับรถเพียง 20 นาที รถคันหรูก็แล่นเข้ามาจอดในโรงเก็บรถของร้านอาหารขนาดใหญ่ที่มีลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติเข้ามารับบริการไม่มีขาด

ตัวร้านกรุกระจกใสรอบด้าน มองเห็นภายนอกได้อย่างชัดเจน เมนูของร้านส่วนใหญ่เป็นอาหารอิตาลี่ มีบ้างที่เป็นอาหารไทย

ชายหนุ่มเดิมตามบริกรซึ่งพาเขาไปทางโต๊ะที่ได้จองไว้ล่วงหน้า ทุตติพงษ์ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเขายังไม่มา ชยากรจึงเลือกสั่งไวน์มาจิบแก้เซ็งในระหว่างนั่งรอ

ระหว่างที่ทอดสายตามองผู้คนที่เดินสวนกันไปมานอกร้านอยู่นั้น พลันเขาก็เห็นใครคนหนึ่งซึ่งคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก

ผู้หญิงตัวเล็กๆบางๆ ผมยาวเป็นพวง เธอเดินปะปนกับผู้คนเหล่านั้น เครื่องแต่งกายทะมัดทะแมงทำให้เธอโดดเด่นเหมือนนกกาในฝูงหงส์ เพราะผู้คนรอบกายเธอนั้นล้วนสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรามีราคาด้วยกันทั้งสิ้น

มือเรียวยกขึ้นจับพวงผมที่มัดรวบไว้ด้านหลังของตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยุดเดินเมื่อหันมาเห็นชยากรนั่งอยู่ในร้านอาหารพอดี

เธอยิ้ม…ยิ่งเห็นว่าเขามองเธออยู่ เธอก็ยิ่งยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบทุกซี่ นับว่าเป็นคนแรกเลยจริงๆที่กล้าประสานสายตากับเขาโดยไม่รีบหลบ

ชายหนุ่มหรี่ตาลง เมื่อจดจำได้ว่า…ผู้หญิงคนนี้คือคนที่เคยเดินชนเขาเมื่อช่วงสายๆ แล้วตอนนี้เขาก็ได้พบกับเธออีกครั้งที่นี่ ดูจากท่าทางของเธอแล้ว ไม่น่าจะมารับประทานอาหารที่นี่ได้ อะไรบางอย่างซึ่งอาจจะเรียกว่าลางสังหรณ์ก็ได้ เตือนชายหนุ่มว่า…เธออาจจะมาแถวนี้เพื่อเจอเขาโดยเฉพาะก็ได้

จะบอกว่าเธอสะดุดตาจนเขาจดจำได้ แม้ว่าจะเพิ่งเคยเจอกันเพียงครั้งเดียว…มันก็ไม่ถูก

แต่เป็นเพราะว่า…สมองของนักธุรกิจระดับพันล้านเช่นเขา จำเป็นที่จะต้องจดจำทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ รายละเอียดเล็กหรือไม่เล็ก เขาก็จะจำมันได้อย่างรวดเร็ว เพราะคติประจำใจของเขามีอยู่ว่า‘ใส่ใจ สังเกต จดจำ’
และขณะนี้สมองของเขาก็กำลังประมวลความคิดอะไรบางอย่าง…ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน ทำไมถึงต้องทำท่าเหมือนรู้จักคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี

ตากลมโตแต่แฝงแววเจ้าเล่ห์ที่เขาพบเห็นจนติดตาตั้งแต่ครั้งแรก มันทำให้เขาใคร่รู้อยู่ไม่น้อยว่าในดวงตาของเธอ…มันสื่อถึงอะไรอยู่
เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน จนเขาตัดสินใจที่จะลุกขึ้นแล้วเดินออกมานอกร้านอาหาร หวังจะถามให้หายคาใจว่าเธอและเขาเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า แต่ทว่า…มีชายคนหนึ่งเดินสวนเข้ามาในร้านเสียก่อน เสียงทักทายทำให้เขาต้องหยุดเดิน

