ตั้งแต่วันที่ฉันตามหาเธอ
หญิงสาวจากเมืองกรุง ย้ายมาจังหวัดเชียงรายเพื่อทำงานที่เธอชอบ แม้ชีวิตเธอจะน่าเบื่อในบางช่วง แต่เธอยังมีร้านหนังสือของลุงรัญที่คอยทำให้เธอหายเหงา หนังสือหลายเล่มมีเรื่องราวความเป็นมา ชีวิตของเธอเดินทางตามตัวหนังสือจนเธอได้อ่านหนังสือของ ริชาร์ด บาค เรื่อง
"โจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล" หนังสือเล่มเล็กๆทำให้เธอได้พบกับบทกวีที่เขียนในเศษกระดาษ สอดไว้อย่างเรียบร้อย และบทกวีบทนั้นทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป
Tags: ตามหาความรัก บทกวี

ตอน: ๓

“ไปอาบน้ำแล้วนอนซะ พี่ไม่พูดซ้ำนะ”
เจนบอกกับไทล่าทันทีที่เปิดประตูบ้านให้ เธอเดินเลี่ยงไปทางห้องครัวเพื่อดูจานอาหารของเจ้าฟู เจ้าเหมียวอ้วนเดินเคลียแข้งเคลียขา ร้องขออะไรสักอย่าง เธอเลยอุ้มมันขึ้นมา มันตัวหนักมากจนต้องเอาวางพาดบนไหล่เหมือนอุ้มเด็ก มันยังครางเบาๆตอนอยู่ในแขนจนถึงตอนที่วางมันลงบนพื้น เจนเปิดตู้เย็นหาน้ำเย็นๆดื่ม น้ำเย็นในขวดพอไล่ความหงุดหงิดที่ยังติดอยู่ในสมองได้
เจนรอจนเสียงฝักบัวในห้องน้ำเงียบเสียง เธอถึงเดินเข้าไปในห้อง พอปิดประตู ไทล่าก็เดินออกมาจากห้องน้ำ สาวน้อยลูกหัวหน้าเดินไปหยิบผ้าขนหนูในลิ้นชักมาเช็ดหน้า ไทล่ารู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหนเพราะมานอนที่นี่หลายครั้งหลายคราแล้ว ฉะนั้นเจนไม่จำเป็นต้องหาอะไรให้
“นอนซะ พรุ่งนี้ก็ใส่เสื้อผ้าพี่ไปทำงาน คงมีชุดหรือสองชุดที่เธอน่าจะใส่ได้”
ไทล่าพยักหน้าหงึกแล้วทิ้งตัวลงบนที่นอน “ขอโทษนะที่ทำให้ทุกคนลำบาก”
“ขอโทษทำไมกัน คนเรามันก็ต้องอยากสนุกบ้างแหละ ไปนอนซะน้องสาว พี่จะไปอาบน้ำล่ะ”
ไทล่าพยักหน้า เจนเดินไปหยิบผ้าขนหนูกับชุดอาบน้ำก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำพลางนึกว่าก่อนนอนเธอจะต้องทำอะไรอีก

ไทล่าหลับไปแล้ว ตอนเธอเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดนอน เจนฤทัยเดินไปที่โต๊ะวางกระจก หยิบกระเป๋าสะพายมาตรวจดูของข้างใน เธอวางหนังสือที่ยืมมาไว้บนโต๊ะก่อนจะหยิบสมุดรวบรวมบทกวีที่ลุงรัญให้ยืมมาเปิดดู หลังจากที่ลองอ่านดูเพียงแวบเดียวตอนที่รับมา
“คิดบทกวีพวกนี้ได้ยังไงกัน”
เจนเดินเอื่อยเฉื่อยไปยังเตียงในขณะที่ตายังอ่านกวีตรงหน้าแรก มันไม่ใช่บทกวีที่สวยงามอะไรนัก มันเหมือนการบ่นยาวๆ ซึ่งแตกต่างมากกับกวีบทแรกของเขาที่เธอได้อ่านในหนังสือโจนาธาน ลิฟวิงสตัน ไทล่าขยับตัวเล็กน้อยตอนที่เจนนั่งลงบนเตียง นี่ถ้าไทล่ายังไม่นอน เธอคงเหนื่อยกว่านี้ เผลอๆอาจยังไม่ได้หยิบอะไรมาอ่านเลยก็ได้
“ไหนเขียนอะไรไว้อีก” เจนพลิกอ่านหน้าต่อไป

