สาปเล่ห์สิเน่หา
เรื่องราวของสองธิดาชาวฮาง ที่เดิมพันหัวใจด้วยชายหนุ่มแห่งหมู่บ้านแม่นาง

ใคร...จะได้ครอบครองความรัก
ใคร...จะได้หัวใจของชายคนนั้น
แล้ว...
ใคร...จะเจ็บปวดที่สุดกับรักครั้งนี้

Tags: ความรัก ความแค้น แรงริษยา การแย่งชิง เล่ห์ มนตรา

ตอน: ตอนที่ ๐๖ รอยอดีต (๒)

ตอนที่ ๖

เช้าแล้วอากาศปลอดโปร่ง เสียงไก่บ้านขานขันรับกันเป็นทอดๆ หมอกหลงฤดูลอยอ้อยอิ่งเหนือปลายไม้ สายลมเย็นพัดเฉื่อยเชื่องช้า

แวววรรณลงจากห้องมายังห้องอาหารตามปกติ ท่าทางของเธอเหมือนไม่รู้เรื่องราวอันวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

“โอ้โฮพี่สันต์ลงมาก่อนแววอีกหรือนี่ เมื่อวานไปงานสังสรรค์ไม่ใช่หรือคะ” ทักเมื่อเห็นวสันต์นั่งอยู่ในห้องอาหารก่อน ไม่ได้สนใจว่าเขากำลังสนทนาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกับน้ากลิ่น

มันคงไม่จะต้องเป็นเช่นนั้น หากพฤติการณ์ของแวววรรณเมื่อคืนวานทำให้เขาเป็นห่วง น้องสาวลงจากห้องมาเล่นปินผาอย่างกับเชิงชำนาญ ทั้งที่ไม่แม้จะเคยเห็นหรือเล่นเป็นมาก่อน เมื่อคืนเขาแทบนอนไม่หลับ ไพล่คิดถึงความผิดปกติของแวววรรณ ในใจนึกอยากให้ถึงเช้าจะได้ถามความกับน้องสาวให้รู้เรื่อง

“เดี๋ยวคุยกันให้รู้เรื่องก่อนพี่ค่อยพัก” วสันต์บอกน้องสาว

“เรื่องเมื่อคืน” จำได้ลางๆ ว่าเมื่อคืนเธอเป็นลมจนรบกวนน้ากลิ่นมาปฐมพยาบาล

“ใช่ เรื่องเมื่อคืน ไหนเล่ามาให้พี่ฟังสิ”

“เมื่อคืน...” นิ่งคิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืน “จำไม่ได้จริงๆ ค่ะ”

“ยายแวว!” พี่ชายว่าเสียงเข้ม นึกว่าน้องสาวแกล้งดึงเรื่องให้ยืดยาว “เอาให้มันดีๆ”

“จริงๆ ค่ะ แววไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้จริงๆ ค่ะพี่สันต์ น้ากลิ่น”ภาพทั้งหมดมันเบลอเลือนรางนัก

“ท่าจะละเมอจริงๆ นะ ตาสันต์...ทำอะไรไปอย่างไม่รู้ตัว...”น้ากลิ่นเอ่ยขึ้น

“ละเมอลงมาเล่นดนตรีเป็นคุ้งเป็นแควนี่นะครับ เล่นเก่งยังกับมืออาชีพ” วสันต์ไม่อยากเชื่อทฤษฎีของน้ากลิ่นนัก

“หรือจะมีอะไรบางอย่าง” น้ากลิ่นยังตั้งข้อสงสัยต่อ

“บางอย่างหรือครับ” ชายหนุ่มว่าพลางคิดตาม “แล้วมันคืออะไรล่ะครับ”

“คนโบราณเราเชื่อว่าของบางสิ่งบางอย่างหรือหลายๆ อย่างก็แล้วแต่ต่างมีชีวิต มีความรู้สึก บางทีปินผาเครื่องนี้มันอาจจะมีบางอย่างที่ว่าแล้วดลใจยายแววก็ได้”

