กรุ่นรักเคียงธารา
กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ
เป็นหนึ่งในงานซีรีย์ชุด "พฤกษาธาราสวาท"
ซึ่งมีสี่เรื่องราว สี่ภาคด้วยกัน
เรื่องกรุ่นรักเคียงธารา เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำภาคเหนือครับ
ส่วนอีกสามเรื่องได้แก่...
มหานทีแห่งรัก โดย แอล เป็นเรื่องราวการอนุรักษ์แม่น้ำโขงและเรื่องราวการผันน้ำเข้ามาใช้การเกษตร (ภาคอีสาน)
ปลูกรักริมใจ โดย พิมพ์ชนก เป็นเรื่องราวของสองหนุ่มสาวหัวใจอนุรักษ์ต้นไม้กับการพยายามสร้างธรรมชาติบนพื้นที่เมืองหลวง (ภาคกลาง)
ทะเลรักล้อมดาว โดย ชุติวรรณ เรื่องราวการอนุรักษ์ผืนป่าชายเลน กับท้องทะเล (ภาคใต้)
มาร่วมกันเป็นกำลังใจให้แปดคนสี่คู่ ที่มีหัวใจอนุรักษ์ธรรมชาติเช่นเดียวกันได้ในงานชุดนี้ครับ
****
กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ
เป็นเรื่องราวของนักพัฒนาสาว ที่เดินทางสู่จังหวัดชิดขอบชายแดน กับผืนป่าที่มีมนตร์ขลังของเรื่องราวความเชื่อที่ถูกผนวกกันอย่างลงตัว
สาวเมืองกรุงอย่าง ธาราริน จะสามารถนำเอาแนวคิดสมัยใหม่ เข้าไปใช้ในหมู่บ้านกลางป่าใหญ่ ที่มีหลักความเชื่อที่แปลกแตกต่างจากคนทั่วไปหากจุดมุ่งหมายคืออนุรักษ์ผืนป่าให้ลูกให้หลานได้หรือไม่
ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร ติดตามและเอาใจช่วยนักพัฒนาสาวคนนี้ได้ใน...กรุ่นรัก เคียงธารา
เป็นหนึ่งในงานซีรีย์ชุด "พฤกษาธาราสวาท"
ซึ่งมีสี่เรื่องราว สี่ภาคด้วยกัน
เรื่องกรุ่นรักเคียงธารา เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำภาคเหนือครับ
ส่วนอีกสามเรื่องได้แก่...
มหานทีแห่งรัก โดย แอล เป็นเรื่องราวการอนุรักษ์แม่น้ำโขงและเรื่องราวการผันน้ำเข้ามาใช้การเกษตร (ภาคอีสาน)
ปลูกรักริมใจ โดย พิมพ์ชนก เป็นเรื่องราวของสองหนุ่มสาวหัวใจอนุรักษ์ต้นไม้กับการพยายามสร้างธรรมชาติบนพื้นที่เมืองหลวง (ภาคกลาง)
ทะเลรักล้อมดาว โดย ชุติวรรณ เรื่องราวการอนุรักษ์ผืนป่าชายเลน กับท้องทะเล (ภาคใต้)
มาร่วมกันเป็นกำลังใจให้แปดคนสี่คู่ ที่มีหัวใจอนุรักษ์ธรรมชาติเช่นเดียวกันได้ในงานชุดนี้ครับ
****
กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ
เป็นเรื่องราวของนักพัฒนาสาว ที่เดินทางสู่จังหวัดชิดขอบชายแดน กับผืนป่าที่มีมนตร์ขลังของเรื่องราวความเชื่อที่ถูกผนวกกันอย่างลงตัว
สาวเมืองกรุงอย่าง ธาราริน จะสามารถนำเอาแนวคิดสมัยใหม่ เข้าไปใช้ในหมู่บ้านกลางป่าใหญ่ ที่มีหลักความเชื่อที่แปลกแตกต่างจากคนทั่วไปหากจุดมุ่งหมายคืออนุรักษ์ผืนป่าให้ลูกให้หลานได้หรือไม่
ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร ติดตามและเอาใจช่วยนักพัฒนาสาวคนนี้ได้ใน...กรุ่นรัก เคียงธารา
Tags: อนุรักษ์ ผืนป่า แนวความคิด หลักเศรษฐกิจพอเพียง ความเชื่อ มนตร์ขลังของผืนป่ากว้าง
ตอน: ตอนที่ ๐๖ เสียงจากราวไพร
ตอนที่ ๖
ยิ่งดึกดูเหมือนอากาศจะยิ่งเพิ่มความเย็นเป็นทบเท่าทวี ไม่แม้แต่ความเงียบที่ย่างกรายเข้ามาใกล้จนธารารินรู้สึกเดียวดาย เมื่อชั่วโมงก่อนผู้ใหญ่เสนและภรรยาได้ขอตัวเข้านอนก่อน เช่นเดียวกับอริมาที่เหน็ดเหนื่อยต่อการเดินทางตามเข้านอนไปอีกคน จะเหลือแต่หญิงสาวที่ยังนอนไม่หลับ แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงไรเธอก็ยังไม่ง่วงอยู่ดี
อาจจะเป็นเพราะเธอชอบนอนดึกเป็นปกติอยู่แล้ว แม้ว่าจะเจอบรรยากาศใหม่ๆ กับความเย็นยะเยือกของขุนเขากว้างกลับยิ่งทำให้เธอไม่อยากนอน
ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะยิ่งดึกยิ่งหนาว ยิ่งดึกยิ่งเหงาก็เป็นได้ จึงทำให้สาวจากเมืองกรุงนั่งหย่อนเท้าอยู่บนแคร่ไม้หน้าเรือนผู้ใหญ่เสน โดยข้างๆ มีกองไฟที่สุมถ่านแดงๆ ใกล้มอดเต็มทีให้ความอบอุ่นแต่พอประมาณ
ยามดึกเช่นนี้ในหมู่บ้านผาตะวันมีแต่ความมืดมิดเพราะชาวบ้านเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำกันไปส่วนมาก ส่วนไฟฟ้านั้นยากจะถามหากันเพราะไม่มี ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่างในยามค่ำคืนเท่านั้นราวกับว่าเป็นหมู่บ้านที่ย้อนหลังไปเมื่อห้าถึงหกสิบปีก่อน
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ไร้หมู่เมฆาและมีแต่แสงดาวพราวระยิบงดงาม ฟ้ามืดยามค่ำคืนกลางป่ากว้างเช่นนี้ดูสวยงามอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ไกลออกไปเกือบลับขอบฟ้า พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวแขวนอยู่เหนือปลายไม้ แสงของมันมัวสลัวไม่แจ่มสว่างอย่างดวงดวงเล็กๆ นับพันล้านดวงที่ทอแสงสดใสร่าเริง
สายลมยามดึกพัดแผ่วๆ ระหมู่ไม้ใหญ่น้อยให้โยกไหวราวมีชีวิต ทำให้น้ำค้างยามดึกร่วงพรูลงสู่พื้นเบื้องล่างกระทบใบไม้แห้งเสียงดังเปราะแปะๆ
ไม่นานแมลงไพรก็สะบัดปีกกรีดเสียงราวกับร่วมกันบรรเลงบทเพลงแห่งพงไพร
ธารารินนิ่งฟังอยู่เช่นนั้นจนลุล่วงสู่ห้วงอารมณ์แห่งความคิดวุ่นวายในหัวใจ
...ไม่คิดเลยว่าสาวจากเมืองกรุงอย่างเธอที่มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายจะดั้นด้นเดินทางมายังอำเภอเล็กๆ และถึงขนาดเลยเถิด
หนีเข้าป่ามาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่มีแต่คนแปลกหน้าไม่น่าไว้วางใจ
เธอคิดผิดหรือไม่กับการเดินทางมายังที่นี่...เพราะเพียงแค่วันแรก เธอก็พบกับคนไร้น้ำใจจนต้องเดินเท้ามาตามเส้นทางอันทุรกันดาร นี่หรอกหรือชาวบ้านชาวเมืองที่เธอเคยคิดเสมอว่ามีแต่ความโอบอ้อมอารี มีแต่ความเมตตาต่อกัน
นี่หรอกหรือพื้นที่ที่เธอเคยคิดว่าความศิวิไลซ์และความเห็นแก่ตัวจะยังไม่เดินทางมาถึง
ไม่เลย...
ทุกพื้นที่ ทุกสถานที่มีแต่คนประเภทเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว กลั่นแกล้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไม่สนใจต่อความรู้สึกของอีกฝ่ายคละเคล้าปะปนกันเต็มไปหมด
ไม่คิดเลย...ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะมาพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้
หญิงสาวถอนใจออกมายืดยาว มือทั้งสองกระชับผ้าห่มแน่น แล้วกอดอกตัวเองให้ความอบอุ่นเมื่อเวลานี้ความเหน็บหนาวมันแทรกลึกสู่หัวใจให้รู้สึกเดียวดาย
เช่นเดียวกับหยาดน้ำตาที่เริ่มคลอรื้นหน่วยตา แล้วค่อยๆ ไหลออกมา
ความหวาดกลัวเริ่มมีบทบาทอย่างรวดเร็วเมื่อความอ่อนแอของหญิงสาวฉายชัด
สิ่งที่เธอคาดหวังเอาไว้ตั้งแต่แรกดูเหมือนมันจะไม่เป็นไปตามนั้น เส้นทางที่คิดว่าจะสวยงามและมีแต่โลกอันสดสวยถูกลดถอยหลังไปมากกว่าครึ่งเพราะแท้ที่จริงแล้ว โลกใบนี้โหดร้ายเกินกว่าที่เธอคาดการณ์อย่างมากมายนัก
ส่วนหนึ่งนึกสมน้ำหน้าตัวเองที่ ‘รนหาที่’
แต่อีกส่วนหนึ่งเมื่อนึกถึงงานที่เธอรับผิดชอบ กับคำพูดหลายๆ คำของนักพัฒนาตัวอย่างหลายคน ค่อยๆ ลดทอนความรู้สึกเดียวดายและบอกเตือนให้เธอลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
“พัฒนากรต้องอดทนและเป็นได้ทุกอย่าง...”