ฉันสนทนากับดอกไม้
ใบไม้เริ่มร้องเพลง
ต้นไม้แก่ๆกำลังบ่น
มันไม่ชอบเพลงของใบไม้
แต่ชอบเพลงของก้อนหินมากกว่า
ลมกำลังวาดรูปบนก้อนเมฆ
ด้วยนามที่ไม่สามารถจารึกเป็นตัวอักษร
รูปนั้นงดงามยิ่งกว่าแสงแรกในชีวิต
ที่ไม่เคยปรากฏในความทรงจำ
เทพแห่งกาลเวลากับเหล่าสาวก
ชวนฉันนั่งจิบน้ำชา
ต้มจากน้ำทะเลจืดกับดอกไม้ล้านชนิด
ท่านบอกให้ฉันจดจำไว้
เพราะฉันต้องตื่นแล้วในอีกสักพัก
แล้วอาจไม่ได้กลับมาอีก
โอ...ฉันคืออีกคนบ้ากับฝันสวยงาม

*พบในหนังสือ ความฝันของคนวิกลจริต ธีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ 21/4/53

เจนปิดสมุดทันทีที่อ่านจบ เธอไม่แน่ใจว่าเธอชอบมันหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆเธอรู้ว่าบทกวีมีความน่าหลงใหล ความน่าหลงใหลนี้กำลังเพิ่มระดับมากขึ้นในใจของเธอ ทั้งยังอยากให้เธออ่านงานของนักเขียนที่เขาพูดถึงในบทกวีด้วย เธอเริ่มสับสนเสียแล้วว่าจะอ่านต่อหรือจะนอนหลับแล้วไปอ่านพรุ่งนี้ แม้เธอจะแสนเพลียและง่วงเพราะเบียร์ที่เธอดื่ม แต่บทกวีในมือมันดึงดูดให้เธออยากอ่านเพิ่ม
“เอาไงดี”เธอถามตัวเอง
เจนพยายามไม่มองนาฬิกาตรงโต๊ะตั้งโคมไฟ หลังจากนอนหลับตาคิด เธอลืมตามองสมุดของลุงรัญที่อยู่ในมือ นิ้วของเธอลูบแผ่นกระดาษที่ลุงรัญเก็บมาจากในหนังสือแล้วใช้แม๊กเย็บติดแล้วพลิกมันอ่านดู
“นี่ตัวหนังสือภาษาอะไรเนี่ย”เธอบ่นในใจเมื่อเห็นตัวหนังสือหวัดๆและขยุกขยิกบนกระดาษ มันต่างจากแผ่นที่เธอเจอมาก พอสังเกตดีแล้วถึงแน่ใจว่าเป็นตัวหนังสือของคนคนเดียวกัน หากแต่ตอนเขียนคงรีบร้อนหรือมีเหตุให้ต้องรีบเขียน ลุงรัญคงต้องใช้เวลาและความสามารถอย่างมากในการแกะตัวหนังสือพวกนี้มาเขียนใหม่ เธออยากขอบคุณลุงรัญสักสิบครั้งที่ลอกมาให้เธออ่านแบบสบายตาถึงขนาดนี้ เจนพลิกไปยังหน้าถัดไปทันที

นอนซะ
ไล่ตัวเองไปนอน
ด้วยอยากฝันแบบเดิมอีกสักครั้ง
ทั้งที่รู้แน่แล้วว่าความฝันมิซ้ำเดิม
แต่ยังดึงดันจะฝันแบบคนบ้า
อย่างที่เป็น
นอนซะ จงนอนซะ
ฉันไล่ตัวเอง


เจนรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า เธอนึกด่าคนเขียนกวีที่บังอาจไล่เธอไปนอนราวกับรู้ว่าลึกแล้วเธออยากจะเปิดหน้าถัดไปอีก
“นอนก็ได้ โธ่” เธอปิดสมุดวางบนหัวเตียง ปิดไฟแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ


