คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 91 ตะวันตกดิน


ยกที่ 91 ตะวันตกดิน


รังสิมันต์เดินออกมาจากที่กุมขังสิ้นรักตัวปลอมด้วยสีหน้าที่แตกต่างจากทุกครั้ง
ที่แวะเข้าไป…เสียงสุดท้ายของหญิงสาวในห้องกุมขังยังคงก้องอยู่ในหูของเขา

‘คุณต้องทำตามที่คุณตกลงไว้กับฉัน…’

ลมหายใจถูกพ่นออกมาในขณะที่เท้าของเขากำลังก้าวเดินไปยังข้างหน้า


หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันก็มีพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งถึงการเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ
คาคฤหาสถ์หลังงามของนายตำรวจชั้นสูงกับภรรยา
พร้อมกับข่าวอาการสาหัสขั้นโคม่าเป็นตายเท่ากันของผู้ทรงอิทธิพล
อย่างจอมพล ทวีวรวรรณที่ถูกน้องชายแท้ๆสังหารด้วยอาวุธปืน
ก่อนจะหันไปสังหารภรรยาสุดที่รักของตนแล้วจึงฆ่าตัวตายตาม…


จอมทัพกับคุณหญิงมณีเสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงจอมพลเท่านั้น
ที่ทางทีมแพทย์กำลังพยายามต่อสู้ยื้อชีวิตกับพญามัจจุราชอยู่…





บันลือวางหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดที่กล่าวถึงการหลบหนีไปยังต่างแดน
ของขุนศึก ทวีวรวรรณ ผู้ที่บิดาและลุงมีคดีอุกฉกรรจ์หลายคดีที่รอการพิสูจน์
เนื่องจากมีหลักฐานแน่นหนามัดตัวพวกเขาทั้งหมดเอาไว้จนยากที่จะดิ้นหลุด

คนที่ตายไปแล้ว ก็ยากที่ใครจะหยั่งรู้ว่่า บัดนี้เขากำลังชดใช้กรรมที่ได้กระทำไว้
ตรงจุดใดของห้วงจักรวาลนี้ ส่วนคนที่ยังหายใจอยู่ก็คงต้องดิ้นรนต่อสู้กันต่อไป…

สายตาของชายสูงวัยจดจ่ออยู่ที่ดวงตะวันสีแดงสุกดวงใหญ่ตรงหน้า
ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบน้ำแห่งท้องทะเลขึ้นมา…หนังสือพิมพ์นี้เขาเพิ่งได้อ่าน
หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆมาก่อนหน้านี้แล้ว…

ข้อเท็จจริงทั้งหมดไม่ได้ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ที่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นเช่นไร…

และก็มีน้อยคนอีกเช่นกันที่จะรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการฆาตกรรมหมู่
ในครอบครัวทวีวรวรรณ

คิดมาถึงตรงนี้ บันลือก็อดนึกไปถึงแววตาสุกใสของเด็กชายคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้วมิได้…
เด็กชายคนนั้นที่ป่านนี้คงจะโตเป็นหนุ่ม
เด็กชายคนนั้นที่ไม่เคยออกสื่อ ไม่เคยมีใครได้รู้จักในวงสังคมนัก…
เด็กชายที่ราวกับเป็นคนที่ถูกโลกใบนี้ลืมเลือน

ทว่า วันนี้ บันลืออดนึกถึงแววตาสุกใสของเด็กชายคนนั้นไม่ได้…

เพราะไม่ว่าตะวันจะสาดแสงแรงกล้าเพียงใด หรือจะยอแสงใกล้จะลับขอบฟ้า
ก็ไม่ปรากฏข่าวคราวใดๆของเด็กชายคนนั้นบนหน้าหนังสือพิมพ์…
ราวกับชีวิตของเด็กชายคนนั้นอยู่นอกวงโคจรของดวงอาทิตย์
ราวกับชีวิตของเด็กชายคนนั้นมิเคยได้รับแสงสว่างอันอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ดวงนั้น
ที่เพิ่งจะลาลับขอบฟ้าไปเมื่อไม่นานมานี้เลย…แม้จะไร้ข่าวคราวใดๆ…
แต่เขารู้ดีว่า…เด็กชายคนนั้นที่บัดนี้ได้กลายเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว
กำลังตกอยู่ในสภาพเช่นใด


บันลือพ่นลมหายใจออกมาเมื่อเห็นตะวันโผล่พ้นน้ำลอยเด่นสวยสง่า…

เป็นใครก็คงอยากจะยิ่งใหญ่และโดดเด่นตระหง่านเพียงผู้เดียวดั่งเช่นดวงตะวัน
ในยามนี้กันทั้งนั้น…จะมีดวงตะวันยามใดที่จะยิ่งใหญ่ สง่างาม
คอยส่องแสงแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆเหมือนดวงตะวันในยามกำลังขึ้นอยเฉกเช่นนี้บ้าง…

แม้จะต้องอยู่โดยไม่เหลือใครก็ยอม เพื่อคงความยิ่งใหญ่นั้นเอาไว้ให้ได้…


เมื่อวานเขานั่งมองตะวันตกดิน และวันนี้เขาก็ตื่นมาทันได้เห็นตะวันขึ้น…
นี่คือวิถีของชีวิตมนุษย์ที่มีขึ้นมีลง…ไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีนี้ได้
แม้จะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม…


“พ่อได้ข่าวแล้วใช่มั้ยครับ…”เวนไตยเดินเข้ามาเงียบๆก่อนจะนั่งลงตรงม้านั่ง
ตรงระเบียงบ้านไม่ห่างจากบันลือนัก…บันลือมิได้หันมามอง เขายังคงจ้อง
ดวงอาทิตย์ดวงนั้นอยู่มิวางตา…มีเพียงแค่การพยักหน้าเท่านั้นที่ทำให้เวนไตย
รับรู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินในสิ่งที่เขาถาม…

“จำได้มั้ยว่าเธอยังมีพี่ชาย…”เวนไตยพยักหน้า

“จำได้เสมอครับ…จำได้ไม่เคยลืม…เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้ว่านายจอมพล
และนายจอมทัพยังเมตตาตระกูลของผมอยู่บ้างโดยไม่ฆ่าล้างโคตรไปจนหมดสิ้น…”

น้ำเสียงของเวนไตย ณ ตอนนี้ไม่ได้แฝงไว้ด้วยความเคียดแค้นอีกต่อไปแล้ว…
เขาได้ให้อภัยกับผู้ที่เคยทำลายชีวิตเขาและคนในตระกูลของเขาได้แล้ว…
แม้แต่ซาเนียเองก็ถึงกับปลงตกเมื่อได้รับรู้ข่าวการสังหารหมู่ของคน
ในตระกูลทวีวรวรรณเมื่อเรื่องราวแดงขึ้นมา…

“ถ้าวันนั้นผมตายไปพร้อมกับพ่อและแม่ อย่างน้อยก็ยังคงมีเขาที่หลงเหลืออยู่…”

“อย่างน้อยเขาก็เป็นนักสู้ที่ดี…ไม่หนีปัญหาเหมือนน้องชายต่างมารดาของเขา
หรือชิงลืมเรื่องราวทุกอย่างไปเหมือนน้องสาว…อย่างดุจมณี…

ตอนนี้เขาคงเป็นทายาทผู้เดียวที่ต้องคอยอยู่รับมรดกที่พ่อและอา
รวมทั้งแม่เลี้ยงของเขาได้ก่อไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…”

เวนไตยเอ่ยชมอีกคนที่เขารู้มาว่ากำลังต่อสู้กับปัญหาหนักต่างๆ
ที่ประดังเข้ามาโดยไม่คิดแม้แต่จะถอยหนีเหมือนอีกคนที่ตอนนี้ได้หนีไป
กบดานอยู่ต่างประเทศ คนที่เป็นต้นเหตุให้ชีวิตรักของลูกสาวของพ่อบุญธรรม
ที่นั่งอยู่ข้างๆเขาตอนนี้เกือบล้มพังมาแล้ว…

“ดูเหมือนพ่อจะกังวลเกี่ยวกับเขา…”เวนไตยกล่าวเพราะรู้จักคนข้างๆดี

“พ่อแค่ไม่รู้ว่าเขาจะยอมรับกับความจริงที่เจอได้แค่ไหน…”
เวนไตยระบายยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น…