นั่นคือประโยคแรกที่เธอน้อมรับในวันที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง พร้อมกับอีกหลายๆ คำต่อมาในเชิงเตือนใจถึงการพัฒนางานของตัวเอง โดยเฉพาะคำของพี่สีฟ้า พี่เลี้ยงในตัวจังหวัดที่กล่าวว่า...
“...ป่าเขาลำเนาไพร ไม่ว่าจะใกล้ไกล พระองค์ท่านทรงเสด็จไปทุกแห่งที่ แม้จะทุรกันดารขนาดไหน พระองค์ก็เคยไป อย่างจังหวัดพะเยาของเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อหลายสิบปีก่อนในหลวงท่านเคยเสด็จมาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้ง เพราะฉะนั้นพี่อยากจะให้เธอตั้งใจทำงาน แม้จะเหน็ดเหนื่อยมากแค่ไหน ขอให้มุ่งมั่นนึกถึงพระองค์ท่านเอาไว้ เพราะสมัยนั้นกับสมัยนี้มันต่างกันมาก ความลำเค็ญที่พระองค์ทรงพบเจอทรงมากกว่าเราในสมัยนี้หลายร้อยเท่านัก...”
จังหวัดพะเยาที่ห่างไกลจากเมืองหลวงเกือบหนึ่งพันกิโลเมตร หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถยังเคยเสด็จมาดูแลปวงชนของพระองค์ท่าน
แล้วเธอล่ะ...เธอที่เป็นเพียงหนึ่งธุลีดินของพระองค์ท่านเท่านั้นมีหรือจะทำไม่ได้
“...ต่อให้ยากลำบากแค่ไหน ขอให้คิดเสียว่าเราทำเพื่อส่วนรวม เมื่อคิดว่าทำเพื่อส่วนรวมแล้วมันย่อมดีกว่าส่วนตัวอย่างมากมาย”
“เด็ดเดี๋ยว แน่วแน่ต่องานราชการ งานที่จะสานต่องานของพระราชา...”
“...แม้ว่าหนทางจะยากลำบากแค่ไหน ขอให้คิดเสียว่านั่นคือบททดสอบของเรา เชื่อว่าเมื่อตั้งใจทำอะไรแล้ว จุดหมายปลายทางของความตั้งใจย่อมสวยงาม...”
กับอีกหลากหลายคำที่เธอได้รับฟังมาจากหลายๆ คนที่มีแต่ความมุ่งมั่งตั้งใจกระทำการเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์ รับใช้แผ่นดินเกิดอย่างสมความตั้งใจ
มือบางของหญิงสาวค่อยๆ ปาดหยาดน้ำตาทิ้งไป ก่อนจะก้มลงมองมือของตนเองที่เปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตา มันเย็นเมื่อต้องลม ต่อเมื่อมันค่อยๆ แห้งและเธอซุกมันเอาไว้ในผ้าห่มความเหน็บหนาวในคราวแรกก็หายไป
“ความลำบากมันก็คงจะเหมือนหยาดน้ำที่แตะลงบนหลังมือแล้วต้องลมจนเหน็บหนาวสินะ เมื่อเรารู้วิธีที่จะขจัดมันออกโดยการทำให้มันแห้งแล้วซุกใต้ผ้าห่ม มันก็จะหายไปเอง”
เธอบอกกับตัวเองแล้วจุดยิ้ม เวลานี้มือของเธอเริ่มอบอุ่นเช่นเดิมแล้ว
มันก็แค่หนาวเพียงชั่วครู่ชั่วยาม อยู่ที่ว่าเราจะอดทนได้นานสักแค่ไหนเท่านั้น
“อดทน ใช่ เธอต้องอดทนนะธาราริน”
เวลานั้น ท่ามกลางผืนป่าอันเงียบสนิทและเย็นยะเยือก สองหูของธารารินก็สดับยินเสียงขลุ่ยทำนองเศร้าล่องลอยมากับสายลม จากแผ่วเบาแล้วค่อยๆ ชัดเจนขึ้น หญิงสาวจากเมืองกรุงนิ่งสดับฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะรู้สึกสะท้านเข้าไปถึงหัวใจเมื่อจับทำนองเพลงบทนั้นที่ดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน
อะไรกัน...ที่นี่มีเรื่องเศร้าสร้อยกับเขาด้วยหรือ
แล้ว...ใครกันที่เป่าบทเพลงนี้ขึ้นในยามดึกสงัด
ดวงตาทั้งสองข้างของสาวจากกรุงเทพฯ ไหวระริก ความอยากรู้แทรกลึกกลางหัวใจ ความสงสัยเริ่มตีแผ่ปกคลุมความขลาดกลัวในคราวแรกเสียหมดสิ้น
ในขณะเดียวกันเสียงเพลงนั้นก็ยังล่องลอยแว่วหวานมาตามสายลม ดูเหมือนว่ามันจะดังมาจากทางหลังเรือนของผู้ใหญ่เสนและไม่ไกลจากจุดที่เธออยู่มากนัก
“ใครกัน มาเป่าเพลงยามค่ำคืนแบบนี้”
สองเท้าเหยียบย่างลงบนพื้นดินแทบจะพร้อมๆ กับความคิดที่สั่งการให้มือคว้าตะเกียงน้ำมันและสาวเท้าลอดเรือนไม้หลังสูงไปยังทางหลังบ้านอย่างทันที
ยิ่งใกล้ลำธารสายนั้น เสียงเพลงเศร้ายิ่งชัดเจน
ยิ่งได้ฟัง หัวใจสาวยิ่งสะท้านลึกในหัวอกราวกับบทเพลงนั้นบาดหัวใจของเธอจนเป็นแผลเหวอะหวะ
และคงไม่ต่างไปจากเจ้าของเสียงเพลงนั้นมากนัก
อะไร...ใครกัน...เขาเป็นใคร ถึงได้มาเป่าเพลงขลุ่ยท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างเวลานี้ ทั้งบทเพลงที่เป่าก็เศร้าสร้อยราวกับคนที่เจ็บปวดต่อความพลัดพราก
การพลัดพราก...จากลา...
สองเท้าแบบบางย่างเหยียบไปตามเส้นทางมุ่งสู่ลำธารสายเล็กๆ ด้านหลังเรือนของผู้ใหญ่เสนด้วยความใคร่รู้ที่มันเกาะกุมหัวใจจนยากจะสลัดทิ้งไปได้ ไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีแม้กระทั่งอารมณ์ฉุกคิดถึงภัยอันตรายซึ่งหญิงสาวสัมผัสได้ว่าการที่เธอเดินย่ำเท้าไปข้างหน้านั้นจะไม่รับอันตรายใดๆ มากไปกว่าความเศร้าสร้อยที่เธอรับรู้
เขา...หรือใครคนนั้นไม่ได้มีอันตรายสำหรับเธอ
ตลอดเส้นทางที่ทอดผ่านไปยังสายธารเล็กๆ นั้นมีแต่ความเงียบของผืนป่ากว้าง ธารารินเดินไปข้างหน้าด้วยความอยากรู้โดยมีตะเกียงใบเก่าคอยนำทาง เธอเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นเงาของใครบางคนนั่งอยู่บนโขดหินใหญ่เหนือลำธารไปทางด้านใต้ประมาณสามร้อยเมตร ใครคนนั้นนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับบรรจงผิวปากเป่ากระบอกไม้ในมือแล้วสะบัดนิ้วไล่คีย์เสียงออกมาเป็นบทเพลงที่น่าฟัง
หากสำหรับธารารินกลับรู้สึกว่ามันแสนเศร้าเหลือเกิน...
มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาคนนั้นกันแน่นะ
แสงจันทร์และแสงดาวที่สาดส่องลงมายังร่างเหนือโขดหินใหญ่นั้นหญิงสาวจากกรุงเทพฯ เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาจะต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน เพราะลักษณะท่าทางและชุดที่สวมใส่กับผ้าขาวม้าที่เคียนอยู่ตรงศีรษะ แต่กระนั้นเธอก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเขาคนนั้นเป็นเด็ก คนหนุ่มหรือคนแก่ เพราะเขานั่งหันข้างให้กับเธอ
เขาเป่าเพลงเศร้ากลางดึกและตากน้ำค้างอันหนาวเหน็บนี้ไปทำไมกันนะ
หรือเขาอกหัก...พลัดพรากจากคนที่เขารัก
หรือเขาแค่อยากจะเป่ามันเพื่อระบายความอัดอั้นในหัวใจ
เจ็บปวด...เพรียกหา...อย่างนั้นหรอกหรือ...
ธาราริน ถิ่นเมฆา สลัดความคิดทั้งหมดทิ้งก่อนจะตัดสินใจย่างเท้าไปข้างหน้าอีกครั้งหมายใจไปถามชายคนนั้นให้แน่ว่าเหตุใดเขาถึงมาเป่าขลุ่ยในช่วงดึกสงัดเงียบเหงาแบบนี้ เขากำลังอยู่ในสภาวะไหนกัน เพรียกหา คะนึงถึงหรือเศร้าเสียใจเพราะการจากลา
ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวพ้นไปจากตรงจุดนั้น เสียงของผู้ใหญ่เสนก็ดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง ฉุดให้เธอหันกลับไปมองพร้อมกับสีหน้าตกใจ
“นั่นคุณจะไปไหน คุณพัฒนากร”
ในน้ำเสียงของชายชรา ธารารินสัมผัสได้ถึงกระแสความไม่พอใจตีแผ่ออกมา
ชายชรายืนนิ่งอยู่ในความมืดของแมกไม้ราวศิลาหิน หากสีหน้าและแววตาที่ฉายออกมาประกอบกับระยะทางไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตรทำให้นักพัฒนากรสาวไหวสะท้านยามเห็น
“ธะ...ธาร ธาร เห็นใครบางคนนั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนโขดหินนั่นค่ะเลยจะไปดู”
หญิงสาวว่าแล้วชี้ไปทางต้นเสียงในคราวแรกและเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เธอก้าวออกพ้นจากอาณาเรือนของผู้ใหญ่เสน ทว่าเวลานี้บนก้อนหินใหญ่นั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีชายแสนเศร้านั่งเป่าขลุ่ยอีกต่อไป
เขาหายไปอย่างรวดเร็วราวผีห่าซาตาน
คิ้วทั้งสองข้างของธารารินขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัยในความว่องไวนั้น
“เอ๊ะ หายไปไหนแล้ว...”
