กรุ่นรักเคียงธารา
กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ

เป็นหนึ่งในงานซีรีย์ชุด "พฤกษาธาราสวาท"
ซึ่งมีสี่เรื่องราว สี่ภาคด้วยกัน

เรื่องกรุ่นรักเคียงธารา เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำภาคเหนือครับ
ส่วนอีกสามเรื่องได้แก่...
มหานทีแห่งรัก โดย แอล เป็นเรื่องราวการอนุรักษ์แม่น้ำโขงและเรื่องราวการผันน้ำเข้ามาใช้การเกษตร (ภาคอีสาน)
ปลูกรักริมใจ โดย พิมพ์ชนก เป็นเรื่องราวของสองหนุ่มสาวหัวใจอนุรักษ์ต้นไม้กับการพยายามสร้างธรรมชาติบนพื้นที่เมืองหลวง (ภาคกลาง)
ทะเลรักล้อมดาว โดย ชุติวรรณ เรื่องราวการอนุรักษ์ผืนป่าชายเลน กับท้องทะเล (ภาคใต้)

มาร่วมกันเป็นกำลังใจให้แปดคนสี่คู่ ที่มีหัวใจอนุรักษ์ธรรมชาติเช่นเดียวกันได้ในงานชุดนี้ครับ

****

กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ

เป็นเรื่องราวของนักพัฒนาสาว ที่เดินทางสู่จังหวัดชิดขอบชายแดน กับผืนป่าที่มีมนตร์ขลังของเรื่องราวความเชื่อที่ถูกผนวกกันอย่างลงตัว

สาวเมืองกรุงอย่าง ธาราริน จะสามารถนำเอาแนวคิดสมัยใหม่ เข้าไปใช้ในหมู่บ้านกลางป่าใหญ่ ที่มีหลักความเชื่อที่แปลกแตกต่างจากคนทั่วไปหากจุดมุ่งหมายคืออนุรักษ์ผืนป่าให้ลูกให้หลานได้หรือไม่

ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร ติดตามและเอาใจช่วยนักพัฒนาสาวคนนี้ได้ใน...กรุ่นรัก เคียงธารา
Tags: อนุรักษ์ ผืนป่า แนวความคิด หลักเศรษฐกิจพอเพียง ความเชื่อ มนตร์ขลังของผืนป่ากว้าง

ตอน: ตอนที่ ๐๖ เสียงจากราวไพร

ตอนที่ ๖

ยิ่งดึกดูเหมือนอากาศจะยิ่งเพิ่มความเย็นเป็นทบเท่าทวี ไม่แม้แต่ความเงียบที่ย่างกรายเข้ามาใกล้จนธารารินรู้สึกเดียวดาย เมื่อชั่วโมงก่อนผู้ใหญ่เสนและภรรยาได้ขอตัวเข้านอนก่อน เช่นเดียวกับอริมาที่เหน็ดเหนื่อยต่อการเดินทางตามเข้านอนไปอีกคน จะเหลือแต่หญิงสาวที่ยังนอนไม่หลับ แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงไรเธอก็ยังไม่ง่วงอยู่ดี

อาจจะเป็นเพราะเธอชอบนอนดึกเป็นปกติอยู่แล้ว แม้ว่าจะเจอบรรยากาศใหม่ๆ กับความเย็นยะเยือกของขุนเขากว้างกลับยิ่งทำให้เธอไม่อยากนอน

ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะยิ่งดึกยิ่งหนาว ยิ่งดึกยิ่งเหงาก็เป็นได้ จึงทำให้สาวจากเมืองกรุงนั่งหย่อนเท้าอยู่บนแคร่ไม้หน้าเรือนผู้ใหญ่เสน โดยข้างๆ มีกองไฟที่สุมถ่านแดงๆ ใกล้มอดเต็มทีให้ความอบอุ่นแต่พอประมาณ

ยามดึกเช่นนี้ในหมู่บ้านผาตะวันมีแต่ความมืดมิดเพราะชาวบ้านเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำกันไปส่วนมาก ส่วนไฟฟ้านั้นยากจะถามหากันเพราะไม่มี ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่างในยามค่ำคืนเท่านั้นราวกับว่าเป็นหมู่บ้านที่ย้อนหลังไปเมื่อห้าถึงหกสิบปีก่อน

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ไร้หมู่เมฆาและมีแต่แสงดาวพราวระยิบงดงาม ฟ้ามืดยามค่ำคืนกลางป่ากว้างเช่นนี้ดูสวยงามอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ไกลออกไปเกือบลับขอบฟ้า พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวแขวนอยู่เหนือปลายไม้ แสงของมันมัวสลัวไม่แจ่มสว่างอย่างดวงดวงเล็กๆ นับพันล้านดวงที่ทอแสงสดใสร่าเริง

สายลมยามดึกพัดแผ่วๆ ระหมู่ไม้ใหญ่น้อยให้โยกไหวราวมีชีวิต ทำให้น้ำค้างยามดึกร่วงพรูลงสู่พื้นเบื้องล่างกระทบใบไม้แห้งเสียงดังเปราะแปะๆ

