ระบำสายลม
รักแรก...ที่หยั่งลึก สิบปี...แห่งการพลัดพรากและรอคอยอย่างมั่นคง
เป็นความรักความผูกพัน อันท่วมท้นเท่าที่คนๆหนึ่งจะรักได้
เป็นการรอคอยอย่างรวดร้าวและยาวนาน เท่าที่หัวใจดวงหนึ่งจะพึงรับไหว

แม้วันนี้ "กีตาร์" จะกลายเป็นศิลปินนักร้องระดับซูเปอร์สตาร์
และ "พี่คิม" ได้กลายเป็นนายแพทย์คิมหันต์
แม้ว่า...ทุกการกระทำและทุกการตัดสินใจของคนเราจะมีผลกระทบต่อผู้คนแวดล้อม
และถูกบีบให้เลือกระหว่างตัวเองกับคนรอบข้างอยู่ร่ำไปก็ตาม
แม้ว่าจะมีตัวแปรและอุปสรรคมากมายขวางกั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้

เกลียวคลื่นยังม้วนตัวมาจากทะเลจีนใต้อันไกลโพ้น เพื่อเข้ากระทบชายหาดได้
แสงตะวันยังเดินทางตั้ง 93 ล้านไมล์ ผ่านห้วงอวกาศ มาสาดแสงแห่งรุ่งอรุณ
กระแสลมแห่งเวลาสิบปีที่ล่วงผ่าน ก็ยังพัดหวนพาเธอกับเขากลับมาพบกันอีกครั้ง ในค่ำคืนที่ต่างมีความทรงจำร่วมกัน
คู่รักที่เกิดวันเดียวกัน นั่นคือ โชคชะตา
การได้กลับมาพบกัน นั่นคือของขวัญจากพระเจ้า
สิ่งที่เหลือคือ...พรหมลิขิต

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 4.

4



ท่านผู้พิพากษาทรงพล กำลังรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์รายวันอันเป็นกิจวัตรปกติ แล้วจู่ๆพลันสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“มีอะไรหรือคะคุณ”

คุณมาลัยผิดสังเกตเมื่อเห็นอาการของสามี พาให้ม่านแก้วชะงักมือจากการปาดเนยลงบนขนมปัง ดวงตาที่มีแววเชื่อมั่นในตัวเองเสมอนั่นเลื่อนมาสบกับบิดา

“ดูเอาเองก็แล้วกัน” บอกกับภรรยาแต่กลับยื่นหนังสือพิมพ์ส่งให้ลูกสาว

“หน้าข่าวบันเทิง”

ม่านแก้วพลิกหนังสือพิมพ์ไปยังหน้าข่าวบันเทิงที่บิดาย้ำ แล้วดวงหน้าอ่อนหวานก็เปลี่ยนเป็นงุนงง

ในภาพหมอคิมกำลังโอบกอดกับกีตาร์ นักร้องสาวที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้

เนื้อข่าวบรรยายว่า... ‘เบนโจ ลี นักแต่งเพลงหนุ่ม ซึ่งเป็นทั้งคนใกล้ชิดและผู้จัดการส่วนตัว แอบพากีตาร์มาหาหมอในยามดึกคืนส่งท้ายปีเก่า ด้วยอาการคลื่นไส้อาเจียน ดูท่าว่าจะไม่ใช่ป่วยไข้ธรรมดา เพราะว่าเธอโผเข้ากอดรัดหมอหนุ่มในทันทีที่เห็นหน้า ใครคือตัวจริง? ระหว่างนักแต่งเพลงชื่อดังผู้ใกล้ชิดกับหมอหนุ่มนิรนาม’

“มีอะไรหรือลูก...เกิดอะไรขึ้น” คุณมาลัยชะเง้อมองหนังสือพิมพ์ในมือของลูกสาว

“นั่นสิ...พ่อก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง”

ม่านแก้วส่งหนังสือพิมพ์ให้มารดาอ่านเอง ไม่ใช่เพียงแต่บิดาเท่านั้นดอก เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าหมอคิมเข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไร

ใบหน้างดงามไร้ที่ติยามนี้เผือดลง นิ้วเรียวที่เคลือบเล็บไว้ด้วยสีชมพูอ่อนจาง ไล้ลูบลงบนเส้นผมอ่อนสลวยเหยียดตรงประบ่า เป็นกิริยาที่เจ้าตัวชอบทำยามครุ่นคิดหาคำตอบ

“คุณพระช่วย...แม่ไม่อยากเชื่อเลย” คุณมาลัยยกมือทาบอก

“น้องม่านก็ไม่เชื่อค่ะคุณแม่” เธอโพล่งออกมา ความคลางแคลงในดวงตาลับเลือนไปแล้ว เหลือเพียงความเชื่อมั่นเฉกเช่นอย่างเคย

ท่านทรงพลปิดปากนิ่ง แต่แววตาบอกให้รู้ว่าเรื่องนี้จะคลี่คลายก็ต่อเมื่อได้รับฟังคำอธิบายที่มีเหตุผลเท่านั้น

“แต่ในรูป...” คุณมาลัยพูดไม่ออก มองหน้าลูกอย่างกังวล

“คุณแม่ขา” ม่านแก้วดึงหนังสือพิมพ์ออกจากมือมารดาแล้วเลื่อนจานอาหารเช้าให้

“ทานต่อเถอะค่ะ...หมอคิมต้องให้คำตอบเราได้แน่ค่ะ เชื่อน้องม่านนะคะ”

“หนูเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเองน่ะพ่อเห็นด้วย แต่อย่าเชื่อใจคนอื่นว่าเขาจะเห็นเรามีค่าเสมอไป...ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงละก็คดีฟ้องหย่าก็น่าจะหมดไปนานแล้ว”

หญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆเพราะไม่เคยชินกับการถกเถียง ขัดแย้งกับบิดา อีกทั้งรู้ดีว่าถึงอย่างไรตอนนี้ หมอคิมคนที่คุณพ่อเคยออกปากว่า‘ท่าทางใช้ได้’ ก็กลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปแล้ว จนกว่าจะมีหลักฐานมาหักล้างข้อกล่าวหาในครั้งนี้

คุณพ่อคุณแม่คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุดให้เธอเสมอ นับแต่น้อยจนเติบใหญ่ด้วยเพราะเธอคือลูกคนเดียวซึ่งเป็นดั่ง ดวงตาดวงใจ และไม่เคยมีครั้งใด...ที่ม่านแก้วจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องผิดหวัง...

เธอถูกบ่มเพาะให้เพียบพร้อม ทั้งรูป ทรัพย์และสติปัญญา เป็นเพชรแท้ซึ่งผ่านการเจียระไน...จึงมั่นใจเสมอมาว่าตนเอง “เหนือ” กว่าผู้ใด

ไม่มีสนามแข่งขันประเภทใดที่ม่านแก้วเคยพ่ายแพ้ เธอเป็นดาวมหาวิทยาลัยและจบปริญญาตรีเกียรตินิยมด้วยวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี ม่านแก้วเชื่อว่าเธอต้องได้ทุกอย่างหากปรารถนา

ชายหนุ่มทั้งหลายรายรอบ เอาใจ ใส่ใจ อยากเป็นคนพิเศษ เธอต่างหากที่วางตนเสมอต้นเสมอปลายยังไม่ให้ความพิเศษสำคัญกับใคร

“ไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจหรอกจ้ะ...น้องม่านของแม่น่ะเพียบพร้อมขนาดนี้ ควรจะได้คนที่คู่ควร ชีวิตคู่ที่ล้มเหลว ส่วนหนึ่งมักมาจากความไม่เสมอกันนี่แหละ เหลื่อมล้ำกันมากไปก็กลายเป็นปัญหา”

คุณมาลัยเคยบอก...เมื่อลูกสาวเล่าว่า ลูกชายเพื่อนคุณพ่อส่งดอกไม้มาให้ไม่เว้นแต่ละวัน อีกทั้งยังเร่งรัดอยู่กลายๆจะขอคบหา

“แล้วที่เขาว่า ความรักจะเติมเต็มช่องว่างให้กันและกันได้ล่ะคะคุณแม่ ไม่จริงหรือคะ”

คุณแม่อมยิ้มปรายตาค้อน

“นี่ละน้า...เรียนมากรู้มาก พ่อแม่จะบอกจะสอนอะไรสมัยนี้ต้องแจกแจงเหตุผลกันสารพัด...ไม่อย่างนั้นลูกไม่เชื่อ”