เพียงแค่คาดกันเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ชายคนนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“มันไม่มีตั้งแต่แรกต่างหากล่ะ คุณรู้ไหมสิ่งที่คุณได้ยินและเห็นนั้นมันอาจจะเป็นผีไพรแปลงร่างมาก็ได้”
ธารารินมองเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ใหญ่เสนจุดยิ้มเยาะเธอในขณะที่เขาก้าวเข้ามายืนตรงหน้าพร้อมกับน้ำเสียงเข้มจัด
“รีบกลับขึ้นเรือนซะ ถ้าคุณไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งไว้ตรงนี้ ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่รึว่าอย่าออกจากบ้านในเวลากลางค่ำกลางคืน”
“แต่ผี...”
“คุณกำลังจะเถียงว่าผีไม่มีในโลกใช่ไหม” ชายชราดักทางอย่างรู้ทัน “นั่นมันความเชื่อของคนเมืองกรุงอย่างคุณ แต่กับที่นี่มันไม่ใช่...”
ธารารินจิ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อถูกดักคอและดูเหมือนว่าชายชราตรงหน้าจะไม่ฟังเสียงของเธอเป็นฝ่ายฉุดแขนหญิงสาวอย่างแรงให้ปลิวตามเขากลับเข้าเรือนไปในที่สุด
////////////
ลับเหลี่ยมหินใหญ่ไม่มากนัก มีร่างชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดหม้อฮ้อมเก่าๆ เคียนศีรษะด้วยผ้าขาวม้าลายตาหมากรุกสีขาวสลับแดง ในมือของเขาถือขลุ่ยเลาเล็กๆ ลอบถอนใจเมื่อเห็นผู้ใหญ่บ้านผาตะวันฉุดแขนหญิงสาวคนหนึ่งจากไป...
////////////
เป็นครั้งแรกที่ธารารินเห็นผู้ใหญ่เสนซึ่งในคราวแรกดูท่าทางใจดี น่าไว้ใจโกรธขึงอย่างมากมายเหมือนเมื่อสักครู่ โดยเฉพาะแรงบีบที่แขนของเธอซึ่งแรงราวคีมเหล็กที่เต็มไปด้วยความร้อนอบด้วยไฟ เธอก้มลงมองแขนของตัวเองที่มีรอยแดงปรากฏชัด ก่อนจะเลยสายตาไปยังร่างที่นอนอุตุในผ้าห่มของอริมา
สาวจากกรุงเทพฯ ส่ายหน้า จริงอยู่ที่เธอเจ็บแขนตอนถูกกระชาก ทว่าความสงสัยในภาพที่เห็นกับเสียงที่ได้ยินกลับมีมากกว่า
มีใครบางคนมานั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนโขดหินใหญ่ด้วยบทเพลงที่เศร้าสร้อย เสียงเพลงนั้นบาดลึกสู่หัวใจให้รับรู้ซึ่งความเจ็บปวดตาม
เขาคนนั้นเป็นใครกัน...
“แล้วทำไมผู้ใหญ่เสนถึงได้บอกกับเราว่าเป็นผีป่ามาหลอกล่อเรานะ”
คิ้วทั้งสองยิ่งขมวด ความคิดสับสนวุ่นวายรบเร้าให้อยากรู้และไขมันให้กระจ่าง
ผีไม่มีในโลก...หญิงสาวเชื่อเช่นนั้น
แต่...
“นั่นมันความเชื่อของคนเมืองกรุงอย่างคุณ แต่กับที่นี่มันไม่ใช่...”
น้ำเสียงอันแข็งกระด้างจากปากของชายชราดังชัดเจน...เธอ กำลังจะคิดก้าวล้ำความคิดของคนที่นี่หรืออย่างไร
“แต่ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ย่อมมีเหตุและผลของมัน สิ่งที่มนุษย์พิสูจน์ได้เท่านั้นที่เป็นความจริง ส่วนเรื่องของผีสางเทวดาเป็นแค่ความเชื่อของคนบางกลุ่มเท่านั้น”
ใช่...มันเป็นความเชื่อของคนที่นี่
หญิงสาวพยายามตักเตือนตัวเอง แม้เธอจะเห็นค้านอย่างมากมายกับความเชื่อที่งมงายล้าหลังเป็นมนุษย์เต่าล้านปี แต่อย่างไรแล้วเธอก็ไม่อาจจะไปเปลี่ยนความคิดของพวกเขาได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ
“ถ้าคุณอยากจะอยู่ที่นี่และทำงานอย่างมีความสุขก็จงเชื่อฉัน อย่าพยายามสอดรู้สอดเห็นให้มันมากนัก ไม่อย่างนั้นตัวของคุณเองล่ะจะลำบาก...”
เวลานั้นคำพูดของผู้ใหญ่เสนก็แทรกเข้ามาในความคิด กระแสเสียงอันมั่นคงและแข็งกระด้างแทรกลึกสู่หัวใจหญิงสาวให้สะท้าน
กลัวตาม....ดูเหมือนผู้ใหญ่เสนจะเอาจริงและโกรธเธอมากที่ลงไปยังริมลำธารเมื่อสักครู่นี้
หญิงสาวค่อยๆ ล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมแล้วตะแคงข้างหันหน้าเข้าข้างฝาบ้าน ก่อนน้ำตาจะค่อยๆ ไหลรินออกมาเมื่อความรู้สึกกลัวที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจเริ่มตีแผ่และมีอิทธิพลอีกครั้ง
อีกนานเท่าไรนะที่ความรู้สึกหวาดกลัวและอ่อนแอแบบนี้ของเธอจะหมดไป...
////////////
เช้าแล้ว ได้ยินเสียงไก่ขันรับกันเป็นทอดๆ พร้อมกับมวลอากาศหนาวเย็นแผ่ปกคลุมทุกพื้นที่ของหมู่บ้านผาตะวัน ด้านนอกเรือนผู้ใหญ่เสนมีเสียงชาวบ้านทักทายและชักชวนกันลงไร่ลงสวนมาให้ได้ยินเป็นระยะ หญิงสาวจากเมืองกรุงนอนลืมตาอยู่บนที่นอนสักพักก็ผุดกายลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจแล้วจึงมองไปยังร่างของสาวรุ่นพี่ที่นอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม
อริมาคงจะเพลียกับการเดินทางเมื่อวันวาน ถึงวันนี้เลยนอนนิ่งไม่อยากขยับกายไปไหน ธารารินจุดยิ้มนึกถึงตัวเองที่มีอาการไม่ต่างไปจากสาวรุ่นพี่นัก ทว่าความตั้งใจที่มีอยู่ในหัวใจคือต้องการเก็บภาพแสงแรกของหมู่บ้านผาตะวันเอาไว้ในความทรงจำเธอจึงลุกจากที่นอนคว้ากล้องถ่ายภาพออกจากห้องนั้นไปโดยไม่คิดจะปลุกอริมา
ภาพสายหมอกเส้นบางๆ ลอยคว้างอยู่ตรงหน้าเธออย่างสวยงาม นักพัฒนาสาวมิวายเก็บความสวยงามเหล่านั้นเอาไว้ในกล่องความทรงจำเล็กๆ หลายภาพ ก่อนจะได้รับความร่วมมือจากผู้ใหญ่เสนพาหญิงสาวไปยังม่อนตะวันเก็บภาพพระอาทิตย์ยามทอแสงแรกอันสวยงาม
ม่อนตะวันเป็นอีกสถานที่หนึ่งของหมู่บ้านผาตะวัน เป็นสันเขาสูงที่ทอดยาวไล่ต่ำลงไปจรดไร่กาแฟของหมู่บ้าน ซึ่งไกลออกไปเป็นสันเขาที่ขวางกั้นประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีทิวหมอกสีขาวลอยไล่เลี่ยสวยงาม ฉากหลังเป็นดวงตะวันสีส้มทอแสงราวอ่อนล้าต่อความพยายามสาดทอผ่านม่านสายหมอก
“สวยจัง...” หญิงสาวอุทานเมื่อก้าวมาถึงยังเนินสูงนั้นพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านผาตะวัน “ธารขอเก็บภาพเอาไว้เยอะๆ นะคะ”
ผู้ใหญ่เสนขยับไปยังก้อนหินสามก้อนที่ทำเป็นเตาไฟเก่า มีถ่านและเศษไม้อยู่พอที่จะก่อไฟผิงคลายความหนาว โดยปล่อยให้หญิงสาวจากเมืองกรุงเก็บภาพตามอย่างที่เธอต้องการไป
หลังเก็บรูปจนพอใจแล้วธารารินจึงได้เดินกลับมายังต้นไม้ที่ผู้ใหญ่เสนนั่งผิงไฟรออยู่ รอยยิ้มสดใสของเธอบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าเธอมีความสุขไม่น้อยกับการขึ้นมายังม่อนตะวันแห่งนี้
“ประเทศไทยโชคดีจริงๆ นะคะที่ยังมีผืนป่าอันเขียวขจีอย่างกับที่นี่”
เธอเปิดประเด็นขึ้นพร้อมกับยอบตัวลงนั่งบนหินก้อนหนึ่ง ยื่นมือไปอังไฟในเตาแล้วมองหน้าผู้ใหญ่เสนที่นั่งมองเปลวไฟด้วยแววตานิ่งงัน
“ก็คงมีแค่ที่นี่แหละที่ยังหลงเหลือผืนป่าอยู่ ที่อื่นฉันเคยได้ยินตามข่าวตามหนังสือของคนพื้นราบว่าเวลานี้มันถูกคนโลภมากตัดทำลายเสียสิ้น”
ในน้ำเสียงนั้นหญิงสาวจากเมืองกรุงสัมผัสได้ว่าชายชราผู้นี้กำลังเศร้ากับผืนป่าที่สูญเสียไปอย่างแท้จริง