“ผมว่่าพ่อกำลังประเมินเขาต่ำไป…”บันลือหันมามองเวนไตยแล้วเลิกคิ้วสูง
เป็นเชิงถาม…

“เขาเป็นลูกทะเลเหมือนๆกับผม…บรรพบุรุษเราอยู่กับท้องทะเลอันเวิ้งว้างมาตลอด
ล้วนแล้วต้องเผชิญกับคลื่นลมอยู่ตลอดเวลา…มันอาจจะมีบ้างที่ท้อ…
แต่ก็ไม่เคยหมดหวัง เพราะเราเชื่อว่า พรุ่งนี้จะสวย สดใสขึ้นในไม่นาน…
คลื่นลมก็จะเลยผ่านและจางหายไป…เพราะชีวิตเราก็ไม่ต่างจากเรือน้อยๆ…
ที่แกว่งไกวราวกับจะร่อแร่แต่ก็ไม่เคยล้ม…ไม่เหมือนเรือใหญ่ที่ถูกคลื่นยักษ์ซัดผ่านก็ล้ม
และจมลงสู่ก้นทะเล…เขาไม่ใช่ขุนศึก แต่เขาคือขุนพล
ที่มีสายเลือดของปุรารัตน์อยู่ครึ่งนึง…ผมเชื่อว่าเขาจะไม่หนี
และเขาจะอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาทุกอย่างตรงหน้าได้โดยไม่ยอมล้มลงคุกเข่ายอมแพ้
ให้แก่อุปสรรคง่ายๆแน่ๆครับพ่อ…”
บันลือมองคนพูดนิ่งราวกับไม่เชื่อ ทว่าเวนไตยกลับยืนยันว่า

“ถึงผมกับเขาจะมีเวลาได้อยู่ด้วยกันไม่มากนัก…
แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ…
เพราะมีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมไม่เคยลืมเลย…”เวนไตยเริ่มเล่า
พลางนึกไปถึงภาพเมื่อตอนเด็กๆระหว่างเขากับขุนพล ลูกชายของอาสาว
ที่อาสาวมักจะพามาเยี่ยมพี่ชายซึ่งก็คือพ่อแท้ๆของเขาอยู่เป็นประจำ…

“ตอนนั้นเรากำลังเล่นว่าวด้วยกันอย่างสนุกสนาน…ว่าวของเขาตัวใหญ่และมีพลัง
ส่วนของผมไม่มีอะไรสู้ว่าวของเขาได้เลย…แล้วในที่สุดเชือกว่าวของเขาพันกับ
เชือกว่าวของผม คราวนี้แหล่ะที่ทำให้ผมรู้ว่าเขาคือนักแก้ปัญหาผู้ไม่เคยท้อถอย

เพราะเขาได้ดึงว่าวลงมาแล้วพยายามแกะเชือกที่พันกันมั่วจนสำเร็จ
แต่ไม่หมดแค่นั้น วันต่อมา ผมที่อายุน้อยกว่าอยู่มาก ซึ่งไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย
กลับขดเชือกว่าวไม่เป็น เชือกว่าวที่ยาวหลายเมตรก็เลยพันกันจนแก้ไม่ได้…
แต่เขาก็ช่วยผมแก้ปมเชือกที่ถูกขมวดกันเป็นขดใหญ่จนเสร็จ

ใช้เวลาหลายชั่วโมงมากๆโดยไม่มีเสียงบ่นจากปากของเขาเลยแม้แต่คำเดียว…

เขาอดทนและพยายามเอาชนะกับปมเชือกเหล่านั้นจนเด็กไม่ประสีประสาอย่างผม
อดชื่นชมไม่ได้…ผมถึงเชื่อว่า…นิสัยแบบนี้ของเขาจะยังคงอยู่กับเขามาจนถึงทุกวันนี้…

เพราะผมไม่เคยลืมที่จะคอยสืบชึวิตความเป็นอยู่ของเขา
กับติดตามผลงานของเขาที่พ่อแท้ๆของเขาไม่เคยใส่ใจหรือเห็นคุณค่าของมันเลย

สิ่งเหล่านั้นที่เขาทำมาเรื่อยๆ แต่มันคือสิ่งที่ยืนยันว่าเขามีความตั้งใจดี
และมีความมานะบากบั่นแค่ไหน…”

เวนไตยกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมอีกคนอย่างจริงใจ
เพราะสำหรับเขาแล้ว เขาสามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นใคร…
ใครดีเขาก็ว่าดี ใครร้ายเขาก็ว่าร้าย ตรงไหนของคนๆน้ันที่แย่เขาก็ว่าแย่
ตรงไหนที่เป็นข้อดีของคนๆนั้นเขาก็ว่าดี…เพราะคนเรามีีทั้งดีและไม่ดี
อยู่ในคนๆเดียวกัน อยู่ที่เราว่าจะแยกแยะว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดีได้แค่ไหน…

“ดีแล้วที่เธอสามารถแยกแยะได้ว่าใครดีใครร้าย…อย่างน้อยนายจอมพลก็ไม่ได้
เลวร้ายที่สุดในบรรดาคนที่เลวร้าย เพราะเขายังมีเมตตาไม่ฆ่าลูกชายของตัวเอง
อย่างขุนพลไปพร้อมๆกับเมียที่ดีแสนดีของตัวเองด้วยในคราวนั้น…และยังรู้จัก
หาทางปกป้องให้ลูกตัวเองปลอดภัยจากราชินีปลวกอย่างคุณหญิงมณีมาได้ตลอด”
บันลือกล่าวขณะตบไหล่เวนไตยด้วยแววตาชื่นชมเช่นกันก่อนจะลุกขึ้นยืน
แล้วทิ้งท้ายก่อนเดินเข้าไปในเรือนว่า

“รักกันไว้น่ะดีแล้ว…อย่างไรก็พี่น้องกัน…”

“อ้อ…”บันลือหันมาทางเวนไตยอีกครั้งเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“จำไว้ข้อนึงว่า…สุภาษิตดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่นั้นใช้ไม่ได้กับลูกสาว
ของคุณหญิงมณี…เพราะดุจมณีเป็นเพียงแค่ประติมากรรมน้ำแข็งที่คุณหญิงมณี
พยายามปั้นขึ้นมา…แต่เมื่อน้ำแข็งโดนความร้อนมาละลาย น้ำแข็งที่ว่า
ก็ย่อมกลับคืนสู่สถานะเดิมของมัน…ได้เป็นตัวของมันอย่างที่มันควรจะเป็น…”

เวนไตยพยักหน้าเข้าใจและเห็นด้วยกับถ้อยคำนั้น…เพราะข่าวคราวล่าสุดของดุจมณี
ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิงมณีนั้นทำให้เขา
ต้องอดยอมรับไม่ได้กับถ้อยคำของพ่อบุญธรรมของเขาเมื่อครู่นี้…






ตะวันยืนมองภาพของดุจมณี ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่ควงของเขา
ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็มักจะตกเป็นเป้าสายตาของสื่อ
จนใครๆก็ต่างยกให้เป็นคู่ดังแห่งปีและเชียร์ให้ลงเอยกัน…
แต่จะมีใครรู้ว่าดุจมณีที่เป็นประติมากรรมน้ำแข็ง
ที่คุณหญิงมณีผู้เป็นแม่ปั้นขึ้นมาได้อย่างวิจิตร เป็นประติมากรรมชั้นดี
สวยงามระยิบระยับจับตาจนใครๆต่างอิจฉา บัดนี้ทุกอย่างที่คุณหญิงดุจมณี
เพียรสร้างมาตลอดได้ระเหิดระเหยไป ไม่เหลือความสวยงามระยิบระยับจับตา
แบบที่ใครๆเคยพบเจออีกแล้ว…

และคงจะไม่มีใครรู้ถึงเรื่องตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับดุจมณี
เท่ากับเขาและเจ้าตัวเท่านั้น…

แม้เขาจะไม่เคยรักหญิงสาวผู้นี้อย่างที่ชายคนนึงพึงมีใจให้หญิงสาว
แต่เขาก็มีความห่วงใยและหวังดีต่อผู้หญิงคนนี้มาโดยตลอด…

แม้ความแค้นระหว่างเขากับพ่อแม่ของหญิงสาวจะคุกรุ่นสักแค่ไหน
แต่เขาก็ไม่เคยนำความรู้สึกเหล่านั้นมาลงที่หญิงสาวผู้นี้ได้เลย…

หลายคนอาจจะรู้สึกเวทนาสงสารหญิงสาวผู้นี้กับสภาพที่เธอกำลังเป็นอยู่
แต่เขากลับรู้สึกยินดีกับสิ่งที่เธอได้รับอยู่ อย่างน้อยเขาก็มองเห็นความโชคดี
ในสิ่งที่ดุจมณีได้รับอยู่ ณ ตอนนี้…