“น้องม่านไม่ได้เถียงซักหน่อย แค่ถามเฉยๆ” เธอยิ้มอวดฟันเป็นระเบียบสวย แขนเรียวโอบรอบเอวมารดาอย่างประจบ

“ถ้าน้องม่านจะมีแฟนละก็ รับรองว่าจะต้องปรึกษาคุณพ่อแม่คุณแม่ก่อนแน่ๆ ถ้าไม่เห็นด้วยน้องม่านก็จะไม่ดื้อ แต่...” เจ้าตัวเริ่มต่อรอง

“ถ้าคนไหนที่น้องม่านไม่ได้รัก ถึงคุณพ่อคุณแม่จะเห็นว่าดี ก็ห้ามคลุมถุงชนด้วย”

“แหม...อยากให้คุณพ่อได้ยิน จะได้รู้ว่านี่ไง ผลของการเลี้ยงลูกแบบประชาธิปไตย แล้วนี่ลูกสาวแม่ รักใครชอบใครเข้าบ้างหรือยังหือ...ถึงได้เริ่มมาต่อรองไว้อย่างนี้น่ะ”

ม่านแก้วสั่นหัวผมกระจาย

“มีแต่น่ารำคาญสิไม่ว่า ไม่รู้ว่าจะมาเอาอกเอาใจอะไรกันนักหนา ผู้ชายนี่มักจะมองแต่ผู้หญิงสวย รวย เก่ง เท่านั้นหรือคะคุณแม่...ถ้าน้องม่านไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ อยากรู้จังว่าจะเป็นยังไง”

“ไม่ดีหรือลูก...ที่เราได้เป็นฝ่ายเลือก แม่ว่าดีกว่าถูกเขาปฏิเสธเป็นไหนๆ”



แล้ววันหนึ่ง...ม่านแก้วก็ได้พบคนที่ คุณสมบัติอันครบถ้วนของเธอหมดความหมาย หมอคิมเป็นชายหนุ่มคนแรกที่ทำให้ม่านแก้วต้องประหลาดใจ

หากจะเปรียบกับผู้ชายที่แวดล้อม นอกจากรูปโฉมโดดเด่นสะดุดตาแล้ว ในด้านอื่นๆหมอคิมคนนี้ก็หาได้มีความพิเศษกว่าผู้ใด นอกจาก...สิ่งเดียว

เขาเป็นคนแรกที่ทำให้ม่านแก้วรู้สึกว่า ตัวเองกลายเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ด้วยการไม่แม้แต่จะเหลือบมองเธอซ้ำหลังจากตรวจรักษาตามปกติ เมื่อไปตามนัดครั้งที่สองและสาม หมอคิมก็ไม่เคยจดจำเธอได้ หากไม่ดูประวัติการรักษา

นั่นทำให้ม่านแก้วเป็นฝ่ายรุกอย่างเงียบเชียบ เพราะอยากเอาชนะ

เธอเริ่มสอบประวัติหมอคิม เพราะเชื่อว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบหากรู้เรื่องราวความเป็นมาของเขาเสียก่อน และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ เมื่อมั่นใจว่ารู้เรื่องราวของหมอคิมมากพอ ม่านแก้วก็เริ่มต้นอย่างแนบเนียน

“ไม่ทราบว่าตอนเย็นหรือค่ำคุณหมอตรวจคนไข้หรือเปล่าคะ”

เขาชะงักมือที่กำลังจะเขียนใบนัด แล้วสบตาเธอ “ผมอยู่ถึงเวลาทำการปกติ มีปัญหาอะไรหรือครับ”

“ม่านต้องหนีเรียนมาทุกที คิดว่าจะขอเลื่อนนัดเป็นตอนหัวค่ำ”

เขานิ่งไปชั่วอึดใจแล้วพยักหน้า

“มีหมอคนอื่นครับ ถ้าไม่สะดวก ย้ายไปตอนเย็นก็ได้ ผมจะจัดการส่งประวัติการรักษาให้แพทย์เวร”

