เสน่หาทาสซาตาน
เขา... เกลียดผู้หญิงที่เอาตัวเข้าแลกเพื่อหวังรวยทางรัด!
เธอ... เกลียดผู้ชายหลงตัวเองที่ปรักปรำว่าเธอจ้องจะจับเขา ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยคิด!
ธีรพัฒน์ รัตนศิลานนท์ เจ้านายหนุ่มที่หล่อขั้นเทพ ปากจัด จิตใจโหดร้าย (เฉพาะกับบางคน) เอาแต่ใจเป็นที่สุด ตามประสาของลูกชายคนเดียว อยากได้อะไรแล้วต้องได้ และสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือ ผู้หญิงที่คิดจะจับเขาเพื่อหวังรวยทางลัด
แพรวา ปรียากรโสภณ เลขาสาวที่เธอทั้งสวยหวาน และน่ารักแสนดี เพียบพร้อมไปด้วยกุลสตรีทุกประการ และสิ่งที่เธอเกลียดที่สุดคือ ผู้ชายหลงตัวเองที่ดูถูกและปรักปรำว่าเธอจ้องจะจับเขา ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยคิด
เธอ... เกลียดผู้ชายหลงตัวเองที่ปรักปรำว่าเธอจ้องจะจับเขา ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยคิด!
ธีรพัฒน์ รัตนศิลานนท์ เจ้านายหนุ่มที่หล่อขั้นเทพ ปากจัด จิตใจโหดร้าย (เฉพาะกับบางคน) เอาแต่ใจเป็นที่สุด ตามประสาของลูกชายคนเดียว อยากได้อะไรแล้วต้องได้ และสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือ ผู้หญิงที่คิดจะจับเขาเพื่อหวังรวยทางลัด
แพรวา ปรียากรโสภณ เลขาสาวที่เธอทั้งสวยหวาน และน่ารักแสนดี เพียบพร้อมไปด้วยกุลสตรีทุกประการ และสิ่งที่เธอเกลียดที่สุดคือ ผู้ชายหลงตัวเองที่ดูถูกและปรักปรำว่าเธอจ้องจะจับเขา ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยคิด
Tags: เสน่หาทาสซาตาน, เสน่หา, ทาสซาตาน, นิยายรัก, โรแมนติค, อิโรติก, 18+, NC
ตอน: ตอนที่ 6 ศัตรูหัวใจ
6
ศัตรูหัวใจ
ธีรพัฒน์พารถสปอร์ตคันหรูคู่ใจของตัวเองมาจอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ทันทีที่เดินเข้าไปภายในบ้านก็พบคุณหญิงเพ็ญพักตร์ผู้เป็นมารดาตั้งท่ารอสอบปากคำเขาอยู่ก่อนแล้ว
“มานี่เลยตาธีร์ พ่อลูกชายตัวดี ไปทำงานได้สองวันก็ก่อเรื่องซะแล้ว” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ็ดลูกชายทันทีที่เห็นหน้า
“โถ่... คุณแม่ครับ แค่เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยเอง ไม่เห็นจะต้องดุผมขนาดนั้นเลย” ธีรพัฒน์พยายามออดอ้อนมารดาเหมือนตอนเด็กๆ ที่เขาทำผิด
“นิดหน่อยอะไร หนูแพรของแม่ถึงต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนี้ห๊ะ แกนี่มันแย่จริงๆ”
“ก็เรื่องเข้าใจผิดจริงๆ นี่ครับคุณแม่ ผมก็ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้สักหน่อย” คนทำผิดยังคงเถียงไม่เลิก
“แล้วเรื่องมันเป็นยังไง ไหนเล่าให้แม่ฟังสิ ว่ายัยเมนง เมนี่ คู่ขาคู่ควงของแกโผล่มาทำร้ายหนูแพรได้ยังไง”
“เมนี่เป็นเพื่อนผมครับ ไม่ใช่คู่ขาหรือคู่ควงอย่างที่คุณแม่เข้าใจ หรืออย่างที่ใครบอกมา”
ธีรพัฒน์อธิบายให้ผู้เป็นมารดาเข้าใจ พร้อมทั้งพาดพิงถึงเพื่อนตัวแสบที่คิดจะใช้คุณแม่มาเล่นงานเขา
“จะอะไรก็ช่างเถอะ ยังไงคนของธีร์ก็ผิด”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์สะบัดหน้าใส่บุตรชายด้วยความโมโห แล้วนั่งฟังสิ่งที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอย่างใจเย็น เพราะยังไงนางก็เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องไม่ใช่ความตั้งใจของบุตรชายอย่างแน่นอน
ซึ่งหลังจากฟังเรื่องราวทุกอย่างจากลูกชายตัวดีแล้ว คุณหญิงเพ็ญพักตร์ก็ยิ่งรู้สึกเห็นใจและสงสารหญิงสาวผู้บาดเจ็บยิ่งนัก ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรแท้ๆ กลับโดนทำร้ายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนี้ คงจะตกใจน่าดู