“คุณชยากรครับ ผมต้องขอโทษที่ให้คุณรอนาน พอดีรถติดนิดหน่อย ใจหายเหมือนกัน นึกว่าคุณจะไม่รอผมเสียแล้ว” ทุตติพงษ์พูดพลางยิ้มกว้างอย่างโล่งอก ซึ่งชยากรก็ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็เพิ่งมาได้ไม่นานเหมือนกัน” พูดพลางเหลือบสายตาไปทางผู้หญิงคนนั้น แต่กลับไม่พบเธอแม้เงา…เธอหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเดินไปทางไหน มือใหญ่ยกขึ้นตบท้ายทอยตัวเองเบาๆ พร้อมถอนหายใจเฮือก

แล้วเขาจะไปเก็บเรื่องผู้หญิงแปลกๆมาคิดทำไม ในเมื่อตอนนี้เขาควรจะคิดเรื่องงานมากกว่าสิ ถึงจะถูก คิดได้ดังนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็เดินนำทุตติพงษ์ไปนั่งที่โต๊ะอาหาร พยายามคิดเรื่องงานก่อนเรื่องอื่น…อีกไม่ถึง1ชั่วโมงต่อมา ชยากรก็ลืมผู้หญิงที่เพิ่งเจอเมื่อครู่นี้จนหมดสิ้น
หลังจากคุยเรื่องงานเสร็จ ซึ่งก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ชายหนุ่มก็รีบตรงดิ่งกลับบ้านทันที วันนี้เขารู้สึกเพลียอย่างบอกไม่ถูก คิดอยากจะให้ถึงบ้านไวๆจะได้ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆให้คลายจากความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้น

บ้านของเขาแม้จะใหญ่โตโออ่าเพราะราคานับร้อยล้าน แต่ก็ถูกสร้างห่างไกลชุมชนอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะพ่อของเขารักความสงบ และเบื่อชีวิตที่วุ่นวายนั่นเอง

ถึงจะเป็นเมืองหลวง แต่สองฟากทางที่จะไปบ้านเขากลับมีต้นหญ้ารกครึ้ม ทว่าเขาก็ไม่ได้นึกกลัวอะไร อาจจะเป็นเพราะ…ชยากรคุ้นเคยเส้นทางนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วก็ได้กระมัง

ประตูรั้วอัลลอยด์สีทองสว่างถูกเลื่อนออกโดยอัตโนมัติก่อนที่รถเฟอร์รารี่คันหรูจะค่อยๆขับเคลื่อนเข้าไปอย่างช้าๆสู่ความโออ่าของตัวบ้านและบริเวณโดยรอบที่ถูกจัดแต่งไว้ด้วยน้ำพุใสแจ๋ว ต้นไม้ประดับราคาแพง และดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวน

ชยากรเลี้ยวรถเข้าไปในโรงจอดรถขนาดใหญ่ที่มีรถยนต์ราคาแพงจอดสงบนิ่งอยู่อีกนับสิบคัน ก่อนที่เขาจะก้าวลงมาด้วยสีหน้าโรยๆ
ร่างสูงเดินเข้าไปภายในบ้าน คนรับใช้ชื่อ‘แหวว’ก็รีบนำน้ำมาเสิร์ฟอย่างรู้หน้าที่

“ขอบใจ” เขารับแก้วน้ำเย็นเฉียบมาจิบ ก่อนจะส่งแก้วคืนให้สาวใช้แล้วถามออกไปว่า “วันนี้พ่อฉันเป็นยังไงบ้าง”

แหววก้มหน้าลงต่ำพลางตอบเสียงนอบน้อมว่า “อาการยังทรงเหมือนเดิมค่ะ แต่ดูเหมือนวันนี้คุณท่านจะอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ”

“อารมณ์ดี?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างแปลกใจพลางรูดเนคไทออก

“ค่ะ คุณชาไปดูเองเถอะค่ะ”

“อ้อ ตกลง” ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะโยนเนคไทไปทางโซฟาตัวใหญ่ แล้วเดินไปทางห้องของคุณวิศาลผู้เป็นบิดาทันที

พ่อของเขาอายุ65ปีแล้ว เจ็บป่วยออดๆแอดๆตามประสาโรคชราที่เริ่มมาเยือน ด้วยความที่ไร้เรี่ยวแรง เดินเหินไม่ค่อยสะดวก ชยากรจึงจัดห้องให้คุณวิศาลที่ชั้นล่างเพื่อจะได้ไม่ต้องขึ้นลงบันไดบ่อยๆให้ลำบาก

