พระพรหมดลรัก
คอนิยาย : พระพรหมดลรัก มีอะไรชวนให้น่าติดตามบ้าง

หนึ่งจันทร์ : ไม่มี

คอนิยาย : อ้าว! ตอบแบบนี้แล้วใครจะมาอ่านนิยายคุณ

หนึ่งจันทร์ : ก็มันไม่มีจริงๆ นี่นา กุ๊กกิ๊กก็บางเบา หวานก็เล็กน้อย ดร่าม่าก็ไม่มี บู๊สนั่นหั่นแหลกก็ไม่มี โรมานซ์ก็หาไม่เจอ อภินิหารย์ก็ไม่โผล่ คอมเมดี้ก็ไม่เห็น ปรัชญาก็เขียนไม่เป็น

คอนิยาย : เวรกรรม แล้วนิยายคุณมีอะไรบ้างเนี่ย (คอนิยายเริ่มมีน้ำโห)

หนึ่งจันทร์ : มีความสุขมอบให้แบบไม่มีอะไรเลย 5555

ปล. อย่างที่กล่าวในข้างต้น ใครที่อยากรู้ว่านิยายที่ไม่มีอะไรเลย เป็นอย่างไรก็ต้องทดลองเข้าไปอ่านนะคะ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่ามันไร้แก่นสารในชีวิตมาก ก็ขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ด้วย ^^ ส่วนใครก็ตามที่คิดว่าไหนๆ ก็หลงเข้ามาอ่านแล้วก็ต้องตามอ่านให้จบ ท่านอาจจะค้นพบอะไรมากมายในความที่ไม่มีอะไรเลยก็ได้ (หรือเปล่าหว่า...555)

Tags: หาดใหญ่

ตอน: บทที่ 3

บทที่ 3

เป็นไปตามคาด นักท่องเที่ยวหดหายไปจนเกือบจะเรียกว่าไม่มีเหลือเลย วันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเรื่อง ในตัวเมืองแทบจะเรียกว่า เมืองร้าง ไม่ต้องพูดถึงนักท่องเที่ยว แม้แต่คนในพื้นที่เองยังไม่กล้าออกจากบ้าน เมืองที่เคยคึกครื้นกลับเงียบเหงาลงฉับพลัน ไม่รู้จะต้องใช้เวลาในการเยียวยารักษาอีกนานแค่ไหนกว่าจะกลับมาเหมือนเดิม ครั้งนี้คงจะกู้สถานการณ์ได้ยากกว่าครั้งก่อนอย่างแน่นอน

ไกด์สาวพักผ่อนอยู่บ้านเป็นเวลาเกือบสามอาทิตย์แล้ว ทวิภาคก็ส่งข่าวที่บริษัทให้ทราบเรื่อยๆ เพื่อนร่วมงานหลายคน ตัดสินใจไปเผชิญโชคที่อื่น เพราะต่างคนต่างมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ นับว่าเป็นโชคดีของเธอที่ไม่มีหนี้สินอะไรกับใคร ไม่เช่นนั้นก็คงลำบากเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีงานทำก็อยู่ไม่ได้อีกเหมือนกัน หรือถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนงานแล้ว เฮ้อ!

“เป็นอะไรหรือเปล่ากุ้งนาง ถึงได้ถอนใจแรงขนาดนั้น” พวงเพชรถาม

“อ้าว! ไปไหนกันมาล่ะ” สุพิชญาหันหลังไปมองต้นเสียงก็เห็นเพื่อนรักอยู่กันครบทีม นี่เธอใจลอยขนาดไม่รับรู้การมาของเพื่อนเลยหรือนี่

“ก็ตั้งใจมาหาเธอนั่นแหละ ว่าจะพาไปเลี้ยงฉลองที่แขนของเธอหายดีแล้วสักหน่อย” ซารีนาบอกกับเพื่อนยิ้มๆ รู้ดีว่าเพื่อนกำลังหนักใจเรื่องงาน ไม่ใช่เฉพาะสุพิชญาเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ร้านอาหารของเธอก็โดนเช่นเดียวกัน โชคดีที่ยังสามารถให้บริการคนในพื้นที่ได้ แม้รายได้จะลดน้อยลง แต่ก็ไม่ถึงกับต้องปิดตัวลง คงเป็นเพราะป๊ะกับมะของเธอ เป็นคนอดออมและไม่เคยใช้เงินเกินตัว ทำให้ไม่ลำบากมากนัก

“ไประลึกความหลังกันหน่อยนะกุ้งนาง” กมลทิพย์เอ่ยปากชวนบ้าง ซึ่งสุพิชญาก็เข้าใจทันทีว่าเพื่อนๆ ชวนเธอไปไหน