หลายคนที่โตขึ้นมาแล้วต้องเจอกับปัญหาต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
จนอยากจะหนีกลับไปยังวันวานเมื่อยังเยาวัย อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
เด็กที่ไม่ต้องคิดไม่ต้องแคร์สิ่งใด เด็กที่ทุกคนต่างก็คอยรัก คอยห่วง คอยสนใจ…

วันนี้ ดุจมณีได้พรอันนั้นแล้ว
เธอได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนหนึ่ง ได้กลับไปสู่ห้วงเวลาในวัยเยาว์…
ได้กลับไปเป็นเด็กสาวตัวน้อยๆอีกครั้ง…

“คุณเป็นใคร…”หญิงสาวหน้าตาหมดจด ปราศจากสิ่งแต้มเติมใดๆเอียงคอถาม
ด้วยแววตาไร้เดียงสา…ตะวันยิ้มก่อนจะนั่งลงตรงพื้นหญ้าตรงหน้าหญิงสาว
ที่นั่งเล่นตุ๊กตาอยู่คนเดียว…

หญิงสาวตรงหน้ามิใช่คนเสียสติหรือคนบ้าทั่วๆไป
แต่ช่วงเวลาบางช่วงในชีวิตของเธอได้หายไปจากความทรงจำ ราวกับความจำ
เมื่อตอนที่เธอกำลังเป็นสาวได้ถูกลบไปจากสมอง จนทำให้ตอนนี้เธอมีความจำ
เพียงแค่ตอนอายุแปดขวบเท่านั้น…และความคิดความอ่านของเธอก็เหมือนเด็กอายุแปดขวบ…

“พี่เป็นเจ้าชายจากแดนไกล แวะมาหาเธอ…มาดูว่าเธอสบายดีอยู่รึเปล่า…”

“สบายดีค่ะ…ไอซ์สบายดีมากๆ…”หญิงสาวยิ้มหวานแล้วก็ไม่ลืมที่จะมองสำรวจ
คนตรงหน้าด้วยแววตาไม่ค่อยไว้ใจนัก

“ทำไมไอซ์ไม่เคยเห็นหน้าพี่มาก่อนเลยล่ะคะ…”ตะวันยิ้มบางที่มุมปาก
ก่อนจะตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“พี่เป็นเจ้าชายจากดวงดาวแห่งศรัทธาท่ีจะมาหาเธอเสมอเมื่อเธอคิดถึง…”
หญิงสาวได้ฟังจึงเบิกตากว้างด้วยแววตาระยิบระยับ

“จริงเหรอคะ…ดวงดาวแห่งศรัทธามีจริงๆเหรอคะ…”ตะวันพยักหน้า

“มีสิ…เพราะเมื่อใดที่เธอคิดถึงพี่…เธอก็จะสามารถเห็นพี่ได้เสมอ
เมื่อเธอแหงนหน้ามองฟ้าตอนที่มันกำลังมืดสนิท…ดาวดวงที่เล็กที่สุดบนท้องฟ้า
ที่เธอหาเจอก็คือดวงดาวแห่งศรัทธาของพี่…”ดุจมณียิ้มปรายเต็มดวงหน้าจนตาหยี…

“พี่เป็นเจ้าชายจริงๆด้วย…เพราะพี่หล่อมากๆและก็ดูใจดีมากๆเลยค่ะ…
ไอซ์รู้สึกคุ้นเคย…รู้สึกรักพี่…รักพี่เจ้าชายนะคะ…”
หญิงสาวกล่าวด้วยความรู้สึกบางอย่างในหัวใจราวกับใจคุ้นเคย…

“แต่ตอนนี้พี่คงต้องไปแล้ว…เพราะดูเหมือนฮีโร่ของเธอกำลังจะกลับมาแล้ว…”
ตะวันหันไปเห็นขุนพลที่กำลังเดินมาแต่ไกล…

“อย่าเพิ่งไปสิคะ…เรายังคุยกันแค่นิดเดียวเอง…”

“ไม่ได้หรอกครับ…พี่ต้องไปแล้ว…”ตะวันยกมือขึ้นโยกหัวทุยๆนั่นอย่างเอ็นดู

“เก็บนี่ไว้นะ…พี่ให้…”ตะวันนำตุ๊กตาแมวที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลังวางไว้บนตัก
ของดุจมณีพร้อมรอยยิ้มกว้าง…ทำเอาคนรับถึงกับตาโตด้วยความดีใจ
มองไปยังตุ๊กตาดังกล่าวแล้วเปิดยิ้มกว้าง ยิ้มที่ดูแสนซ่ือและบริสุทธิ์ยิ่งนัก
ในสายตาของตะวัน…จนเขาอดอิจฉารอยยิ้มแบบนั้นไม่ได้…

“ขอบคุณค่ะ…ไอซ์จะเก็บไว้อย่างดี ไม่ให้ใครเอาไปค่ะ…”พูดจบหญิงสาว
ก็นำมันขึ้นมากอดแนบแก้ม ตะวันลูบหัวด้วยแววตาเอ็นดูก่อนจะลุกขึ้น

“อย่าลืมมองหาดวงดาวแห่งศรัทธาล่ะ…เพราะเธอจะได้รู้ว่าพี่เป็นห่วงเธอเสมอ…
พี่ไปนะเจ้าหญิงตัวน้อย…”ตะวันลูบหัวหญิงสาวเบาๆอีกครั้ง
ก่อนจะขอตัวเดินออกมาจากที่ตรงนั้นสวนทางกับขุนพลเข้าพอดี…

หนุ่มใหญ่ก้มหัวนิดนึงเป็นเชิงทักทายอีกฝ่าย ขุนพลทักตอบด้วยการก้มหน้านิดนึง
เขายอมรับว่าไม่กล้าสู้หน้าใครๆในยามนี้
โดยเฉพาะบุคคลที่บิดาและอาของเขาได้ทำร้ายเอาไว้อย่างแสนสาหัส
อย่างบุคคลผู้นี้และอีกมากมายหลายชีวิต…ที่เขาคิดว่าชีวิตนี้บิดาและอาของเขา
คงชดใช้ความผิดนั้นไม่หมดแน่…

วันใดที่เขารวบรวมความกล้าได้เมื่อไหร่
เขาจะเดินเข้าไปขออภัยจากคนเหล่านั้นแทนบิดาและอาของเขา…

เพราะตั้งแต่วันที่อาของเขาจับได้คาหนังคาเขาว่าภรรยาสุดที่รักสวมเขาให้
และชายชู้ที่ว่านั้นไม่ใช่ใครที่ไหนไกล คนใกล้ๆอย่างพี่ชายของตัวเอง
และสถานที่ที่จับได้ก็เป็นในคฤหาสถ์หลังงามของตัวเองอีก…
ก็เลยควักปืนขึ้นมาจะยิงภรรยาของตัวเองที่คิดคดทรยศหักหลัง
แต่โดนพี่ชายอย่างจอมพลที่วิ่งเข้ามาขวางทางปืนเอาไว้…

เขายังไม่ลืมภาพนั้นที่ยังคงติดตาเขาอยู่ เพราะเขา ขุนศึกและดุจมณี
ที่ได้ยินเสียงทะเลาะกันของทั้งสามจึงรีบเข้าไปดู…

ได้ยินเสียงปืนนัดแรกพุ่งเข้าสู่หน้าท้องของบิดาของตัวเอง
เห็นภาพบิดาทรุดลงกับกองเลือด โดยมีคุณหญิงมณีประคองเอาไว้บนตัก…
เสียงคุณหญิงมณีตะโกนออกไปราวกับนางเสือที่เจ็บหนัก

“พี่กำลังทำอะไร…พี่กำลังฆ่าพี่ชายตัวเองอยู่รู้มั้ย…”

“อย่ามาพูดยัยตัวดี เพราะเธอนั่นแหล่ะ…เพราะเธอ…”

“คนอย่างพี่มันดีแต่เห็นแก่ตัวเอง พอภัยมาหาตัวเองก็โยนความผิดมาให้คนอื่นทั้งหมด
อย่างหน้าไม่อาย เวลามีความสุข มีเกียรติก็รับอยู่คนเดียว…
มือไม่เคยเปื้อนเลือด เพราะงานแบบนั้นพี่หนึ่งเขาทำให้ทุกอย่างแล้วนี่…
ตัวเองได้หน้าได้ตาทุกอย่างโดยไม่ต้องเหนื่อยอะไร เพราะพี่ชายทำให้ทุกอย่าง

ที่ได้ดิบได้ดีมาก็เพราะพี่ให้มาตลอด…แต่พอตอนที่ถูกฟ้องคดีจับได้
ก็โยนมาให้พี่ชายรับหน้าตาเฉยอยู่คนเดียว…