ม่านแก้วซ่อนยิ้ม ดูเถอะ จะปริปากบอกสักคำว่าตัวเองมีคลินิกก็ไม่

“คุณหมอเปิดคลินิกด้วยหรือเปล่าคะ ม่านไปที่นั่นก็ได้ ไม่อยากเปลี่ยนหมอ” เธอเป็นฝ่ายเริ่มเสียเอง พอเห็นสีหน้าอึดอัดของเขาม่านแก้วก็รีบบอก “ม่านไม่ค่อยสะดวกมาโรงพยาบาลจริงๆค่ะ ต้องคอยคิวกันยาวเหยียด ถ้าคุณหมอไม่มีคลินิกม่านก็คิดว่าจะย้ายไปเอกชน”

นั่นแหละหมอคิมถึงได้ยอมให้นัดครั้งต่อไปเป็นที่คลินิก พอเขาบอกสถานที่ซึ่งม่านแก้วรู้ดีอยู่แล้ว เธอก็ทำท่าครุ่นคิด

“ไปถูกหรือเปล่าครับ”

“น่าจะถูกนะคะ แต่ถ้าม่านหาไม่เจอจะให้โทรถามทางได้ที่ไหนคะ”

แค่นั้น...ม่านแก้วก็ได้เบอร์ส่วนตัวของหมอคิมมาอย่างง่ายดาย

“ขอบคุณค่ะ...ทีนี้ม่านก็ไม่ต้องหนีเรียนอีกแล้ว” เธอยิ้มร่าเหมือนเด็กได้ของเล่น จนอีกฝ่ายอดที่จะแย้มริมฝีปากอย่างเอ็นดูไม่ได้

“เรียนอยู่ที่ไหนครับ”

พอเธอบอกเขาก็เลิกคิ้วแปลกใจ

“เรียนโทแล้วหรือครับยังดูเด็กๆ”

“ม่านขี้โกงด้วยการสอบเทียบน่ะค่ะ” เธอบอกปนหัวเราะ

พอยิ้มกว้างปรากฏ ดวงหน้าของหมอคิมก็ดูสว่างไสวในฉับพลัน ม่านแก้วจารึกภาพนั้นประทับไว้ในความทรงจำ ด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับชายหนุ่มคนไหนมาก่อน



พอถึงนัดครั้งต่อไป ม่านแก้วไม่ได้โทรถามทาง แต่...เป็นการขอเลื่อนเวลานัด

“รถติดมากเลยค่ะ คุณหมอรอม่านอีกแป๊บนะคะ”

เธอมาถึงเมื่อเลยเวลาปิดคลินิกไปร่วมยี่สิบนาที

“ขอโทษจริงๆค่ะที่ทำให้คุณหมอต้องรอ ม่านกลัวมาไม่ถูกก็เลยมาแท็กซี่”

“ไม่เป็นไรครับ”

เสียงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าถือใบเล็กของหญิงสาวส่งเสียงเรียกขึ้นขัดจังหวะ ม่านแก้วสบตากับหมอคิมแล้วยิ้มเจื่อนเหมือนเด็กมีความผิด

“สงสัยเป็นคุณแม่โทรตาม” เธอบอกเสียงอ่อย พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดรับ สายก็ตัดไปเสียก่อน

“จริงด้วย...ต้องถูกดุแน่ๆเลย” เจ้าตัวพึมพำ

หมอคิมมองหน้าแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า...ทำไม

“ปกติถ้าวันไหนม่านไม่ขับรถเอง คุณแม่จะส่งรถที่บ้านมารับ นี่ถ้ารู้ว่านั่งแท็กซี่ตอนกลางคืนมีหวัง...” เธอทำหน้าเหยเกให้รู้ว่า...เป็นเรื่อง สายตาของชายหนุ่มจึงมีรอยขันด้วยเข้าใจกึ่งเอ็นดู

“แสดงว่าแอบมา...คุณแม่ไม่ทราบ”

เธอห่อไหล่แทนคำตอบ

“ถ้าบอกคุณแม่ว่าหมอจะไปส่งให้ถึงบ้าน จะยังถูกดุหรือเปล่า” หมอคิมบอกปนหัวเราะ ม่านแก้วยังไม่ทันได้ตอบเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก คราวนี้เธอกดรับอย่างรวดเร็ว

“น้องม่านมาหาหมอค่ะคุณแม่ อ๋อ...ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่โรงพยาบาล น้องม่านอยู่คลินิก อ๋อ...มาแท็กซี่ค่ะ...” เธอเลื่อนโทรศัพท์ออกห่างจากหูแล้วหลิ่วตาเป็นเชิงบอกคุณหมอว่า...เห็นมั้ยล่ะ...