“แววไม่เข้าใจ” หญิงสาวว่าแล้วส่ายหน้า “น้ากลิ่นกับพี่สันต์พูดอะไร”

“ก็เรื่องเมื่อคืนนั่นแหละ”

จากนั้นวสันต์ก็เล่าภาพเหตุการณ์ที่ตนประสบพบมาเมื่อคืนให้กับน้องสาวฟังอย่างละเอียด ฝ่ายแวววรรณอ้าปากหวอมองหน้าพี่ชายสลับกับเครื่องดนตรีโบราณ

“แววดีดมันไม่เป็นค่ะ” เจ้าตัวสารภาพหลังพี่ชายเล่าจบ “เคยเห็นมันยังไม่เคยด้วยซ้ำ แล้วแววจะเล่นมันได้ยังไงกันคะ”

“นั่นสินะ พี่ถึงแปลกใจอยู่นี่ไง”

“อย่าบอกนะคะ” แวววรรณชี้หน้าพี่ชาย “พี่สันต์กำลังจะว่าแววเพี้ยน”

“เพี้ยนยังดีกว่าเป็นอย่างอื่นล่ะ”

“อะไรคะอย่างอื่นพี่สันต์”

“ผีไง...”

“พี่สันต์!” แวววรรณร้องเสียหลง ขนลุกเกรียว

“พอๆ ไม่มีใครเพี้ยนหรืออะไรทั้งนั้นแหละ วุ้ยปวดหัวขอตัวไปนอนต่อก่อนก็แล้วกัน ส่วนแกยายแววอย่าคิดไปเล่นเครื่องดนตรีนั่นอีกล่ะ เกิดมันพังขึ้นมาไอ้ดอกเตอร์วินได้เอาฉันตายแน่”

บรื๋อ...จ้างให้ก็ไม่แตะ” หญิงสาวทำท่าขนลุกขนพอง

พี่ชายเดินจากไป แวววรรณมามองน้ากลิ่น หากหญิงกลางคนกลับแค่ส่ายหน้าแล้วยิ้ม ก่อนจะขอตัวเข้าครัวไปในที่สุด ฌะอก็ได้แต่ถอนใจกลับเหตุการณ์เมื่อคืน เธอลงมาเล่นปินผา แล้วเหตุใดเธอถึงไม่รู้สึกตัว

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังวนเวียนอยู่ในมโน ภาพฝันอันนั้น ทั้งภาพและความรู้สึกที่ชัดเจนกว่าอะไรทั้งหมด อบอุ่น คุ้นเคย รวมไปถึงปวดร้าว เจ็บช้ำในคราวเดียวกัน

“เอียงยา น้องเล่นได้ม่วนขนาด”เสียงหนึ่งดังแผ่วราวกลับล่องลอยมาจากที่ไกลแสนไกล

“ซางปง...”

แพรขนตากะพริบถี่ขับไล่อาการวูบเบลอให้พ้นไป ก่อนสติสัมปชัญญะของหญิงสาวจะดับลงราวหลอดไฟถูกปิดสวิทซ์...

//////////

ดอกเตอร์ชีวิณและกลุ่มชาวคณะยังไม่ละวางซึ่งความพยายาม แม้ว่าตรงปากถ้ำจะมีกลุ่มก้อนหินน้อยใหญ่ถล่มลงมากองปิดปากทางเข้าอันเกิดจากการกัดเซาะของน้ำฝนเมื่อสองวันก่อน เขาและลูกทีมได้ช่วยกันขยับกลุ่มหินเหล่านั้นจนกระทั่งเปิดทางได้ในเวลาต่อมา