ต่อให้ฉันจะเป็นหญิงเลวหรือถูกตราหน้าว่าเป็นนางวันทอง
แต่รู้ไว้เถอะว่า คนอย่างพี่มันเลวยิ่งกว่าใครในโลก…
สมแล้วที่จะไม่มีใครรักจริงๆเลยสักคนเดียว…”คุณหญิงมณีกล่าวทั้งน้ำตา
และยิ่งน้ำตาไหลพรากเมื่อพบว่าลมหายใจของคนในตักกำลังระรวยริน
ใกล้จะสิ้นลงเต็มทีแล้ว…

“พี่มันเห็นแก่ความสุขของตัวเองอยู่คนเดียวมาตลอด อย่าว่าแต่เป็นผู้นำใครเลย
แม้แต่ผู้นำครอบครัวฉันก็ไม่อยากเลือกพี่มาตั้งแต่ต้นแล้ว
เพราะพี่มันเสียสละไม่เป็น ไม่เคยใส่ใจความสุขของคนอื่นมากกว่าความสุขของตัวเอง…
ปากบอกว่ารัก แต่การกระทำน่ะมันไม่ใช่เลย
ฉันถึงไม่เคยรักคนอย่างพี่ คนที่ฉันรักมาตลอดก็คือพีี่หนึ่ง
และเขาก็คือพ่อของลูกๆของฉัน พี่รู้เอาไว้เลย…
รู้เอาไว้ว่าตาไลค์กับยัยไอซ์น่ะไม่ใช่ลูกของพี่แต่เป็นลูกของพี่หนึ่ง…

ฉันไม่เคยคิดอยากจะมีลูกกับคนอย่างพี่…
ไม่เคยคิดอยากจะมีอะไรๆกับพี่เลยด้วยซ้ำไป…
เพราะคนอย่างพี่มันไม่เหมาะที่จะเป็นพ่อคน…”คนพูดพูดด้วยอาการหอบหายใจถี่
ก่อนจะก้มมองร่างซึ่งไร้สติของอีกคนที่โดนน้องชายทำร้าย…

น้ำตาของมณีใหลพราก…ก่อนจะเอ่ยต่อว่าอีกคนที่ทำร้ายได้แม้กระทั่งพี่ชาย
ที่เสียสละเพื่อเขามาตลอดทั้งชีวิต…แม้กระท่ังคนรักก็ยอมเสียสละให้น้อง…

“หากเรื่องนี้จะมีคนผิด คนๆนั้นก็คือฉัน…พี่หนึ่งเขายกฉันให้พี่แล้ว
เขาบอกเลิกฉันอย่างไร้เยื่อใย…เขาพยายามผลักใสฉันให้ออกไปจากชีวิตของเขา
โดยให้ฉันไปรักคนอื่นที่ไม่ใช่เขาแทน…แล้วให้ฉันลืมเขาไปซะ…

เขาทำกับฉันทั้งๆที่เขาก็รู้ดีว่าฉันรู้ว่าเขาก็ยังรักฉันอยู่…เขาไม่ยอมฟังฉัน…
เขาทำร้ายหัวใจฉันจนไม่เหลือชิ้นดีด้วยการประกาศว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน
ที่เขาบอกว่าเขารักนักหนา…แต่ฉันไม่เชื่อหรอก…ว่าพี่หนึ่งจะเลิกรักฉันไปจริงๆ…
แม้เขาจะตัดขาดจากฉันไปพร้อมกับพยายามยัดเยียดฉันให้น้องชายของตัวเอง…

แต่ก็เป็นฉันเองนี่แหล่ะที่ยังไม่ยอมเลิกรักเขาก็เลยตามรังควานครอบครัวเขาไม่เลิก
เพราะไม่อยากให้เขาเลิกรักฉัน…เขาจะต้องรักฉันคนเดียว
และรักฉันตลอดไปเท่านั้น…เขาจะเสียสละอะไรมันก็เรื่องของเขา
แต่หัวใจของฉันมันก็ยังเป็นของฉัน และใครก็บังคับมันไม่ได้ด้วย…”

มณีพรั่งพรูความจริงในก้นบึ้งหัวใจออกมา…ทำเอาจอมทัพยืนฟังด้วยอาการนิ่ง
ราวกับหุ่นยนต์ที่ไร้หัวใจ ส่วนขุนพลที่ยืนฟังอยู่ด้วยก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ…

“และถ้าไม่ใช่เพราะพี่หนึ่งขอร้องให้ฉันแต่งงานกับพี่
พี่ก็อย่าหวังเลยว่าคนอย่างฉันจะยอม…และที่ฉันยอมแต่งงานกับพี่
ก็เพราะว่าฉันไม่ต้องการไปจากชีวิตของพี่หนึ่ง ฉันยังอยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา
ฉันไม่ต้องการให้เขาลืมคนอย่างฉันไป…เขาจะต้องเจอฉันเสมอ

ในเมื่อแต่งงานกับพี่หนึ่งไม่ได้ ฉันก็ต้องแต่งงานกับน้องชายเขา
เพี่อที่ฉันจะได้อยู่ข้างๆเขาต่อไป…นั่นแหล่ะที่ฉันต้องการจริงๆ…”

มณียกมือปาดน้ำตา…ตอนนี้เธอเหมือนคนที่ขาดสติจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์
ความรู้สึกได้อีกต่อไป…

“พี่รู้เอาไว้เลยพี่วัน…ว่าคนที่ชั่วช้าและไร้ยางอายน่ะคือฉัน…
ต่อให้พี่ฆ่าพี่หนึ่งตาย หรือจะฆ่าฉันให้ตายไปด้วยอีกคน
ฉันก็จะบอกว่า…ฉันไม่เคยรักพี่…และจะไม่มีวันรักพี่ด้วย…

เพราะนอกจากพี่หนึ่งแล้วฉันไม่เคยต้องการใคร…และฉันก็ไม่สามารถอยู่กับใครได้
เพราะฉันไม่ต้องการคนอื่น…ไม่เคยเลย…คนที่ฉันรักและต้องการ
จะใช้ชีวิตด้วยจริงๆคือพี่หนึ่งคนเดียวมาโดยตลอด…”
จอมทัพรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจราวกับมีเข็มนับพันเล่มกำลังทิ่มแทงมันอยู่…

“ของแบบนี้มันตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก…อย่าปกป้องคนรักของเธอหน่อยเลยมณี”

จอมทัพยกปืนขึ้นเล็งไปที่มณี ทำเอาคนที่ยืนอึ้งอย่างขุนพล ขุนศึกและดุจมณี
ถึงกับร้องห้ามกันยกใหญ่

“ถ้าพี่หนึ่งไม่คิดคดทรยศด้วย มันจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง…ที่แท้…หญิงก็ร้ายชายก็เลว…”

จอมทัพคำรามราวกับเสือที่กำลังจะโดนเชือดคอ…
เขาไม่คิดเลยว่าพิษที่กำลังกัดกินหัวใจของเขาในตอนนี้จะมาจากสองคนที่เขารัก…
ผู้หญิงตรงหน้าเขาคือตัวนรกชัดๆ…

“เพราะเธอ…เพราะเธอที่ทำให้ฉันกับพี่หนึ่งต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้…
เพราะเธอที่นำไฟเข้ามาเผาบ้านเรา…ไฟที่วันนี้ฉันจะดับมันลงด้วยมือของฉันเอง”

จอมทัพนึกย้อนไปถึงชีวิตเขากับพี่ชายในวัยเยาว์ ตอนนั้นเขากับพี่ชายรักกันแค่ไหน
ชาวบ้านต่างรู้และกล่าวชื่นชมมาโดยตลอด…เราอดทนและทนอดมาด้วยกัน
ทุกข์ก็ทุกข์มาด้วยกัน มีสุขก็ร่วมสุข มีน้อยก็กินน้อย…อดมือกินมื้อ
กว่าจะสร้างทุกอย่างจนมั่นคง เขาและพี่ชายต่างช่วยกันปาดเหงื่อให้กันและกันมาโดยตลอด…

เขาอาจจะดูเห็นแก่ตัวจนลืมตัวทำร้ายพี่ตัวเอง…
แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า…คนที่รักเขาที่สุดคือ พี่ชายของเขา…

และเพราะตัณหาตัวเดียวที่เผาผลาญชีวิตเขาและพี่ชาย
รวมทั้งมณีให้มอดไหม้แบบนี้…ดังนั้น…เขาจะสะสางทุกอย่างให้สิ้นซากซะตั้งแต่วันนี้…