“ต้องแต่งชุดนักศึกษาด้วยหรือเปล่าจ๊ะทิพย์” มัคคุเทศก์สาวหัวเราะน้อยๆ เมื่อนึกถึงครั้งที่ยังอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้น กระดุมเหล็กตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย กระโปรงทรงเอยาวเสมอเข่า คาดเข็มขัดที่มีตราประจำมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกัน บ่อยครั้งที่ไม่มีชั่วโมงเรียน สี่สาวในชุดนักศึกษาเรียบร้อย มักจะไปปรากฏตัวอยู่ที่ร้านอาหารริมทะเลเจ้าประจำ

“เป็นความคิดที่ดีนะ แต่ไม่ดีกว่า ฉันไม่อยากถูกมองว่า ป่านนี้แล้วป้ายังเรียนไม่จบอีกเหรอ” จบคำพูดของลูกสาวร้านทอง เสียงหัวเราะก็ดังขึ้น

“ต๊าย! เธอยอมรับว่าแก่แล้วไปคนเดียวนะทิพย์ ส่วนฉันน่ะหน้ายังละอ่อนใส่ชุดนักศึกษาได้สบายๆ” ซารีนาจีบปากจีบคอพูด เสียงหัวเราะจึงดังขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นท่าทางนั้น

“ไปกันดีกว่า จะได้มีเวลาไปนั่งรับลมทะเลนานๆ หน่อย” พวงเพชรบอกกับเพื่อนๆ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากทุกคนเป็นอย่างดี ทั้งหมดเข้าไปลาบิดามารดาของเพื่อน พร้อมกับขออนุญาตพาสุพิชญาไปเที่ยวทะเลด้วยกัน


‘ทะเลนี้มีรัก’ ร้านอาหารทะเลที่คุ้นเคยมานาน เธอรู้จักร้านอาหารแห่งนี้ตั้งแต่เป็นนักศึกษา กลุ่มของเธอมักจะมาฝากท้องที่นี่ทุกครั้งที่มาเที่ยวทะเล ซึ่งมีลุงวิสุทธิ์กับป้าพัชนีเป็นเจ้าของร้าน และพวกเธอก็สนิทสนมกับท่าน เพราะเป็นลูกค้าประจำ มาทานกันจนกลายเป็นลูกเป็นหลานท่านไปแล้ว และนี่ก็เป็นอีกครั้งในรอบหลายปีที่เธอมาใช้บริการ ครั้งแรกที่เราทั้งสี่คนมาที่นี่ ไม่ใช่เพราะรู้ว่าอาหารอร่อย แต่เป็นเพราะชื่นชอบชื่อร้านเป็นพิเศษ และเมื่อเดินเข้ามาไม่เพียงแค่ชื่อร้านเท่านั้นที่สร้างความประทับใจให้กับพวกเธอ เพราะอาหารของที่นี่ก็อร่อยไม่แพ้ร้านดังๆ ของจังหวัดสงขลาเลย

“สวัสดีค่ะลุงสุน ป้าพัช” เสียงสี่สาวที่ดังขึ้นหน้าเคาน์เตอร์ ทำให้ผู้สูงวัยสองคนยิ้มกว้าง

“สวัสดีหนูกุ้งนาง หนูนา หนูเพชร หนูทิพย์” เจ้าของร้านทักทายลูกค้าประจำอย่างเป็นกันเอง

“ขายดีไหมคะ” สุพิชญาถามอย่างเป็นกันเอง

“ก็ซบเซาลงหน่อย แล้วกุ้งนางล่ะลูก ตั้งแต่เกิดเรื่องมีงานหรือเปล่า” วิสุทธิ์ถามหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง ขนาดร้านอาหารอย่างเขายังได้รับผลกระทบ แล้วคนที่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวโดยตรงอย่างสุพิชญามีหรือจะรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ในครั้งนี้

“ก็พักยาวเลยค่ะ ไม่ใช่แค่นั้นนะคะลุงสุน ยายนี่ไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วย แขนเพิ่งจะหาย” ซารีนาถือโอกาสรายงานให้ผู้ใหญ่ทราบแทนเพื่อนที่ส่งยิ้มอ่อนอย่างไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี

“แล้วหนูเป็นอะไรหรือเปล่าลูก” ป้าพัชนีร้องขึ้นอย่างตกใจ ก่อนจะออกจากเคาน์เตอร์มาสำรวจร่างกายของหญิงสาวที่ตนรักเหมือนลูกเหมือนหลาน เมื่อไม่เห็นความผิดปกติก็ค่อยเบาใจ

“กระดูกตรงข้อศอกเคลื่อนค่ะ ตอนนี้หายเป็นปกติแล้ว สามสาวเขาก็เลยเอามาเป็นข้ออ้างมาทานของอร่อยที่นี่เป็นการฉลองที่กุ้งนางเจ็บตัวค่ะป้าพัช” สุพิชญาจึงถือโอกาสอ้อนพัชรีด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด

“ถ้างั้นวันนี้ลุงกับป้าเลี้ยงปลอบขวัญหนูก็แล้วกันนะลูก” วิสุทธิ์ยื่นข้อเสนอ

“อย่าเลยค่ะ วันนี้พวกเราตั้งใจมาอุดหนุน ไม่ใช่จะมาทานของฟรี” สุพิชญาเลือกที่จะปฏิเสธ เพราะเธอรู้ดีว่ารายได้ของร้านก็หดหายไปเยอะ เธอไม่อยากเอาเปรียบผู้ใหญ่ที่เธอนับถือเสมือนญาติ การเอาใจเขามาใส่ใจเราจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

“ไม่เป็นไร นานๆ ที แล้วอย่าลืมสิ หนูก็หาลูกค้ามาให้ลุงกับป้าไม่ใช่น้อย ไม่ต้องเกรงใจ” วิสุทธิ์ไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจของตัวเอง เขาจึงรีบเรียกเด็กในร้าน ก่อนที่สุพิชญาจะปฏิเสธอีกครั้ง

“ทิวๆ หาโต๊ะให้พี่ๆ เขาหน่อย” เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกก็ปฏิบัติตามทันที เพราะจำลูกค้ากลุ่มนี้ได้ จึงเลือกโต๊ะที่อยู่ด้านในสุดของร้าน ซึ่งจะอยู่ใกล้กับทะเลมากที่สุดด้วย

“ขอบคุณค่ะ” ทั้งสี่สาวรู้ดีว่างานนี้ปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว จึงยกมือพนมขึ้นพร้อมกับกล่าวคำว่า ขอบคุณ อย่างพร้อมเพรียง

ซารีนากับกมลทิพย์เลือกนั่งหันหน้าไปทางท้องทะเล ทำให้สองสาวที่เหลือจำต้องนั่งหันหน้าไปทางหน้าร้านแทน เมื่อนั่งประจำที่แล้ว ต่างก็เริ่มสั่งอาหารทะเลที่ตนชื่นชอบสามสี่อย่างจากเมนูที่อยู่ในมือ รวมถึงเครื่องดื่มด้วย ระหว่างรออาหารสี่สาวก็พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ราวกับไม่ได้เจอกันมานาน ทั้งๆ ที่ก็พบปะสังสรรค์กันเป็นประจำ และจังหวะหนึ่งที่สุพิชญาละสายตาไปจากซารีนาและกมลทิพย์ มองไปยังหน้าร้าน ราวกับถูกมนต์สะกด เพราะเธอไม่สามารถเคลื่อนสายตาไปจากโฟกัสที่เธอจับได้เลย และมันก็คงนานกว่าเสี้ยววินาทีอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเพื่อนๆ คงไม่รู้หรอกว่าเธอหลุดออกจากวงสนทนามาแล้ว

“มองอะไรนะกุ้งนาง” พวงเพชรจับอาการชะงักงันของเพื่อนได้ก่อนใคร เพราะพูดคุยกันอยู่ดีๆ สุพิชญาก็เงียบไป เมื่อหันมองก็พบว่าเพื่อนกำลังจ้องไปทางหน้าร้านตาเขม็ง คำถามของพวงเพชรก็ทำให้เพื่อนที่หันหลังให้กับหน้าร้านหันกลับไปมองเป็นตาเดียวด้วยความสงสัยใคร่รู้

“ว้าว! ยายกุ้งนางมองคนหล่อนี่เอง หล่อระดับน้องๆ พี่มอสเลยนะเนี่ย คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ปากบางเฉียบ แถมผิวก็ไม่ดำเหมือนพวกไอ้ป๊อด” กมลทิพย์แสดงอาการกระดี๊กระด๊าออกหน้าออกตา ส่วนพวกไอ้ป๊อดก็คือ กลุ่มเพื่อนสมัยเรียนที่เป็นลูกคนใต้โดยแท้ ผิวดำคล้ำก็จริง แต่แต่ละคนก็หน้าตาคมคายตามสไตล์คนใต้

“มากไปหรือเปล่ายายทิพย์ ห่างขนาดนี้แถมเขาหันข้างให้อีก เธอยังดูออกอีกเหรอว่าเขาเหมือนพี่มอส” พวงเพชรอดแขวะเพื่อนไม่ได้

“แหม! คนหล่อต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนจะหันข้างหรือหันหลังก็ยังฉายความหล่อให้เห็นอยู่นั่นแหละ” กมลทิพย์ค้อนเพื่อนที่บังอาจมาขัดจังหวะความสุขของตน

“รู้จักเหรอกุ้งนาง” ซารีนาถามสุพิชญา เพราะไม่เชื่อว่าเพื่อนจะตะลึงในความหล่อเหลาของผู้ชายคนนั้นอย่างคนที่นั่งข้างๆ เธอแน่