ในความมืด เจนฤทัยยังนอนกลอกตาไปมา ในหัวคิดแต่เรื่องบทกวีที่พึ่งอ่าน เธอพยายามจินตนาการถึงคนที่เขียนมันทั้งหมดขึ้นมาว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร อายุเท่าไหร่ เป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง
“คุณคือใคร ทำไมถึงติดอยู่ในหัวฉัน ทำไมฉันถึงต้องคิดเรื่องนี้ด้วย แล้วไอ้บทกวีนี่มันยังไงกันนักหนา ทำไมฉันถึงมีความรู้สึกแปลกๆกับมันแบบนี้”เจนบ่นในใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์ข้างหมอนมากด แสงสว่างบนหน้าจอบอกเวลาที่สมควรแกเวลานอนแล้ว เธอกดดูเฟซบุ๊กที่มีการแจ้งเตือนอยู่สี่ห้าอัน ตรงหน้าฟีดข่าว เพื่อนของเธอคนหนึ่งแชร์ข้อความที่สะดุดตา แม้มันจะเป็นข้อความกับรูปภาพเกี่ยวกับการเสียดสีความรัก แต่มันก็ทำให้เธอไถลนึกถึงบทกวีสั้นๆ
“แบบนี้ฉันก็แต่งได้”เจนปิดเฟซบุ๊ก นิ้วของเธอกดลงไปยังแอพพลิเคชั่นสมุดบันทึกโดยอัตโนมัติ เธอนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้นเมื่อแอพพลิเคชั่นแสดงพร้อมตรงหน้าจอ
“นี่ฉันกำลังจะทำอะไร เธอกำลังจะทำอะไรฮึ? เจนฤทัย”
ไทล่าขยับตัวเล็กน้อยทำให้เธอต้องขยับเปลี่ยนท่า ตายังจ้องอยู่ที่จอโทรศัพท์ แล้วนิ้วก็กดลงบนตัวหนังสือโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“ไม่นะ..”เจนลบตัวอักษรตัวนั้นออก ตอนนี้สมองของเธอกำลังปั่นป่วน เธอจิ้มนิ้วลงไปแล้ว และพลังบางอย่างสั่งให้เธอจัดการอะไรสักอย่างกับสมุดบันทึกนี่ แล้วถึงจะไปนอนได้
“ก็ได้ๆ”
ความคิดต่างๆหลั่งไหลเข้ามาในสมองเธอ เธอไม่สามารถเลือกได้เลยว่าจะเขียนเรื่องไหนดี เธอเริ่มมองรอบตัว มองนอกหน้าตาที่เห็นยอดต้นไม้ของเพื่อนบ้านไหวตามลม มองโคมไฟที่ปิดไปแล้ว ที่นั่น สายตาเธอหยุดกึก นิ้วของเธอจิ้มลงบนแป้นพิมพ์ในหน้าจอ และเธอหยุดมันไม่ได้เสียแล้ว

คุณคือใคร
เจ้าของเศษกระดาษที่ฉันค้นพบ
ฉันจินตนาการ
ฉันค้นหาคำตอบ
แต่ฉันยังมืดแปดด้าน
คุณคือใครกัน ฉันเฝ้าตั้งคำถาม


ในตอนเช้า เจนฤทัยกับไทล่าอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานด้วยความเร่งรีบ แม้เธอทั้งคู่จะโชคดีที่ไทล่าได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกแล้วเรียกเจนให้ตื่น แต่ก็ต้องใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวกันอยู่พักใหญ่ โดยเฉพาะไทล่าที่ไม่ได้เอาอะไรมาเลยนอกจากกระเป๋าทำงาน เจนเลยให้ยืมเสื้อผ้าทุกชิ้น สุดท้ายไทล่าได้กางเกงยีนส์กับเสื้อยืดไปใส่ออกจากบ้าน
ถนนในเมืองเชียงรายในช่วงเช้าแน่นขนัดด้วยรถราไม่ต่างจากเช้าวันอื่นๆ ถ้าเธอไม่ใช่คนกรุงเทพฯที่เคยชินกับมหานครรถติด เธอคงหัวเสียน่าดูกับเช้ารถติดแบบนี้
“ปิดเทอมรถคงไม่ติดแบบนี้”เสียงคนซ้อนเปรย
“อืม”เจนเออออ เลี้ยวรถเข้าซอยเพื่อตัดไปยังถนนอีกเส้น ที่ทำงานของเธอตั้งอยู่ที่ถนนเส้นนั้น
“ง่วงไหมพี่เจน ได้ยินบ่นอะไรทั้งคืน”
“ไม่นะ ไม่ง่วง”
“แล้วบ่นอะไรทั้งคืน”
“บ่นอะไร ไม่ได้บ่น”
“ฉันได้ยินน่า”
“เธอหลับเป็นตาย จะได้ยินอะไร เพ้อละ”
ไทล่าหัวเราะ “ก็ได้ยินจริงๆ”
“เพ้อละเด็กนี่ ไม่คุยด้วยแล้ว”
เจนลอบถอนใจ เธอกำลังคิดเรื่องบทกวีเมื่อคืนอยู่พอดี เลยพาลรู้สึกหมั่นไส้ยายเด็กฝรั่งที่ซ้อนท้ายอยู่นิดๆ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นน้องเป็นนุ่ง มีนิสัยน่ารัก เธอคงไล่ลงรถไปแล้ว