“นั่นสิคะ ป่าในเมืองไทยแทบจะไม่เหลือแล้ว หากว่าเทียบกับเมื่อสิบยี่สิบปีก่อน น่าเศร้าใจจริงๆ นะคะที่วันหนึ่งป่าเขียวขจีแบบนี้จะหมดไปจากเมืองไทย”
“ไม่มีวัน ฉันคนหนึ่งล่ะจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น”
ผู้ใหญ่เสนเงยหน้าขึ้นมองธารารินด้วยประกายตาเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น
หญิงสาวจากเมืองกรุงรู้สึกขนลุกอย่างทันทีเมื่อสบประสานกับประกายตาคู่นั้น
เธอยอมรับว่านั่นคือแววตาของคนจริงจัง เธอแน่ใจว่านั่นคือแววตาของคนที่พูดและทำอะไรจริงๆ ผู้ใหญ่เสนเพิ่งพูดกับเธอไปว่าเขาจะไม่มีวันให้ป่าหมดไป โดยเฉพาะพื้นที่ตรงหน้าของเธอนี้
“ฉันเกิดและเติบโตขึ้นที่นี่ ผืนป่าแห่งนี้ฉันอยู่กับมันมาจนค่อนชีวิต ฉันคนหนึ่งล่ะจะไม่มีวันให้ใครมาทำลายมันเด็ดขาด”
ธารารินจุดยิ้มยินดีแล้วว่า
“ธารดีใจค่ะที่ได้ยินคำนี้จากปากของผู้ใหญ่” ว่าจบเธอก็ยกมือขึ้นพนมระหว่างอกแล้วว่าต่อ “องค์ในหลวงท่านทรงโชคดีนะคะที่มีประชาชนของท่านรักถิ่นฐานบ้านเกิดและสานรอยพระราชดำรัสของท่าน ดูแลรักษาผืนป่าให้อยู่คู่กับบ้านกับเมืองตลอดไป”
“ในหลวง...” ชายชราว่าพลางมองหน้าสาวจากกรุงเทพอย่างไม่เข้าใจ หญิงสาวคนนี้กำลังกล่าวถึงพ่อหลวงของเขาอยู่ “นี่คุณคิดเช่นนั้นด้วยหรือ”
รอยยิ้มที่จุดขึ้นบนเรียวปากงดงามเป็นยิ้มที่แต่งแต้มไปด้วยความสุขอันเปี่ยมล้น โดยเฉพาะประโยคต่อมาของเธอที่แม้แต่ผู้ใหญ่เสนยังรับรู้ถึงความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
“ก็ธารเป็นประชาชนของในหลวงนี่คะ โดยเฉพาะเวลานี้ธารเป็นข้าพระบาทของพระองค์ท่านอย่างเต็มตัวแล้ว ผู้ใหญ่รู้จักความหมายของคำว่าข้าราชการหรือเปล่าคะ”
“ข้าราชการก็คือคนของรัฐน่ะสิ คนของรัฐที่มักจะเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านตาดำๆ อย่างพวกเรา”
นั่นคือความเข้าใจที่มีอยู่ในตัวของผู้ใหญ่บ้านผาตะวัน ธารารินยิ้มแล้วส่ายหน้า ความคิดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่เสนคนเดียว มันอาจจะมีกับคนทุกคนในหมู่บ้านผาตะวันแห่งนี้และประชาชนตาดำๆ อย่างที่ผู้ใหญ่เสนว่าอีกหลายคน
ประชาชนตาดำๆ เหล่านี้นี่เองที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจนพวกเขาปิดกั้นและหมดความศรัทธาที่มีต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ
“คำตอบของผู้ใหญ่มันไม่ถูกหรอกนะคะ นั่นคือมุมมองด้านร้ายๆ ที่ชาวบ้านต่างมองเจ้าหน้าที่อย่างธาร”
“หึ...เข้าข้างพวกเดียวกัน”
ผู้ใหญ่บ้านผาตะวันเถียงอย่างทันที
ฝ่ายหญิงสาวกลับทำนิ่ง เธอจุดยิ้มอ่อนโยนก่อนจะมองหน้าชายชราอีกครั้ง
“ขอธารได้อธิบายนะคะว่าข้าราชการคืออะไร”
“ก็ว่าไปสิ”
ธารารินกลืนน้ำลายลงคอเพื่อไล่ก้อนความรู้สึกที่มันจุกแน่นอยู่ตรงลำคอ ทั้งสองจิตสองใจที่จะกล่าวพูดถึงความจริงด้วยเพราะกลัวว่าชายชราตรงหน้าจะไม่เชื่อคำของเธอ หาว่าเธอคิดจะหว่านล้อมให้เขาเป็นพวกเดียวกันกับข้าราชการที่ชอบโกงกินและเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน
จนกระทั่งหญิงสาวตั้งสติ ดวงตาเรียวสวยที่ก้มลงมองเปลวไฟในกองได้เงยขึ้นมองใบหน้าของชายชราที่กำลังมองเธออยู่ด้วยเช่นกัน เธอจุดยิ้มอ่อนโยนหมายใจให้ชายชราเชื่อในคำของตนก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแว่วหวานในที่สุด
“คำว่าข้าราชการมาจากคำว่า ข้าที่หมายถึงข้ารับใช้กับราชหรือราชะอันหมายถึงพระราชา ส่วนการหมายถึงการงาน ในที่นี้เมื่อรวมคำกันแล้วจึงหมายถึงผู้ที่ทำงานให้แก่พระราชาหรือทำงานแทนพระราชาค่ะ”
“งานที่ทำแทนพระราชา แล้วเหตุใดถึงไม่ดีเหมือนพระราชาล่ะ บางคนไม่ซื่อสัตย์ บางคนโลภมาก บางคนเอาเปรียบประชาชนอย่างพวกฉัน แบ่งแยกชนชั้นและกีดกันพวกฉันให้ต่ำต้อย”
ชายชราเถียงด้วยประกายตาไหวระริก แรงความรู้สึกที่ปิดกั้นเริ่มมีบทบาทอีกครั้ง
“นั่นไม่ใช่ข้าราชการค่ะ เขาเป็นแค่คนไม่ซื่อตรงต่อจรรยาบรรณของตนเองคนหนึ่งเท่านั้น” เธอพยายามคิดหาคำมาอธิบายอย่างประนีประนอมที่สุด เพราะกลัวว่าผู้ใหญ่เสนจะปิดกั้นเธอไปอีกคนหาว่าอวยต่อพวกตนเอง “ในระบบงานเหล่านี้ย่อมมีทั้งดีและไม่ดีนะคะผู้ใหญ่ ก็เหมือนในสังคมหนึ่งๆ ที่มีผู้คนมากมายปะปนกันไป คนดีคือคนที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงานของตนเอง ส่วนคนที่คิดไม่ซื่อ ทำผิดต่อจรรยาบรรณคือคนที่ทำผิดอย่างมหันต์ ทำผิดต่อแผ่นดินและองค์พระราชาค่ะ คนพวกนี้ไม่สมควรที่จะให้ความเคารพนับถือเพราะเขาเป็นคนทำลายเกียรติของตนเองมาตั้งแต่ทีแรกแล้ว”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าใครดีหรือไม่ดี บางทีมันอาจจะเหมือนกันทั้งพวกพ้องก็ได้”
ธารารินมองเข้าไปในแววตาของชายชราที่เริ่มมองเธอไปในทาง ‘พวกเดียวกัน’ กับข้าราชการบางคนที่ทำผิดต่อจรรยาบรรณของตนเอง
หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะรวบรวมสติให้ตั้งมั่น หมั่นบอกตัวเองเสมอว่าเธอเป็นข้าราชการที่เข้ามาทำงานแทนพระราชาและเพื่อประชาชนจริงๆ ไม่ใช่พวกที่ผู้ใหญ่เสนและชาวบ้านอีกหลายร้อยหลายพันคนเข้าใจ
“ผู้ใหญ่อย่าเหมารวมว่าข้าราชการหรือคนของรัฐจะเลวร้ายกันหมดทุกคนสิคะ เหมือนอย่างที่ธารบอกไปเมื่อสักครู่นี้ว่าสังคมทุกกลุ่มย่อมมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันไป สิ่งที่ผู้ใหญ่สมควรจะสังเกตเพื่อแบ่งแยกคนกลุ่มนี้ออกไปจากข้าราชการน้ำดีก็คืองานที่เขากำลังทำอยู่ เชื่อสิคะในความหมายของข้าราชการนั้นหมายถึงผู้ที่ทำงานแทนพระราชา ข้าราชการที่ดีจะต้องเสียสละและทำงานทุกอย่างเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่เอารัดเอาเปรียบประชาชน ให้ความช่วยเหลือตามแต่ที่คนๆ หนึ่งจะช่วยเหลือพึ่งพากันได้ ส่วนคนเลวนั้นในสังคมนี้จริงๆ แล้วมีน้อยนะคะ เพียงแต่ว่าผู้ใหญ่และชาวบ้านผาตะวันโชคร้ายเจอเข้าก่อนที่จะเจอข้าราชการที่ดีเท่านั้น”
“คุณกำลังจะบอกฉันว่า คุณคือข้าราชการน้ำดีน่ะหรือ”
เป็นอีกครั้งที่ธารารินได้ยินน้ำเสียงกึ่งเยาะมาจากปากของชายชรา
“ธารไม่ได้จะบอกผู้ใหญ่ว่าธารเป็นข้าราชการน้ำดีค่ะ บางทีนะคะ ธารอาจจะเป็นคนเลวคนหนึ่งที่ปะปนในกลุ่มคนดีเท่านั้น แต่...ธารอยากจะให้ผู้ใหญ่ตัดสินธารในด้านของการกระทำและการทำงานมากกว่าค่ะ ไม่ใช่ตัดสินว่าธารจะเป็นข้าราชการที่จะมาเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน”
“อะไรล่ะที่จะบอกให้ฉันและชาวบ้านรู้ว่าคุณไม่ใช่พวกเดียวกับคนที่เอารัดเอาเปรียบพวกฉัน”
“ระยะเวลาอย่างไรล่ะคะและผลของการทำงานที่จะมีต่อชาวบ้านที่นี่ ธารขอได้ไหมคะผู้ใหญ่ ขอให้เชื่อว่าธารหวังดีกับชาวบ้าน ธารมาที่นี่เพื่อพัฒนาชุมชนในฐานะของพัฒนากร ธารมาที่นี่เพื่อสานต่องานขององค์พระราชา ไม่ใช่เข้ามาเพื่อทำร้ายและทำลายผู้คนที่นี่”