โถ่... แม่คุณ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ยิ่งตัวเล็กๆ ร่างกายบอบบางอยู่ด้วย เห็นทีคราวนี้คงต้องทำตามที่ทินกรเสนอแล้วล่ะมั้ง ที่จะย้ายให้แพรวาไปเป็นเลขาของทินกร ส่วนธีรพัฒน์ต้องหาเลขาคนใหม่ ซึ่งนางเองก็ไม่อยากจะให้เป็นเช่นนั้น เพราะยังไงแพรวาก็เป็นเด็กที่นางทั้งรักและเอ็นดูมาก ที่สำคัญเป็นคนที่นางปลูกฝังสั่งสอนมาเองกับมือ ประกอบกับหญิงสาวเองก็เป็นคนเก่งอยู่แล้ว ทำให้เรียนรู้งานได้เร็ว สอนเพียงไม่นานก็คล่องจนนางสามารถถปล่อยวางได้อย่างสบายใจจนถึงทุกวันนี้ หากจะต้องเปลี่ยนคนใหม่นางเองก็แสนเสียดาย แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องให้ความยุติธรรมกับตัวหญิงสาว หากเธอเต็มใจที่จะย้ายไปทำงานกับทินกร นางเองก็สุดจะรั้งไว้
“ธีร์จะว่ายังไง ถ้าแม่จะย้ายหนูแพรไปเป็นเลขาให้ทินกร” คุณหญิงเพ็ญพักตร์หยั่งเชิงถามบุตรชาย
“ผมก็ไม่เห็นว่ามีความจำเป็นอะไรที่เธอจะต้องย้ายนี่ครับ” ธีรพัฒน์ตอบมารดาเสียงเรียบ เพราะเป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้วว่าทินกรต้องมาขอตัวแพรวาไปแน่ๆ ผิดกับภายในใจเขาที่ตอนนี้ร้อนรุ่มอย่างประหลาด เมื่อรู้ว่าเขาจะไม่ได้ร่วมงานกับหญิงสาวอีก
“ก็ทินกรบอกกับแม่ว่าธีร์มีคนของธีร์ตามมาจากที่โน่นแล้ว เขาก็เลยจะขอหนูแพรให้ไปทำงานกับเขา” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ถอนหายใจหนักหน่วง
“ผมยังยืนยันคำเดิมนะครับคุณแม่ ว่าผมไม่มีใครตามมาทั้งนั้น เมนี่เป็นเพื่อนผมเขาแค่มาช่วยงานผมเล็กๆ น้อยๆ ตอนอยู่ที่โน่นเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นเลขาของผมสักหน่อย”
แม้จะเป็นความจริงแค่บางส่วน แต่เขาก็เลือกที่จะตอบมารดาไปแบบนั้น เพื่อให้มารดาเข้าใจว่าเขาต้องการเลขาที่เป็นคนของแม่เขาเท่านั้น และคนๆ นั้นจะต้องเป็นเธอ... แพรวา
“งั้นก็ต้องแล้วแต่หนูแพรเขาแล้วหละ ว่ายังอยากทำงานกับลูกหรือเปล่า... เจ็บตัวขนาดนั้น”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์ยังคงถอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน ภาวนาขอให้หญิงสาวไม่ถือโทษโกรธเคืองในตัวบุตรชาย
สองแม่ลูกนั่งคุยกันได้เพียงไม่นาน เสียงรถที่คุ้นหูเพราะเป็นแขกประจำของบ้านก็เข้ามาจอดยังบริเวณหน้าตึกใหญ่
ทินกรโอบประคองหญิงสาวในดวงใจลงมาจากรถด้วยความอ่อนโยนทะนุถนอม เพื่อไม่ให้หญิงสาวได้รับความกระทบกระเทือนมากนัก ส่งผลให้ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งมองอยู่ต้องเบือนหน้าไปทางอื่น เพราะไม่อยากเห็นภาพที่เขารู้สึกว่าไม่สบอารมณ์และเกิดความร้อนรุ่มภายในจิตใจ
“สวัสดีครับคุณป้า” ทินกรยกมือไหว้ผู้มีอาวุโสที่เคารพ แล้วมองหน้าเพื่อนตัวแสบอย่างอาฆาตแค้นเคือง
“สวัสดีค่ะคุณท่าน” แพรวากล่าวสวัสดีผู้เป็นเจ้านายที่เคารพยิ่ง ก้มศีรษะอย่างนอบน้อมเพราะเธอยกแขนไม่สะดวก ทันทีที่คุณหญิงเพ็ญพักตร์เห็นแพรวา ก็บังเกิดความสงสารขึ้นมาจับใจ หญิงสาวตัวเล็กๆ มีเฝือกหุ้มที่แขนข้างซ้ายพร้อมกับมีสายคล้องไปที่คอเพื่อป้องกันไม่ให้กระทบกระเทือนเวลาเดิน
“สวัสดีจ๊ะหนูแพร ไหนมานั่งนี่สิ... เป็นยังไงบ้าง”
พอหญิงสาวมานั่งใกล้ๆ จึงได้เห็นว่านอกจากแขนที่ใส่เฝือกแล้วยังมีรอยฝ่ามือที่ใบหน้านวลนั่นอีก คุณหญิงเพ็ญพักตร์หันไปมองหน้าลูกชายตัวดีตาเขียว เพราะไม่คิดว่าจะหนักหนาขนาดนี้ ความหวังที่หญิงสาวจะให้อภัยคงยากซะล่ะมั้ง
“แพรไม่เป็นอะไรมากค่ะ แต่คงต้องใส่เฝือกแบบนี้ไปอีกสักระยะ” แพรวาตอบอย่างนอบน้อม ซึ้งใจในความเมตรตาห่วงใยที่เจ้านายมีให้
“คุณแพรเธอกระดูกที่ข้อมือร้าว คงต้องพักสักระยะครับ เพราะกระดูกที่ร้าวจะหักได้ง่าย” ทินกรเป็นฝ่ายเล่าอาการป่วยของหญิงสาวให้ผู้เป็นป้าได้ฟัง
“เห็นไหมครับคุณแม่ ผมบอกแล้ว ว่าไม่มีอะไรมากสักหน่อย”
ธีรพัฒน์ที่นั่งมองหญิงสาวอยู่นานเอ่ยขัดขึ้นมา เพราะดูท่าจะมีคนห่วงแม่เลขาคนสวยของเขาเกินไปจนน่าหมั่นไส้ แต่เขาก็ยอมรับว่าโล่งใจที่อย่างน้อยเธอก็ยังเดินไปไหนมาไหนได้ ไม่ใช่นอนแหม็บอยู่บนเตียง ไม่งั้นคุณแม่ต้องเล่นงานเขาหนักแน่ๆ