แต่ยิ่งนานวัน อาการของคุณวิศาลก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขาเคยคิดจะหาพยาบาลพิเศษมาดูแลพ่อ แต่คุณวิศาลไม่ยอม อ้างว่าตัวเองไม่ได้เจ็บป่วยหนักขนาดนั้น

แต่ก็ยังดีที่จิราผู้เป็นแม่บ้านคอยดูแลพ่อของเขาเป็นอย่างดี ทำให้ชายหนุ่มพลอยคลายความกังวลใจลงไปบ้าง

ความคิดของเขาได้สะดุดลงเมื่อผลักบานประตูห้องเข้าไป สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือ…ร่างกายผอมๆจนเห็นซี่โครงเป็นซี่ๆของบิดาซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนที่นอนหนานุ่ม เตียงนอนขนาดคิงไซส์ข่มให้ชายชราดูตัวเล็กลงกว่าความเป็นจริงอีกมากจนคล้ายเตียงใหญ่จะห่อหุ้มกลืนคนที่นอนอยู่ไปทั้งตัว

สีหน้าของคุณวิศาลในตอนนี้ บอกได้คำเดียวว่า…แจ่มใสกว่าทุกๆวันที่ผ่านมา

ตาคมตวัดฉับไปข้างๆเตียงฝั่งขวา พบจิรายืนหน้าเผือดสีอยู่ไม่ห่าง

พอหันไปมองทางฝั่งซ้าย กลับพบผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งนั่งอยู่ชิดติดขอบเตียง และตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็กำลังหันมาส่งรอยยิ้มน่ารักให้เขาอย่างเป็นมิตร และทันทีที่ได้สบดวงตาเจ้าเล่ห์ของเธอคนนั้น ร่างสูงก็ถึงกับผงะถอยหลังไปหลายก้าว ตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง…จะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไร ในเมื่อผู้หญิงคนนี้ก็คือคนเดียวกันกับคนที่ชนเขาเมื่อช่วงสายๆนั่นเอง !

“คุณ!” เสียงทุ้มๆเปล่งออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก ในขณะที่หญิงสาวรีบลุกจากเก้าอี้มาเกาะแขนเขาด้วยท่าทีสนิทสนมทันทีโดยไม่อายต่อสายตาของใครในห้อง

“คุณสามีขา กลับบ้านแล้วเหรอคะ เหนื่อยหรือเปล่าเอ่ย? ท่าทางจะเหนื่อยมากสินะคะ…หน้าตาถึงได้ซีดเซียวซะขนาดนั้น”

“สามี?” เสียงแผ่วๆดังออกจากริมฝีปากหยักลึกได้รูป ตาคมเพ่งมองผู้หญิงข้างๆกายอย่างงุนงง

“แหมมม…” เมธาวีลากเสียงยาว พลางเอื้อมมือมาจับคางของเขาบีบเล่นอย่างสุดแสนจะเอ็นดู “หน้าตาตอนงงนี่น่ารักที่ซู้ดดดเลย ทำไมทำหน้าแบบนี้ล่ะคะคุณสามีขา จำเมธาวีคนนี้ไม่ได้เหรอ”

“เมธาวี ?” คิ้วเข้มขมวดมุ่น พยายามเค้นความจำออกมาสุดความสามารถ แต่ก็น่าแปลกเพราะ…ในสมองของเขาไม่เคยมีชื่อเมธาวีบันทึกอยู่เลยแม้แต่น้อย

“อ๊ะๆ ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าจำไม่ได้” เธอส่ายนิ้วจิ๊กๆไปมาตรงหน้าเขา “ทำไมนะ…ทั้งๆที่คราวก่อนยังเรียกเมียจ๊ะเมียจ๋า ผมรักคุณคนเดียวอยู่เลย แต่มาตอนนี้กลับจำกันไม่ได้ ผู้ชายก็แบบนี้แหละ หึ” เสียงใสๆฟังดูกระฟัดกระเฟียด พร้อมดวงตากลมโตที่สะบัดค้อนใส่เขาอย่างมีจริต

“เมียจ๊ะ เมียจ๋าอะไร ผมไม่เคยมีเมียอย่างคุณ” ชายหนุ่มตะคอกลั่น สองตาวาวโรจน์อย่างหงุดหงิด นี่มันอะไรกัน…

“โอ๊ะ…” มือเรียวยกขึ้นทาบเหนืออกข้างซ้าย พลางทำหน้าตกใจสุดขีด สองขาเผลอเซแซ่ดๆไปทางด้านหลังหลายก้าว แต่เขากลับมองว่าเธอเสแสร้งมากกว่าจะรู้สึกตกใจจริงๆ “นี่คุณ…นี่คุณจำเมียตัวเองไม่ได้ !”