“ก็คนที่ช่วยฉันไว้ไง”

“ว้าว! บุพเพอาระวาดซะแล้วมั้งเพื่อนฉัน” เป็นกมลทิพย์อีกที่ยังตื่นเต้นไม่เลิก

“น้อยๆ หน่อยทิพย์ เธอเห็นหรือเปล่าว่าเขามากับใคร” ซารีนาดักคอเพื่อน เมื่อเห็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงเข้าไปควงแขนชายหนุ่มคนนั้น

“อาจจะเป็นเพื่อนก็ได้ ว่าไงกุ้งนางสนใจพี่มอสสองของฉันหรือเปล่า” ลูกสาวร้านทองยังไม่ละความพยายาม

“เต็มปากเต็มคำเลยนะยายทิพย์ พี่มอสสองของฉัน เขาเป็นของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กันจ๊ะ แล้วระดับนี้คงไม่หลุดมาถึงเธอหรอกย่ะ ฝันสลายไปตามระเบียบนะเพื่อนรัก” พวงเพชรซึ่งปกติเป็นคนที่พูดน้อยก็ยังอดกระเซ้าเพื่อนรักเล่นไม่ได้ เพราะรู้ดีว่ากมลทิพย์ทำเป็นตื่นเต้นไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้หลงคนหล่ออย่างกิริยาท่าทางที่แสดงออกหรอก

“สู้ไหมจ๊ะแม่ไกด์สาวคนสวย” กมลทิพย์หันไปถามเพื่อนอีกครั้ง สุพิชญาส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน เธอไม่ชอบไปแย่งของใคร ต่อให้คนคนนี้หล่อลากดินหรือแสนดียังไง การแย่งของคนอื่นก็ไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอ อีกทั้งคนที่กำลังถูกเธอมองนั้นก็ยังเปรียบเสมือนคนแปลกหน้า ไม่ได้รู้จักมักจี่กันจนคิดอะไรเลยเถิดไปได้ขนาดนั้น แต่ถ้าถามว่าประทับใจในตัวชายหนุ่มหรือเปล่า อันนี้ยอมรับว่าใช่ ก็เขาเป็นคนช่วยให้เธอรอดพ้นจากอันตรายนี่นา

“ไม่คิดว่าที่หลบระเบิดมาด้วยกันเป็นบุพเพสันนิวาสเหมือนโกโบริกับอังสุมาลินหรือจ๊ะแม่ไกด์สาวคนสวย” พวงเพชรที่ก่อนหน้านี้ไม่เห็นด้วยกับความคิดของกมลทิพย์ กลับลำเป็นกองหนุนให้ลูกสาวร้านทองเสียอย่างนั้น ไม่น่าเชื่อว่าคุณครูอนุบาลที่แสนใจดีของเด็กๆ จะเป็นไปกับเขาด้วย

“คิดไปได้นะพวกเธอ ฉันไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย แค่ตกใจ ไม่คิดว่าจะมาเจอเขาที่นี่ก็เท่านั้น” สุพิชญาส่ายหน้าให้กับความเพ้อเจ้อของเพื่อนๆ

“แต่ถ้าฉันเป็นเธอ แล้วเขายังโสด ขอบอกไม่ปล่อยให้หลุดมือ” กมลทิพย์ยังสนุกสนานกับการยุด้วยเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพื่อความสำราญทางอารมณ์ของตัวเอง

“ว่าแต่เขาเป็นอะไรกับลุงสุนกับป้าพัชล่ะ” ซารีนาเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เพราะสองหนุ่มสาวที่เป็นเป้าสายตาของพวกเธอ พูดคุยกับเจ้าของร้านอย่างสนิทสนม

“ไม่ยากหรอก ฉันจัดการให้ได้” พูดจบกมลทิพย์ก็หันไปขวักมือเรียกพนักงานหญิงคนหนึ่งของร้านที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“ผู้ชายคนที่คุยกับลุงสุนใครกันหรือแวว” เมื่อเด็กสาวเดินเข้ามาหา กมลทิพย์ก็ยิงคำถามทันที

“อ้อ! พี่คิวท์ค่ะ เป็นลูกชายของลุงกับป้า” เด็กสาวประจำร้านมองไปยังเคาน์เตอร์ก่อนจะตอบคำถามลูกค้าประจำอย่างไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไร

“จุดไต้ตำตอจริงๆ เลยยายกุ้งนาง แบบนี้จะไม่ให้ฉันคิดว่าเป็น...” แล้วดูเหมือนกมลทิพย์จะระลึกได้ว่าแวว เด็กในร้านยังยืนอยู่ตรงนี้ด้วย จึงหยุดคำว่าบุพเพสันนิวาสเอาไว้ได้ทัน