“เหอะ...ระยะเวลาหรือ เมื่อถึงเวลานั้น ป่าทั้งผืนนี้ก็คงต้องวอดวายไปเพราะน้ำมือของข้าราชการอย่างพวกคุณหมด”
“ผู้ใหญ่คะ” ธารารินมองตามชายชราที่ผุดกายลุกขึ้นยืน แล้วทอดสายตามองออกไปยังทุ่งกาแฟอันเวิ้งว้างซึ่งเวลานี้มีสายหมอกเส้นบางๆ ลอยเรี่ยอย่างงดงาม “ธารขอบอกในที่นี้เลยนะคะว่าที่ธารเลือกมาปฏิบัติหน้าที่ในภาคเหนือนั่นเพราะธารรักในธรรมชาติ ธารชอบบรรยากาศของผืนป่า สายน้ำและลำธารกับกล้วยไม้ป่าอันสวยงาม ผู้ใหญ่ลองคิดดูสิคะ คนๆ หนึ่งในเมื่อรักและชื่นชอบอะไรแล้ว เขาหรือคะที่คิดจะทำลายในสิ่งที่เขารัก”
ว่าจบหญิงสาวได้ลุกจากที่แล้วเดินตามชายชรามายืนอยู่ริมผาสูง ทอดสายตาไปในทางเดียวกันกับผู้ใหญ่เสน
“ความสุขของคนเรามีไม่มากนักหรอกนะคะผู้ใหญ่ ในเมื่อค้นพบมันแล้วมีหรือคะที่ธารคิดจะทำลายความสุขของตนเอง”
///////โปรดติดตามตอนต่อไป//////////
ยิ่งดึกดูเหมือนอากาศจะยิ่งเพิ่มความเย็นเป็นทบเท่าทวี ไม่แม้แต่ความเงียบที่ย่างกรายเข้ามาใกล้จนธารารินรู้สึกเดียวดาย เมื่อชั่วโมงก่อนผู้ใหญ่เสนและภรรยาได้ขอตัวเข้านอนก่อน เช่นเดียวกับอริมาที่เหน็ดเหนื่อยต่อการเดินทางตามเข้านอนไปอีกคน จะเหลือแต่หญิงสาวที่ยังนอนไม่หลับ แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงไรเธอก็ยังไม่ง่วงอยู่ดี
อาจจะเป็นเพราะเธอชอบนอนดึกเป็นปกติอยู่แล้ว แม้ว่าจะเจอบรรยากาศใหม่ๆ กับความเย็นยะเยือกของขุนเขากว้างกลับยิ่งทำให้เธอไม่อยากนอน
ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะยิ่งดึกยิ่งหนาว ยิ่งดึกยิ่งเหงาก็เป็นได้ จึงทำให้สาวจากเมืองกรุงนั่งหย่อนเท้าอยู่บนแคร่ไม้หน้าเรือนผู้ใหญ่เสน โดยข้างๆ มีกองไฟที่สุมถ่านแดงๆ ใกล้มอดเต็มทีให้ความอบอุ่นแต่พอประมาณ
ยามดึกเช่นนี้ในหมู่บ้านผาตะวันมีแต่ความมืดมิดเพราะชาวบ้านเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำกันไปส่วนมาก ส่วนไฟฟ้านั้นยากจะถามหากันเพราะไม่มี ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่างในยามค่ำคืนเท่านั้นราวกับว่าเป็นหมู่บ้านที่ย้อนหลังไปเมื่อห้าถึงหกสิบปีก่อน
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ไร้หมู่เมฆาและมีแต่แสงดาวพราวระยิบงดงาม ฟ้ามืดยามค่ำคืนกลางป่ากว้างเช่นนี้ดูสวยงามอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ไกลออกไปเกือบลับขอบฟ้า พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวแขวนอยู่เหนือปลายไม้ แสงของมันมัวสลัวไม่แจ่มสว่างอย่างดวงดวงเล็กๆ นับพันล้านดวงที่ทอแสงสดใสร่าเริง
สายลมยามดึกพัดแผ่วๆ ระหมู่ไม้ใหญ่น้อยให้โยกไหวราวมีชีวิต ทำให้น้ำค้างยามดึกร่วงพรูลงสู่พื้นเบื้องล่างกระทบใบไม้แห้งเสียงดังเปราะแปะๆ
ไม่นานแมลงไพรก็สะบัดปีกกรีดเสียงราวกับร่วมกันบรรเลงบทเพลงแห่งพงไพร
ธารารินนิ่งฟังอยู่เช่นนั้นจนลุล่วงสู่ห้วงอารมณ์แห่งความคิดวุ่นวายในหัวใจ
...ไม่คิดเลยว่าสาวจากเมืองกรุงอย่างเธอที่มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายจะดั้นด้นเดินทางมายังอำเภอเล็กๆ และถึงขนาดเลยเถิด
หนีเข้าป่ามาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่มีแต่คนแปลกหน้าไม่น่าไว้วางใจ
เธอคิดผิดหรือไม่กับการเดินทางมายังที่นี่...เพราะเพียงแค่วันแรก เธอก็พบกับคนไร้น้ำใจจนต้องเดินเท้ามาตามเส้นทางอันทุรกันดาร นี่หรอกหรือชาวบ้านชาวเมืองที่เธอเคยคิดเสมอว่ามีแต่ความโอบอ้อมอารี มีแต่ความเมตตาต่อกัน
นี่หรอกหรือพื้นที่ที่เธอเคยคิดว่าความศิวิไลซ์และความเห็นแก่ตัวจะยังไม่เดินทางมาถึง
ไม่เลย...
ทุกพื้นที่ ทุกสถานที่มีแต่คนประเภทเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว กลั่นแกล้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไม่สนใจต่อความรู้สึกของอีกฝ่ายคละเคล้าปะปนกันเต็มไปหมด
ไม่คิดเลย...ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะมาพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้
หญิงสาวถอนใจออกมายืดยาว มือทั้งสองกระชับผ้าห่มแน่น แล้วกอดอกตัวเองให้ความอบอุ่นเมื่อเวลานี้ความเหน็บหนาวมันแทรกลึกสู่หัวใจให้รู้สึกเดียวดาย
เช่นเดียวกับหยาดน้ำตาที่เริ่มคลอรื้นหน่วยตา แล้วค่อยๆ ไหลออกมา
ความหวาดกลัวเริ่มมีบทบาทอย่างรวดเร็วเมื่อความอ่อนแอของหญิงสาวฉายชัด
สิ่งที่เธอคาดหวังเอาไว้ตั้งแต่แรกดูเหมือนมันจะไม่เป็นไปตามนั้น เส้นทางที่คิดว่าจะสวยงามและมีแต่โลกอันสดสวยถูกลดถอยหลังไปมากกว่าครึ่งเพราะแท้ที่จริงแล้ว โลกใบนี้โหดร้ายเกินกว่าที่เธอคาดการณ์อย่างมากมายนัก
ส่วนหนึ่งนึกสมน้ำหน้าตัวเองที่ ‘รนหาที่’
แต่อีกส่วนหนึ่งเมื่อนึกถึงงานที่เธอรับผิดชอบ กับคำพูดหลายๆ คำของนักพัฒนาตัวอย่างหลายคน ค่อยๆ ลดทอนความรู้สึกเดียวดายและบอกเตือนให้เธอลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
“พัฒนากรต้องอดทนและเป็นได้ทุกอย่าง...”
นั่นคือประโยคแรกที่เธอน้อมรับในวันที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง พร้อมกับอีกหลายๆ คำต่อมาในเชิงเตือนใจถึงการพัฒนางานของตัวเอง โดยเฉพาะคำของพี่สีฟ้า พี่เลี้ยงในตัวจังหวัดที่กล่าวว่า...
“...ป่าเขาลำเนาไพร ไม่ว่าจะใกล้ไกล พระองค์ท่านทรงเสด็จไปทุกแห่งที่ แม้จะทุรกันดารขนาดไหน พระองค์ก็เคยไป อย่างจังหวัดพะเยาของเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อหลายสิบปีก่อนในหลวงท่านเคยเสด็จมาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้ง เพราะฉะนั้นพี่อยากจะให้เธอตั้งใจทำงาน แม้จะเหน็ดเหนื่อยมากแค่ไหน ขอให้มุ่งมั่นนึกถึงพระองค์ท่านเอาไว้ เพราะสมัยนั้นกับสมัยนี้มันต่างกันมาก ความลำเค็ญที่พระองค์ทรงพบเจอทรงมากกว่าเราในสมัยนี้หลายร้อยเท่านัก...”
จังหวัดพะเยาที่ห่างไกลจากเมืองหลวงเกือบหนึ่งพันกิโลเมตร หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถยังเคยเสด็จมาดูแลปวงชนของพระองค์ท่าน
แล้วเธอล่ะ...เธอที่เป็นเพียงหนึ่งธุลีดินของพระองค์ท่านเท่านั้นมีหรือจะทำไม่ได้
“...ต่อให้ยากลำบากแค่ไหน ขอให้คิดเสียว่าเราทำเพื่อส่วนรวม เมื่อคิดว่าทำเพื่อส่วนรวมแล้วมันย่อมดีกว่าส่วนตัวอย่างมากมาย”
“เด็ดเดี๋ยว แน่วแน่ต่องานราชการ งานที่จะสานต่องานของพระราชา...”
“...แม้ว่าหนทางจะยากลำบากแค่ไหน ขอให้คิดเสียว่านั่นคือบททดสอบของเรา เชื่อว่าเมื่อตั้งใจทำอะไรแล้ว จุดหมายปลายทางของความตั้งใจย่อมสวยงาม...”