ไม่นานแมลงไพรก็สะบัดปีกกรีดเสียงราวกับร่วมกันบรรเลงบทเพลงแห่งพงไพร

ธารารินนิ่งฟังอยู่เช่นนั้นจนลุล่วงสู่ห้วงอารมณ์แห่งความคิดวุ่นวายในหัวใจ

...ไม่คิดเลยว่าสาวจากเมืองกรุงอย่างเธอที่มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายจะดั้นด้นเดินทางมายังอำเภอเล็กๆ และถึงขนาดเลยเถิด
หนีเข้าป่ามาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่มีแต่คนแปลกหน้าไม่น่าไว้วางใจ

เธอคิดผิดหรือไม่กับการเดินทางมายังที่นี่...เพราะเพียงแค่วันแรก เธอก็พบกับคนไร้น้ำใจจนต้องเดินเท้ามาตามเส้นทางอันทุรกันดาร นี่หรอกหรือชาวบ้านชาวเมืองที่เธอเคยคิดเสมอว่ามีแต่ความโอบอ้อมอารี มีแต่ความเมตตาต่อกัน

นี่หรอกหรือพื้นที่ที่เธอเคยคิดว่าความศิวิไลซ์และความเห็นแก่ตัวจะยังไม่เดินทางมาถึง

ไม่เลย...

ทุกพื้นที่ ทุกสถานที่มีแต่คนประเภทเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว กลั่นแกล้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไม่สนใจต่อความรู้สึกของอีกฝ่ายคละเคล้าปะปนกันเต็มไปหมด

ไม่คิดเลย...ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะมาพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้

หญิงสาวถอนใจออกมายืดยาว มือทั้งสองกระชับผ้าห่มแน่น แล้วกอดอกตัวเองให้ความอบอุ่นเมื่อเวลานี้ความเหน็บหนาวมันแทรกลึกสู่หัวใจให้รู้สึกเดียวดาย

เช่นเดียวกับหยาดน้ำตาที่เริ่มคลอรื้นหน่วยตา แล้วค่อยๆ ไหลออกมา

ความหวาดกลัวเริ่มมีบทบาทอย่างรวดเร็วเมื่อความอ่อนแอของหญิงสาวฉายชัด

สิ่งที่เธอคาดหวังเอาไว้ตั้งแต่แรกดูเหมือนมันจะไม่เป็นไปตามนั้น เส้นทางที่คิดว่าจะสวยงามและมีแต่โลกอันสดสวยถูกลดถอยหลังไปมากกว่าครึ่งเพราะแท้ที่จริงแล้ว โลกใบนี้โหดร้ายเกินกว่าที่เธอคาดการณ์อย่างมากมายนัก

ส่วนหนึ่งนึกสมน้ำหน้าตัวเองที่ ‘รนหาที่’

แต่อีกส่วนหนึ่งเมื่อนึกถึงงานที่เธอรับผิดชอบ กับคำพูดหลายๆ คำของนักพัฒนาตัวอย่างหลายคน ค่อยๆ ลดทอนความรู้สึกเดียวดายและบอกเตือนให้เธอลุกขึ้นสู้อีกครั้ง

“พัฒนากรต้องอดทนและเป็นได้ทุกอย่าง...”

นั่นคือประโยคแรกที่เธอน้อมรับในวันที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง พร้อมกับอีกหลายๆ คำต่อมาในเชิงเตือนใจถึงการพัฒนางานของตัวเอง โดยเฉพาะคำของพี่สีฟ้า พี่เลี้ยงในตัวจังหวัดที่กล่าวว่า...

“...ป่าเขาลำเนาไพร ไม่ว่าจะใกล้ไกล พระองค์ท่านทรงเสด็จไปทุกแห่งที่ แม้จะทุรกันดารขนาดไหน พระองค์ก็เคยไป อย่างจังหวัดพะเยาของเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อหลายสิบปีก่อนในหลวงท่านเคยเสด็จมาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้ง เพราะฉะนั้นพี่อยากจะให้เธอตั้งใจทำงาน แม้จะเหน็ดเหนื่อยมากแค่ไหน ขอให้มุ่งมั่นนึกถึงพระองค์ท่านเอาไว้ เพราะสมัยนั้นกับสมัยนี้มันต่างกันมาก ความลำเค็ญที่พระองค์ทรงพบเจอทรงมากกว่าเราในสมัยนี้หลายร้อยเท่านัก...”

จังหวัดพะเยาที่ห่างไกลจากเมืองหลวงเกือบหนึ่งพันกิโลเมตร หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถยังเคยเสด็จมาดูแลปวงชนของพระองค์ท่าน

แล้วเธอล่ะ...เธอที่เป็นเพียงหนึ่งธุลีดินของพระองค์ท่านเท่านั้นมีหรือจะทำไม่ได้

“...ต่อให้ยากลำบากแค่ไหน ขอให้คิดเสียว่าเราทำเพื่อส่วนรวม เมื่อคิดว่าทำเพื่อส่วนรวมแล้วมันย่อมดีกว่าส่วนตัวอย่างมากมาย”
“เด็ดเดี๋ยว แน่วแน่ต่องานราชการ งานที่จะสานต่องานของพระราชา...”