“แกหุบปากไปเลยนายธีร์ ที่เห็นนี่แกยังว่าไม่มากอีกเหรอ” ทินกรนึกโมโหตัวต้นเหตุ ที่พูดหน้าตาเฉยว่าเรื่องแค่นี้ไม่มีอะไร
“อ้าว... อะไรวะกร แค่นี้ทำเป็นอารมณ์เสียไปได้ คนเจ็บตัวเขาไม่เห็นจะโวยวายอะไรเลย” คนต้นเหตุทำท่ายียวน นั่งพิงพนักโซฟาอย่างสบายอารมณ์ แต่แอบปรายตาสำรวจหญิงสาวอยู่ตลอดเวลา
“เอาหละๆ พอแล้วทั้งสองคน ให้แม่คุยกับหนูแพรหน่อย”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์ตัดบทห้ามทัพ แล้วหันมาพูดกับหญิงสาวตรงหน้าเสียงนุ่ม
“หนูแพร ฉันจะไม่อ้อมค้อมละนะ ฉันจะให้ความยุติธรรมกับเธอหากเธอจะย้ายไปทำงานกับทินกรฉันก็ไม่ว่าอะไร” ประมุขใหญ่ว่าพลางลูบผมหญิงสาวที่นางรักและเอ็นดูอย่างอ่อนโยน ส่วนสองหนุ่มที่นั่งอยู่ต่างก็หูผึ่งรอลุ้นคำตอบของหญิงสาวอย่างใจจดใจจ่อ
แพรวาเมื่อได้ฟังคำถามก็หันไปมองหน้าทินกรที่ส่งยิ้มให้เธออยู่ก่อนแล้ว เหมือนเขายินดีที่จะให้เธอไปทำงานกับเขา ส่วนอีกคนเธอหันไปสบตาเขาแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น และดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับคำตอบของเธอ แต่สิ่งที่เธอคิดมาตลอดก็คือความกตัญญูที่มีต่อผู้หญิงสูงวัยตรงหน้า ดังนั้นคำตอบสำหรับเธอคงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก
“แพรยินดี จะรับใช้คุณท่านต่อไปค่ะ”
คำตอบของแพรวาทำให้ทินกรหน้าถอดสีด้วยความไม่พอใจที่เธอยังคิดจะทำงานกับธีรพัฒน์ต่อ ทั้งๆ ที่ตัวเองเจ็บขนาดนี้ ส่วนอีกคนที่หญิงสาวเลือกจะทำงานด้วยแม้จะดีใจมากแค่ไหน แต่ก็ยังเก็บอาการให้นิ่งเฉยได้ดี
“ทำไมครับคุณแพร คนของนายธีร์เข้ามาทำร้ายขนาดนี้คุณยังอยากทำงานกับเขาอีกเหรอ” ทินกรโวยวายอย่างเหลืออดคัดค้านการตัดสินใจของหญิงสาวที่เป็นดวงใจ
“นั่นสิ หนูแพร ไม่ต้องเกรงใจฉันนะ ทำอย่างที่ใจต้องการเถอะ ฉันไม่ว่าอะไร” คุณหญิงเพ็ญพักตร์บอกหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
“แพรคิดดีแล้วค่ะ... แพรเต็มใจ เพราะคุณท่านเป็นผู้มีพระคุณกับแพร ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณท่านสอนให้แพร จนแพรมีวันนี้ได้ก็นับว่าชาตินี้คงทดแทนไม่หมดแล้ว”
แพรวาตอบผู้มีพระคุณเสียงหวานนอบน้อม พร้อมทั้งหันไปมองหน้าผู้ชายที่แสนดีในชีวิตของเธออย่างนึกขอโทษที่เธอไม่สามารถถทำตามความต้องการของเขาได้
“งั้นฉันก็ดีใจ... ขอบใจมากนะแพรวา ที่เธอช่วยแบ่งเบาภาระให้ฉันได้เยอะ”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์ยิ้มกว้างอย่างยินดี ที่อย่างน้อยนางก็มองคนไม่ผิดจริงๆ แพรวาเป็นคนกตัญญูรู้คุณ แม้จะต้องเจ็บตัวแต่ก็ไม่เคยลืมบุญคุณ
“ถ้าอย่างนั้นแพรขอตัวกลับไปทำงานที่ค้างไว้นะคะ” หญิงสาวผู้มีความรับผิดชอบในหน้าที่ เอ่ยขอตัวเพื่อกลับไปทำงานกองโตที่เจ้านายหน้ายักษ์สั่งไว้
“โอ๊ย... ช่างมันก่อนงานน่ะ กลับไปพักผ่อนเถอะ แล้วจะหยุดต่อก็ได้นะฉันอนุญาต” คุณหญิงเพ็ญพักตร์บอกหญิงสาวอย่างเอ็นดู
“งั้นให้ผมไปส่งดีกว่านะครับคุณแพร” ทินกรขันอาสา
“แกมีงานด่วนไม่ใช่เหรอ ไปทำงานของแกเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการลูกน้องของฉันเอง”
คนนั่งเงียบอยู่นานรอจังหวะจะได้ใกล้ชิดหญิงสาวที่เขาเริ่มรู้สึกหมั่นไส้กลายๆ เพราะดูเหมือนแม่คุณจะเสน่ห์แรงเหลือเกินไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงคนแก่ก็ดูจะหลงรักเธอไปซะหมด
“อือ นั่นสิตากร ไหนว่ามีงานด่วนให้ป้าดู มาๆ เดี๋ยวตามป้าไปที่ห้องทำงานเลย”
“ครับคุณป้า”
ทินกรแม้จะขัดใจอยู่บ้างที่ไม่ได้ไปส่งหญิงสาว แต่ยังไงตอนนี้งานต้องมาก่อน เอาไว้เสร็จงานแล้วค่อยแวะไปหาเธอก็แล้วกัน
“ส่วนแกตาธีร์ จัดการไปส่งหนูแพรเขาให้ถึงบ้านแล้วหาข้าวหายาให้เขาทานให้เรียบร้อยก่อนจะกลับมา และอย่าให้ฉันรู้นะว่าแกทิ้งหนูแพรไว้กลางทาง... ฉันฆ่าแกแน่ตาธีร์!”