“ยังดีที่ด้านในไม่เสียหาย แค่กลุ่มหินบางส่วนถล่มลงมาปิดเส้นทางเท่านั้น” กวินบอกหัวหน้าทีมหลังเขาอาสาเข้าไปสำรวจด้านในถ้ำ “แม้กระทั่งตรงจุดที่มีภาพสลักฝาผนังก็ไม่เสียหาย”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย” นายชีวิณว่าแล้วยิ้ม แล้วหันไปสั่งให้ลูกทีมเตรียมอุปกรณ์ในการเข้าไปสำรวจ

ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็เข้ามาอยู่ภายในโถงถ้ำชั้นแรกอันมีภาพฝาผนัง ก่อนจะพบว่าตรงจุดที่เชื่อมไปยังสถานที่เก็บเครื่องดนตรีนามปินผามีแผ่นหินขยับเข้าไปปิดช่องทางเสียแล้ว

“มันน่าจะมีกลไกอื่นที่จะใช้เปิดภายในถ้ำนี้ได้อีกนะครับอาจารย์” อิทธิพลหันไปปรารภกับหัวหน้าทีม

“เอาเป็นว่าวันนี้ผมจะขอสำรวจภาพเหล่านี้ก่อน วันต่อไปค่อยเข้าไปสำรวจภายในสถานที่เก็บปินผาอีกทีหนึ่ง”

“ว่าแต่เราจะเข้าไปได้อีกหรือครับอาจารย์ เกิดมันล็อคปิดตายเสียล่ะ” หนึ่งในทีมงานเอ่ยถาม บางทีโถงถ้ำซ้อนอาจจะถูกปิดตายไปแล้วนั่นเพราะของสำคัญถูกดอกเตอร์ชีวิณนำออกมา

“ไม่รู้สิ เอาไว้ค่อยว่ากันอีกที เอาล่ะทุกคน จัดการตามหน้าที่ที่แบ่งกันได้เลย”

จากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันทำงาน บ้างสำรวจในจุดต่างๆ ของถ้ำโถงนั้น บางติดตั้งสปอตไลท์ส่องแสงให้สว่างในถ้ำ มีบางคนติดตามดอกเตอร์ชีวิณเข้าไปสำรวจภาพแกะสลักบนผนังถ้ำอย่างสนใจ

“ใช่ชาวฮางจริงๆ ด้วย” ดอกเตอร์ชีวิณอุทานอย่างดีใจราวค้นพบทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า “เครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ มีลูกปัดร้อยรัดเป็นพู่ห้อยยาว”

“การแต่งกายเหมือนพวกหนังจีนกำลังภายในเลยนะครับ” กวินซึ่งยืนสังเกตอยู่ใกล้ๆ เอ่ยตาม

“ใช่ ก็ในอดีตพวกเขาอาศัยอยู่ในจีน เป็นชนเผ่าหนึ่งของจีนที่อพยพลงมาเมื่อกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน โยกย้ายร่าถอยเพราะถูกลุกลานอย่างผู้พ่ายแพ้...

“ชาวฮางเป็นพวกรักสงบ จึงไม่ชอบการศึกสงคราม ดังนั้นจึงพยายามอพยพหลบหลีกลงมาอาศัยยังดินแดนถิ่นนี้ โดยยึดสันเขาสูงเป็นถิ่นอาศัย”

ดอกเตอร์อธิบาย หากสายตายังไม่ละจากภาพวาดตรงหน้า

“และนี่ก็คงจะเป็นจารึกของพวกเขาที่บ่งบอกถึงการมาอาศัยอยู่ รวมไปถึงขบวนประเพณี อย่างในภาพนี้” เขาชี้ให้กับกวินและคนอื่นๆ ที่ขยับเข้ามาให้ได้เห็น

เป็นภาพขบวนบางอย่าง มีคนถือช่อดอกไม้ มีคนถือเครื่องบายสีและอุปกรณ์อื่นๆ เป็นขบวนตามสตรีหนึ่งที่แต่งชุดผ้าฝ้ายปล่อยชายรุ่มร่ามมีบางอย่างห้อยเป็นพู่ระย้า บนศีรษะเกล้ามวยสูง ปล่อยชายผมลงมาน้อยๆ มีปิ่นมาศปักประดับอย่างสวยงาม