“พี่ก็ยังคงหาเรื่องโทษคนโน้นคนนี้ได้ตลอด…เคยมั้ยสักครั้งที่จะโทษตัวเอง
ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันผิด ถึงจะรักกันเท่าไหร่มันไม่ชอบธรรม…
ฉันรู้ว่าการที่ฉันกับพี่หนึ่งทำแบบนี้มันเป็นเรื่องน่าอาย
ถึงต้องหลบๆซ่อนๆ…ซึ่งฉันพร้อมที่จะชดใช้กรรมที่ทำไว้…

แต่ไอ้การที่เราสามคนเป็นโรคเอดส์น่ะเป็นเพราะความมั่วของพี่คนเดียวเลย…
รู้เอาไว้ว่าพี่มันมักมากจนทำให้ฉันต้องมาเป็นโรคบ้าๆแบบนี้ไปด้วย…
ไม่ตายวันนี้ก็ต้องตายในอีกไม่ช้า…ถ้าพี่คิดว่าความตายของฉันกับพี่หนึ่ง
มันจะหยุดทุกอย่างได้ และสามารถชดใช้ให้พี่ได้…พี่ก็เชิญฆ่าฉันอีกคนเลยสิ…
เพราะทุกวันนี้ฉันก็ตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว…ในอกฉันมันมีแต่ไฟกับไฟ…
หากปืนในมือพี่สามารถดับไฟที่เผาบ้านเราได้…พี่ก็ลั่นไกเลยพี่วัน…”

“อย่านะครับอา…”ขุนพลเป็นคนเดียวที่สามารถเปิดปากพูดห้ามได้
เพราะขุนศึกกับดุจมณีนั้นยืนช็อกกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้มาเสียจนหาสติไม่เจอ

“ดี…มณี…ในเมื่อนี่คือสิ่งที่เธอขอร้องฉัน…งั้นฉันก็จะสนองเธอ…
เราจะชดใช้มันไปด้วยกัน…แต่เพื่อให้แน่ใจ…ว่าทุกอย่างจะจบลงจริงๆ”

จอมทัพหันไปทางพี่ชายของตัวเองก่อนจะลั่นไกอีกครั้ง
แต่ดุจมณีผลักร่างนั้นให้พลิกไปอีกทางทำให้กระสุนที่สาดเข้ามาทั้งหมด
โดนเธอเต็มๆ มีพลาดโดนจอมพลบ้างเพียงไม่กี่นัด ทำให้คุณหญิงมณี
นอนอาบคากองเลือดสดที่กระเด็นสาดไปรอบๆพร้อมเสียงกรีดร้องลั่น
ของดุจมณีที่มองภาพสยองนั้น

“พ่อขอโทษ...”จอมทัพหันไปทางลูกทั้งสองที่เขาเชื่อมาตลอดว่าเป็นลูกแท้ๆ
แม้ตอนนี้จะรู้แล้วว่าไม่ใช่จากปากมารดาของลูก แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไร…

“มันไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไป…ลูกทั้งสองก็ยังคงเป็นลูกของพ่อเสมอ…
พ่อจะหยุดตรงนี้ให้พอกันสักที…เรื่องเลวร้ายที่คนก่อนๆเคยทำกันมา
ก็ขอให้มันจบลงตรงนี้…ขออย่ามีใครขุดคุ้ยมันขึ้นมาอีกเลย…

จะหาว่าพ่อขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงก็ได้
แต่พ่อไม่สามารถหายใจได้อีกต่อไป…
ลมหายใจที่พ่นออกมาตอนนี้มันมีแต่ความเจ็บปวด…พ่อมันเลวเอง…

ทุกอย่างที่ผ่านมามันคือมายา คือภาพลวงตา…สิ่งที่ได้มาครอบครองมันคือมายา
ไม่มีอะไรเป็นของพ่อเลย…ไม่มีเลย…แต่กว่าจะรู้ กว่าจะคิดได้…มันก็สาย…
มันสายเกินไป…”

พูดจบเสียงปืนนัดสุดท้ายก็ดังลั่นคฤหาสถ์หลังงาม…
ปิดฉากชีวิตของจอมทัพนายตำรวจชั้นสูงด้วยการเป่ากระหม่อมของตัวเอง…
น้ำตาหยดสุดท้ายของจอมทัพหยดลงกับพื้น ราวกับจะบอกว่าทุกอย่างต้องร่วงลงสู่พื้นในที่สุด…

“ไม่…ไม่…ไม่”เสียงร้องดังไปทั่วทั้งห้องโถงของบ้านพร้อมกลิ่นคาวคลุ้งของเลือด
ร่างของจอมทัพล้มลงใกล้ๆกับคุณหญิงมณีและพี่ชาย
ทำเอาดุจมณีช็อกสุดขีดก่อนจะหมดสติไป ส่วนขุนศึกรีบวิ่งลนลานออกจากบ้าน
เหลือเพียงขุนพลที่ตั้งสติได้ก่อนใครรีบโทรเรียกรถพยาบาลนำส่งคนทั้งหมด
ไปยังโรงพยาบาล…ซึ่งที่รอดมาได้ก็คือบิดาของเขา แต่อาการยังสาหัสอยู่
ต้องรอดูอาการวันต่อวัน…

ส่วนดุจมณีน้องสาวหลังจากที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาก็ได้กลายเป็นเด็กสาวตัวน้อยๆไป…
ขุนพลจึงได้แต่ลอบถอนใจเมื่อต้องมานั่งมองภาพน้องสาว

หลายวันก่อนเขาต้องวุ่นวายอยู่กับพิธีฝังศพอากับคุณหญิงมณี
ต้องเฝ้าติดตามอาการของบิดาอย่างใกล้ชิด และยังต้องไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าท่ี่ตำรวจ…
กว่าจะได้มาหาน้องสาวก็ล่วงเลยเวลามาเกือบสัปดาห์แล้ว…

ดีใจที่อย่างน้อยคนในตระกูลใหญ่อย่างอาทิตยะยังคงไม่ถือสาน้องสาวของเขา
และยังคงแวะมาเยี่ยมเยือนอยู่ ทั้งๆที่พ่อ อาและแม่เลี้ยงของเขาได้ทำวีรกรรม
ไว้กับคนในตระกูลนั้นเอาไว้ไม่น้อยเลย…

แล้วไหนจะข่าวที่น้องชายของเขาหายตัวไปด้วยการหลบหนีไปกบดานที่ต่างประเทศ
จนขณะนี้แล้วเขายังไม่ได้ข่าวคราวความคืบหน้าจากน้องชายเลย…
ราวกับน้องชายได้หายไปในกลีบเมฆ ไม่สนใจ ใส่ใจสิ่งใดเลยนอกจากตัวเอง…

ขุนพลนั่งลงตรงหน้าน้องสาวแล้วลูบหัวนั้นด้วยความรักปนเอ็นดู
น้ำตาของสุภาพบุรุษลูกผู้ชายคลอเบ้า…
แต่ก็ต้องเงยหน้ามองฟ้าเพื่อสะกัดกลั้นไม่ให้มันไหลลงมา…

“ยังไง…เราก็ยังมีเรานะไอซ์…พี่จะอยู่ดูแลเธอและพ่อของเราเอง…
เราจะไม่หนี ไม่ถอย และจะสู้จนถึงที่สุด…”

ขุนพลกล่าวกับน้องสาวที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นตุ๊กตาในมือ…

แล้วในที่สุดน้องสาวของเขาก็หยุดเล่นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเขา
พร้อมแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

“คุณเป็นใครน่ะ…”ขุนพลไม่แปลกใจนักที่ได้ยินคำถามนี้จากปากน้องสาว
จึงต้องอธิบายความสัมพันธ์ให้อีกคนฟังอย่างใจเย็น…

“พี่คือพี่ไนค์ อัศวินของเธอไง…จำได้มั้ย…”หญิงสาวเอียงคอถาม
ก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่จริงอ่ะ…พี่ไนค์ตัวไม่โตแบบนี้…”

“จริงสิ…เวลาผ่านไปหลายปี และเป็นหลายปีที่เราไม่ได้เจอกัน
พี่กลับมาหาเธออีกครั้ง แล้วตอนนี้พี่ก็โตมากแล้ว…เธอจำนี่ได้มั้ย…”
ขุนพลชี้ไปที่ข้อศอกข้างขวาของเขาที่มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่อยู่

“จำได้มั้ย…”หญิงสาวมองรอยแผลเป็นนั่นแล้วยิ้มออกมา

“จำได้ค่ะ…ไอซ์จำได้…คุณคือพี่ไนค์…คืออัศวินขี่ม้าขาวของไอซ์…
ไอซ์ดีใจที่สุดเลยค่ะที่ได้เจอพี่ไนค์อีกครั้ง…”หญิงสาวโผเข้ากอดขุนพลทันที
ด้วยความดีใจ…ขุนพลจึงกอดร่างนั้นเอาไว้แน่น รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที
หลังจากที่ผ่านความอ้างว้างและความเจ็บปวดรวดร้าวมาร่วมสัปดาห์…