คนเป็นแม่หมายหัวลูกชายอย่างนึกหมั่นไส้ พอรู้ว่าเขายอมทำงานด้วยหน่อยก็ทำเป็นนั่งลอยหน้าลอยตา จะขอบอกขอบใจถามไถ่ก็ไม่มี อย่างนี้ต้องแกล้งให้ดูแลคนป่วยซะให้เข็ด แต่หารู้ไม่ว่านางได้ฝากปลาย่างไว้กับแมวชัดๆ
“ครับ... คุณแม่” ธีรพัฒน์ลากเสียงยาวล้อเลียนผู้เป็นมารดา
“สวัสดีค่ะคุณท่าน”
“จ้ะ กลับบ้านแล้วก็พักผ่อนซะนะ ถ้าตาธีร์รังแกอะไรอีกโทรมาบอกฉันได้เลย ฉันจะจัดการให้”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์บอกหญิงสาวพร้อมส่งสายตาอาฆาตไปให้ลูกชายอย่างเอาเรื่อง หากคิดจะทำให้คนของนางเจ็บตัวอีก คราวนี้ไม่รอดแน่
“งั้น เดี๋ยวเสร็จงานผมโทรไปหานะครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณกร” หญิงสาวตอบรับเสียงหวาน ซาบซึ้งในน้ำใจที่อีกฝ่ายมีให้
หลังจากนั้นทินกรจะเดินตามผู้ที่เป็นทั้งป้าและเจ้านายเข้าไปในห้องทำงาน แต่ก็ไม่วายหันกลับมามองเพื่อนรักที่ดูเหมือนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งดูได้จากแววตาที่ใช้มองหญิงสาวในดวงใจของเขา ‘หรือเขาจะมีศัตรูหัวใจเพิ่มขึ้นอีกคน’ ทินกรคิดด้วยหัวใจที่แสนเจ็บปวดและอ่อนล้า
หลังจากทินกรตามคุณหญิงเพ็ญพักตร์เข้าไปในห้องทำงานอีกคน ทำให้ห้องรับแขกเหลือเพียงชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ยังคงอยู่ในสถานการณ์คลุมเครือ
ธีรพัฒน์เอาแต่จ้องหน้าหญิงสาวตรงหน้าอย่างกับจะกลืนกิน ส่วนหญิงสาวก็ได้แต่นั่งก้มหน้า เพราะไม่รู้ชายหนุ่มจะเอายังไงกับเธอกันแน่ เอาแต่นั่งจ้องหน้าเธออย่างไม่รู้ความหมาย เธอจึงต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เอ้า! ไม่กลับบ้านหรือไงแม่คุณ จะนั่งให้รากมันงอกอยู่ตรงนี้หรือไงห๊ะ”
ธีรพัฒน์บอกอย่างใส่อารมณ์ ส่งผลให้หญิงสาวกระเด้งตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจจนร้อนรนทำอะไรไม่ถูกได้แต่หันซ้ายหันขวา ไหนจะกระเป๋าสะพาย ไหนจะแขนที่เจ็บอยู่ เมื่อครู่ทินกรเป็นคนถือเข้ามาให้เธอ และยังช่วยพยุงเธอเข้ามาด้วย แต่ตอนนี้จะหวังพึ่งพาชายหนุ่มตรงหน้าคงจะไม่ได้
“เอากระเป๋ามานี่... เห็นแล้วรำคาญ” คนปากจัดยังคงทำเสียงฮึดฮัดขัดใจที่หญิงสาวมัวแต่โอ้เอ้ไม่ทันใจเขา พร้อมทั้งกระชากกระเป๋าสะพายของหญิงสาวไปถือในมือซะเอง
“ไม่เป็นไรค่ะ แพรถือเองได้”
“อย่าอวดเก่งน่ะ แค่เดินไปขึ้นรถก็เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ฉันไม่อุ้มเธอไปเหมือนนายกรหรอกนะ” ว่าเสร็จก็เดินตัวปลิวไปขึ้นรถทันที โดยไม่สนใจคนที่ขยับตัวเดินตามเขาไปขึ้นรถอย่างเงียบๆ ‘ถ้าไม่เต็มใจไปส่งก็บอกดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องทำอารมณ์เสียใส่เลยนี่’ หญิงสาวบ่นในใจก่อนจะเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งในรถที่ชายหนุ่มรออยู่ก่อนแล้ว
“นึกว่าจะได้ไปพรุ่งนี้ซะอีก ฉันไม่เคยต้องนั่งรอใครขนาดนี้เลยนะ” คำพูดของธีรพัฒน์ทำให้หญิงสาวที่เพิ่งเข้ามานั่งในรถหันขวับไปมองอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าคุณไม่เต็มใจจะไปส่ง แพรกลับเองก็ได้นะคะ”
“ฉันจะเต็มใจหรือไม่ นั่นมันเรื่องของฉัน... เธอมีหน้าที่นั่งก็นั่งไป... อย่าพูดมาก” ธีรพัฒน์เสียงแข็งขึ้นมาทันทีที่หญิงสาวข้างกายต่อปากต่อคำทำให้เขาต้องหงุดหงิด
ภายในรถคันหรูที่มีธีรพัฒน์ทำหน้าที่เป็นสารถีให้กับเลขาคนสวยตามคำบัญชาของผู้เป็นแม่ ตลอดทางตั้งแต่คำพูดสุดท้ายของเขาจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา
หญิงสาวได้แต่นั่งเงียบสายตามองออกไปนอกตัวรถ โดยไม่สนใจคนที่ขับรถให้เธอนั่งเลยสักนิด แม้ข้างนอกจะไม่มีอะไรน่าสนใจให้มอง แต่เธอก็เลือกที่จะมองทิวทัศน์ข้างนอกนั่น มากกว่าคนที่อยู่ภายในรถกับเธอ
บรรยากาศภายในรถเต็มไปด้วยความอึดอัด ชายหนุ่มได้แต่หันไปมองคนข้างๆ ที่แทบจะกลายเป็นหันหลังให้เขาด้วยซ้ำ และไม่มีทีท่าว่าเธอจะหันมาหรือจะเอ่ยอะไรสักคำ ธีรพัฒน์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะเป็นคนทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ซะเอง