“น่าจะเป็นขบวนแห่อะไรสักอย่างนะครับ”

“ใช่... จากที่ดูลักษณะอุปกรณ์ต่างๆ มันน่าจะเป็นไปในทางงานมงคลมากกว่า อย่างพิธีต้อนรับ ขึ้นบ้านใหม่ เฉลิมฉลองหรืองานแต่งงาน”

แต่ละคนนิ่งเงียบ มองภาพตรงหน้าอย่างพิเคราะห์ ขบวนนี้เป็นพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับชาวฮางที่สื่อถึงความหมายอะไรกันแน่ เวลานั้นด้านนอกถ้ำเกิดปฏิกิริยาบางอย่าง เมฆดำเริ่มก่อทะมึนตั้งเค้ามาแต่ไกล จากนั้นสายฟ้าก็สว่างแลบแปลบปลาบอย่างน่ากลัว...ไม่นานสายฝนก็พรั่งพรูลงมาราวฟ้ารั่ว

//////////

แวววรรณยืนนิ่งมองร่างสูงที่ชี้และแนะนำกลุ่มนายทหารที่ออกมาช่วยกันเก็บกวาดหน้าค่าย ชนวีร์ยืนอยู่ตรงหน้า... หญิงสาวแก้มแดงเรื่อ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนต้องมายืนมองเขาถึงสถานที่ทำงานแบบนี้

มีบางอย่างดลใจให้เธอมา มันคืออะไรกันนะ...เสียงเรียกร้องนั่นมันดังก้องอยู่ในหัว หรือมันจะเป็นเสียงเรียกร้องของหัวใจ...

“ไม่ใช่ จะต้องไม่ใช่เด็ดขาด” เธอค้านตัวเอง

โกรธที่กล้าทำเรื่องบ้าบิ่นตะบึงรถมาจอดหน้าค่ายทหารเพื่อดูให้แน่ใจว่าเจ้าหนุ่มคู่กัดตลอดกาลของเธอจะใช่ชายหนุ่มอารมณ์ดี อ่อนหวาน ให้เกียรติฮอเมียงเอียงยาอย่างในความฝันหรือไม่ หาก...ยังมีอีกบางส่วนที่เหมือนกำลังฉุดเธอให้ออกห่างจากนี้

เกลียด...ไม่อยากเจอ...ชาติหน้าฉันท์ใดขออย่าให้ได้พบกันอีก...

เหมือนมีดกรีดกลางหัวใจ มันสั่นสะท้าน ร้าวรานสุดลึกถึงขั้ว หญิงสาวเผลอยกมือขึ้นกุมตรงหน้าอก นิ่วหน้าแล้วทรุดกายลงนั่งยังม้าหินของฝั่งตรงข้ามกับถนนหน้าค่ายทหาร ด้านหลังเป็นแม่น้ำน่านอันกว้างใหญ่ไหลผ่าน สายน้ำนคราที่ว่าแล้ง ยังไม่แล้งเท่าความรู้สึกของเธอในเวลานี้

จบสิ้นกันไปแล้ว...แม้จะฮักมากขนาดก็ตาม...

เพียงช่วงจังหวะของความรู้สึกห่วงหาชนวีร์ก็หันไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวที่สายตาอันคมกล้าจับเห็นร่างแบบบางเหนือม้าหินทรุดกายลงกองกับพื้น

“แวววรรณ!!”