“...แม้ว่าหนทางจะยากลำบากแค่ไหน ขอให้คิดเสียว่านั่นคือบททดสอบของเรา เชื่อว่าเมื่อตั้งใจทำอะไรแล้ว จุดหมายปลายทางของความตั้งใจย่อมสวยงาม...”

กับอีกหลากหลายคำที่เธอได้รับฟังมาจากหลายๆ คนที่มีแต่ความมุ่งมั่งตั้งใจกระทำการเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์ รับใช้แผ่นดินเกิดอย่างสมความตั้งใจ

มือบางของหญิงสาวค่อยๆ ปาดหยาดน้ำตาทิ้งไป ก่อนจะก้มลงมองมือของตนเองที่เปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตา มันเย็นเมื่อต้องลม ต่อเมื่อมันค่อยๆ แห้งและเธอซุกมันเอาไว้ในผ้าห่มความเหน็บหนาวในคราวแรกก็หายไป

“ความลำบากมันก็คงจะเหมือนหยาดน้ำที่แตะลงบนหลังมือแล้วต้องลมจนเหน็บหนาวสินะ เมื่อเรารู้วิธีที่จะขจัดมันออกโดยการทำให้มันแห้งแล้วซุกใต้ผ้าห่ม มันก็จะหายไปเอง”

เธอบอกกับตัวเองแล้วจุดยิ้ม เวลานี้มือของเธอเริ่มอบอุ่นเช่นเดิมแล้ว

มันก็แค่หนาวเพียงชั่วครู่ชั่วยาม อยู่ที่ว่าเราจะอดทนได้นานสักแค่ไหนเท่านั้น

“อดทน ใช่ เธอต้องอดทนนะธาราริน”

เวลานั้น ท่ามกลางผืนป่าอันเงียบสนิทและเย็นยะเยือก สองหูของธารารินก็สดับยินเสียงขลุ่ยทำนองเศร้าล่องลอยมากับสายลม จากแผ่วเบาแล้วค่อยๆ ชัดเจนขึ้น หญิงสาวจากเมืองกรุงนิ่งสดับฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะรู้สึกสะท้านเข้าไปถึงหัวใจเมื่อจับทำนองเพลงบทนั้นที่ดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน

อะไรกัน...ที่นี่มีเรื่องเศร้าสร้อยกับเขาด้วยหรือ

แล้ว...ใครกันที่เป่าบทเพลงนี้ขึ้นในยามดึกสงัด

ดวงตาทั้งสองข้างของสาวจากกรุงเทพฯ ไหวระริก ความอยากรู้แทรกลึกกลางหัวใจ ความสงสัยเริ่มตีแผ่ปกคลุมความขลาดกลัวในคราวแรกเสียหมดสิ้น

ในขณะเดียวกันเสียงเพลงนั้นก็ยังล่องลอยแว่วหวานมาตามสายลม ดูเหมือนว่ามันจะดังมาจากทางหลังเรือนของผู้ใหญ่เสนและไม่ไกลจากจุดที่เธออยู่มากนัก

“ใครกัน มาเป่าเพลงยามค่ำคืนแบบนี้”

สองเท้าเหยียบย่างลงบนพื้นดินแทบจะพร้อมๆ กับความคิดที่สั่งการให้มือคว้าตะเกียงน้ำมันและสาวเท้าลอดเรือนไม้หลังสูงไปยังทางหลังบ้านอย่างทันที

ยิ่งใกล้ลำธารสายนั้น เสียงเพลงเศร้ายิ่งชัดเจน

ยิ่งได้ฟัง หัวใจสาวยิ่งสะท้านลึกในหัวอกราวกับบทเพลงนั้นบาดหัวใจของเธอจนเป็นแผลเหวอะหวะ

และคงไม่ต่างไปจากเจ้าของเสียงเพลงนั้นมากนัก

อะไร...ใครกัน...เขาเป็นใคร ถึงได้มาเป่าเพลงขลุ่ยท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างเวลานี้ ทั้งบทเพลงที่เป่าก็เศร้าสร้อยราวกับคนที่เจ็บปวดต่อความพลัดพราก

การพลัดพราก...จากลา...

สองเท้าแบบบางย่างเหยียบไปตามเส้นทางมุ่งสู่ลำธารสายเล็กๆ ด้านหลังเรือนของผู้ใหญ่เสนด้วยความใคร่รู้ที่มันเกาะกุมหัวใจจนยากจะสลัดทิ้งไปได้ ไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีแม้กระทั่งอารมณ์ฉุกคิดถึงภัยอันตรายซึ่งหญิงสาวสัมผัสได้ว่าการที่เธอเดินย่ำเท้าไปข้างหน้านั้นจะไม่รับอันตรายใดๆ มากไปกว่าความเศร้าสร้อยที่เธอรับรู้

เขา...หรือใครคนนั้นไม่ได้มีอันตรายสำหรับเธอ

ตลอดเส้นทางที่ทอดผ่านไปยังสายธารเล็กๆ นั้นมีแต่ความเงียบของผืนป่ากว้าง ธารารินเดินไปข้างหน้าด้วยความอยากรู้โดยมีตะเกียงใบเก่าคอยนำทาง เธอเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นเงาของใครบางคนนั่งอยู่บนโขดหินใหญ่เหนือลำธารไปทางด้านใต้ประมาณสามร้อยเมตร ใครคนนั้นนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับบรรจงผิวปากเป่ากระบอกไม้ในมือแล้วสะบัดนิ้วไล่คีย์เสียงออกมาเป็นบทเพลงที่น่าฟัง

หากสำหรับธารารินกลับรู้สึกว่ามันแสนเศร้าเหลือเกิน...

มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาคนนั้นกันแน่นะ

แสงจันทร์และแสงดาวที่สาดส่องลงมายังร่างเหนือโขดหินใหญ่นั้นหญิงสาวจากกรุงเทพฯ เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาจะต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน เพราะลักษณะท่าทางและชุดที่สวมใส่กับผ้าขาวม้าที่เคียนอยู่ตรงศีรษะ แต่กระนั้นเธอก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเขาคนนั้นเป็นเด็ก คนหนุ่มหรือคนแก่ เพราะเขานั่งหันข้างให้กับเธอ

เขาเป่าเพลงเศร้ากลางดึกและตากน้ำค้างอันหนาวเหน็บนี้ไปทำไมกันนะ

หรือเขาอกหัก...พลัดพรากจากคนที่เขารัก

หรือเขาแค่อยากจะเป่ามันเพื่อระบายความอัดอั้นในหัวใจ

เจ็บปวด...เพรียกหา...อย่างนั้นหรอกหรือ...

ธาราริน ถิ่นเมฆา สลัดความคิดทั้งหมดทิ้งก่อนจะตัดสินใจย่างเท้าไปข้างหน้าอีกครั้งหมายใจไปถามชายคนนั้นให้แน่ว่าเหตุใดเขาถึงมาเป่าขลุ่ยในช่วงดึกสงัดเงียบเหงาแบบนี้ เขากำลังอยู่ในสภาวะไหนกัน เพรียกหา คะนึงถึงหรือเศร้าเสียใจเพราะการจากลา

ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวพ้นไปจากตรงจุดนั้น เสียงของผู้ใหญ่เสนก็ดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง ฉุดให้เธอหันกลับไปมองพร้อมกับสีหน้าตกใจ

“นั่นคุณจะไปไหน คุณพัฒนากร”

ในน้ำเสียงของชายชรา ธารารินสัมผัสได้ถึงกระแสความไม่พอใจตีแผ่ออกมา

ชายชรายืนนิ่งอยู่ในความมืดของแมกไม้ราวศิลาหิน หากสีหน้าและแววตาที่ฉายออกมาประกอบกับระยะทางไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตรทำให้นักพัฒนากรสาวไหวสะท้านยามเห็น

“ธะ...ธาร ธาร เห็นใครบางคนนั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนโขดหินนั่นค่ะเลยจะไปดู”

หญิงสาวว่าแล้วชี้ไปทางต้นเสียงในคราวแรกและเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เธอก้าวออกพ้นจากอาณาเรือนของผู้ใหญ่เสน ทว่าเวลานี้บนก้อนหินใหญ่นั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีชายแสนเศร้านั่งเป่าขลุ่ยอีกต่อไป

เขาหายไปอย่างรวดเร็วราวผีห่าซาตาน

คิ้วทั้งสองข้างของธารารินขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัยในความว่องไวนั้น

“เอ๊ะ หายไปไหนแล้ว...”

เพียงแค่คาดกันเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ชายคนนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“มันไม่มีตั้งแต่แรกต่างหากล่ะ คุณรู้ไหมสิ่งที่คุณได้ยินและเห็นนั้นมันอาจจะเป็นผีไพรแปลงร่างมาก็ได้”

ธารารินมองเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ใหญ่เสนจุดยิ้มเยาะเธอในขณะที่เขาก้าวเข้ามายืนตรงหน้าพร้อมกับน้ำเสียงเข้มจัด

“รีบกลับขึ้นเรือนซะ ถ้าคุณไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งไว้ตรงนี้ ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่รึว่าอย่าออกจากบ้านในเวลากลางค่ำกลางคืน”

“แต่ผี...”

“คุณกำลังจะเถียงว่าผีไม่มีในโลกใช่ไหม” ชายชราดักทางอย่างรู้ทัน “นั่นมันความเชื่อของคนเมืองกรุงอย่างคุณ แต่กับที่นี่มันไม่ใช่...”

ธารารินจิ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อถูกดักคอและดูเหมือนว่าชายชราตรงหน้าจะไม่ฟังเสียงของเธอเป็นฝ่ายฉุดแขนหญิงสาวอย่างแรงให้ปลิวตามเขากลับเข้าเรือนไปในที่สุด

////////////

ลับเหลี่ยมหินใหญ่ไม่มากนัก มีร่างชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดหม้อฮ้อมเก่าๆ เคียนศีรษะด้วยผ้าขาวม้าลายตาหมากรุกสีขาวสลับแดง ในมือของเขาถือขลุ่ยเลาเล็กๆ ลอบถอนใจเมื่อเห็นผู้ใหญ่บ้านผาตะวันฉุดแขนหญิงสาวคนหนึ่งจากไป...