“ฉันไม่รู้ว่าบ้านเธออยู่ไหน ถ้าจะกรุณาก็ช่วยบอกทางให้ฉันด้วย” ธีรพัฒน์พูดพร้อมกับหันไปมองดูคนข้างๆ ว่าเธอจะได้ยินหรือรับรู้การมีตัวตนของเขาหรือเปล่า
“คุณก็มาถูกทางแล้วนี่คะ คุณไปบริษัทยังไง ก็ไปบ้านแพรอย่างนั้นแหละค่ะ” แพรวาละสายตาจากวิวข้างทางแล้วหันมาตอบชายหนุ่ม
“ฉันถามดีๆ เธอจะกวนประสาทฉันหรือไงหะแพรวา แล้วที่ฉันขับรถมาทางนี้ก็เพราะฉันเคยชินกับถนนหนทางที่นี่แค่ทางไปบริษัทเท่านั้นแหละ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าบ้านเธอไปทางไหนถ้าเธอไม่บอก” ชายหนุ่มทำเสียงฮึดฮัดขัดใจที่หญิงสาวยียวนกลับมา
“ผ่านบริษัทเลยไป 500 เมตร คอนโดอยู่ซ้ายมือค่ะ” หญิงสาวบอกโดยไม่หันมามองหน้าคนถาม
ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เมื่อไรว่าบ้านเธออยู่ไหน แต่เพราะอยากจะทำลายบรรยากาศความเงียบที่ชวนอึดอัดนี่มากกว่าจึงเอ่ยถามออกไป เพราะดูท่าแล้วหญิงสาวคงจะนั่งเงียบแบบนี้ไปตลอดทางเป็นแน่หากเขาไม่ชวนคุย และดูเหมือนเธอจะแสดงออกอย่างชัดเจนอีกด้วยว่าไม่ต้องการสนทนากับเขา
ทันทีที่ธีรพัฒน์พารถมาจอดยังหน้าคอนโดบริเวณทางขึ้นล็อบบี้ หญิงสาวก็ทำท่าจะลงจากรถทันที โดยไม่ลืมที่จะหันมาขอบคุณชายหนุ่มผู้มาส่ง แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นจากประตูรถก็ได้ยินเสียงทรงอำนาจขัดขึ้นมาซะก่อน
“เดี๋ยว! รออยู่ตรงนี้แหละ ฉันจะเอารถไปจอดแล้วจะขึ้นไปส่งเธอ”
ชายหนุ่มในรถออกคำสั่งเสียงเข้มโดยไม่ฟังคำปฏิเสธใดๆ จากหญิงสาว ทางด้านคนตัวเล็กเมื่อโดนดักคอแบบนี้เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเธอไม่เคยพาผู้ชายคนไหนขึ้นไปบนห้องเลยสักครั้ง แล้วจู่ๆ วันนี้ผู้เป็นเจ้านายจะขึ้นไปส่งเธอเหมือนเป็นเรื่องปกติได้อย่างไร
แพรวาหันซ้ายหันขวาอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปยังล็อบบี้ แล้วตรงไปที่ลิฟต์ทันทีโดยไม่รอชายหนุ่มที่สั่งไว้
“นี่เธอจะขัดคำสั่งฉันหรือไง” ธีรพัฒน์ตรงเข้าคว้าแขนข้างที่เธอหิ้วกระเป๋าสะพายอยู่ด้วยความโมโห เขานำรถไปจอดเรียบร้อยแล้ว เมื่อกลับมาไม่เห็นหญิงสาวรออยู่ที่เดิมเขาจึงรีบวิ่งเข้ามายังล็อบบี้ก็เห็นคนตัวเล็กทำท่าเหมือนจะหนีเขาขึ้นข้างบนไปซะอย่างนั้น
“โอ๊ย! ปล่อยนะคะ แพรเจ็บ” หญิงสาวโอดครวญเมื่อชายหนุ่มจับแขนเธออย่างแรงแล้วดันเข้าไปในลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิด
“เอ้า ชั้นที่เท่าไรล่ะแม่คุณ มัวแต่ร้องโอดโอยวันนี้จะถึงไหมห้องน่ะ”
เสียงของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวที่กำลังเจ็บที่ต้นแขนหันไปกดชั้นที่เป็นห้องพักของเธอทันที
จากนั้นไม่นานลิฟต์ก็พาทั้งสองมายังชั้นที่ต้องการ หญิงสาวเดินนำชายหนุ่มมาถึงหน้าห้องของเธอซึ่งเป็นห้องริมในสุด ‘ฮึ เข้าใจเลือกมุมซะด้วย ห้องริมสุดทางเดินดูแล้วลับตาคน เวลาพาผู้ชายมาจะได้ไม่ค่อยมีใครเห็นอย่างนั้นสินะ’ ชายหนุ่มต่อว่าหญิงสาวในใจ
“เอากุญแจมานี่! ฉันจะไขให้” คนตัวใหญ่หันไปตวาดหญิงสาวที่กำลังก้มๆ เงยๆ กับกุญแจหน้าห้อง แล้วคว้ากุญแจในมือเธอมาไขประตูห้องซะเอง โดยไม่รอคำอนุญาตจากหญิงสาว
เมื่อประตูห้องถูกเปิดออกคนตัวเล็กที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วก็รีบแทรกตัวเข้าไปในห้องแล้วยืนขวางหน้าประตูไว้เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มเข้ามาในห้อง
“หมดหน้าที่ของคุณแล้ว... แพรต้องการพักผ่อน... ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวพูดอย่างรวดเร็ว แล้วทำท่าจะปิดประตูทันที
แต่ความไวของเธอยังสู้คนตรงหน้าไม่ได้ ธีรพัฒน์ใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็สามารถถผลักประตูแล้วแทรกตัวเองเข้ามาภายในห้องของหญิงสาวได้จนสำเร็จ
“ไม่คิดจะเชิญฉันเข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าสักหน่อยเหรอ ใจจืดใจดำจริงนะแม่คุณ หรือว่าใจดำเฉพาะกับฉัน ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงจะยินดีสินะ”