“พี่จะไม่ยอมท้อแท้เด็จขาด…เราจะกอดคอกันเดินไปสู่หนทางข้างหน้าของเรา
ด้วยกันนะไอซ์…พี่สัญญาว่าไม่ว่าจะอย่างไรพี่จะไม่ทิ้งเธอ…และเราจะไม่ทิ้งกัน…”

“ไอซ์จะไม่ทิ้งพี่ไนค์เหมือนกันค่ะ…”หญิงสาวกล่าวออกมาจากความรู้สึก
ในห้วงลึกของจิตใจที่สร้างความอบอุ่นสู่หัวใจของคนฟังยิ่งนัก…
จากที่เคยคิดว่าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว…
เขาไม่ได้โดดเดี่ยวเดียวดายเลย…ไม่ว่าอะไรที่เจอจะหนักหนาแค่ไหน
เขาก็พร้อมจะลุย…

“พร้อมจะสู้ไปด้วยกันกับพี่มั้ย…”ขุนพลขอเสียงของคนในอ้อมกอด
หญิงสาวจึงผละออกมาแล้วยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ

“ค่ะ…เราจะสู้ไปด้วยกัน…”ถ้อยคำนั้นเขาจำได้ดี…ดุจมณีเคยพูดแบบนี้กับเขา
เมื่อตอนที่เขาและเธอเคยหลงทางในป่าด้วยกันตอนที่พ่อของเขาพาพวกเราไปเที่ยว
บ้านพักตากอากาศ…เพราะกว่าทุกคนจะมาเจอเขากับเธอ ก็ล่วงเข้าสู่ช่วงสายๆ
ของอีกวันหนึ่ง…นั่นจึงเป็นเหตุให้เธอจำรอยแผลเป็นของเขาได้แม่น
และนั่นก็เท่ากับว่าน้องสาวของเขายังคงจดจำเขาในแบบฉบับวันวาน
ที่เขาและเธอยังเป็นเด็กน้อยกันอยู่ได้ดี…
และเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้เธอเรียกเขาว่าอัศวินขี่ม้าขาว…

…อย่างน้อย…ความทรงจำของเธอก็ยังอยู่…มันไม่ได้หายไปจากสมองของเธอทั้งหมด…

“ต่อไปนี้…พี่จะปกป้องเธอและเราจะจูงมือเดินไปด้วยกันเหมือนตอนที่เราหลงป่า…
เธอต้องเชื่อฟังพี่ทุกอย่าง…และต้องไม่งอแงร้องไห้…โอเคมั้ย…”
ดุจมณีพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

“แล้วพี่ไนค์จะยอมให้ไอซ์ขี่คอเหมือนตอนนั้นใช่มั้ยคะ…”
ขุนพลถึงกับเปิดรอยยิ้มทันทีก่อนจะรีบส่ายหน้า

“ขี่คอคงไม่ไหวแล้วมั้ง ขี่หลังแทนได้มั้ยล่ะ…”ขุนพลต่อรอง…

“โอเค…ขี่หลังก็ขี่หลังค่ะ…”ดุจมณีกล่าวอย่างเด็กว่านอนสอนง่าย

“ดีแล้ว…ว่านอนสอนง่ายแบบนี้สิ…ถึงจะน่าเอ็นดูหน่อย…”

“แล้วแม่ล่ะคะ…พ่อกับแม่ของไอซ์หายไปไหนกันหมด…พี่ไลค์ด้วย…
ไม่เห็นมีใครมาหาไอซ์เลย…คนที่นี่ก็ไม่มีใครคุ้นหน้าสักคน…”
ดุจมณีเริ่มมองหาบุคคลดังกล่าวไปรอบๆ…ทว่ากลับไม่เจอ…
ส่วนขุนพลถึงกับลอบถอนหายใจ ก่อนจะตอบน้องสาวไปว่า

“พ่อกับแม่ของไอซ์ท่านไม่อยู่กับเราแล้วนะ…”

“ทำไมล่ะคะ…ทำไมถึงไม่อยู่กับเรา…”

“ไอซ์ฟังพี่ดีๆนะ…พ่อกับแม่ของไอซ์ประสบอุบัติเหตุ…เสียชีวิตทั้งคู่…
ส่วนพี่ไลค์ของไอซ์ก็เช่นกัน…ตอนนี้เราเหลือกันอยู่แค่สองคน…
ส่วนพ่อของพี่ ยังอยู่ที่โรงพยาบาล…ตอนนี้พี่จึงต้องฝากให้พี่พยาบาล
ดูแลไอซ์ไปก่อน…แล้วพี่จะพาไอซ์ไปอยู่กับพี่ที่คอนโดนะ…”

“ไม่จริง…ไม่จริง…”หญิงสาวส่ายหน้าก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้น
ขุนพลจึงดึงร่างที่สั่นสะท้านนั้นเข้ามาสวมกอด ปลอบใจอยู่นาน…

“ก็พี่บอกไอซ์แล้วไง…ว่าเรายังมีเรา…เราจะไม่ทิ้งกัน…”

“จริงๆนะ…พี่ไนค์ห้ามทิ้งไอซ์นะ…ไอซ์กลัว…”

“จริงสิ…พี่รักเธอนะ…พี่ไม่มีทางทิ้งน้องสาวของพี่หรอก…”

“แล้วบ้านของเราล่ะคะ…ทำไมพี่ไนค์ถึงบอกว่าจะพาไอซ์ไปพักที่คอนโดของพี่ด้วย…
แล้วคอนโดมันเป็นยังไง…ทำไมไม่พาไอซ์กลับบ้าน”
ดุจมณีดูจะกลายเป็นเด็กช่างซักขึ้นมา…

“เอ่อ…คือ…คือ…ตอนนี้บ้านของเราไม่มีแล้ว…”

“ทำไมคะ…”

“บ้านเราโดนไฟไหม้…ไหม้หมดทั้งหลัง…”หญิงสาวเริ่มส่งเสียงร้องไห้อีกครั้ง
ที่ได้ยินเช่นนั้น

“ไม่จริง…พี่ไนค์โกหก…”

“พี่ไม่ได้โกหก…”

“เพราะบ้านเราโดนไฟไหม้ พ่อกับแม่และพี่ไลค์ก็เลยเสียชีวิต
ส่วนไอซ์ก็เลยต้องมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอคะ…”ขุนพลที่ไม่รู้จะปั้นแต่งเรื่องราวอะไร
ให้อีกคนอยู่จึงถึงกับถอนใจยาวด้วยความโล่งอก…ที่น้องสาวของเขาเข้าใจ
ว่าทุกอย่างเป็นเช่นนั้น…

“ใช่…บ้านเราเกิดไฟไหม้…ทุกคนอยู่ในนั้น…และเรารอดมาได้…”

“ถ้างั้นไอซ์ก็อดเจอหน้าพ่อกับแม่และพี่ไลค์แล้วใช่มั้ยคะ…
เราจะไม่เจอกันแล้วใช่มั้ยคะ…”

ขุนพลถึงกับน้ำตาคลอเบ้าอีกครั้งเมื่อเจอเข้ากับประโยคนี้…

เขาเองก็ไม่คิดเลยว่า วันแห่งการจากลาจะเดินทางมาหาเขาและน้องสาว
ได้รวดเร็วถึงปานนี้…เมื่อสัปดาห์ก่อนเราทั้งหมดยังคงได้พบเจอกัน…
ได้พูดคุยกัน…แต่บัดนี้ทุกอย่างกลับหายวับไปกับตา ทิ้งไว้เพียงร่องรอย
ของความทรงจำเอาไว้เพียงแค่นั้น…

สำหรับคนอื่นๆอาจจะคิดว่าคนชั่วๆสมควรตาย
แต่สำหรับเขา…คนเหล่านั้นที่ใครๆคิดว่าสมควรตายคือ บุคคลที่เขารัก…
คือคนในครอบครัวของเขา…

นับว่าเขายังโชคดีทีี่ยังเหลือบิดาอยู่…และนี่คือโอกาสที่เขาจะได้ตอบแทนบุญคุณของท่าน…
เขาจะไม่รอวันพรุ่งนี้อีกต่อไป…แต่เขาจะทำทุกอย่างในห้วงเวลาที่มีให้ดีที่สุด…
เพื่ออยู่กับสิ่งมี อยู่กับสิ่งที่ยังเหลืออยู่ต่อไป…