////////////

เป็นครั้งแรกที่ธารารินเห็นผู้ใหญ่เสนซึ่งในคราวแรกดูท่าทางใจดี น่าไว้ใจโกรธขึงอย่างมากมายเหมือนเมื่อสักครู่ โดยเฉพาะแรงบีบที่แขนของเธอซึ่งแรงราวคีมเหล็กที่เต็มไปด้วยความร้อนอบด้วยไฟ เธอก้มลงมองแขนของตัวเองที่มีรอยแดงปรากฏชัด ก่อนจะเลยสายตาไปยังร่างที่นอนอุตุในผ้าห่มของอริมา

สาวจากกรุงเทพฯ ส่ายหน้า จริงอยู่ที่เธอเจ็บแขนตอนถูกกระชาก ทว่าความสงสัยในภาพที่เห็นกับเสียงที่ได้ยินกลับมีมากกว่า
มีใครบางคนมานั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนโขดหินใหญ่ด้วยบทเพลงที่เศร้าสร้อย เสียงเพลงนั้นบาดลึกสู่หัวใจให้รับรู้ซึ่งความเจ็บปวดตาม
เขาคนนั้นเป็นใครกัน...

“แล้วทำไมผู้ใหญ่เสนถึงได้บอกกับเราว่าเป็นผีป่ามาหลอกล่อเรานะ”

คิ้วทั้งสองยิ่งขมวด ความคิดสับสนวุ่นวายรบเร้าให้อยากรู้และไขมันให้กระจ่าง

ผีไม่มีในโลก...หญิงสาวเชื่อเช่นนั้น

แต่...

“นั่นมันความเชื่อของคนเมืองกรุงอย่างคุณ แต่กับที่นี่มันไม่ใช่...”

น้ำเสียงอันแข็งกระด้างจากปากของชายชราดังชัดเจน...เธอ กำลังจะคิดก้าวล้ำความคิดของคนที่นี่หรืออย่างไร

“แต่ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ย่อมมีเหตุและผลของมัน สิ่งที่มนุษย์พิสูจน์ได้เท่านั้นที่เป็นความจริง ส่วนเรื่องของผีสางเทวดาเป็นแค่ความเชื่อของคนบางกลุ่มเท่านั้น”

ใช่...มันเป็นความเชื่อของคนที่นี่

หญิงสาวพยายามตักเตือนตัวเอง แม้เธอจะเห็นค้านอย่างมากมายกับความเชื่อที่งมงายล้าหลังเป็นมนุษย์เต่าล้านปี แต่อย่างไรแล้วเธอก็ไม่อาจจะไปเปลี่ยนความคิดของพวกเขาได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ

“ถ้าคุณอยากจะอยู่ที่นี่และทำงานอย่างมีความสุขก็จงเชื่อฉัน อย่าพยายามสอดรู้สอดเห็นให้มันมากนัก ไม่อย่างนั้นตัวของคุณเองล่ะจะลำบาก...”

เวลานั้นคำพูดของผู้ใหญ่เสนก็แทรกเข้ามาในความคิด กระแสเสียงอันมั่นคงและแข็งกระด้างแทรกลึกสู่หัวใจหญิงสาวให้สะท้าน
กลัวตาม....ดูเหมือนผู้ใหญ่เสนจะเอาจริงและโกรธเธอมากที่ลงไปยังริมลำธารเมื่อสักครู่นี้

หญิงสาวค่อยๆ ล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมแล้วตะแคงข้างหันหน้าเข้าข้างฝาบ้าน ก่อนน้ำตาจะค่อยๆ ไหลรินออกมาเมื่อความรู้สึกกลัวที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจเริ่มตีแผ่และมีอิทธิพลอีกครั้ง

อีกนานเท่าไรนะที่ความรู้สึกหวาดกลัวและอ่อนแอแบบนี้ของเธอจะหมดไป...

////////////

เช้าแล้ว ได้ยินเสียงไก่ขันรับกันเป็นทอดๆ พร้อมกับมวลอากาศหนาวเย็นแผ่ปกคลุมทุกพื้นที่ของหมู่บ้านผาตะวัน ด้านนอกเรือนผู้ใหญ่เสนมีเสียงชาวบ้านทักทายและชักชวนกันลงไร่ลงสวนมาให้ได้ยินเป็นระยะ หญิงสาวจากเมืองกรุงนอนลืมตาอยู่บนที่นอนสักพักก็ผุดกายลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจแล้วจึงมองไปยังร่างของสาวรุ่นพี่ที่นอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม

อริมาคงจะเพลียกับการเดินทางเมื่อวันวาน ถึงวันนี้เลยนอนนิ่งไม่อยากขยับกายไปไหน ธารารินจุดยิ้มนึกถึงตัวเองที่มีอาการไม่ต่างไปจากสาวรุ่นพี่นัก ทว่าความตั้งใจที่มีอยู่ในหัวใจคือต้องการเก็บภาพแสงแรกของหมู่บ้านผาตะวันเอาไว้ในความทรงจำเธอจึงลุกจากที่นอนคว้ากล้องถ่ายภาพออกจากห้องนั้นไปโดยไม่คิดจะปลุกอริมา