เจนฤทัยกับไทล่าเจอสจ๊วตตรงลานจอดมอเตอร์ไซค์ข้างที่ทำงาน หมอนั่นหน้าตาบ่งบอกชัดแจ้งว่านอนน้อย ดูท่าว่าเมื่อคืนคงอยู่กันดึกมากแน่ เจ้าโย่งประจำสำนักงานเดินเขย่งมายังเธอทั้งสองพร้อมกับยิ้มร่า
“ไง เด็กน้อย”สจ๊วตยิ้มกวนๆใส่ไทล่า สาวน้อยทำหน้ายุ่งเสถามกลับว่า
“เป็นไง เมื่อคืนดึกไหม”
“เที่ยงคืน ตีหนึ่ง นี่ล่ะ”
เจนมองสองคนรัวภาษาอังกฤษใส่กันอีกพักหนึ่งก่อนจะชวนทั้งคู่เข้าที่ทำงาน อีกไม่ถึงห้านาทีพวกเธอจะเข้างานสายแล้ว แม้มีไทล่ามาด้วยก็ใช่ว่าจะรอดจากการโดนบ่นไปได้

งานของเจนยังเป็นพวกเอกสารกองพะเนินเหมือนเคย เธอวางกระเป๋า เอนหลังพิงพนัก ถอนใจขณะมองกองงานเหมือนทุกครั้ง เลยจากโต๊ะเธอไปไม่มาก เจคกำลังคุยกับสจ๊วตเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืน ปกติคู่หูคู่นี้จะต้องออกนอกพื้นที่แล้ว ณ เวลาขณะนี้ พวกเขาถือเป็นมือดีของแผนกลงพื้นที่ช่วยสัตว์ เจคเคยทำงานในสวนสัตว์ที่ออสเตรเลียก่อนจะย้ายมาอยู่ไทยตามคำชวนของไมเคิล ส่วนสจ๊วตนั้นมาทำงานพร้อมๆกับเธอหลังจากว่างงานอยู่หลายเดือน ด้วยทักษะการพูดภาษาไทยที่ดีพอจะสื่อสารได้ สจ๊วตเลยได้รับมอบหมายให้ไปเป็นคู่หูเจคนับตั้งแต่นั้น แรกๆเจนไม่เข้าใจว่าทำไมไมเคิลไม่ให้เธอหรือคนไทยคนอื่นที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ไปเป็นคู่หูของเจค ทั้งๆที่พื้นที่ทำงานคือเมืองไทยและทุกคนพูดภาษาไทยกันหมด เธอเก็บข้อสงสัยนี้ไว้นานกว่าจะถามกล้าถามเจคกับสจ๊วต
“ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจนะว่าทำไมต้องเป็นเราสองคน แต่พอลงพื้นที่จริงๆ กลายเป็นว่าเราแทบไม่มีปัญหากับคนไทยเลย พอพวกเขาเห็นป้ายชื่อที่เราติดและได้ยินว่าเราจะเอาพวกสัตว์ไร้เจ้าของมารักษาและหาเจ้าของใหม่ให้ พวกเขาก็ยอมให้แต่โดยดี”นี่คือคำตอบของสจ๊วตในวันนั้น
เจคชี้แจงแบบติดตลกว่า ถ้ามีคนไทยไปด้วย บางทีอาจจะต้องมีการปะทะคารมกันบ้าง แต่พอเห็นฝรั่งอย่างพวกเขา ทุกคนก็อึ้งไปครู่ พอบอกว่ามาจากมูลนิธิช่วยเหลือสัตว์ พวกเขาออกจะเกรงๆ เลยไม่ค่อยได้เถียงอะไรมาก