ชายหนุ่มต่อว่าหญิงสาวพลางเดินไปนั่งลงยังโซฟาลักษณะกลางเก่ากลางใหม่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าทันทีเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง
“นี่คุณพูดอะไร แพรไม่เข้าใจ อะไรใครมาแพรถึงยินดี” เจ้าของห้องหันไปแหวใส่ทันทีที่ได้ยินคำดูถูกจากปากของแขกไม่ได้รับเชิญ ซึ่งเธอได้ยินคำพูดเหล่านี้จากปากของเขาหลายครั้ง แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาหมายถึงอะไร
“เลิกทำหน้าใสซื่อแบบนั้นสักที... ฉันรำคาญ” ธีรพัฒน์ฮึดฮัดขัดใจที่หญิงสาวยังคงไม่ยอมรับความจริง
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะโต้ตอบอะไรกลับไป เสียงโทรศัพท์เครื่องเล็กในกระเป๋าสะพายที่หญิงสาววางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น คนตัวเล็กล้วงมือเข้าไปควานหาโทรศัพท์เครื่องจิ๋วขึ้นมาดู เมื่อเห็นเป็นชื่อของคนสำคัญจึงกดรับทันทีพร้อมทั้งเดินห่างออกจากชายหนุ่มไปที่ระเบียงห้องเพื่อคุยโทรศัพท์กับเพื่อนรัก
คนที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่คนเดียวกวาดสายตามองสำรวจไปรอบๆ ห้องพักของหญิงสาวที่ดูเก่ากว่าที่เขาคิด
ขนาดห้องที่ไม่ใหญ่มากนัก มีห้องรับแขกตรงกลาง ฝั่งซ้ายน่าจะเป็นห้องนอน ด้านในติดกับระเบียงนั่นคงเป็นห้องครัว แต่ที่เขาแปลกใจคือ ห้องรับแขกของเธอไม่มีทีวี ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนบ้านที่ทุกคนควรจะมี และโดยเฉพาะผู้หญิงที่หลอกเงินจากผู้ชายไปวันๆ อย่างเธอน่าจะมี แต่กลับไม่มี ดูเหมือนห้องพักของเธอจะไม่เหมาะสำหรับการต้อนรับแขกเลยสักนิด เหมือนกับว่าไม่เคยรับแขกเลยด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยก็น่าจะมีเครื่องปรับอากาศ แต่ห้องนี้ก็ไม่มีอีก
ธีรพัฒน์เหลือบไปมองประตูห้องนอนด้วยประกายตาวาววับ หรือว่าเธอจะจัดห้องนอนสำหรับต้อนรับแขกเพื่อการนั้นโดยเฉพาะ ไวเท่าความคิด ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังประตูห้องที่เขาเข้าใจว่าต้องเป็นห้องนอนของเธอทันที แต่ยังไม่ทันจะเอื้อมมือไปจับลูกบิด เสียงของหญิงสาวเจ้าของห้องก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“นั่นคุณคิดจะทำอะไร คุณธีร์พัฒน์!” คนตัวเล็กตวาดเสียงดังลั่น เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะลอบเข้าห้องนอนของเธอ
“เปล่า... ฉันไม่ได้ทำอะไร” คนปากแข็งหันมาสบตาคนตัวเล็ก แล้วเดินกลับไปนั่งยังโซฟาตัวเดิมที่เขาเพิ่งลุกมา
“เชิญคุณกลับไปได้แล้วค่ะ เพื่อนฉันกำลังจะมา” หญิงสาวเปลี่ยนสรรพนามออกปากไล่อย่างเหลืออด ในเมื่อเขาไม่มีมารยาทกับเธอก่อน เธอก็ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับเขา
“เพื่อนที่ว่านี่ ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ”
ธีรพัฒน์ถามหน้าตาเฉย พลางลุกขึ้นถอดเสื้อสูทตัวนอกออก ขยับดึงเนกไทลงมาจากคอเสื้อ ปลดกระดุมและล่นแขนเสื้อขึ้นมาที่ข้อศอก พร้อมทั้งดึงชายเสื้อออกจากกางเกงสแล็คเนื้อดีราคาแพง ด้วยความรู้สึกร้อนอึดอัด
“นะ นั่นคุณจะทำอะไร” คนตัวเล็กตกใจที่ชายหนุ่มตรงหน้าปลดเสื้อผ้าของตัวเองเป็นพัลวัน
“ร้อน! ไม่เห็นหรือไงว่าฉันเหงื่อท่วมขนาดนี้ แอร์ก็ไม่มี พัดลมก็ไม่มี ฉันจะเป็นลมตายอยู่แล้วเนี่ย” ได้ทีชายหนุ่มบ่นอุบ เพราะเขาไม่เคยชินกับอากาศแบบนี้
“แพรก็บอกให้คุณกลับไปไงคะ” เจ้าของห้องออกปากไล่อีกครั้ง ส่งผลให้ชายหนุ่มที่เพิ่งจัดการตัวเองเสร็จหันมามองหน้าหญิงสาวด้วยความโมโห ไม่เคยมีใครไล่เขาขนาดนี้ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ทุกคนมีแต่จะรั้งรอให้เขาอยู่กับเธอได้นานที่สุด นี่เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่กล้าไล่เขา
ชายหนุ่มตรงเข้าคว้าเอวเล็กๆ ของหญิงสาวร่างบางเข้ามากอดด้วยความระมัดระวังไม่ให้โดนแขนข้างที่เจ็บ แล้วจับให้เธอนั่งพาดตะแคงข้างอยู่บนตักแกร่งของเขา ธีรพัฒน์รู้สึกว่าเธอดูตัวเล็กและบอบบางกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก เมื่อนั่งอยู่บนขาของเขาแบบนี้