ภาพสายหมอกเส้นบางๆ ลอยคว้างอยู่ตรงหน้าเธออย่างสวยงาม นักพัฒนาสาวมิวายเก็บความสวยงามเหล่านั้นเอาไว้ในกล่องความทรงจำเล็กๆ หลายภาพ ก่อนจะได้รับความร่วมมือจากผู้ใหญ่เสนพาหญิงสาวไปยังม่อนตะวันเก็บภาพพระอาทิตย์ยามทอแสงแรกอันสวยงาม

ม่อนตะวันเป็นอีกสถานที่หนึ่งของหมู่บ้านผาตะวัน เป็นสันเขาสูงที่ทอดยาวไล่ต่ำลงไปจรดไร่กาแฟของหมู่บ้าน ซึ่งไกลออกไปเป็นสันเขาที่ขวางกั้นประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีทิวหมอกสีขาวลอยไล่เลี่ยสวยงาม ฉากหลังเป็นดวงตะวันสีส้มทอแสงราวอ่อนล้าต่อความพยายามสาดทอผ่านม่านสายหมอก

“สวยจัง...” หญิงสาวอุทานเมื่อก้าวมาถึงยังเนินสูงนั้นพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านผาตะวัน “ธารขอเก็บภาพเอาไว้เยอะๆ นะคะ”

ผู้ใหญ่เสนขยับไปยังก้อนหินสามก้อนที่ทำเป็นเตาไฟเก่า มีถ่านและเศษไม้อยู่พอที่จะก่อไฟผิงคลายความหนาว โดยปล่อยให้หญิงสาวจากเมืองกรุงเก็บภาพตามอย่างที่เธอต้องการไป

หลังเก็บรูปจนพอใจแล้วธารารินจึงได้เดินกลับมายังต้นไม้ที่ผู้ใหญ่เสนนั่งผิงไฟรออยู่ รอยยิ้มสดใสของเธอบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าเธอมีความสุขไม่น้อยกับการขึ้นมายังม่อนตะวันแห่งนี้

“ประเทศไทยโชคดีจริงๆ นะคะที่ยังมีผืนป่าอันเขียวขจีอย่างกับที่นี่”

เธอเปิดประเด็นขึ้นพร้อมกับยอบตัวลงนั่งบนหินก้อนหนึ่ง ยื่นมือไปอังไฟในเตาแล้วมองหน้าผู้ใหญ่เสนที่นั่งมองเปลวไฟด้วยแววตานิ่งงัน

“ก็คงมีแค่ที่นี่แหละที่ยังหลงเหลือผืนป่าอยู่ ที่อื่นฉันเคยได้ยินตามข่าวตามหนังสือของคนพื้นราบว่าเวลานี้มันถูกคนโลภมากตัดทำลายเสียสิ้น”

ในน้ำเสียงนั้นหญิงสาวจากเมืองกรุงสัมผัสได้ว่าชายชราผู้นี้กำลังเศร้ากับผืนป่าที่สูญเสียไปอย่างแท้จริง

“นั่นสิคะ ป่าในเมืองไทยแทบจะไม่เหลือแล้ว หากว่าเทียบกับเมื่อสิบยี่สิบปีก่อน น่าเศร้าใจจริงๆ นะคะที่วันหนึ่งป่าเขียวขจีแบบนี้จะหมดไปจากเมืองไทย”

“ไม่มีวัน ฉันคนหนึ่งล่ะจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น”

ผู้ใหญ่เสนเงยหน้าขึ้นมองธารารินด้วยประกายตาเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น

หญิงสาวจากเมืองกรุงรู้สึกขนลุกอย่างทันทีเมื่อสบประสานกับประกายตาคู่นั้น

เธอยอมรับว่านั่นคือแววตาของคนจริงจัง เธอแน่ใจว่านั่นคือแววตาของคนที่พูดและทำอะไรจริงๆ ผู้ใหญ่เสนเพิ่งพูดกับเธอไปว่าเขาจะไม่มีวันให้ป่าหมดไป โดยเฉพาะพื้นที่ตรงหน้าของเธอนี้

“ฉันเกิดและเติบโตขึ้นที่นี่ ผืนป่าแห่งนี้ฉันอยู่กับมันมาจนค่อนชีวิต ฉันคนหนึ่งล่ะจะไม่มีวันให้ใครมาทำลายมันเด็ดขาด”

ธารารินจุดยิ้มยินดีแล้วว่า

“ธารดีใจค่ะที่ได้ยินคำนี้จากปากของผู้ใหญ่” ว่าจบเธอก็ยกมือขึ้นพนมระหว่างอกแล้วว่าต่อ “องค์ในหลวงท่านทรงโชคดีนะคะที่มีประชาชนของท่านรักถิ่นฐานบ้านเกิดและสานรอยพระราชดำรัสของท่าน ดูแลรักษาผืนป่าให้อยู่คู่กับบ้านกับเมืองตลอดไป”

“ในหลวง...” ชายชราว่าพลางมองหน้าสาวจากกรุงเทพอย่างไม่เข้าใจ หญิงสาวคนนี้กำลังกล่าวถึงพ่อหลวงของเขาอยู่ “นี่คุณคิดเช่นนั้นด้วยหรือ”