“ทำงานได้แล้ว เหม่ออยู่ได้!!!”
เจนสะดุ้ง รีบเงยหน้ามองตรงหน้า
“เจค นายทำฉันตกใจนะ”
“ทำงานได้แล้วๆ เที่ยงๆเจอกันใหม่”
“วันนี้ออกพื้นที่แถวไหนเหรอ”
เจคสั่นหน้า เสมองไปทางสจ๊วต
“วันนี้ยังไม่มีใครแจ้งอะไรเข้ามา ว่าจะไปดูสวนสาธารณะแถวแม่น้ำกก เสร็จก็จะกลับมาช่วยพวกแผนกเลี้ยงดู”
“เจอกันตอนข้าวกลางวันละกัน”
คู่หูฝรั่งจากหน่วยภาคสนามยิ้มแล้วเดินออกไปจากสำนักงาน
“ถามแต่งานคนอื่น งานตัวเองยังไม่เริ่มเลย”เสียงดังมาจากโต๊ะตรงข้าม เจนยักไหล่แล้วลุกจากโต๊ะทำงานไปยังครัวของสำนักงาน เธอต้องการกาแฟสักถ้วยกับขนมปังสักชิ้นก่อนเริ่มงาน ปกติเธอจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนจะเข้างาน แต่พอวันนี้มาเกือบสาย เธอเลยต้องพึ่งขนมปังแผ่นที่ไมเคิลซื้อใส่ตู้เย็นไว้ให้ทุกคนกับกาแฟซองซึ่งมีติดสำนักงานไม่เคยขาด
ในห้องครัวของสำนักงานมีรูปที่ถ่ายมาจากการทำงานภาคสนาม ส่วนใหญ่เป็นรูปของไมเคิลกับเจคที่ถ่ายกันในออสเตรเลียก่อนจะมาที่นี่ อย่างผนังตรงตู้เย็นจะมีรูปไมเคิลกับไทล่าที่ถ่ายกับจิงโจ้ที่พวกเขาเตรียมปล่อยกลับเข้าป่า เยื้องไปไม่มากมีรูปเจคกับพนักงานเก่าแก่ที่ย้ายตามไมเคิลมากำลังช่วยกันต้อนวัวเข้าคอกเพื่อรอขนย้ายไปที่อื่น ในตอนที่ยืนพิงเคาน์เตอร์พลางจิบกาแฟ สายตาของเธอที่ไล่มองภาพต่างๆอย่างที่เคยทำมาหลายครั้งหยุดตรงกรอบไม้กรอบหนึ่ง ข้างในกรอบเป็นกระดาษสาอย่างเรียบสีขาวขุ่น มันผ่านตาเธอมาหลายครั้ง แต่เธอไม่เคยอ่านมันอย่างจริงจังมาก่อน รู้แต่ว่ามันเป็นคำคมอะไรสักอย่างที่ไมเคิลเอามาติดไว้เมื่อปีที่แล้ว พอมองมันอึดใจ เจนก็ค่อยๆสาวเท้าไปใกล้ๆ คราวนี้กรอบนั่นเหมือนมีพลังบางอย่างที่สามารถดึงความสนใจของเธอไปยังมันได้มากกว่าทุกครั้ง

Every life need love
Breath , Food
And home
Don’t take my freedom
Don’t take my life
Just take my love


“ทุกชีวิตต้องการความรัก
ลมหายใจ อาหาร
และบ้าน
อย่าเอาเสรีภาพของฉันไป
อย่าเอาชีวิตฉันไป
เอาไปแค่ความรักของฉัน”
“เจน พี่บ่นอะไรน่ะ”
เจนสะดุ้งจนกาแฟในถ้วยแทบหก หันมามองไทล่าที่ยืนข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“พี่แค่อ่านเจ้านั่นแล้วแปลดู”
ไทล่าเงยหน้ามองกระดาษในกรอบนั้น อ่านมันดังๆเป็นภาษาอังกฤษ ในขณะที่เจนฤทัยยืนจิบกาแฟที่เหลืออยู่ตรงก้นแก้ว พอไทล่าอ่านจบก็หันมาหาเธอ
“ใครเขียนเหรอไทล่า”
“เพื่อนพ่อที่ออสเตรเลียน่ะ เดี๋ยวเดือนหน้าก็มาช่วยงานที่นี่ 2 สัปดาห์ เอ้า ไปเถอะ ไปทำงาน”
เจนฤทัยเดินไปล้างถ้วยกาแฟของเธอในอ่างล้างจาน แวะเปิดตู้เย็นหยิบขนมปังอีกชั้นมากัดแล้วคาบคาไว้ในปากขณะเดินตามไทล่ากลับไปที่โต๊ะทำงาน