กับอีกหลากหลายคำที่เธอได้รับฟังมาจากหลายๆ คนที่มีแต่ความมุ่งมั่งตั้งใจกระทำการเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์ รับใช้แผ่นดินเกิดอย่างสมความตั้งใจ
มือบางของหญิงสาวค่อยๆ ปาดหยาดน้ำตาทิ้งไป ก่อนจะก้มลงมองมือของตนเองที่เปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตา มันเย็นเมื่อต้องลม ต่อเมื่อมันค่อยๆ แห้งและเธอซุกมันเอาไว้ในผ้าห่มความเหน็บหนาวในคราวแรกก็หายไป
“ความลำบากมันก็คงจะเหมือนหยาดน้ำที่แตะลงบนหลังมือแล้วต้องลมจนเหน็บหนาวสินะ เมื่อเรารู้วิธีที่จะขจัดมันออกโดยการทำให้มันแห้งแล้วซุกใต้ผ้าห่ม มันก็จะหายไปเอง”
เธอบอกกับตัวเองแล้วจุดยิ้ม เวลานี้มือของเธอเริ่มอบอุ่นเช่นเดิมแล้ว
มันก็แค่หนาวเพียงชั่วครู่ชั่วยาม อยู่ที่ว่าเราจะอดทนได้นานสักแค่ไหนเท่านั้น
“อดทน ใช่ เธอต้องอดทนนะธาราริน”
เวลานั้น ท่ามกลางผืนป่าอันเงียบสนิทและเย็นยะเยือก สองหูของธารารินก็สดับยินเสียงขลุ่ยทำนองเศร้าล่องลอยมากับสายลม จากแผ่วเบาแล้วค่อยๆ ชัดเจนขึ้น หญิงสาวจากเมืองกรุงนิ่งสดับฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะรู้สึกสะท้านเข้าไปถึงหัวใจเมื่อจับทำนองเพลงบทนั้นที่ดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน
อะไรกัน...ที่นี่มีเรื่องเศร้าสร้อยกับเขาด้วยหรือ
แล้ว...ใครกันที่เป่าบทเพลงนี้ขึ้นในยามดึกสงัด
ดวงตาทั้งสองข้างของสาวจากกรุงเทพฯ ไหวระริก ความอยากรู้แทรกลึกกลางหัวใจ ความสงสัยเริ่มตีแผ่ปกคลุมความขลาดกลัวในคราวแรกเสียหมดสิ้น
ในขณะเดียวกันเสียงเพลงนั้นก็ยังล่องลอยแว่วหวานมาตามสายลม ดูเหมือนว่ามันจะดังมาจากทางหลังเรือนของผู้ใหญ่เสนและไม่ไกลจากจุดที่เธออยู่มากนัก
“ใครกัน มาเป่าเพลงยามค่ำคืนแบบนี้”
สองเท้าเหยียบย่างลงบนพื้นดินแทบจะพร้อมๆ กับความคิดที่สั่งการให้มือคว้าตะเกียงน้ำมันและสาวเท้าลอดเรือนไม้หลังสูงไปยังทางหลังบ้านอย่างทันที
ยิ่งใกล้ลำธารสายนั้น เสียงเพลงเศร้ายิ่งชัดเจน
ยิ่งได้ฟัง หัวใจสาวยิ่งสะท้านลึกในหัวอกราวกับบทเพลงนั้นบาดหัวใจของเธอจนเป็นแผลเหวอะหวะ
และคงไม่ต่างไปจากเจ้าของเสียงเพลงนั้นมากนัก
อะไร...ใครกัน...เขาเป็นใคร ถึงได้มาเป่าเพลงขลุ่ยท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างเวลานี้ ทั้งบทเพลงที่เป่าก็เศร้าสร้อยราวกับคนที่เจ็บปวดต่อความพลัดพราก
การพลัดพราก...จากลา...
สองเท้าแบบบางย่างเหยียบไปตามเส้นทางมุ่งสู่ลำธารสายเล็กๆ ด้านหลังเรือนของผู้ใหญ่เสนด้วยความใคร่รู้ที่มันเกาะกุมหัวใจจนยากจะสลัดทิ้งไปได้ ไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีแม้กระทั่งอารมณ์ฉุกคิดถึงภัยอันตรายซึ่งหญิงสาวสัมผัสได้ว่าการที่เธอเดินย่ำเท้าไปข้างหน้านั้นจะไม่รับอันตรายใดๆ มากไปกว่าความเศร้าสร้อยที่เธอรับรู้
เขา...หรือใครคนนั้นไม่ได้มีอันตรายสำหรับเธอ
ตลอดเส้นทางที่ทอดผ่านไปยังสายธารเล็กๆ นั้นมีแต่ความเงียบของผืนป่ากว้าง ธารารินเดินไปข้างหน้าด้วยความอยากรู้โดยมีตะเกียงใบเก่าคอยนำทาง เธอเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นเงาของใครบางคนนั่งอยู่บนโขดหินใหญ่เหนือลำธารไปทางด้านใต้ประมาณสามร้อยเมตร ใครคนนั้นนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับบรรจงผิวปากเป่ากระบอกไม้ในมือแล้วสะบัดนิ้วไล่คีย์เสียงออกมาเป็นบทเพลงที่น่าฟัง
หากสำหรับธารารินกลับรู้สึกว่ามันแสนเศร้าเหลือเกิน...
มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาคนนั้นกันแน่นะ
แสงจันทร์และแสงดาวที่สาดส่องลงมายังร่างเหนือโขดหินใหญ่นั้นหญิงสาวจากกรุงเทพฯ เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาจะต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน เพราะลักษณะท่าทางและชุดที่สวมใส่กับผ้าขาวม้าที่เคียนอยู่ตรงศีรษะ แต่กระนั้นเธอก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเขาคนนั้นเป็นเด็ก คนหนุ่มหรือคนแก่ เพราะเขานั่งหันข้างให้กับเธอ
เขาเป่าเพลงเศร้ากลางดึกและตากน้ำค้างอันหนาวเหน็บนี้ไปทำไมกันนะ
หรือเขาอกหัก...พลัดพรากจากคนที่เขารัก
หรือเขาแค่อยากจะเป่ามันเพื่อระบายความอัดอั้นในหัวใจ
เจ็บปวด...เพรียกหา...อย่างนั้นหรอกหรือ...
ธาราริน ถิ่นเมฆา สลัดความคิดทั้งหมดทิ้งก่อนจะตัดสินใจย่างเท้าไปข้างหน้าอีกครั้งหมายใจไปถามชายคนนั้นให้แน่ว่าเหตุใดเขาถึงมาเป่าขลุ่ยในช่วงดึกสงัดเงียบเหงาแบบนี้ เขากำลังอยู่ในสภาวะไหนกัน เพรียกหา คะนึงถึงหรือเศร้าเสียใจเพราะการจากลา
ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวพ้นไปจากตรงจุดนั้น เสียงของผู้ใหญ่เสนก็ดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง ฉุดให้เธอหันกลับไปมองพร้อมกับสีหน้าตกใจ
“นั่นคุณจะไปไหน คุณพัฒนากร”
ในน้ำเสียงของชายชรา ธารารินสัมผัสได้ถึงกระแสความไม่พอใจตีแผ่ออกมา
ชายชรายืนนิ่งอยู่ในความมืดของแมกไม้ราวศิลาหิน หากสีหน้าและแววตาที่ฉายออกมาประกอบกับระยะทางไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตรทำให้นักพัฒนากรสาวไหวสะท้านยามเห็น
“ธะ...ธาร ธาร เห็นใครบางคนนั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนโขดหินนั่นค่ะเลยจะไปดู”
หญิงสาวว่าแล้วชี้ไปทางต้นเสียงในคราวแรกและเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เธอก้าวออกพ้นจากอาณาเรือนของผู้ใหญ่เสน ทว่าเวลานี้บนก้อนหินใหญ่นั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีชายแสนเศร้านั่งเป่าขลุ่ยอีกต่อไป
เขาหายไปอย่างรวดเร็วราวผีห่าซาตาน
คิ้วทั้งสองข้างของธารารินขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัยในความว่องไวนั้น
“เอ๊ะ หายไปไหนแล้ว...”
เพียงแค่คาดกันเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ชายคนนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“มันไม่มีตั้งแต่แรกต่างหากล่ะ คุณรู้ไหมสิ่งที่คุณได้ยินและเห็นนั้นมันอาจจะเป็นผีไพรแปลงร่างมาก็ได้”
ธารารินมองเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ใหญ่เสนจุดยิ้มเยาะเธอในขณะที่เขาก้าวเข้ามายืนตรงหน้าพร้อมกับน้ำเสียงเข้มจัด
“รีบกลับขึ้นเรือนซะ ถ้าคุณไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งไว้ตรงนี้ ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่รึว่าอย่าออกจากบ้านในเวลากลางค่ำกลางคืน”
“แต่ผี...”
“คุณกำลังจะเถียงว่าผีไม่มีในโลกใช่ไหม” ชายชราดักทางอย่างรู้ทัน “นั่นมันความเชื่อของคนเมืองกรุงอย่างคุณ แต่กับที่นี่มันไม่ใช่...”
ธารารินจิ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อถูกดักคอและดูเหมือนว่าชายชราตรงหน้าจะไม่ฟังเสียงของเธอเป็นฝ่ายฉุดแขนหญิงสาวอย่างแรงให้ปลิวตามเขากลับเข้าเรือนไปในที่สุด
////////////
ลับเหลี่ยมหินใหญ่ไม่มากนัก มีร่างชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดหม้อฮ้อมเก่าๆ เคียนศีรษะด้วยผ้าขาวม้าลายตาหมากรุกสีขาวสลับแดง ในมือของเขาถือขลุ่ยเลาเล็กๆ ลอบถอนใจเมื่อเห็นผู้ใหญ่บ้านผาตะวันฉุดแขนหญิงสาวคนหนึ่งจากไป...