คิมหันต์อมยิ้ม พยักหน้ายืนยันคำพูดตัวเองเมื่อครู่

“คุณแม่ขา ไม่ต้องห่วงน้องม่านนะคะ คุณหมอจะไปส่งถึงบ้านเลยค่ะ” เธอเป่าปากพ่นลมหายใจ หลังวางสาย แต่ตาระยับซุกซน

“เดาว่าคงเป็นครั้งแรกของน้องม่านที่นั่งแท็กซี่โดยไม่ได้ขออนุญาตคุณแม่ก่อน” ชายหนุ่มทำเสียงล้อเลียน...ย้ำสรรพนาม ‘น้องม่าน’ ที่เจ้าตัวเรียกขานตัวเอง

เสียงหัวเราะของคุณหมอกับคนไข้สาวเจ้าปัญหาที่ประสานกันนั้น ทำให้เจ้าหน้าที่การเงินประจำเคาน์เตอร์ลอบมองแล้วอมยิ้ม

“เวลาคิดค่ายา อย่าลืมบวกค่าน้ำมันรถกับค่าอาหารด้วยล่ะ” หมอคิมแสร้งหันมาบอกคนที่อยู่ในเคาน์เตอร์

ม่านแก้วเบิกตากว้างประท้วงขึ้นโดยเร็ว “ทำไมมีค่าอาหารด้วยล่ะคะ”

“เพราะผมคงหิ้วท้องขับรถไปส่งไม่ไหวน่ะสิ ยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลย”

ม่านแก้วห่อไหล่ บอกเสียงอ่อย

“ขอโทษค่ะ ม่านทำให้คุณหมอวุ่นวายไปหมด...เกรงใจจัง”

“เรียกผมว่าหมอคิมก็ได้นะน้องม่าน” สรรพนามที่เรียกขาน จงใจยั่วเย้า ทำให้คนที่มั่นใจในตัวเองเสมอมาอย่างม่านแก้วต้องเบือนสายตาหลบ และแก้มร้อนขึ้นมาดื้อๆ



ความสัมพันธ์เริ่มต้นขึ้นจาก ความอยากเอาชนะของเธอในขั้นแรก แค่ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการหรือไม่ แล้วพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เป็นความใกล้ชิดที่อบอุ่นอ่อนหวาน ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน กระทั่ง...ได้พบหมอคิม

ม่านแก้วบอกตัวเองว่านี่คือความรัก

นับปีที่คบหากันฉันท์คนรัก ราบรื่นอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ของสองฝ่าย โดยไม่มีสิ่งใดมากระทบความสัมพันธ์ให้สะเทือนเท่ากับคราวนี้...

ยามนี้คำถามหลายอย่างค้างคาอยู่ในใจ...เพียงแค่กดโทรศัพท์ถึงคิมหันต์เท่านั้น เธอก็จะได้คำตอบ แต่...ม่านแก้วไม่อยากเป็นฝ่ายร้อนรนจนต้องซักไซ้เอาความ

การพูดคุยกันถึงเรื่องนี้...คนที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นควรเป็นเขา ไม่ใช่เธอ

bd21427_



คิมหันต์ตื่นสายกว่าทุกวันเพราะเป็นวันหยุด เมื่อชายหนุ่มมาถึงโต๊ะอาหารใต้ซุ้มกุหลาบ ก็พบคุณย่านั่งอยู่ก่อนแล้ว พร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือ

พอเห็นหน้า คุณอรก็พับหนังสือพิมพ์แล้วยิ้มให้หลานชาย เป็นรอยยิ้มที่แปลกไปในความรู้สึกของคิมหันต์ คล้ายจะมีแววห่วงใยเห็นใจอยู่ในที

“เดือนขอน้ำส้มคั้นให้พ่อคิมสักแก้วเถอะ...จะได้สดชื่น”