ร่างสูงโปร่งในชุดเครื่องแบบทหารครึ่งท่อนกระโดดข้ามแผงรั้วกั้นถนนแล้ววิ่งข้ามตรงไปหาร่างงามของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า

“มีคนเป็นลม ช่วยด้วย ช่วยด้วย”

หลายคนถลาเข้าหาร่างงาม หากก็ช้าไปกว่าชนวีร์ที่มาถึง เจ้าหนุ่มช้อนร่างบางขึ้นอุ้ม ความห่วงหาอาลัยกอบเต็มหัวใจ วงแขนแข็งแรงโอบอุ้มร่างงามเอาไว้ไม่ให้ใครกรายใกล้

ภาพที่เห็นหลายคนต่างประทับใจ เมื่อนายทหารของประชาชนวิ่งฝ่าวงล้อมอุ้มร่างงามตรงไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ห่างจากตรงนั้นราวสามร้อยเมตร

เป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกวูบหนึ่งกระแทกหัวใจชายหนุ่มให้หวั่นไหว ภาพเหตุการณ์หญิงสาวกระจ่างชัด เสียงสาปแช่งแผ่ถึงทรวงร้าวระบมจนอดจะใจหายไม่ได้

...ชาติหน้าฉันท์ใดขออย่าได้พบกัน...

ภาพเลือนรางนั้น...ร่างงามสิ้นลมหายใจกับอก หยาดน้ำตานองหน้าเจ้าหนุ่ม เขากระชับร่างนั้นโอบกอดทวงคำตัดพ้อจากหญิงสาว

“ไม่...คุณจะต้องไม่เป็นอะไร แวววรรณ คุณจะต้องไม่เป็นอะไร”

ตลอดเส้นทางพร่ำนึกภาวนาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ อย่าให้หญิงสาวในอ้อมแขนเป็นอะไรอย่างภาพที่เห็น ขอให้เธอฟื้นตื่นขึ้นมาหาเขาอีกครั้ง ขออย่าจากกันนิรันดร์เลย...ตราบจนหญิงสาวถึงมือแพทย์ ตราบจนร่างเธอลับหายเข้าห้องฉุกเฉินไป เขาก็อดจะใจหายไม่ได้กับความรู้สึกลึกๆ ที่มันอุบัติขึ้นอย่างฉับพลัน...

ไม่ว่าจะเกิดกี่พบกี่ชาติ ก็จะขอติดตามนาง และรักนางคนเดียวตลอดไป...

ในเวลานั้น...ภายในบ้านของแวววรรรณ จุดที่ตั้งเครื่องดนตรีนามปินผา พลันเกิดแสงสว่างวาบ... บัดดล!เส้นโลหะเริ่มสั่นพลิ้ว ประหนึ่งเรียวนิ้วของใครบางคนมากรีดบรรเลง

เตรง ง ง!...

สายลมหอบใหญ่พัดโกรกเข้ามา แล้วกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ลอยโชยไปทั่วทั้งบ้านหลังนั้น น้ากลิ่นที่กำลังทำงานอยู่ในห้องครัวถึงกับขนลุกเกรียวหล่อนเหลียวมองไปรอบกายอย่างไม่ไว้วางใจกับกลิ่นและเสียงเย็นๆ นั้น

////////////

ภาพฝันปรากฏเลือนรางแล้วค่อยเด่นชัดขึ้นดั่งสิ่งตรงหน้าคือความจริง...ทั้งผ้าแพรพรรณ ทั้งเครื่องเพชรนิลจินดา ทั้งพู่ลูกปัดมีบางอย่างบอกให้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือของกำนัลหมั้นหมายที่ฮอเมืองบิดา ฮอฮองมารดาส่งมาให้เธอและซางปงร้อยรัดหัวใจสองดวงให้เกี่ยวแน่นตราบจนนิรันดร์

น้องนางเอื้องฟ้ายังส่งสร้อยแขนคู่มาให้กับเธอและซางปงคนละเส้น เสมือนให้พี่นางและว่าที่สามีผูกมั่นมัดหัวใจกันตลอดไป
ขณะที่หญิงสาวกำลังนั่งเหม่ออยู่กับความคิด เจ้าหนุ่มซางปงก็เยื่องกรายเข้ามายืนใกล้ๆ พร้อมส่งสัญญาณให้เหล่านางทาสข้าติดตามให้ออกไป