“นี่! ปล่อยแพรนะคะคุณธีร์” คนตัวเล็กโวยวาย พยายามดิ้นรนใช้แขนข้างขวาดันอกแกร่งของชายหนุ่มไม่ให้ใกล้ชิดเธอมาก
“ไม่ปล่อย! เพื่อนที่มาน่ะ ผู้หญิงหรือผู้ชายเธอยังไม่ตอบฉันเลยนะ” คนตัวใหญ่เอ่ยถามพร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
หญิงสาวยังคงดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของชายหนุ่ม แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะเธอแขนเจ็บ
“โทรกลับไปบอกมันซะว่าไม่ต้องมา เพราะเธอมีแขก” เสียงเข้มบอกออกไปอย่างคนเอาแต่ใจ นึกโมโหที่หญิงสาวพยายามจะไล่เขาเพื่อรอผู้ชายอีกคน
“ไม่! แพรจะฟ้องคุณท่าน ว่าคุณธีร์... อะ...” น้ำเสียงของหญิงสาวกลืนหายเข้าไปในลำคอทันทีที่ปากหนาของชายหนุ่มเข้าประกบปิดริมฝีปากบางของเธออย่างไม่ทันตั้งตัว
“อื้อ...” แพรวาพยายามผลักดันอกแกร่งชายหนุ่มด้วยเรี่ยวแรงที่มีอันน้อยนิด เพียงไม่นานก็ต้องอ่อนยวบให้กับผู้มากประสบการณ์อย่างเขา ปากหนาที่ครอบครองขบเม้นอย่างรุนแรงในคราแรก และค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนนุ่มนวลแต่เรียกร้องโหยหาการตอบสนองจากหญิงสาว ลิ้นหนาแทรกเข้าไปในโพรงปากเล็กเพื่อลิ้มลองความหวานที่ชวนให้หลงใหลอย่างที่ไม่เคยพานพบจากหญิงใดมาก่อน ชายหนุ่มส่งปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดไล่ต้อนลิ้นเล็กๆ ของเธอที่คอยหนีการดูดดึงจากเขาอย่างน่าโมโห เมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดดิ้นขลุกขลักเหมือนกำลังขาดอากาศหายใจ ชายหนุ่มจึงปล่อยริมฝีปากบางให้เป็นอิสระอย่างแสนเสียดาย
“หวานเหลือเกิน” คนเอาแต่ใจกระซิบที่ข้างหูหญิงสาวในอ้อมกอดพร้อมกับหอมแก้มนวลที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าอย่างนึกมันเขี้ยวอีกหนึ่งฟอด
“เอาซี้... ทีนี้เธอจะฟ้องแม่ฉันว่าอะไร จะบอกว่าฉันจูบเธอหรือกอดเธอดีล่ะ” ชายหนุ่มบอกหญิงสาวอย่างยียวน ทำให้คนที่กำลังตัวสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้น และตกใจที่เธอเสียจูบแรกให้กับชายในฝันอย่างไม่ทันตั้งตัวตื่นภวังค์
เพียะ!...
ฝ่ามือบางฟาดลงที่แก้มสากทันทีที่หญิงสาวตั้งสติได้ แล้วขยับตัวลุกขึ้นจากตักของชายหนุ่มทันที
“เธอกล้าตบหน้าฉันเหรอ... แพรวา!” ธีรพัฒน์สะบัดตัวลุกขึ้น ดวงตาคู่คมมองหญิงสาวด้วยความเกรี้ยวกราด มือหนาคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนกลมกลึงบอบบางของหญิงสาวก่อนจะกระชากเข้ามาปะทะอกแกร่งอย่างรวดเร็ว และไม่รอให้หญิงสาวได้เอ่ยประท้วงใดๆ ทั้งสิ้น ชายหนุ่มก้มลงส่งเรียวปากแข็งแรงเข้าบดเบียดริมฝีปากของคนตัวเล็กทันทีเพื่อต้องการจะสั่งสอน ทั้งบดขยี้ ขบกัดรุนแรง ไม่มีความอ่อนโยนเหมือนในครั้งแรก ทำให้คนตัวเล็กเจ็บจนน้ำตาซึมก่อนจะเอ่อล้นเต็มขอบตาและไหลลงมาที่พวงแก้มสวย
ธีรพัฒน์เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำใสๆ ที่อาบบนแก้มนวลของหญิงสาว เขาจึงถอนริมฝีปากออกแล้วปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระจากวงแขนแกร่งทันที
“ฮึ! ทำอย่างกับไม่เคย” คนขี้โมโหไม่วายพ่นวาจาร้ายๆ ใส่หญิงสาวตรงหน้าให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจอีกหน
แพรวาเงยหน้าขึ้นสบตาคมของชายหนุ่มแน่นิ่ง มือบางกำเข้าหากันแน่นด้วยความโกรธ พร้อมทั้งง้างฝ่ามือออกไปหมายจะตบคนปากร้ายอีกครั้ง แต่โดนชายหนุ่มคว้ามือเล็กไว้ได้ทัน ทำให้ฝ่ามือของเธอไม่กระทบแก้มสากอย่างตั้งใจ
“อย่าได้คิดจะตบฉันอีกแพรวา ไม่งั้นเรื่องไม่จบแค่จูบแน่” ว่าจบคนใจร้ายก็สะบัดมือออกจากหญิงสาว แล้วตรงเข้าไปคว้าเสื้อสูทที่ถอดวางเอาไว้ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องด้วยความไม่พอใจ ทิ้งให้หญิงสาวยืนคว้างอยู่กลางห้องด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งเสียใจ เจ็บปวด เครียดแค้นชิงชังที่ชายหนุ่มดูถูกเหยียบย่ำเธออย่างไร้ศักดิ์ศรี
คนที่รีบไปทำงานด่วนของตัวเอง เมื่อเสร็จงานสำคัญก็รีบตรงไปหาหญิงสาวในดวงใจทันที