ป้าเดือนรับคำแล้วผละไป เมื่ออยู่กันตามลำพังคุณอรก็เอ่ยถาม

“คิมว่ากีตาร์เขามาที่คลินิกวันไหนนะ”

พอเริ่มต้น...สังหรณ์ที่วิบวับอยู่ในใจก็ปรากฏรูปรอยขึ้น

“วันที่ 31ครับ” พอเห็นอาการพยักหน้าเนิบๆของคุณย่ากับอาการคล้ายครุ่นคิด ก็รู้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน

“มีอะไรหรือครับคุณย่า”

“มีข่าวในหนังสือพิมพ์...ที่คิมคงไม่ชอบใจนักหรอก”

คิ้วตรงขมวดมุ่น ปลายนิ้วเผลอแตะรอยบุ๋มที่ปลายคางขณะสะกดใจรอฟังเรื่องราว

“หนังสือพิมพ์ลงรูปคิมกับกีตาร์ คงถ่ายมาจากคืนที่เขาไปคลินิก”

“ขอผมดูหน่อยสิครับ”

“อย่าเพิ่งโมโหโทโสไปล่ะ ค่อยๆคิดค่อยทบทวน” คุณอรกำชับก่อนส่งหนังสือพิมพ์ให้ น้ำส้มคั้นเย็นจัดมาถึงขณะที่ชายหนุ่มระไล่สายตาไปตามเนื้อข่าว คุณอรพยักหน้าให้คนรับใช้เก่าแก่หลบไปก่อน

ผิวหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเมื่อละสายตาจากหนังสือพิมพ์

“หายไปเก้าปีสิบปี พอกลับมาเจอกันไม่ทันข้ามวันก็หาความยุ่งยากมาให้”

“คิมจะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูก เขารู้เสียเมื่อไหร่ว่าจะเป็นอย่างนี้ ย่าว่าเขาจะเดือนร้อนเสียยิ่งกว่าคิมอีกนะ”

“อย่างนั้นน่ะเขาชอบเป็นข่าวเพราะจะได้ดัง จะเดือดร้อนอะไร ถ้าไม่ชอบคงไม่เลือกมาอยู่ตรงนี้”

แค่ฟังความและน้ำเสียงขุ่นขวาง คุณอรก็รู้แล้วว่ามิใช่เพียงเท่านี้หรอก ที่ทำให้หลานชายเดือดพล่าน เรื่องราวแต่หนหลังยังหาได้เลือนลบไปจากใจของคิมหันต์... นั่นต่างหากที่คุณอรนึกกังวล หากตัดคนเก่าไม่ขาดแล้วคนใหม่เล่าจะทำอย่างไร?

“อีกไม่นานหรอกครับคุณย่า นักข่าวคงได้แห่มากวนจนไม่เป็นอันทำอะไร”

ชายหนุ่มคาดการณ์ในสิ่งที่คุณอรก็คิดไว้แล้วเช่นกัน แต่ด้วยวัยวุฒิที่ผ่านปัญหามามากมายทำให้ไตร่ตรองเห็นผลกระทบที่จะขยายวงกว้างยิ่งกว่านั้น

“คิมก็ลาพักร้อนเสียก็สิ้นเรื่อง แต่ปัญหาไม่อยู่แค่นั้นหรอก...ย่าว่าป่านนี้ทางบ้านหนูม่านเขาคงได้ข่าวแล้วเหมือนกัน เราคงต้องเตรียมตอบคำถามทางนี้ด้วย”

คิมหันต์ระบายลมหายใจแรงๆ ราวกับจะรวบรวมสติเอาไว้คลี่คลายปัญหาอันหลากหลายที่จะดาหน้าเข้ามา

“ทำยังไงย่าถึงจะได้เจอกีตาร์ คิมพอมีหนทางไหมลูก”

“ก็มีทางเดียวคือติดต่อไปทางบริษัทที่เขาอยู่ แต่ผมว่าอย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า เท่านี้ก็แย่พอแล้ว”

“ยุ่งหรือไม่ยุ่ง มันก็เกี่ยวกันจนแกะไม่ออกไปแล้ว”

คุณอรปรายตามองภาพสองหนุ่มสาวที่กำลังกอดรัดกันอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ อาการนั้นทำให้หลานชายทำทีเป็นยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม แต่ผิวหน้าแดงก่ำไปจนถึงใบหู