“เฮาเห็นสูอยู่กับบ้าน เลยใคร่มาชวนไปเที่ยวฟากนู้น” เสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นทำให้ฮอเมียงเอียงยาหลุดออกจากภวังค์ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ห่าง

“ไปแอ่วหรือเจ้า”

“ใช่ ไปแอ่ว” ซางปงยิ้ม “ที่ท้ายหมู่บ้านมีลำธาร เฮาคิดว่าสูน่าจะชอบ”

เจ้านางแห่งเวียงฮางพยักหน้าแล้วยิ้ม อยู่แต่บ้านไม่ได้ไปไหน ขาดอิสระไม่เหมือนคราอยู่เวียงแก้ว ที่นั่นนางจะไปไหนก็ได้ หากที่นี่ต้องขออนุญาตเพราะเกรงซึ่งจะผิดที่ผิดทาง

ทั้งสองหนุ่มสาวเดินทางมาถึงชายป่าท้ายหมู่บ้าน ชายผากว้างเป็นฉากกั้นไกลออกไป ลำธารสายหลักไหลผ่านออกมาจากหมู่บ้านแล้วไล่หายไปยังซอกหุบหินผา

กลิ่นเอื้องไพรกรุ่นกำจาย สายหมอกยามสายลอยกรุ่นอยู่บางๆ ฮอเมียงสาวหอบอุ้มปินผามาตลอดเส้นทาง เจ้าหนุ่มซางปงมองอย่างเอ็นดู

“สูเล่นให้เฮาฟังได้ก่อ เฮาใคร่เห็นแม่หญิงดีดปินผาให้ฟัง”

“เจ้า...” แม่หญิงงามยิ้มเขิน ก้มหน้ามองเครื่องดนตรีในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองประกายตาแวววาวของชายหนุ่ม

“สูชอบมันกา เฮาเห็นสูหอบมาแต่เวียง ชีวิตนี้ใคร่จักฟังจากสูสักครั้ง”

“เฮาสร้างมัน ฮักมันขนาดเจ้า” ฮอเมียงเอียงยาไล้มือลงบนปินผาอย่างแสนรัก “สูอ้ายก็คงจะรู้ว่าหมู่เฮาชาวฮางฮักสิ่งใดย่อมทำให้ได้สิ่งนั้น ปินผาตัวนี้เฮาขัดเกลากลึงกั้นมันด้วยมือ หย่องงามอันนี้เฮาขอจากกระดูกผีเจ้าย่า”

“โบราณท่านว่าปินผาจะงามแลขลังได้ คนทำจะต้องเสียสละเวลาดูแลมันอย่างดี เอาเถิดฮอเมียง สูเจ้าช่วยกรีดนิ้วขับเพลงให้เฮาฟังสักทีเทอะ”

“ได้เจ้า...”

สาวเจ้าขยับไปนั่งบนโขดหินเหนือธารน้ำใสไหลเย็น ซึ่งมีหมู่ปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายสายธารา บางตัวชะเง้อมองร่างงามยามกรีดนิ้วบรรเลงดนตรี

สายลมพัดพลิ้วผ่านเย็นสบาย หมู่ไม้ใหญ่น้อยโยกไหวตามจังหวะดนตรีสวรรค์ปานจะรื่นเริงระบำกับทำนองอันแสนหวาน
ยามกรีดนิ้ว ยามบรรเลง ดูเหมือนสาวน้อยนามเอียงยาจะมีความสุขเป็นหนักหนา กรอบหน้าสวยแดงระเรื่อ เรียวปากบางสีลิ้นจี่สุกคลี่แย้มยิ้ม ยามสายลมพัดผ่านผิวกายสาวพู่ลูกปัดตามชายเครื่องทรงไหวระริกงดงาม แสงแดดอ่อนๆ สะท้อนรัตนมณีบนปิ่นมาศเหนือเศียรนาง