รอยยิ้มที่จุดขึ้นบนเรียวปากงดงามเป็นยิ้มที่แต่งแต้มไปด้วยความสุขอันเปี่ยมล้น โดยเฉพาะประโยคต่อมาของเธอที่แม้แต่ผู้ใหญ่เสนยังรับรู้ถึงความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

“ก็ธารเป็นประชาชนของในหลวงนี่คะ โดยเฉพาะเวลานี้ธารเป็นข้าพระบาทของพระองค์ท่านอย่างเต็มตัวแล้ว ผู้ใหญ่รู้จักความหมายของคำว่าข้าราชการหรือเปล่าคะ”

“ข้าราชการก็คือคนของรัฐน่ะสิ คนของรัฐที่มักจะเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านตาดำๆ อย่างพวกเรา”

นั่นคือความเข้าใจที่มีอยู่ในตัวของผู้ใหญ่บ้านผาตะวัน ธารารินยิ้มแล้วส่ายหน้า ความคิดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่เสนคนเดียว มันอาจจะมีกับคนทุกคนในหมู่บ้านผาตะวันแห่งนี้และประชาชนตาดำๆ อย่างที่ผู้ใหญ่เสนว่าอีกหลายคน

ประชาชนตาดำๆ เหล่านี้นี่เองที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจนพวกเขาปิดกั้นและหมดความศรัทธาที่มีต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ

“คำตอบของผู้ใหญ่มันไม่ถูกหรอกนะคะ นั่นคือมุมมองด้านร้ายๆ ที่ชาวบ้านต่างมองเจ้าหน้าที่อย่างธาร”

“หึ...เข้าข้างพวกเดียวกัน”

ผู้ใหญ่บ้านผาตะวันเถียงอย่างทันที

ฝ่ายหญิงสาวกลับทำนิ่ง เธอจุดยิ้มอ่อนโยนก่อนจะมองหน้าชายชราอีกครั้ง

“ขอธารได้อธิบายนะคะว่าข้าราชการคืออะไร”

“ก็ว่าไปสิ”

ธารารินกลืนน้ำลายลงคอเพื่อไล่ก้อนความรู้สึกที่มันจุกแน่นอยู่ตรงลำคอ ทั้งสองจิตสองใจที่จะกล่าวพูดถึงความจริงด้วยเพราะกลัวว่าชายชราตรงหน้าจะไม่เชื่อคำของเธอ หาว่าเธอคิดจะหว่านล้อมให้เขาเป็นพวกเดียวกันกับข้าราชการที่ชอบโกงกินและเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน

จนกระทั่งหญิงสาวตั้งสติ ดวงตาเรียวสวยที่ก้มลงมองเปลวไฟในกองได้เงยขึ้นมองใบหน้าของชายชราที่กำลังมองเธออยู่ด้วยเช่นกัน เธอจุดยิ้มอ่อนโยนหมายใจให้ชายชราเชื่อในคำของตนก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแว่วหวานในที่สุด

“คำว่าข้าราชการมาจากคำว่า ข้าที่หมายถึงข้ารับใช้กับราชหรือราชะอันหมายถึงพระราชา ส่วนการหมายถึงการงาน ในที่นี้เมื่อรวมคำกันแล้วจึงหมายถึงผู้ที่ทำงานให้แก่พระราชาหรือทำงานแทนพระราชาค่ะ”

“งานที่ทำแทนพระราชา แล้วเหตุใดถึงไม่ดีเหมือนพระราชาล่ะ บางคนไม่ซื่อสัตย์ บางคนโลภมาก บางคนเอาเปรียบประชาชนอย่างพวกฉัน แบ่งแยกชนชั้นและกีดกันพวกฉันให้ต่ำต้อย”

ชายชราเถียงด้วยประกายตาไหวระริก แรงความรู้สึกที่ปิดกั้นเริ่มมีบทบาทอีกครั้ง

“นั่นไม่ใช่ข้าราชการค่ะ เขาเป็นแค่คนไม่ซื่อตรงต่อจรรยาบรรณของตนเองคนหนึ่งเท่านั้น” เธอพยายามคิดหาคำมาอธิบายอย่างประนีประนอมที่สุด เพราะกลัวว่าผู้ใหญ่เสนจะปิดกั้นเธอไปอีกคนหาว่าอวยต่อพวกตนเอง “ในระบบงานเหล่านี้ย่อมมีทั้งดีและไม่ดีนะคะผู้ใหญ่ ก็เหมือนในสังคมหนึ่งๆ ที่มีผู้คนมากมายปะปนกันไป คนดีคือคนที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงานของตนเอง ส่วนคนที่คิดไม่ซื่อ ทำผิดต่อจรรยาบรรณคือคนที่ทำผิดอย่างมหันต์ ทำผิดต่อแผ่นดินและองค์พระราชาค่ะ คนพวกนี้ไม่สมควรที่จะให้ความเคารพนับถือเพราะเขาเป็นคนทำลายเกียรติของตนเองมาตั้งแต่ทีแรกแล้ว”

“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าใครดีหรือไม่ดี บางทีมันอาจจะเหมือนกันทั้งพวกพ้องก็ได้”