“คิมยังรักเด็กคนนั้นอยู่หรือเปล่า”

คิมหันต์เกือบสำลักน้ำส้ม ต้องใช้เวลาชั่วขณะกว่าจะตอบคำถามนั้นได้

“คุณย่าก็ทราบว่าผมคบกับม่านแก้วอยู่”

“นั่นมันคนละเรื่องกัน” คุณอรเริ่มเสียงเข้ม ตาไม่ละจากใบหน้าของหลานชาย

“เขาทำกับผมถึงขนาดนั้น จะให้รู้สึกเหมือนเดิมคงไม่ได้”

“แล้วถ้าเขามีคำอธิบายที่สมควรต่อเหตุผลล่ะ คิมจะว่ายังไง”

ชายหนุ่มอึ้งไปชั่วครู่

“ตรงนี้แหละที่ย่าห่วง ตัวอยู่กับคนนี้แต่ใจอยู่กับคนอื่นน่ะมันไม่ยุติธรรมกับใครทั้งนั้น คิมควรจะทบทวนดูให้ดีเสียก่อนในตอนที่มันยังไม่สายเกินไป ย่าถึงอยากเจอเขา...อยากรู้เรื่องทั้งหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น รีบติดต่อเขาให้ได้แล้วพามาหาย่า”



bd21427_



เบนโจ ลีกับกีตาร์นั่งเคียงกันอย่างเงียบๆ ระหว่างที่ฟังและรอให้ท่านประธานบริษัทสรุปเรื่องในการเรียกพบด่วนครั้งนี้

ร่างบางในชุดเสื้อตัวยาวสีเหลืองจาง ปักลวดลายสีทองด้วยมือ คลุมทับกระโปรงบานยาวกรอมเท้าสีเดียวกัน ผมยาวหยิกสยายยามนี้มีผ้าลวดลายเดียวกับเสื้อพันโพกเอาไว้ เน้นกรอบหน้า ให้ดูกระจ่างแม้มิได้แต่งเติมเครื่องสำอางใดๆ

เธอยังไม่ได้ปริปากแม้แต่คำเดียว ถึงเรื่องราวในข่าว สีหน้าราบเรียบไม่บอกความรู้สึก ราวกับรับฟังเรื่องราวของคนอื่น แต่อาการนั่งหลังตรงบอกให้รู้ถึงนิสัยที่มิใช่ยอมไหวเอน เบี่ยงเบนตามใครง่ายๆ หากสิ่งนั้นขัดแย้งกับความรู้สึกในใจ

“อย่างแรกเลยคือเชิญหมอคนนั้นมาที่นี่ เพื่อซักซ้อมก่อนการแถลงข่าว” ท่านประธานบอกความต้องการ หลังจากตำหนิติเตียนอย่างหัวเสียในตอนแรก

เธอส่ายหน้า เปิดปากพูดเป็นครั้งแรก

“เขาไม่มาหรอกค่ะ...”

สายตาไม่พอใจเลื่อนปราดมามองหน้าเธอ

“คุณไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินใจแทนเขา แค่ไปบอกเขาตามนี้ก็พอ”

“ถึงยังไม่ได้คำตอบ ต้าก็มั่นใจว่าเขาไม่มา...เราน่าจะมีวิธีอื่นเตรียมไว้” เธอบอกพลางสบตาแน่วแน่

“เธออยากให้เขาบอกกับนักข่าวเองหรือไง ถ้าเกิดเขาประกาศว่าเธอเคยเป็นคู่นอนมาก่อนเข้าวงการล่ะ เธอจะดับสนิท ลงทุนโปรโมทไปแล้วเท่าไหร่…นึกว่าเปรี้ยงปร้างขึ้นมาเพราะความสามารถเธอเองงั้นเรอะ” สรรพนามที่เรียกขานเริ่มเปลี่ยนไป และถ้อยคำก็รุนแรงขึ้นตามปริมาณโทสะ

“กีตาร์กับผมแถลงข่าวกันสองคนไม่ได้หรือครับ แล้วก็ขอประวัติผลการรักษายืนยันว่าลำไส้อักเสบก็น่าจะโอ.เค.” เบนโจแทรกขึ้นมาเพราะรู้นิสัยทั้งบิดาและเพื่อนเป็นอย่างดี หากปล่อยให้มีการโต้แย้งกันต่อไป จะไม่ได้อะไรนอกจากความแตกหัก