////////////
เป็นครั้งแรกที่ธารารินเห็นผู้ใหญ่เสนซึ่งในคราวแรกดูท่าทางใจดี น่าไว้ใจโกรธขึงอย่างมากมายเหมือนเมื่อสักครู่ โดยเฉพาะแรงบีบที่แขนของเธอซึ่งแรงราวคีมเหล็กที่เต็มไปด้วยความร้อนอบด้วยไฟ เธอก้มลงมองแขนของตัวเองที่มีรอยแดงปรากฏชัด ก่อนจะเลยสายตาไปยังร่างที่นอนอุตุในผ้าห่มของอริมา
สาวจากกรุงเทพฯ ส่ายหน้า จริงอยู่ที่เธอเจ็บแขนตอนถูกกระชาก ทว่าความสงสัยในภาพที่เห็นกับเสียงที่ได้ยินกลับมีมากกว่า
มีใครบางคนมานั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนโขดหินใหญ่ด้วยบทเพลงที่เศร้าสร้อย เสียงเพลงนั้นบาดลึกสู่หัวใจให้รับรู้ซึ่งความเจ็บปวดตาม
เขาคนนั้นเป็นใครกัน...
“แล้วทำไมผู้ใหญ่เสนถึงได้บอกกับเราว่าเป็นผีป่ามาหลอกล่อเรานะ”
คิ้วทั้งสองยิ่งขมวด ความคิดสับสนวุ่นวายรบเร้าให้อยากรู้และไขมันให้กระจ่าง
ผีไม่มีในโลก...หญิงสาวเชื่อเช่นนั้น
แต่...
“นั่นมันความเชื่อของคนเมืองกรุงอย่างคุณ แต่กับที่นี่มันไม่ใช่...”
น้ำเสียงอันแข็งกระด้างจากปากของชายชราดังชัดเจน...เธอ กำลังจะคิดก้าวล้ำความคิดของคนที่นี่หรืออย่างไร
“แต่ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ย่อมมีเหตุและผลของมัน สิ่งที่มนุษย์พิสูจน์ได้เท่านั้นที่เป็นความจริง ส่วนเรื่องของผีสางเทวดาเป็นแค่ความเชื่อของคนบางกลุ่มเท่านั้น”
ใช่...มันเป็นความเชื่อของคนที่นี่
หญิงสาวพยายามตักเตือนตัวเอง แม้เธอจะเห็นค้านอย่างมากมายกับความเชื่อที่งมงายล้าหลังเป็นมนุษย์เต่าล้านปี แต่อย่างไรแล้วเธอก็ไม่อาจจะไปเปลี่ยนความคิดของพวกเขาได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ
“ถ้าคุณอยากจะอยู่ที่นี่และทำงานอย่างมีความสุขก็จงเชื่อฉัน อย่าพยายามสอดรู้สอดเห็นให้มันมากนัก ไม่อย่างนั้นตัวของคุณเองล่ะจะลำบาก...”
เวลานั้นคำพูดของผู้ใหญ่เสนก็แทรกเข้ามาในความคิด กระแสเสียงอันมั่นคงและแข็งกระด้างแทรกลึกสู่หัวใจหญิงสาวให้สะท้าน
กลัวตาม....ดูเหมือนผู้ใหญ่เสนจะเอาจริงและโกรธเธอมากที่ลงไปยังริมลำธารเมื่อสักครู่นี้
หญิงสาวค่อยๆ ล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมแล้วตะแคงข้างหันหน้าเข้าข้างฝาบ้าน ก่อนน้ำตาจะค่อยๆ ไหลรินออกมาเมื่อความรู้สึกกลัวที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจเริ่มตีแผ่และมีอิทธิพลอีกครั้ง
อีกนานเท่าไรนะที่ความรู้สึกหวาดกลัวและอ่อนแอแบบนี้ของเธอจะหมดไป...
////////////
เช้าแล้ว ได้ยินเสียงไก่ขันรับกันเป็นทอดๆ พร้อมกับมวลอากาศหนาวเย็นแผ่ปกคลุมทุกพื้นที่ของหมู่บ้านผาตะวัน ด้านนอกเรือนผู้ใหญ่เสนมีเสียงชาวบ้านทักทายและชักชวนกันลงไร่ลงสวนมาให้ได้ยินเป็นระยะ หญิงสาวจากเมืองกรุงนอนลืมตาอยู่บนที่นอนสักพักก็ผุดกายลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจแล้วจึงมองไปยังร่างของสาวรุ่นพี่ที่นอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม
อริมาคงจะเพลียกับการเดินทางเมื่อวันวาน ถึงวันนี้เลยนอนนิ่งไม่อยากขยับกายไปไหน ธารารินจุดยิ้มนึกถึงตัวเองที่มีอาการไม่ต่างไปจากสาวรุ่นพี่นัก ทว่าความตั้งใจที่มีอยู่ในหัวใจคือต้องการเก็บภาพแสงแรกของหมู่บ้านผาตะวันเอาไว้ในความทรงจำเธอจึงลุกจากที่นอนคว้ากล้องถ่ายภาพออกจากห้องนั้นไปโดยไม่คิดจะปลุกอริมา
ภาพสายหมอกเส้นบางๆ ลอยคว้างอยู่ตรงหน้าเธออย่างสวยงาม นักพัฒนาสาวมิวายเก็บความสวยงามเหล่านั้นเอาไว้ในกล่องความทรงจำเล็กๆ หลายภาพ ก่อนจะได้รับความร่วมมือจากผู้ใหญ่เสนพาหญิงสาวไปยังม่อนตะวันเก็บภาพพระอาทิตย์ยามทอแสงแรกอันสวยงาม
ม่อนตะวันเป็นอีกสถานที่หนึ่งของหมู่บ้านผาตะวัน เป็นสันเขาสูงที่ทอดยาวไล่ต่ำลงไปจรดไร่กาแฟของหมู่บ้าน ซึ่งไกลออกไปเป็นสันเขาที่ขวางกั้นประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีทิวหมอกสีขาวลอยไล่เลี่ยสวยงาม ฉากหลังเป็นดวงตะวันสีส้มทอแสงราวอ่อนล้าต่อความพยายามสาดทอผ่านม่านสายหมอก
“สวยจัง...” หญิงสาวอุทานเมื่อก้าวมาถึงยังเนินสูงนั้นพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านผาตะวัน “ธารขอเก็บภาพเอาไว้เยอะๆ นะคะ”
ผู้ใหญ่เสนขยับไปยังก้อนหินสามก้อนที่ทำเป็นเตาไฟเก่า มีถ่านและเศษไม้อยู่พอที่จะก่อไฟผิงคลายความหนาว โดยปล่อยให้หญิงสาวจากเมืองกรุงเก็บภาพตามอย่างที่เธอต้องการไป
หลังเก็บรูปจนพอใจแล้วธารารินจึงได้เดินกลับมายังต้นไม้ที่ผู้ใหญ่เสนนั่งผิงไฟรออยู่ รอยยิ้มสดใสของเธอบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าเธอมีความสุขไม่น้อยกับการขึ้นมายังม่อนตะวันแห่งนี้
“ประเทศไทยโชคดีจริงๆ นะคะที่ยังมีผืนป่าอันเขียวขจีอย่างกับที่นี่”
เธอเปิดประเด็นขึ้นพร้อมกับยอบตัวลงนั่งบนหินก้อนหนึ่ง ยื่นมือไปอังไฟในเตาแล้วมองหน้าผู้ใหญ่เสนที่นั่งมองเปลวไฟด้วยแววตานิ่งงัน
“ก็คงมีแค่ที่นี่แหละที่ยังหลงเหลือผืนป่าอยู่ ที่อื่นฉันเคยได้ยินตามข่าวตามหนังสือของคนพื้นราบว่าเวลานี้มันถูกคนโลภมากตัดทำลายเสียสิ้น”
ในน้ำเสียงนั้นหญิงสาวจากเมืองกรุงสัมผัสได้ว่าชายชราผู้นี้กำลังเศร้ากับผืนป่าที่สูญเสียไปอย่างแท้จริง
“นั่นสิคะ ป่าในเมืองไทยแทบจะไม่เหลือแล้ว หากว่าเทียบกับเมื่อสิบยี่สิบปีก่อน น่าเศร้าใจจริงๆ นะคะที่วันหนึ่งป่าเขียวขจีแบบนี้จะหมดไปจากเมืองไทย”
“ไม่มีวัน ฉันคนหนึ่งล่ะจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น”
ผู้ใหญ่เสนเงยหน้าขึ้นมองธารารินด้วยประกายตาเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น
หญิงสาวจากเมืองกรุงรู้สึกขนลุกอย่างทันทีเมื่อสบประสานกับประกายตาคู่นั้น
เธอยอมรับว่านั่นคือแววตาของคนจริงจัง เธอแน่ใจว่านั่นคือแววตาของคนที่พูดและทำอะไรจริงๆ ผู้ใหญ่เสนเพิ่งพูดกับเธอไปว่าเขาจะไม่มีวันให้ป่าหมดไป โดยเฉพาะพื้นที่ตรงหน้าของเธอนี้
“ฉันเกิดและเติบโตขึ้นที่นี่ ผืนป่าแห่งนี้ฉันอยู่กับมันมาจนค่อนชีวิต ฉันคนหนึ่งล่ะจะไม่มีวันให้ใครมาทำลายมันเด็ดขาด”
ธารารินจุดยิ้มยินดีแล้วว่า
“ธารดีใจค่ะที่ได้ยินคำนี้จากปากของผู้ใหญ่” ว่าจบเธอก็ยกมือขึ้นพนมระหว่างอกแล้วว่าต่อ “องค์ในหลวงท่านทรงโชคดีนะคะที่มีประชาชนของท่านรักถิ่นฐานบ้านเกิดและสานรอยพระราชดำรัสของท่าน ดูแลรักษาผืนป่าให้อยู่คู่กับบ้านกับเมืองตลอดไป”
“ในหลวง...” ชายชราว่าพลางมองหน้าสาวจากกรุงเทพอย่างไม่เข้าใจ หญิงสาวคนนี้กำลังกล่าวถึงพ่อหลวงของเขาอยู่ “นี่คุณคิดเช่นนั้นด้วยหรือ”