“ทำไมพวกพี่ไม่เคยเห็นลูกชายลุงกับป้าเลยล่ะ” พวงเพชรถามแววบ้าง

“พี่คิวท์ เพิ่งกลับมาอยู่ที่นี่ค่ะ” แววก็ตอบภาษาซื่อ และคิดว่าสาวๆ กลุ่มนี้ก็คงสะดุดตาในความหล่อเหลาของลูกเจ้าของร้านเช่นเดียวกับสาวๆ หลายคนที่วนเวียนมาใช้บริการ

“ไม่มีอะไรแล้วจ้ะ แววไปทำงานต่อเถอะ เร่งอาหารให้พี่หน่อยก็ดีนะ เริ่มหิวแล้ว” สุพิชญาตัดบทสนทนาของเพื่อนๆกับแววไปโดยปริยาย ขืนให้คุยต่อเรื่องราวทั้งหมดของลูกชายลุงสุนกับป้าพัชคงกลายเป็นหัวข้อสนทนาระหว่างมื้ออาหารอย่างแน่นอน

“ค่ะ” แววรับคำแล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อเร่งอาหารให้กับลูกค้าคนสำคัญ

“อะไรกันยายกุ้งนาง ฉันได้ข้อมูลของพี่มอสสองยังไม่ครบเลย” กมลทิพย์โวยวายใส่เพื่อนเล็กน้อย

“เขาชื่อคิวท์จ้ะยายทิพย์ ไม่ใช่พี่มอสสอง” ซารีนาอดแย้งเพื่อนไม่ได้ แล้วเธอก็ต้องหัวเราะออกมา เมื่อกมลทิพย์ส่งค้อนน้อยๆ มาให้

“ย่ะ ฉันจำได้ ไม่ได้เป็นโรคสมองเสื่อม ว่าแต่เธอเถอะกุ้งนางไม่คิดจะไปทักทายเขาหน่อยเหรอ ก่อนหน้านี้เธอก็บ่นเสียดายที่ไม่ได้ถามไถ่ชื่อแซ่เขา นี่ก็เขาก็มาปรากฏตัวให้เธอถามแล้ว”

“ไม่ดีกว่า ฉันกลัวหน้าแตกน่ะ เกิดเขาจำฉันไม่ได้ขึ้นมา ฉันทำหน้าไม่ถูก” เป็นอีกครั้งที่สุพิชญาปฏิเสธ

“ก็จริงนะ เอาเป็นว่าถ้าเขาจำได้ เขาก็คงมาทักยายกุ้งนางเองแหละ” พวงเพชรเห็นด้วยกับเพื่อนรัก และเมื่อเป้าหมายเดินหายเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ โดยมีหญิงสาวอีกคนเดินเข้าไปนั่งหลังเคาน์เตอร์ ทั้งสี่สาวก็หมดความสนใจในเรื่องนี้ทันที


ปวเรศ โตณณาการ อาจารย์พิเศษประจำภาควิชาบริหารธุรกิจ พนมมือขึ้นทำความเคารพบิดามารดาของตน ยังไม่ทันได้สนทนาพาที ก็มีหญิงสาวนางหนึ่งเดินเข้ามายืนเคียงข้างและทักทายบุพการีของเขาเช่นเดียวกัน พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ วางเอกสารที่ถือมาลงบนนั้น ก่อนจะจัดการถอดเนคไทออก ตามด้วยปลดกระดุมที่แขนเสื้อแล้วจัดการพับทบขึ้นไปอย่างลวกๆ

“คิวท์ เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ” มัลลิกาเดินตามเข้ามาหลังเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะม่าน เพียงแต่ม่านไม่ยอมรับการตัดสินใจของผมเท่านั้นเอง” ปวเรศบอกกับแฟนสาวอย่างใจเย็น

“เจ้าคิวท์ทำอะไรขัดใจหนูหรือ” วิสุทธิ์ถามแฟนสาวของลูกชาย เมื่อเห็นความคุกรุ่นของทั้งสองฝ่าย

“คือม่านจะไปเรียนต่อโทที่ออสเตรเลียค่ะคุณลุง”

“ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี แล้วมันมีปัญหาอะไรล่ะ” วิสุทธิ์ถามอย่างไม่เข้าใจ

“ม่านอยากให้คิวท์ไปด้วย ยังไงที่โน่นก็มีโอกาสที่ดีกว่าที่นี่แน่นอน แต่คิวท์ไม่เข้าใจความหวังดีของม่านเลย” มัลลิกาตัดพ้อแฟนหนุ่มให้บิดาของเขารับรู้

“ก็ผมไม่อยากไป อยู่ที่นี่ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร มีงานทำ มีข้าวกิน มันก็เพียงพอแล้ว อีกอย่างพ่อกับแม่ท่านก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ คุณจะให้ผมทิ้งท่านไปอย่างนั้นหรือ” ปวเรศเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง

“คิวท์ เพื่ออนาคตของลูก ไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่หรอก พ่อกับแม่ยังแข็งแรงดี ยังอยู่ดูความสำเร็จของลูกไปได้อีกนาน” คุณวิสุทธิ์ไม่อยากให้ตนกับภรรยากลายเป็นคนตัดอนาคตที่ดีของลูก

“คุณลุงคุณป้าก็ไปพร้อมกันเลยสิคะ ไปเปิดร้านอาหารไทยที่โน่นก็ได้ ส่วนร้านนี้ก็เซ้งให้คนอื่นมาทำต่อ” มัลลิกาเสนอทางออกให้กับทุกคน

“ม่าน” ปวเรศเรียกชื่อแฟนสาวเสียงเข้ม ส่วนคนเป็นพ่อก็ได้แต่อึ้ง เพราะไม่เคยคิดจะขายหรือเซ้งร้านนี้ให้กับใคร ร้านนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความรักของเขากับภรรยา เราทั้งคู่พบรักกันที่ริมทะเลแห่งนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ตั้งชื่อร้านว่า ‘ทะเลนี้มีรัก’

“ลุงกับป้าไม่ไปหรอกหนู ที่นี่เป็นบ้านเกิด ลุงก็อยากให้มันเป็นเรือนตายด้วย ส่วนคิวท์อนาคตเป็นของลูกต้องเลือกเอง เพราะพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่กับลูกไปตลอดชีวิต” วิสุทธิ์ปฏิเสธข้อเสนอของมัลลิกาอย่างนุ่มนวล

“ผมก็ไม่ไปครับ ผมรักที่นี่ รักร้านของเรา อนาคตของผมก็คือที่นี่” ปวเรศบอกกับบิดาเสียงหนักแน่น

“คิวท์” มัลลิกาเรียกชื่อแฟนหนุ่มเสียงดังขึ้นและกระชากตามแรงอารมณ์

“คุณไปเรียนแค่สามปีเองนะ มันไม่นานหรอก ผมจะรอคุณอยู่ที่นี่” ปวเรศหันไปตะล่อมแฟนสาวอีกครั้ง

“ถ้าคุณไม่ไป เราเลิกกัน” มัลลิกายื่นคำขาด พร้อมกับหันหลังเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากร้านไป

“คิดให้ดีนะคิวท์ พ่อเชื่อว่าหนูม่านหวังดีกับลูก และทำเพื่ออนาคตของทั้งสองคน” วิสุทธิ์ตบบ่าลูกชายเป็นการให้กำลังใจ

“ผมไม่เปลี่ยนใจครับพ่อ ถ้าเธอจะเลิกกับผมด้วยสาเหตุนี้ ก็แสดงว่าเธอไม่ได้รักผม และไม่ได้รู้จักตัวตนของผมเลย” ปูทะเลผัดพริกไทยดำ ถูกนำมาวางไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์ เพื่อรอให้เด็กในร้านนำไปเสิร์ฟให้ลูกค้าต่อไป

“ของโต๊ะไหนครับน้าบ่าว” ปวเรศถามผู้ช่วยแม่ครัวประจำร้าน

“โต๊ะสองริมเลครับ” น้าบ่าวตอบมาเป็นสำเนียงคนใต้

“เดี๋ยวผมเสิร์ฟเองครับ ไม่ต้องเรียกทิวหรอก” ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นเด็กในร้านกำลังให้บริการลูกค้า

“ครับ” น้าบ่าวรับคำแล้วเดินกลับเข้าไปหลังร้าน เพื่อไปเตรียมอาหารจานต่อไป

“ยังไงพ่อก็ยังอยากให้คิวท์ตรองให้ดี เหตุการณ์เกิดขึ้นติดต่อกันแบบนี้ จะหวังให้บ้านเรากลับมาคึกครื้นอย่างแต่ก่อนก็ต้องอาศัยเวลา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน” วิสุทธิ์ย้ำถึงความจริงที่ลูกชายทราบอยู่แล้วอีกครั้ง

“แต่ถ้าเรารู้จักคำว่าพอเพียงและเพียงพอ ผมว่าเราก็คงอยู่ได้ไม่ลำบากหรอกครับพ่อ แล้วใช่ว่าผมจะไม่มีงานทำเสียหน่อย เงินเดือนอาจารย์อาจจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ผมก็คิดว่า ผมเลี้ยงดูพ่อกับแม่ได้นะครับ” ปวเรศบอกกับผู้เป็นพ่อเพียงแค่นั้นก็ลุกขึ้นไปทำหน้าที่เป็นเด็กเสิร์ฟประจำร้านต่อไป