เอกสารกองพะเนินลดลงตามเวลาการทำงานที่ค่อยๆเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ ในสำนักงานวันนี้เงียบกว่าทุกวันเพราะมีคนลาหยุด ทีมภาคสนามก็ยังไม่กลับมาจนกว่าจะเที่ยง ในสำนักงานมีแต่เพียงเสียงกดแป้นพิมพ์ เสียงปากกา เสียงถอนหายใจ ที่รวมใจกันเป็นเสียงประสานให้เพลงของนอราห์ โจนส์ ที่ไทล่าเปิดฟังจากในคอมพิวเตอร์ นานๆจะมีเสียงคนเปิดฮัมเพลงตามในคอไม่ก็บ่นอะไรงึมงำ เสียงเพลง Lonestar ดังแผ่วๆมาจนถึงท่อนจบแล้วตอนที่ไทล่าส่งเสียงมาจากโต๊ะทำงาน
“ขอโทษนะที่ทำให้เมื่อคืนหมดสนุกไปเลย”
“บ้าน่า เมื่อคืนนี้ฉันโอเค แค่ไม่อยากให้เธอโดนบ่น แล้วก็ไม่อยากโดนพ่อดุเอาตอนมาทำงานด้วย”
“พ่อไม่ว่าอะไรหรอกน่า ถ้าจะโดน คนที่โดนมีแต่ฉันคนเดียวแหละ”
เจนฤทัยหัวเราะ ยันเก้าอี้ไหลไปชนผนังข้างหลัง มองไทล่าที่เอามือเท้าคางมองด้วยสายตากึ่งตัดพ้อ เธอมักจะแพ้สายตาของน้องสาวต่างเชื้อต่างชาติคนนี้เสียเรื่อย
“ไม่ได้โกรธฉันนะ”
“ฉันไม่ได้โกรธอะไรจริงๆ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
ยิ้มกว้างจากริมฝีปากบางสวยปรากฏบนใบหน้าสาวน้อยไทล่า เจนมองและอดยิ้มไม่ได้เหมือนกัน
“ทำงานไป เธอน่ะ”
ไทล่าโคลงหัวไปมาตามจังหวะเพลง
“พักกันก่อน”
“อ้อ เดี๋ยวนี้ชวนฉันอู้งานด้วยรึ”
ไทล่าหัวเราะ แลบลิ้นใส่นิดหนึ่ง
“เปล่าสักหน่อย เอ้อ ถามจริง ช่วงนี้พี่เจนแปลกๆไปนะ”
“พูดอะไรของเธอ”
“เห็นมีเหม่อๆ บางทีก็ถอนใจ บางทีก็ยิ้ม”
เจนฤทัยเอียงคอมองไปยังแม่นักสังเกตตัวดี “นี่เธอมีหน้าที่จับตาดพฤติกรรมฉันตั้งแต่เมื่อไหร ฮึ”
“ตั้งแต่วันนี้ไง”
“ตลกใหญ่ละ”
ลูกสาวหัวหน้ายักไหล่ “ตลกก็หัวเราะซิ”
“ไทล่า!!! นี่เธอดูรายการทีวีไทยกับช่องตลกมากไปแล้วนะ ดูซิ พูดเหมือนในทีวีเลย”
“เปล่าสักหน่อย”
“เอาเถอะ ฉันทำงานต่อละ เบื่อคุยกับเด็กอู้งาน”
เจนได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจจากฝั่งตรงข้ามแล้วตามมาด้วยเสียงร้องเพลงงึมงำ





สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ส.ค. 2557, 00:45:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ย. 2557, 17:05:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 888





<< บทกวีคั่น ๓   บทกวีคั่น ๔ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account