รอยยิ้มที่จุดขึ้นบนเรียวปากงดงามเป็นยิ้มที่แต่งแต้มไปด้วยความสุขอันเปี่ยมล้น โดยเฉพาะประโยคต่อมาของเธอที่แม้แต่ผู้ใหญ่เสนยังรับรู้ถึงความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
“ก็ธารเป็นประชาชนของในหลวงนี่คะ โดยเฉพาะเวลานี้ธารเป็นข้าพระบาทของพระองค์ท่านอย่างเต็มตัวแล้ว ผู้ใหญ่รู้จักความหมายของคำว่าข้าราชการหรือเปล่าคะ”
“ข้าราชการก็คือคนของรัฐน่ะสิ คนของรัฐที่มักจะเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านตาดำๆ อย่างพวกเรา”
นั่นคือความเข้าใจที่มีอยู่ในตัวของผู้ใหญ่บ้านผาตะวัน ธารารินยิ้มแล้วส่ายหน้า ความคิดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่เสนคนเดียว มันอาจจะมีกับคนทุกคนในหมู่บ้านผาตะวันแห่งนี้และประชาชนตาดำๆ อย่างที่ผู้ใหญ่เสนว่าอีกหลายคน
ประชาชนตาดำๆ เหล่านี้นี่เองที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจนพวกเขาปิดกั้นและหมดความศรัทธาที่มีต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ
“คำตอบของผู้ใหญ่มันไม่ถูกหรอกนะคะ นั่นคือมุมมองด้านร้ายๆ ที่ชาวบ้านต่างมองเจ้าหน้าที่อย่างธาร”
“หึ...เข้าข้างพวกเดียวกัน”
ผู้ใหญ่บ้านผาตะวันเถียงอย่างทันที
ฝ่ายหญิงสาวกลับทำนิ่ง เธอจุดยิ้มอ่อนโยนก่อนจะมองหน้าชายชราอีกครั้ง
“ขอธารได้อธิบายนะคะว่าข้าราชการคืออะไร”
“ก็ว่าไปสิ”
ธารารินกลืนน้ำลายลงคอเพื่อไล่ก้อนความรู้สึกที่มันจุกแน่นอยู่ตรงลำคอ ทั้งสองจิตสองใจที่จะกล่าวพูดถึงความจริงด้วยเพราะกลัวว่าชายชราตรงหน้าจะไม่เชื่อคำของเธอ หาว่าเธอคิดจะหว่านล้อมให้เขาเป็นพวกเดียวกันกับข้าราชการที่ชอบโกงกินและเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน
จนกระทั่งหญิงสาวตั้งสติ ดวงตาเรียวสวยที่ก้มลงมองเปลวไฟในกองได้เงยขึ้นมองใบหน้าของชายชราที่กำลังมองเธออยู่ด้วยเช่นกัน เธอจุดยิ้มอ่อนโยนหมายใจให้ชายชราเชื่อในคำของตนก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแว่วหวานในที่สุด
“คำว่าข้าราชการมาจากคำว่า ข้าที่หมายถึงข้ารับใช้กับราชหรือราชะอันหมายถึงพระราชา ส่วนการหมายถึงการงาน ในที่นี้เมื่อรวมคำกันแล้วจึงหมายถึงผู้ที่ทำงานให้แก่พระราชาหรือทำงานแทนพระราชาค่ะ”
“งานที่ทำแทนพระราชา แล้วเหตุใดถึงไม่ดีเหมือนพระราชาล่ะ บางคนไม่ซื่อสัตย์ บางคนโลภมาก บางคนเอาเปรียบประชาชนอย่างพวกฉัน แบ่งแยกชนชั้นและกีดกันพวกฉันให้ต่ำต้อย”
ชายชราเถียงด้วยประกายตาไหวระริก แรงความรู้สึกที่ปิดกั้นเริ่มมีบทบาทอีกครั้ง
“นั่นไม่ใช่ข้าราชการค่ะ เขาเป็นแค่คนไม่ซื่อตรงต่อจรรยาบรรณของตนเองคนหนึ่งเท่านั้น” เธอพยายามคิดหาคำมาอธิบายอย่างประนีประนอมที่สุด เพราะกลัวว่าผู้ใหญ่เสนจะปิดกั้นเธอไปอีกคนหาว่าอวยต่อพวกตนเอง “ในระบบงานเหล่านี้ย่อมมีทั้งดีและไม่ดีนะคะผู้ใหญ่ ก็เหมือนในสังคมหนึ่งๆ ที่มีผู้คนมากมายปะปนกันไป คนดีคือคนที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงานของตนเอง ส่วนคนที่คิดไม่ซื่อ ทำผิดต่อจรรยาบรรณคือคนที่ทำผิดอย่างมหันต์ ทำผิดต่อแผ่นดินและองค์พระราชาค่ะ คนพวกนี้ไม่สมควรที่จะให้ความเคารพนับถือเพราะเขาเป็นคนทำลายเกียรติของตนเองมาตั้งแต่ทีแรกแล้ว”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าใครดีหรือไม่ดี บางทีมันอาจจะเหมือนกันทั้งพวกพ้องก็ได้”
ธารารินมองเข้าไปในแววตาของชายชราที่เริ่มมองเธอไปในทาง ‘พวกเดียวกัน’ กับข้าราชการบางคนที่ทำผิดต่อจรรยาบรรณของตนเอง
หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะรวบรวมสติให้ตั้งมั่น หมั่นบอกตัวเองเสมอว่าเธอเป็นข้าราชการที่เข้ามาทำงานแทนพระราชาและเพื่อประชาชนจริงๆ ไม่ใช่พวกที่ผู้ใหญ่เสนและชาวบ้านอีกหลายร้อยหลายพันคนเข้าใจ
“ผู้ใหญ่อย่าเหมารวมว่าข้าราชการหรือคนของรัฐจะเลวร้ายกันหมดทุกคนสิคะ เหมือนอย่างที่ธารบอกไปเมื่อสักครู่นี้ว่าสังคมทุกกลุ่มย่อมมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันไป สิ่งที่ผู้ใหญ่สมควรจะสังเกตเพื่อแบ่งแยกคนกลุ่มนี้ออกไปจากข้าราชการน้ำดีก็คืองานที่เขากำลังทำอยู่ เชื่อสิคะในความหมายของข้าราชการนั้นหมายถึงผู้ที่ทำงานแทนพระราชา ข้าราชการที่ดีจะต้องเสียสละและทำงานทุกอย่างเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่เอารัดเอาเปรียบประชาชน ให้ความช่วยเหลือตามแต่ที่คนๆ หนึ่งจะช่วยเหลือพึ่งพากันได้ ส่วนคนเลวนั้นในสังคมนี้จริงๆ แล้วมีน้อยนะคะ เพียงแต่ว่าผู้ใหญ่และชาวบ้านผาตะวันโชคร้ายเจอเข้าก่อนที่จะเจอข้าราชการที่ดีเท่านั้น”
“คุณกำลังจะบอกฉันว่า คุณคือข้าราชการน้ำดีน่ะหรือ”
เป็นอีกครั้งที่ธารารินได้ยินน้ำเสียงกึ่งเยาะมาจากปากของชายชรา
“ธารไม่ได้จะบอกผู้ใหญ่ว่าธารเป็นข้าราชการน้ำดีค่ะ บางทีนะคะ ธารอาจจะเป็นคนเลวคนหนึ่งที่ปะปนในกลุ่มคนดีเท่านั้น แต่...ธารอยากจะให้ผู้ใหญ่ตัดสินธารในด้านของการกระทำและการทำงานมากกว่าค่ะ ไม่ใช่ตัดสินว่าธารจะเป็นข้าราชการที่จะมาเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน”
“อะไรล่ะที่จะบอกให้ฉันและชาวบ้านรู้ว่าคุณไม่ใช่พวกเดียวกับคนที่เอารัดเอาเปรียบพวกฉัน”
“ระยะเวลาอย่างไรล่ะคะและผลของการทำงานที่จะมีต่อชาวบ้านที่นี่ ธารขอได้ไหมคะผู้ใหญ่ ขอให้เชื่อว่าธารหวังดีกับชาวบ้าน ธารมาที่นี่เพื่อพัฒนาชุมชนในฐานะของพัฒนากร ธารมาที่นี่เพื่อสานต่องานขององค์พระราชา ไม่ใช่เข้ามาเพื่อทำร้ายและทำลายผู้คนที่นี่”
“เหอะ...ระยะเวลาหรือ เมื่อถึงเวลานั้น ป่าทั้งผืนนี้ก็คงต้องวอดวายไปเพราะน้ำมือของข้าราชการอย่างพวกคุณหมด”
“ผู้ใหญ่คะ” ธารารินมองตามชายชราที่ผุดกายลุกขึ้นยืน แล้วทอดสายตามองออกไปยังทุ่งกาแฟอันเวิ้งว้างซึ่งเวลานี้มีสายหมอกเส้นบางๆ ลอยเรี่ยอย่างงดงาม “ธารขอบอกในที่นี้เลยนะคะว่าที่ธารเลือกมาปฏิบัติหน้าที่ในภาคเหนือนั่นเพราะธารรักในธรรมชาติ ธารชอบบรรยากาศของผืนป่า สายน้ำและลำธารกับกล้วยไม้ป่าอันสวยงาม ผู้ใหญ่ลองคิดดูสิคะ คนๆ หนึ่งในเมื่อรักและชื่นชอบอะไรแล้ว เขาหรือคะที่คิดจะทำลายในสิ่งที่เขารัก”
ว่าจบหญิงสาวได้ลุกจากที่แล้วเดินตามชายชรามายืนอยู่ริมผาสูง ทอดสายตาไปในทางเดียวกันกับผู้ใหญ่เสน
“ความสุขของคนเรามีไม่มากนักหรอกนะคะผู้ใหญ่ ในเมื่อค้นพบมันแล้วมีหรือคะที่ธารคิดจะทำลายความสุขของตนเอง”
///////โปรดติดตามตอนต่อไป//////////
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2557, 19:14:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2557, 19:14:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 1166
<< ตอนที่ ๐๕ ความหวังพลังใจ |