วิสุทธิ์มองลูกชายอย่างภาคภูมิใจ จริงๆ แล้วอนาคตของลูกชายไม่ได้อยู่เพียงแค่นี้ ลูกมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีอยู่ในเมืองหลวง เป็นถึงผู้จัดการฝ่ายในบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ลูกชายกลับมาบ้านเกิด กลับมาเป็นเด็กเสิร์ฟในร้าน จนกระทั่งถูกทาบทามให้ไปเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยชื่อดังที่มีอาณาเขตด้านหนึ่งติดต่อกับชายหาด ส่วนเรื่องของมัลลิกา ทั้งคู่ก็เพิ่งเริ่มต้นคบการกันไม่นานนัก รู้จักกันตอนที่บุตรชายเริ่มเป็นอาจารย์ ไม่รู้ว่าเรื่องของทั้งสองคนจะจบลงอย่างไร รู้เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เขาจะไม่เข้าไปก้าวก่าย เพราะมันเป็นชีวิตของลูก ลูกต้องตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง


“ปูทะลผัดพริกไทยดำครับ” เสียงทุ้มนุ่มและไม่คุ้นเคยสำหรับสาวๆ ทั้งสี่คน ทำให้ทั้งหมดหันไปมองเป็นตาเดียว และคนที่ตกใจมากที่สุดก็คงไม่พ้นสุพิชญา ส่วนคนที่นำอาหารมาเสิร์ฟก็ยังไม่ทันได้มองหน้าลูกค้า เพราะกำลังเสิร์ฟจานอาหารอย่างระมัดระวัง

“สวัสดีค่ะ คุณคิวท์ ใช่ไหมคะ” กมลทิพย์สาวขี้เล่นประจำกลุ่ม นึกอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้ ดังนั้นเมื่อโอกาสมาถึง เรื่องอะไรจะปล่อยให้มันหลุดลอยไป คนถูกทักหันไปมองหญิงสาวหน้าตาสะสวย ผิวขาวอมชมพู รอยยิ้มบอกถึงความเจ้าเล่ห์นิดๆ ด้วยความสงสัย เพราะแน่ใจว่าตนเองไม่เคยรู้จักหญิงสาวคนนี้แน่ๆ

“ไม่ทราบว่าเราเคยพบกันมาก่อนหรือครับ” กมลทิพย์ไม่ตอบแต่กับบุ้ยใบ้ให้ชายหนุ่มหันไปมองคนที่นั่งตรงข้ามกับตน

“คุณ” เมื่อหันไปเห็นหญิงสาวอีกคน เขาก็อุทานขึ้นด้วยความคาดไม่ถึง และถ้าไม่ได้เจอหน้ากันเขาคงลืมไปแล้วว่าคืนที่เกิดเหตุเขาได้ช่วยใครคนหนึ่งเอาไว้

“สวัสดีค่ะ” สุพิชญาซึ่งก็ยังปรับสีหน้าได้ไม่ดีนัก ก็เอ่ยทักเสียงกระกุกตะกักเล็กน้อย

“สวัสดีครับ หายดีแล้วหรือครับ” ปวเรศทักตอบพร้อมกับถามถึงอาการบาดเจ็บของผู้ที่ตนเคยให้ความช่วยเหลือเอาไว้

“หายดีแล้วค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วยเหลือฉันเอาไว้”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ว่าใครอยู่ในเหตุการณ์นั้นก็ต้องช่วยอยู่แล้วครับ”

“เอ่อ...คุณคิวท์ค่ะ แนะนำตัวกันหน่อยดีไหมคะ วันนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้รู้จักกัน เพราะวันเกิดเรื่องยายกุ้งนางก็เอ๋อไม่ได้ถามชื่อแซ่คุณเอาไว้” กมลทิพย์แทรกขึ้นกลางปล้อง งานนี้ถ้ากามเทพไม่แผลงศร กมลทิพย์จะทำหน้าที่นี้เอง

“ยายทิพย์” สุพิชญาปรามเพื่อนที่เสียมารยาท

“ขอโทษครับ ผมก็เสียมารยาท มัวแต่ตกใจไม่คิดว่าจะเจอคนที่ร่วมชะตากรรมด้วยกันอีก” ปวเรศเปิดรอยยิ้มอบอุ่นทำให้กมลทิพย์เคลิบเคลิ้มตามไปเลยก็ว่าได้

“ฉันชื่อซารีนาค่ะ หรือเรียกว่า นา ก็ได้ค่ะ ส่วนยายคนปากมากนี่ก็ทิพย์ กมลทิพย์ ที่นั่งไม่พูดไม่จานั่นก็ เพชร พวงเพชรค่ะ สุดท้ายคนที่คุณคิวท์ ช่วยชีวิตเอาไว้ ยายกุ้งนาง สุพิชญาค่ะ” ซารีนาเห็นเพื่อนสาวตาลอยเพราะรอยยิ้มของพี่มอสสอง จึงตัดสินใจเป็นคนแนะนำตัวเองก่อน