“ผมจำไม่ได้ว่าเคยมีเมียตอนไหน จำได้แค่ว่าผมเคยมีคู่หมั้น และคู่หมั้นผมก็สวยมาก ไม่หน้าตาธรรมดาๆเหมือนคุณหรอก” ชายหนุ่มพูดโผงผาง ปลายจมูกโด่งเชิดขึ้น รู้สึกภูมิใจที่คำพูดของตนทำให้หน้าเรียวของผู้หญิงขี้ตู่เริ่มงอง้ำขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

“โอ…คำพูดจาช่างร้ายกาจ ทีตอนอยู่บนเตียงล่ะบอกว่าฉันสวยที่สุดจนยากจะหาหญิงใดมาเทียบเทียม พอได้ฉันแล้วก็มาว่าฉันขี้เหร่ แบบนี้น่ะหรือที่สุภาพบุรุษเขาทำกัน”

ชยากรกัดฟันกรอด เขามั่นใจเกือบล้านเปอร์เซ็นต์ว่าผู้หญิงคนนี้จงใจยั่วโทสะเขา เพราะถึงปากเธอจะพูดด้วยเสียงเศร้าๆ แต่ดวงตากลับแพรวพราวระยิบระยับราวกับสนุกสนานมากที่ได้ปั่นหัวเขา

“ผมไม่ได้ว่าคุณขี้เหร่ แค่บอกว่าหน้าตาธรรมดา ฟังไม่ได้ศัพท์ยังจับไปกระเดียด แล้วก็เชิญคุณออกไปจากบ้านผมได้แล้ว บ้านผมไม่ต้อนรับคนหน้าแปลกแบบคุณ”

“คุณว่าฉันหน้าแปลก….” เมธาวีมือสั่นระริก… บอกว่าเธอหน้าตาธรรมดายังพอทนได้ แต่มาว่าเธอหน้าแปลกนี่รับไม่ได้สุดๆ ส่องกระจกดูอยู่ทุกวันก็ว่าตัวเองหน้าตาน่ารักแล้วนะ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน

“อ้อ พูดผิด จะบอกว่าแปลกหน้าน่ะ” พูดพลางยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งอย่างหยันๆ และนั่นก็ทำให้หญิงสาวถึงกับฉุนกึก รีบหมุนกายไปทรุดนั่งลงที่เดิมพลางทำตาปริบๆน้ำตาเอ่อคลอเบ้าเป็นเชิงเรียกคะแนนความสงสารจากคุณวิศาล

“ดูสิคะคุณพ่อสามี…พี่ชาจำเมไม่ได้”

“ไอ้ชา ทำไมแกเลวขนาดนี้วะ มีเมียกี่คนกันล่ะ ถึงขนาดจำไม่ได้เลยเนี่ย” คุณวิศาลที่นอนดูการปะทะคารมของทั้งคู่มาพักใหญ่ได้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “ทำไมไม่เอาอย่างพ่อแกบ้าง พ่อก็ออกจะเป็นคนดี รักเดียวใจเดียว กล้าทำกล้ารับ แต่นี่มันอะไรกัน…ลูกชายกลับไปเจาะไข่แดงผู้หญิงแล้วซิ่งหนี” สายตาที่เริ่มฝ้าฟางจับจ้องไปทางบุตรชายที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงหน้าประตูด้วยความไม่พอใจ แล้วออกคำสั่ง

“ขอโทษหนูเมเขาเสียสิ” คุณวิศาลบังคับกลายๆ เล่นเอาชายหนุ่มต้องกระพริบตาถี่ๆก่อนจะปฏิเสธเสียงแข็ง

“ทำไมผมต้องขอโทษผู้หญิงคนนี้ ผมไม่เคยรู้จักคนที่ชื่อเมธาวีมาก่อน”

“ชา…พ่อบอกว่าให้แกขอโทษเมียแกเดี๋ยวนี้ไง”

“ผมไม่ขอโทษ ผมงงไปหมดแล้วนะ ผมไปมีเมียตอนไหน จำไม่ได้”