“ถ้าแกเป็นคนกอดกับยายต้าในรูป...นั่นละได้แน่ๆ”

สายตาคู่นั้นบอกถึงความเบื่อหน่ายและหมิ่นแคลน

“ที่จริงน่าจะระวังกันมากกว่านี้ จะทำอะไรเหลียวซ้ายแลขวาสักหน่อย เรามันคนของประชาชน ถ้าชื่อเสียแก้ไม่ไหวละก็เกิดยาก”

มือแข็งแรง เอื้อมมาบีบมือเรียว ที่เย็นเฉียบดั่งจะให้กำลังใจ แล้วรีบตัดบท

“ผมจะจัดการให้ตามที่ท่านประธานต้องการ”

“รีบหน่อยด้วย ช่วงนี้อย่าเพิ่งให้สัมภาษณ์ ถ้านักข่าวถามบอกแค่ว่าจะนัดแถลงข่าว”

“ครับ”

เบนโจ ลีลุกขึ้น พร้อมกับกระตุกมือให้หญิงสาวก้าวตาม พอพ้นจากห้องก็หันมาปลอบ “เอาน่า...อดทนหน่อย”

“ลำพังต้าเองน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่นี่มีพี่คิมด้วยน่ะสิ ป่านนี้คงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้วละ เพราะต้าแท้ๆที่พาความเดือดร้อนไปให้เขา” ตาตกวูบลงมองพื้นพร้อมกับเสียงที่แผ่วลงเมื่อเอ่ยถึงพี่คิม

“นี่ถ้าไม่ติดสัญญากับบริษัท หรือกลัวท่านประธานจะเล่นงานโจละก็ต้าจะปล่อยมันไว้อย่างนี้แหละ ไม่ต้องแก้ข่าวมันหรอก อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ฮึ...เหลียวซ้ายแลขวาหน่อยเรามันคนของประชาชน”

เธอเลียนเสียงแหบห้าว และท่าทางของท่านประธานได้ไม่ผิดเพี้ยน เบนโจหัวเราะออกมา และบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง

ชายหนุ่มเหลือบมองคนที่ก้าวเข้ามาเคียงข้างในลิฟต์ แล้วให้นึกเห็นใจ กีตาร์มีวิธีเยียวยาหัวใจปริร้าวของตัวเองเสมอด้วยอารมณ์ขัน ท่ามกลางความแตกร้าวของครอบครัวและชีวิตที่คล้ายล่องลอยไปตามลม เธอกลับมองโลกด้วยความเที่ยงธรรมได้อย่างน่าอัศจรรย์

ไม่มีแม้สักครั้งตั้งแต่รู้จักกันมา ที่กีตาร์จะนึกถึงตัวเองก่อนคนอื่น...

“ไปไหนกันดีล่ะโจ อย่าบอกนะว่าไปคลินิก” เธอถามแต่ดักคอไว้ก่อน

“กลับไปตั้งหลักที่บ้านกันก่อน...เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”

เธอพยักหน้าเอนตัวพิงผนังลิฟต์ หลุบเปลือกตาลง เก็บซ่อนความรู้สึกรวดร้าวที่ทอดเงาอยู่ในนั้น

ความเงียบคลี่คลุมคนทั้งสองไว้ชั่วขณะ เบนโจ ลีโอบศีรษะเธอให้ซบลงบนไหล่ แล้วกระซิบปลอบโยน

“ต้า...สักวัน ทุกอย่างมันจะดีขึ้น ขอเพียงเรายังไม่ท้อไปเสียก่อน”

“พรุ่งนี้...” เธอพึมพำ

“ใช่...พรุ่งนี้” อีกฝ่ายย้ำ ฝ่ามือแข็งแรงวางลงบนศีรษะเธอ

QQQQQ



แด่ความรื่นรมย์แห่งรัก…

ด้วยความขอบคุณ

ปัญจนารถ








ปัญจนารถ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ส.ค. 2557, 11:56:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ส.ค. 2557, 11:56:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 932





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account