ซางปงยืนบนโขดหินไม่ห่างกันนัก เจ้าหนุ่มคลี่แย้มยิ้มซึมซับกับความหอมหวานและอ่อนช้อยของปินผา นางผู้งามพร้อมแลธรรมชาติอันสดใส ดูเหมือนทุกอย่างที่ประกอบจะลงตัวราวสวรรค์สรรเสกสร้าง

นกน้อยต่างถลาบินมาเกาะกิ่งพะยอม บางตัวเงี่ยหูสดับฟังเสียงสวรรค์ ใต้ธารน้ำปลาตัวเล็กฝูงหนึ่งว่ายเวียนวนใต้โขดหินที่นางนั่ง มันคงจะสำเริงกับความอ่อนหวานยามนางกรีดกราย

โอ...อะไรมันช่างงดงามปานนี้ งามหนอ งามราวเทพธิดาแห่งสวรรค์

เจ้าหนุ่มนามซางปง ผู้มีมัดกล้ามแน่นหนั่น ผิวกายที่โผล่ออกมาเหนือเครื่องนุ่งขาวละเอียดลออ ผ้าเตี่ยวสีกรักผูกมัดรั้งปล่อยชายห้อยลูกปัดหลากสี ตรงบั้นเอวพกมีดสั้นประจำกาย มีเครื่องรางตามความเชื่อมัดต่อจนรอบเอว ขาอันแข็งแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่หยัดยืนขยับกระโดดไปอีกฝั่งของสายธาร เอื้อมมือคว้าใบไผ่มาจ่อปากแล้วเป่าผิวเป็นเสียงเพลง

สองเสียงที่ขับขานเข้ากันราวมิได้นัดหมาย เป็นสรรพสำเนียงดนตรีแว่วหวานไพเราะเพราะพริ้ง เจ้าหนุ่มหลุบเปลือกตาลงหลับซาบซึ้งตรึงความรู้สึกอ่อนไหว อ่อนโยน

ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก นกยูงคู่ผัวเมียถลาร่อนลงลานข่วง ก่อนตัวผู้จะสยายปีกแผ่หางรำแพนเกี้ยวพาเมียสาวตามจังหวะเสียงเพลงอย่างงดงาม...

สองเสียงหัวเราะประสาน ยามเห็นหมู่นกยูงอีกหลายตัวถลาร่อนลงมารำแพนหางปีกอย่างงดงาม ฮอเมียงเอียงยายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นครั้งแรกที่เธอได้ใกล้ชิดกับความงามของสัตว์ป่ามากมายขนาดนี้

“ที่เวียงฮางบ่มีเลย มีแต่นกน้อยตัวกระจิดเท่านั้น” หญิงสาวบอก พร้อมมองไล่เรื่อยไปยังสมันน้อยอีกสองตัวที่กระโดดโลดเต้นอยู่ในแนวไพร ไกลออกไปเป็นกวางหนุ่มงามมีเขาแตกกิ่งกว้างเป็นเมตร

“เหมือนว่านกน้อยพวกนั้นก็ชอบเสียงเพลงของสูนะ เอียงยา” ซางปงชี้ไปยังกิ่งพะยอมและกิ่งสนที่ตั้งสูงตระหง่านเป็นทิวแถว มีนกน้อยหลายตัวส่งเสียงจิ๊บๆ ประหนึ่งจะสนทนากันถึงเรื่องมนตร์เพลงสวรรค์ที่สองหนุ่มสาวเพิ่งหยุดบรรเลงไป

“เฮาเล่นได้บ่ม่วนเท่าสูผิวใบไผ่ดอก” เธอว่าแล้วยิ้มเอียงอาย ปินผาตัวงามวางข้างกายมีผีเสื้อตัวหนึ่งเคลื่อนบินเข้ามาจับ