“พี่ยังเหลือพ่อนะไอซ์…เรายังเหลือพ่อ…”ขุนพลพึมพำกับน้องสาว

“พ่อ…พ่อเหรอคะ…”

“ใช่…พ่อของพี่…”

“อ๋อ…คุณลุง…”ดุจมณีกล่าวเมื่อนึกขึ้นได้ ทว่าขุนพลกลับส่ายหน้า

“ตอนนี้ไม่ใช่แล้วนะไอซ์…ตอนนี้พ่อของพี่ก็คือพ่อของเธอ…”

“ไอซ์ไม่เข้าใจ…”ดุจมณีส่ายหน้าไปมา

“ขอให๋ไอซ์เชื่อพี่ว่า…พ่อของพี่ก็คือพ่อของไอซ์…และไอซ์ต้องเรียกท่านว่าพ่อ ตกลงมั้ย…”

“ค่ะ…ไอซ์เชื่อพี่ไนค์…ไอซ์ตกลง…”หญิงสาวกล่าวอย่างว่าง่าย…
ทำให้ขุนพลถึงกับโล่งใจ…

“เราสองคนจะช่วยกันดูแลพ่อด้วยกันนะ…เราจะไม่ทิ้งท่าน…”
ขุนพลกุมมือน้องสาวเอาไว้

“ค่ะ…เราจะไม่ทิ้งท่าน…”ดุจมณีวางมืออีกข้างบนมือของพี่ชายราวกับนั่นคือคำมั่นสัญญา…

ขุนพลพยักหน้า…พยายามข่มน้ำตาเอาไว้ให้ไหลอยู่ข้างใน

แม้ว่าจะต้องสูญเสียอะไรต่อมิอะไรไป หรือจะต้องอยู่เพื่อชดใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ
เอาไว้มากมายสักแค่ไหน…แต่เขาจะไม่ยอมหมดหวัง เขาจะต้องก้าวผ่านไปให้ได้
ตราบเท่าที่ยังคงหายใจอยู่…เขาจะสู้ทนเพื่อรอพบวันที่สดใส…

แม้นานสักเท่่าไหร่ เขาก็จะเฝ้ารอ…และเรื่องราวที่ผ่านมาท้ังหมดจะเป็นบทเรียน
ที่สอนให้เขาก้าวต่อไป…พร้อมกับบอกทางให้เขา ทำให้เขาได้เห็นหนทางที่ถูกต้อง

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าหนทางที่เที่ยงตรงนั้นเป็นเช่นไร…
แล้วเขาจะพากเพียรเดินไปตามทางนั้น…แม้มันจะยากเย็นแค่ไหน
เขาก็จะเดินไปให้ถึงปลายทาง…







“พี่รังรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้คะ…รักเห็นพี่รังนิ่งไม่พูดนานแล้ว…หรือว่ายังช็อกอยู่…”
สิ้นรักสวมกอดรังสิมันต์ทางด้านหลังพร้อมกับซบหน้าตรงแผ่นหลังนั่นอย่างรักใคร่
รังสิมันต์ยกมือทั้งสองขึ้นกุมมือของเธอเอาไว้

“น่าเห็นใจ…พี่ไม่คิดเลยว่าอะไรๆมันจะเป็นแบบนี้…ไม่คิดเลยว่า
คนที่ต้องแบกรับทุกอย่างทั้งหมดเอาไว้คือขุนพล…เขาแทบไม่มีเอี่ยวกับเรื่องเลวๆ
ที่คนพวกนั้นทำเอาไว้เลย…มันช่างไม่ยุติธรรมเลย…”รังสิมันต์ลอบถอนใจ

“หรือพี่รังอยากให้คนผิดอย่างนายขุนศึกเป็นคนแบกมันเอาไว้ด้วย…”
สิ้นรักกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ…ทว่า รังสิมันต์กลับให้คำตอบเป็นความนิ่ง…

“รักว่่า…ในโลกนี้ไม่มีอะไรจะยุติธรรมหรอกค่ะ…โลกหน้าต่างหาก
คือโลกแห่งการพิพากษา…พี่รังอย่ารู้สึกแย่ไปเลย…ใครทำอะไรไว้ในโลกนี้
เขาก็ต้องแบกรับมันไว้จนกว่าจะถึงวันพิพากษา…ไม่มีอะไรจะหลุดพ้น
จากความรอบรู้ของพระเจ้าไปได้หรอกค่ะ…พระองค์ทรงอำนาจเด็ดขาดในวันตอบแทน…”
สิ้นรักกล่าว

“ส่วนสิ่งที่ขุนพลกำลังแบกรับอยู่นั้น คือ บททดสอบค่ะ…หากเขาสอบผ่าน
เขาก็จะก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นที่สูงกว่าขึ้นเรื่อยๆค่ะ…มันคือโอกาสค่ะพี่รัง…

รักมองว่าอุปสรรคและปัญหาหรือความทุกข์ยากที่เขาประสบอยู่คือโอกาสของเขา
โอกาสที่เขาจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ…เรียนรู้ชีวิต…
เหมือนเรา ที่กว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ เราก็ผ่านบททดสอบชีวิตมามากมาย…”
รังสิมันต์แกะมือสิ้นรัก แล้วหันมามองคนพูดก่อนจะระบายยิ้มออกมา…

“เธอรู้มั้ยว่าพี่ทำยังไงกับสิ้นรักตัวปลอม…”สิ้นรักส่ายหน้า เธอจะรู้ได้อย่างไร
ในเมื่อเขาไม่ยอมปริปากบอกเลย ไม่ว่าจะถามกี่ครั้ง เขาก็นิ่งเฉย…

“เขาเป็นคนบอกเรื่องแผนการทั้งหมดของนายขุนศึกให้พี่รู้พร้อมกับยื่นข้อเสนอ
ให้พี่ปล่อยตัวเขาไปโดยไม่เอาผิดใดๆกับขุนศึก…เขาบอกว่าคนอย่างขุนศึกน่ะ
แค่รับกรรมอยู่ในคุกมันน้อยไป…คนแบบนั้นสมควรถูกสังคมและคนข้างนอกลงทัณฑ์…
เพราะคนแบบนั้นทำร้ายใครได้ไม่เก่งเท่าทำร้ายตัวเอง…

สุดท้ายเขาจะเจ็บปวดกับการกระทำของตัวเองในที่สุด…

แม้จะได้อิสรภาพนอกคุก แต่นรกในใจจะคอยเผาผลาญเขายิ่งกว่าอยู่ในคุกเป็นไหนๆ…

เธอบอกว่าเธอยอมแล้ว เธอคิดได้และสำนึกได้แล้ว…
แล้วจะขอไปใช้ชีวิตแบบถูกต้อง…ขอให้พี่ให้โอกาส…”รังสิมันต์เฉลย…

“พี่รังก็เลยปล่อยตัวเธอไป…แล้วไม่ยอมเอาผิดกับนายขุนศึก…
ไม่ส่งคนออกตามล่าเพื่อมารับโทษ…”สิ้นรักเอียงคอถาม รังสิมันต์พยักหน้า

“ช่างแสนดีอะไรเช่นนี้สามีเรา…”

“พี่มาคิดๆดู…คุกมันไม่เหมาะกับคนอย่างนายขุนศึกอย่างที่โรสแมรี่ว่า…
ป่านนี้นายขุนศึกคงอยู่ตรงมุมใดมุมนึงของโลก…เขาไม่ได้ไปตัวเปล่าหรอก
แต่เขาไม่รู้ว่าเขากำลังแบกความผิดบาปไปด้วย…

ที่สำคัญ การหนีแบบนั้นเป็นแค่การเปลี่ยนที่โดนลงโทษเท่านั้นเอง…
เพราะไม่ว่าที่ใดในจักรวาลก็ไม่อาจพ้นจากการมองเห็นของพระเจ้าได้…

ดังนั้น…เราผู้เป็นมนุษย์ จะหลบหนีการถูกลงทัณฑ์จากพระเจ้าไปได้ยังไง…
คิดแค่นี้พี่ก็ไม่อยากจะควานหาตัวเขาให้เหนื่อยอีกต่อไป…เสียเวลาด้วย
เราจะได้หันมาหาเวลาสร้างความสุขให้กับคนข้างกายกับวันที่เหลือ…
มันดูดีกว่าเป็นไหนๆ…รึเธอว่าไม่ใช่…”รังสิมันต์เลิกคิ้ว ดวงตายิ้มพราย