“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ ผมปวเรศครับ ส่วนชื่อเล่นพวกคุณก็ทราบแล้ว”

“นั่งด้วยกันก่อนไหมคะคุณคิวท์” พวงเพชรเอ่ยปากชวน

“ไม่รบกวนดีกว่าครับ ไหนๆ พวกคุณก็ให้เกียรติมาทานอาหารร้านผม วันนี้ผมถือโอกาสเป็นเจ้ามือเลี้ยงพวกคุณก็แล้วกันนะครับ” ปวเรศออกตัวพร้อมกับยื่นข้อเสนอ และคิดว่าสาวๆ คงรู้แล้วว่าเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกับเจ้าของร้าน เพราะขนาดรู้ชื่อเล่นของเขาก็คงสอบถามเด็กในร้านมาพอสมควรแล้ว

“ว้าว! ทำไมวันนี้มีแต่คนใจดีจะเลี้ยงข้าวสาวๆ อย่างพวกเราน้า” กมลทิพย์ยิ้มอย่างยินดี ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อไปว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณคิวท์ ถ้าคุณอยากเลี้ยงทิพย์ขอเป็นโอกาสหน้านะคะ เพราะรอบนี้ลุงสุนกับป้าพัช เป็นเจ้ามือเลี้ยงปลอบขวัญยายกุ้งนางเรียบร้อยแล้วค่ะ”

“ไม่ต้องสงสัยหรอกค่ะคุณคิวท์ พวกเราเนี่ยลูกค้าประจำของ ‘ทะเลนี้มีรัก’ ตั้งแต่เป็นนักศึกษายังอดแปลกใจไม่ได้เลยค่ะว่าทำไมไม่เคยเห็นคุณคิวท์เลย” พวงเพชรตอบคำถามจากสีหน้าของฝ่ายชาย

“เรียนจบผมก็ทำงานประจำที่กรุงเทพครับ ปีหนึ่งจะได้กลับบ้านสักครั้งสองครั้ง” ปวเรศเป็นฝ่ายตอบคำถามบ้าง

“ขอโทษนะคะ แล้วนี่กลับมาเยี่ยมบ้านหรือคะ” ซารีนาถามอีกฝ่ายสืบต่อจากคำตอบของชายหนุ่ม ในขณะที่สุพิชญาไม่กล้าคุยอะไรเลย ได้แต่นั่งฟังข้อมูลที่เพื่อนถาม พร้อมกับเหลือบตามองเป็นระยะๆ ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมรู้สึกตื่นเต้นกว่าตอนที่เห็นเขาครั้งแรกในร้านแห่งนี้

“ผมกลับมาอยู่ที่นี่เลยครับ ตอนนี้ก็ช่วยพ่อแม่ดูแลร้าน แล้วก็เป็นอาจารย์พิเศษที่...” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังของจังหวัดสงขลา

“ดีจังเลยนะคะ จะได้อยู่ใกล้ๆ กัน” กมลทิพย์กระดี๊กระด๊าอีกครั้ง เธอน่ะหมายถึงเพื่อนของเธอกับชายหนุ่ม แต่สำหรับปวเรศคิดว่าหญิงสาวคงหมายถึงครอบครัวของเขา จึงได้ยิ้มรับคำพูดนั้น

“เชิญคุณคิวท์ตามสบายดีกว่าค่ะ ถ้าขืนยังคุยกับยายทิพย์ ไม่จบง่ายๆ แน่ค่ะ” สุพิชญาตัดสินใจตัดบทสนทนาของเพื่อนกับชายหนุ่ม ไม่อย่างนั้น ไอ้สิ่งที่เพื่อนคิดคงไม่ใช่เพียงแค่ความคิดอย่างเดียว และเธอก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ถ้าชายหนุ่มจับพิรุธได้

“ผมขอตัวก่อนนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักพวกคุณ” ปวเรศก้มหัวให้กับหญิงสาวทั้งสี่ก่อนจะล่าถอยไปพร้อมกับรอยยิ้ม พูดคุยกันไม่นาน แต่มันก็ทำให้รู้ว่าซารีนากับกมลทิพย์มีนิสัยร่าเริง คุยเก่ง ไม่ถือเนื้อถือตัว ส่วนสุพิชญากับพวงเพชร ออกแนวสาวเรียบร้อย แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นพวกพูดน้อยต่อยหนักหรือเปล่า



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2557, 09:06:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2557, 09:06:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1307





<< บทที่ 2   บทที่ 4 >>
แว่นใส 4 ส.ค. 2557, 20:38:55 น.
แม่สื่อกันจริง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account