“สูต่างหากที่เล่นได้ม่วนกว่า เฮาไม่เคยได้ยินใครเล่นปินผาได้ม่วนงันเท่า”

“สูอ้ายก็ว่าไป” สองแก้มเริ่มร้อนผ่าว ไรเลือดสูบปลั่งระเรื่อ “เฮาเล่นได้บ่ม่วนดอก”

“คนเฒ่าคนแก่ท่านว่า คนใดที่เล่นปินผาได้ม่วนงัน ฟังแล้วดั่งเพลงสวรรค์ ท่านว่าคนนั้นเข้าถึงปินผาด้วยหัวใจ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมัน ดูท่าสูเจ้าจะเป็นเช่นนั้นนะฮอเมียงเอียงยา”

“เรียกเอียงยาเฉยๆ เทอะเจ้า ฮอเมียงเป็นแค่ตำแหน่ง มาอยู่ที่นี่บ่มีฮอเมียงบ่มีฮอวาดอกเจ้า”

“แต่ถ้าเฮามีลูก คงจะมีฮอเมียงอีกเนอะ”

“สูอ้าย...”

“เฮาพูดความจริง เพราะสวรรค์ใช่ไหมหนอท่านจึงส่งสูน้องมาให้กับเฮา” ร่างสูงขยับมาใกล้ สัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่กระจาย
โอบล้อมรอบกาย...ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา...

“สูอ้ายคงมีแม่หญิงนัก ปากหวานอย่างนี้นางพวกนั้นคงชอบขนาด” เธอเงยหน้าขึ้นมองประกายตามุ่งมั่นอย่างเอียงอาย

“อ้ายใคร่บอกว่าบ่มีเลย อ้ายบ่เคยมองแม่หญิงคนไหนเท่ากับน้องนาง”

ซางปงทอดกายลงนั่งตรงหินผาข้างๆ กับร่างงาม ก่อนจะเอนหลังลงนอนราบกับแผ่นหิน มือทั้งสองประสานหนุนศีรษะแทนหมอน หลุบเปลือกตาลง แอบสูดกลิ่นหอมที่ลอยโชยมาจากกายนาง

“ท่านพ่อบอกกับอ้ายอย่าเร่งหาเมียเพราะอ้ายมีหน้าที่จะต้องหมั้นหมายจากแม่หญิงของเวียงฮาง”

“ถ้าฮอวาไม่ถอนตัว เฮาสองคนคงบ่ได้ปะกัน”

เธอว่าแล้วถอนใจ ก่อนจะทอดสายตามองตามสายน้ำที่ไหลผ่านไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กระไอเย็นแผ่ซ่านจากฟองฝอยที่กระซานเซ็นมาต้องผิวกาย

“เพราะสวรรค์ เพราะฟ้าดินท่านใคร่ให้เฮาได้ปะกันจึงเปลี่ยนใจน้องนางของสูเจ้า” ซางปงว่าแล้วลุกขึ้นนั่งมองจอมนางแห่งเวียงฮางด้วยประกายตาลึกซึ้ง

“ทุกอย่างจะต้องมีเหตุให้เฮาสองปะกัน แล้วจึ่งทำให้อ้ายได้ฮักน้องนาง เอียงยา...น้องจงไว้ใจเทอะ อ้ายสัญญาว่าจะดูแลน้องอย่างดี ให้เป็นแม่ศรีแห่งบ้านแม่นาง”

“สาธุสาอ้ายเจ้าซางปง บุญน้องมีมาแล้วเจ้า”

สองกรน้อยยกพนมไหว้เจ้าหนุ่มอย่างขอบคุณ ซางปงคว้าข้อมือบางมากุมแล้วแนบระหว่างอก

“ขอมือนี้จงอยู่ข้างกายอ้ายตลอดไป”

////โปรดติดตามตอนต่อไป//////



ไวกูณฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ค. 2557, 20:36:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ค. 2557, 20:39:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 818





<< ตอนที่ ๐๕ รอยอดีต   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account