“ก็ตอนนั้นพี่ชาเมานี่คะ ปู้ยี้ปู้ยำเมยังไม่พอ ยังโยนเงินให้เมแค่ห้าร้อยบาท ดูถูกกันเกินไปแล้วนะ ตอนหวังได้ตัวเมก็บอกว่าเมสวยปานนางฟ้า น่ารักน่าใคร่น่ากอด แต่พอเสร็จสมอารมณ์หมายก็ทิ้งเงินไว้ให้แค่นั้น” ว่าพลาง หยาดน้ำตาก็หยดลงจากดวงตาคู่สวยของหญิงสาว เล่นเอาคุณวิศาลสุดแสนจะเห็นใจว่าที่ลูกสะใภ้คนงามยิ่งนัก จึงหันไปดุลูกชายอีกครั้ง

“นี่แกเลวถึงขนาดจำเมียตัวเองไม่ได้เชียวเรอะ!”

“แต่พ่อครับ…” เขาอ้าปากจะอธิบาย แต่ก็เปลี่ยนใจ… ดวงตาคู่คมตวัดฉับไปทางเมธาวีที่นั่งตีหน้าเศร้า เล่าเรื่องเท็จอยู่ข้างๆเตียง พร้อมชี้หน้าเธออย่างไม่พอใจ

“ผมมั่นใจว่าไม่เคยบอกว่าอยากกอดผู้หญิงอกไข่ดาวอย่างคุณ ถึงตอนนั้นผมจะเมา ผมก็ไม่น่าจะพูดจาในสิ่งที่มันตรงข้ามกับความจริงได้มากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะบอกว่าคุณสวยอย่างกับนางฟ้า…แค่คิดก็ขนลุกแล้วล่ะ”

หญิงสาวแทบจะร้องกรี๊ดด้วยความแสบร้อนในน้ำคำหยามหมิ่นของเขา ก้มมองหน้าอกตัวเองเล็กน้อยก่อนจะยืดอกขึ้นให้เขาเห็นชัดๆว่า…อกเธอไม่ได้เหมือนไข่ดาวสักหน่อย

“เบ่งเท่าไหร่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก ปลงๆแล้วยอมรับความจริงซะบ้าง ออกไปจากบ้านผมได้แล้ว” พูดด้วยเสียงเหนื่อยๆ พลางบัดมือพึ่บพั่บเป็นเชิงไล่กลายๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นเมื่อผู้เป็นพ่อชี้นิ้วใส่หน้าเขาอย่างโมโห

“หยุด แกเลิกไล่หนูเมได้แล้ว ยังไงพ่อก็จะให้หนูเมอยู่ที่นี่ด้วย และพอหนูเมคุ้นเคยกับที่นี่แล้ว พ่อจะจัดงานแต่งงานให้ หลานของพ่อจะได้ไม่ต้องอายคนอื่นเขา”

“ไม่ได้นะพ่อ แต่งงานอะไรกัน” เสียงทุ้มโวยวายลั่น พลางถอนหายใจเฮือกๆอย่างหงุดหงิด อยู่บริษัททำงานก็เครียดมากพอแล้ว กลับมาบ้านยังจะโดนจับแต่งงานกับผู้หญิงที่เพิ่งเจอหน้าวันนี้อีก

“เฮ้อ…” คุณวิศาลระบายลมหายใจออกทางปลายจมูกแผ่วๆ ดวงตาทั้งสองเหม่อมองไปทางเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย พลางพูดด้วยเสียงซึมๆ “บ้านเรามันหม่นหมองมานานแล้วชา นับตั้งแต่คู่หมั้นแกหายตัวไป บ้านนี้ก็เหมือนเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งการสูญเสีย แกเองก็มุมานะทำแต่งานเพื่อให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ พ่อเองก็เจ็บป่วยไม่หาย ทุกอย่างในบ้านล้วนขาดชีวิตชีวาจนผู้คนหาว่าคฤหาสน์สิงห์ดำน่ากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้กันหมดแล้ว”

“ก็ดีแล้วนี่ครับพ่อ มีแต่คนกลัวบ้านเราก็ดีแล้ว จะได้ไม่มีใครกล้ามายุ่มย่ามในชีวิตส่วนตัวของเรา สบายใจดีออก” ชายหนุ่มพูดขัด ทว่าชายชรากลับส่ายหน้าอย่างช้าๆ

“แกคงไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มได้ตายจากใบหน้าแกนานมากแล้วนะชา สีหน้าที่ไร้อารมณ์นั่นมันทำให้พ่อรู้ว่าลึกๆแล้วแกยังเสียใจเรื่องคู่หมั้นไม่หาย พ่อไม่อยากเห็นแกมีสภาพเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึก แต่เมื่อครู่นี้ที่เห็นแกเถียงกับหนูเม ทำให้พ่อรู้ว่าแกเองก็ยังมีความรู้สึกโกรธ ไม่พอใจอยู่บ้าง ไม่ใช่ความรู้สึกตายด้านอย่างที่ใครๆคิด”

“โธ่ พ่อครับ ความรู้สึกตายด้านอะไร ผมแค่ทำแต่งานมากไปหน่อย หน้าเลยเครียดๆ พ่อก็อย่าคิดมากสิครับ”

“ถ้าไม่อยากให้พ่อคิดมาก แกก็แต่งงานกับหนูเมสิ เผื่อบ้านนี้จะสดใสขึ้นบ้าง” คุณวิศาลวกกลับมาที่เรื่องเดิมอีกครั้ง เล่นเอาอารมณ์ที่เริ่มเย็นลงของบุตรชายกลับมาตึงเครียดเหมือนเก่า

“ยัยนี่เป็นสิบแปดมงกุฎ จะให้ผมแต่งด้วยได้ไง”

“พ่อชักจะทนคำพูดของแกไม่ไหวแล้วนะ หนูเมกำลังมีหลานให้พ่อ เมื่อคลอดเด็กออกมา หนูเมยินดีจะพิสูจน์ดีเอ็นเอว่าใช่ลูกของแกแน่หรือเปล่า เป็นลูกผู้ชาย ถ้ากล้าทำก็ต้องกล้ารับสิวะ แมนๆหน่อย”

“แต่ว่า…กว่ายัยนี่จะคลอดลูก ผมคงต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ไปก่อน นี่พ่อคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงได้เชื่อคนอื่นมากกว่าลูกของตัวเอง” ชายหนุ่มตัดพ้อกึ่งๆไม่พอใจ

“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยค่ะคุณชา” จิราเดินมาแตะที่แขนเขาเบาๆเพื่อให้ชายหนุ่มใจเย็นลง

“คุณจิราก็ดูพ่อผมสิครับ” เสียงห้าวๆส่อได้ชัดถึงความหงุดหงิด ก่อนที่ตาคมจะตวัดมาทางร่างระหงที่นั่งหน้าเศร้าอีกครั้ง

ผู้หญิงคนนี้…คือสิบแปดมงกุฎชัดๆ เธอต้องการอะไรจากเขากันแน่ !

หัวสมองเขาเริ่มมึนตึ้บ ความเครียดที่สะสมมาจากงานในบริษัทรวมทั้งเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ขมับทั้งสองข้างพากันเต้นตุบๆราวจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ

“ทำไมทำหน้าดุอย่างนั้นล่ะตัวเอง” เมธาวีหันมาทำตาแป๋วใส่ชายหนุ่ม และนั่นก็ทำให้ความอดทนของเขาสิ้นสุดลง เท้าใหญ่ก้าวตรงไปหาร่างบางก่อนจะกระชากข้อมือเล็กอย่างแรง

“นั่นแกจะพาหนูเมไปไหน อย่ารุนแรงนักสิ เขาท้องอยู่นะ” คุณวิศาลร้องท้วงอย่างนึกเป็นห่วงหญิงสาว ในขณะที่ชยากรหลุบเปลือกตาลงมองหน้าท้องแบนราบของเธอชั่วแว่บหนึ่งก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟันว่า

“ยัยนี่โกหก!” พูดจบ เขาก็ลากเธอออกไปจากห้องทันทีท่ามกลางสายตาที่แสดงออกได้ชัดถึงความกังวลของคุณวิศาลและแม่บ้านสาว !!



1อังกฤษ2อักษรสีทอง3รามิล4จอมขวัญ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ค. 2557, 16:08:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ค. 2557, 16:08:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1329





   พาฉันเข้าห้องนอนหน่อยสิคะคุณสามี (ที่รัก) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account