“ใช่ที่สุด…รักเห็นชอบด้วยประการทั้งปวงเลยค่ะ…เพราะที่ผ่านมา
เรามัวแต่วุ่นวายและวุ่นจิตกับการคิดหาแผนการโน่นนี่มาโดยตลอด
ต่อจากนี้ ขอใช้ชีวิตแบบปล่อยวางบ้างดีกว่า…อะไรๆจะได้เบาลง…
ไม่หนักอึ้งเหมือนเรื่องราวที่ผ่านๆมา…”
สิ้นรักยิ้มตอบก่อนจะกอดรังสิมันต์เอาไว้แน่น…

“ได้ข่าวว่าประจำเดือนไม่มาสองเดือนแล้วใช่มั้ย…”รังสิมันต์ลูบหัวทุยๆนั่นขณะถาม
ทำเอาคนถูกถามถึงกับสะดุ้ง

“รู้ได้ไงคะ…”

“ฮึๆ…พี่น่ะสามีเธอนะ…จะไม่รู้ได้ไง…”

“คนช่างสังเกต…”สิ้นรักแอบค้อนใส่คุณสามีที่ดูจะช่างสังเกตเสียเหลือเกิน

“ไม่ได้หรอก…พี่กำลังหาจังหวะดีๆเพื่อตีตื้นไอ้ลมอยู่…ของมันตั้งท้องรอบเดียว
ได้ถึงสอง…เธอเป็นเมียพี่…ต้องขยันคลอดหน่อยนะยัยตัวเล็ก นึกว่าเห็นแก่พี่นะ…
แพ้ใครก็แพ้ไป แต่เรื่องแพ้ไอ้ลมพี่ทำใจไม่ไหวจริงๆ…”

“แล้วถ้ารักคลอดยากล่ะคะให้ทำไง รักยังไม่อยากตายนะ…”

“ถ้าคลอดยากนักพี่จะผ่าท้องเอาลูกของเราออกมาเอง…โอเคมั้ย…”
สิ้นรักได้ฟังเสียงล้อๆของพ่อน้องไอแล้วอดไม่ได้ที่จะฟาดเขาเข้าให้สักดอกสองดอก

“นึกๆแล้วอยากให้พี่รังท้องได้บ้าง…จะได้รู้ความรู้สึกของรัก…”

“พี่ก็อยากช่วยเธอตั้งท้องนะ…แต่สภาพมันไม่ให้…
ของแบบนี้มันทำแทนกันได้ซะที่ไหน…เอาเป็นว่า…พี่จะช่วยเธอเลี้ยงดูสุดกำลังเลย”

“แน่นะพี่รัง…ตอนดึกๆที่ลูกร้องงอแงพี่ต้องลุกขึ้นมาเป็นเพื่อนรักด้วย…”

“แน่นอน…”

“กลัวจะนอนแน่ๆซะมากกว่า…ชิ…”สิ้นรักค้อนขวับ…

“ว่าแต่เธอกำลังจะมีน้องให้น้องไอจริงๆใช่มั้ย…”รังสิมันต์ถามก่อนจะหอมแก้ม
สิ้นรักฟอดใหญ่…

“จริงค่ะ…เรากำลังจะมีลูกด้วยกันอีกแล้วนะ…”สิ้นรักยิ้มขณะตอบ
ก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มรังสิมันต์ทั้งสองข้างเป็นการเอาคืน

“ไม่ใช่แค่พี่รังที่อยากมีลูกหลายคน…รักก็อยากมีหลายคนค่ะ…
ลูกๆของเราจะได้มีพี่น้องร่วมสายเลือดหลายๆคนเหมือนครอบครัวอาทิตยะ…
แล้วเราจะเลี้ยงดูพวกเขาให้รักใคร่กลมเกลียวกัน สามัคคีกันเหมือนครอบครัวอาทิตยะ…

แม้รักจะอายุสามสิบต้นๆ ไม่ใช่เด็กสาวอายุยี่สิบ…
แต่รักจะดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อจะได้มีลูกให้พี่รังหลายๆคนนะคะ…”

สิ้นรักกล่าวด้วยรอยยิ้มจริงใจอย่างที่สุด…เพราะเธอพร้อมแล้วที่จะทำหน้าที่แม่คน…
และจะทำให้ดีที่สุด…

“รักรู้แล้วว่า…รักเกิดมาเพื่อเป็นแม่คนค่ะพี่รัง…นี่คือหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ของผู้หญิงเรา…
รักภูมิใจที่ได้เกิดมาทำหน้าที่นี้ค่ะ…อยากขอบคุณแม่
ท่ีให้กำเนิดรักมาให้รักได้ทำหน้าที่นี้ต่อไป…”รังสิมันต์ได้ฟังเป็นปลื้ม
ถึงกับรวบบ่าของสิ้นรักมาโอบเอาไว้ให้หัวทุยๆซบลงตรงอกของเขา…
ก่อนจะลูบผมนิ่มๆนั้นอย่างรักใคร่…

“รักไม่เคยฝันอะไรยิ่งใหญ่มากมาย…แค่อยากมีสามีอันเป็นที่รักคอยอยู่เคียงข้าง
สร้างครอบครัวแสนสุขด้วยกัน…ขอบคุณนะคะที่ทำให้รักสมหวังสักที…”

สิ้นรักขอบคุณรังสิมันต์จากใจจริง…รังสิมันต์สบตาคู่นั้นที่กำลังแหงนหน้าขึ้นสบตาเขา…
ไม่มีความอุ่นใจใดที่ลึกซึ้งเท่ากับการมีร่างเล็กๆนี้อยู่ในอ้อมกอดเลย

“พี่ก็ขอบคุณเธอเช่นกันที่รักพี่…ดูแลพี่มาอย่างดี…พี่จะทำหน้าที่สามีที่ดี
และพ่อที่น่ารักของลูกๆของเรา…เรื่องร้ายๆที่เคยเกิดขึ้นมันได้จบลงแล้ว…
ต่อไปนี้เราจะมาร่วมสร้างวันเวลาดีๆด้วยกันนะครับ…”

สิ้นรักยิ้มเป็นคำตอบก่อนจะซบลงที่อกกว้างของรังสิมันต์ด้วยความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย…


....โปรดติดตามตอนต่อไป......


นำหมอรังกับสิ้นรักมาเสริฟให้แล้วนะคะ...
มารอดูตอนต่อไปค่ะ...ว่าจะมีอะไรมาเซอไพร้นักอ่านอีกบ้าง...

เรื่องนี้ยังไม่จบนะคะ ยังไม่จบค่ะ...เหลืออีกนิดแล้ว...


ขอบคุณนักอ่านทุกคนเลยนะคะที่ติดตามอ่านเรื่องนี้กัน
นักอ่านคงเห็นตัวเลขบอกชื่อตอนแล้วใช่มั้ยคะ...

มันคือ ยกที่ 91 (อะไรจะยืดยาวขนาดนี้นะ) เฮะๆๆ


รักษาสุขภาพนะคะ...

ปล.แล้วจะรีบนำมาต่อให้กันอีกค่ะ...


ปล.อีกที...ขออภัยนักอ่านที่ห่างหายไปนานนะคะ
ทำให้อารมณ์ขาดตอนไปบ้าง...

คิดถึงเสมอค่ะ

"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ส.ค. 2557, 23:30:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ส.ค. 2557, 23:30:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 2176





<< ยกที่ 90 เมื่อยามสนธยา   ยกที่ 92 ขอเพียงเรารักกัน >>
ใบบัวน่ารัก 29 ส.ค. 2557, 14:22:01 น.
นึกว่าจะข้ามปี
อีโบล่ามันมาแล้ว
นายหัวยังจะมีแรงอีกหรือ อนิจังสังขารไม่เทียงน่า


konhin 29 ส.ค. 2557, 15:00:02 น.
โห นายหัว แพ้นายลมไม่ได้ ฮ่าๆๆ ตอนนี้หวานๆเศร้าๆอ่ะ ชอบนะ


ตุ๊งแช่ 29 ส.ค. 2557, 16:05:33 น.
อีกนิด ถึง100 ไหมค่ะ แซวเล่นนะ มาต่ออีกที ท้องคนที่2 ซะงั้น ตอนหน้าอย่าลืมพาพี่ลมมาหวานแข่งบ้างนะคะ


แว่นใส 29 ส.ค. 2557, 19:02:53 น.
น่านสิ หายไปนานมว๊าก เกือบต่อไม่ติดแล้วเชียว


supayalak 29 ส.ค. 2557, 23:01:47 น.
เต่าโยมาพร้อมกับข่าวดีของรักนี่เนอะ ใครๆ ก็ปลิ้มมมมมมม ทั้งนั้นแหละ มาให้หายคิดถึวแล้วหนิเนอะ


พัชรี 2 ก.ย. 2557, 02:28:41 น.
รอจนลืมเข้ามาอ่านเลยค่ะ
ดีใจที่ได้อ่านต่อ คิดถึงนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account