ธารารินมองเข้าไปในแววตาของชายชราที่เริ่มมองเธอไปในทาง ‘พวกเดียวกัน’ กับข้าราชการบางคนที่ทำผิดต่อจรรยาบรรณของตนเอง

หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะรวบรวมสติให้ตั้งมั่น หมั่นบอกตัวเองเสมอว่าเธอเป็นข้าราชการที่เข้ามาทำงานแทนพระราชาและเพื่อประชาชนจริงๆ ไม่ใช่พวกที่ผู้ใหญ่เสนและชาวบ้านอีกหลายร้อยหลายพันคนเข้าใจ

“ผู้ใหญ่อย่าเหมารวมว่าข้าราชการหรือคนของรัฐจะเลวร้ายกันหมดทุกคนสิคะ เหมือนอย่างที่ธารบอกไปเมื่อสักครู่นี้ว่าสังคมทุกกลุ่มย่อมมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันไป สิ่งที่ผู้ใหญ่สมควรจะสังเกตเพื่อแบ่งแยกคนกลุ่มนี้ออกไปจากข้าราชการน้ำดีก็คืองานที่เขากำลังทำอยู่ เชื่อสิคะในความหมายของข้าราชการนั้นหมายถึงผู้ที่ทำงานแทนพระราชา ข้าราชการที่ดีจะต้องเสียสละและทำงานทุกอย่างเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่เอารัดเอาเปรียบประชาชน ให้ความช่วยเหลือตามแต่ที่คนๆ หนึ่งจะช่วยเหลือพึ่งพากันได้ ส่วนคนเลวนั้นในสังคมนี้จริงๆ แล้วมีน้อยนะคะ เพียงแต่ว่าผู้ใหญ่และชาวบ้านผาตะวันโชคร้ายเจอเข้าก่อนที่จะเจอข้าราชการที่ดีเท่านั้น”

“คุณกำลังจะบอกฉันว่า คุณคือข้าราชการน้ำดีน่ะหรือ”

เป็นอีกครั้งที่ธารารินได้ยินน้ำเสียงกึ่งเยาะมาจากปากของชายชรา

“ธารไม่ได้จะบอกผู้ใหญ่ว่าธารเป็นข้าราชการน้ำดีค่ะ บางทีนะคะ ธารอาจจะเป็นคนเลวคนหนึ่งที่ปะปนในกลุ่มคนดีเท่านั้น แต่...ธารอยากจะให้ผู้ใหญ่ตัดสินธารในด้านของการกระทำและการทำงานมากกว่าค่ะ ไม่ใช่ตัดสินว่าธารจะเป็นข้าราชการที่จะมาเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน”

“อะไรล่ะที่จะบอกให้ฉันและชาวบ้านรู้ว่าคุณไม่ใช่พวกเดียวกับคนที่เอารัดเอาเปรียบพวกฉัน”

“ระยะเวลาอย่างไรล่ะคะและผลของการทำงานที่จะมีต่อชาวบ้านที่นี่ ธารขอได้ไหมคะผู้ใหญ่ ขอให้เชื่อว่าธารหวังดีกับชาวบ้าน ธารมาที่นี่เพื่อพัฒนาชุมชนในฐานะของพัฒนากร ธารมาที่นี่เพื่อสานต่องานขององค์พระราชา ไม่ใช่เข้ามาเพื่อทำร้ายและทำลายผู้คนที่นี่”

“เหอะ...ระยะเวลาหรือ เมื่อถึงเวลานั้น ป่าทั้งผืนนี้ก็คงต้องวอดวายไปเพราะน้ำมือของข้าราชการอย่างพวกคุณหมด”

“ผู้ใหญ่คะ” ธารารินมองตามชายชราที่ผุดกายลุกขึ้นยืน แล้วทอดสายตามองออกไปยังทุ่งกาแฟอันเวิ้งว้างซึ่งเวลานี้มีสายหมอกเส้นบางๆ ลอยเรี่ยอย่างงดงาม “ธารขอบอกในที่นี้เลยนะคะว่าที่ธารเลือกมาปฏิบัติหน้าที่ในภาคเหนือนั่นเพราะธารรักในธรรมชาติ ธารชอบบรรยากาศของผืนป่า สายน้ำและลำธารกับกล้วยไม้ป่าอันสวยงาม ผู้ใหญ่ลองคิดดูสิคะ คนๆ หนึ่งในเมื่อรักและชื่นชอบอะไรแล้ว เขาหรือคะที่คิดจะทำลายในสิ่งที่เขารัก”

ว่าจบหญิงสาวได้ลุกจากที่แล้วเดินตามชายชรามายืนอยู่ริมผาสูง ทอดสายตาไปในทางเดียวกันกับผู้ใหญ่เสน

“ความสุขของคนเรามีไม่มากนักหรอกนะคะผู้ใหญ่ ในเมื่อค้นพบมันแล้วมีหรือคะที่ธารคิดจะทำลายความสุขของตนเอง”

///////โปรดติดตามตอนต่อไป//////////



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2557, 19:14:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2557, 19:14:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1110





<< ตอนที่ ๐๕ ความหวังพลังใจ   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account