ทินกรพารถของตัวเองมาจอดยังคอนโดของหญิงสาวฝั่งด้านข้างของประตูทางเข้าล็อบบี้ กำลังจะหยิบโทรศัพท์หมายจะกดโทรหาคนที่เขาคิดถึงและเป็นห่วง พลันสายตาคมเหลือบไปเห็นเพื่อนรักที่ดูเหมือนจะกลายเป็นเพื่อนแค้นของเขาไปเสียแล้วตอนนี้ กำลังเดินออกมาจากคอนโดของหญิงสาวในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผมเผ้ายุ่งเหยิง เหงื่อแตกโทรมกาย จะเรียกว่าหมดสภาพเลยก็ว่าได้
ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจดวงแกร่งของทินกรกระตุกวูบชาดิกด้วยความเจ็บปวด ไม่คิดว่าเพื่อนรักกับคนที่เขาหมายปองจะลงเอยแบบนี้ ‘ไอ้เพื่อนระยำ ไอ้เพื่อนเลว แกทำอย่างนี้ได้ยังไง’ ทินกรสบถออกมาอย่างเจ็บปวด สองมือกำเข้าหากันแน่นไม่รู้จะลงที่ตรงไหนให้มันสาแก่ใจที่มันเจ็บช้ำปวดหนึบอยู่ตอนนี้ เมื่อสภาพของจิตใจไม่พร้อมที่จะพบหญิงสาว เขาจึงเลือกที่จะขับรถออกไปจากที่นี่เพื่อตรงกลับบ้านทันทีด้วยหัวใจที่ปวดร้าว
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
^_^
สนใจสั่งซื้อนิยายเรื่องนี้ในแบบรูปเล่ม ติดต่อผู้แต่งโดยตรงได้ที่
E-mail : oilza24@hotmail.com
โทร/ไลน์ : 094-4942566
หรือสนใจในรูปแบบ E-Book สามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่
www.chalawanhunsa.com หรือ
www.nongoil.com
ศัตรูหัวใจ
ธีรพัฒน์พารถสปอร์ตคันหรูคู่ใจของตัวเองมาจอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ทันทีที่เดินเข้าไปภายในบ้านก็พบคุณหญิงเพ็ญพักตร์ผู้เป็นมารดาตั้งท่ารอสอบปากคำเขาอยู่ก่อนแล้ว
“มานี่เลยตาธีร์ พ่อลูกชายตัวดี ไปทำงานได้สองวันก็ก่อเรื่องซะแล้ว” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ็ดลูกชายทันทีที่เห็นหน้า
“โถ่... คุณแม่ครับ แค่เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยเอง ไม่เห็นจะต้องดุผมขนาดนั้นเลย” ธีรพัฒน์พยายามออดอ้อนมารดาเหมือนตอนเด็กๆ ที่เขาทำผิด
“นิดหน่อยอะไร หนูแพรของแม่ถึงต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนี้ห๊ะ แกนี่มันแย่จริงๆ”
“ก็เรื่องเข้าใจผิดจริงๆ นี่ครับคุณแม่ ผมก็ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้สักหน่อย” คนทำผิดยังคงเถียงไม่เลิก
“แล้วเรื่องมันเป็นยังไง ไหนเล่าให้แม่ฟังสิ ว่ายัยเมนง เมนี่ คู่ขาคู่ควงของแกโผล่มาทำร้ายหนูแพรได้ยังไง”
“เมนี่เป็นเพื่อนผมครับ ไม่ใช่คู่ขาหรือคู่ควงอย่างที่คุณแม่เข้าใจ หรืออย่างที่ใครบอกมา”
ธีรพัฒน์อธิบายให้ผู้เป็นมารดาเข้าใจ พร้อมทั้งพาดพิงถึงเพื่อนตัวแสบที่คิดจะใช้คุณแม่มาเล่นงานเขา
“จะอะไรก็ช่างเถอะ ยังไงคนของธีร์ก็ผิด”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์สะบัดหน้าใส่บุตรชายด้วยความโมโห แล้วนั่งฟังสิ่งที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอย่างใจเย็น เพราะยังไงนางก็เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องไม่ใช่ความตั้งใจของบุตรชายอย่างแน่นอน
ซึ่งหลังจากฟังเรื่องราวทุกอย่างจากลูกชายตัวดีแล้ว คุณหญิงเพ็ญพักตร์ก็ยิ่งรู้สึกเห็นใจและสงสารหญิงสาวผู้บาดเจ็บยิ่งนัก ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรแท้ๆ กลับโดนทำร้ายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนี้ คงจะตกใจน่าดู
โถ่... แม่คุณ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ยิ่งตัวเล็กๆ ร่างกายบอบบางอยู่ด้วย เห็นทีคราวนี้คงต้องทำตามที่ทินกรเสนอแล้วล่ะมั้ง ที่จะย้ายให้แพรวาไปเป็นเลขาของทินกร ส่วนธีรพัฒน์ต้องหาเลขาคนใหม่ ซึ่งนางเองก็ไม่อยากจะให้เป็นเช่นนั้น เพราะยังไงแพรวาก็เป็นเด็กที่นางทั้งรักและเอ็นดูมาก ที่สำคัญเป็นคนที่นางปลูกฝังสั่งสอนมาเองกับมือ ประกอบกับหญิงสาวเองก็เป็นคนเก่งอยู่แล้ว ทำให้เรียนรู้งานได้เร็ว สอนเพียงไม่นานก็คล่องจนนางสามารถถปล่อยวางได้อย่างสบายใจจนถึงทุกวันนี้ หากจะต้องเปลี่ยนคนใหม่นางเองก็แสนเสียดาย แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องให้ความยุติธรรมกับตัวหญิงสาว หากเธอเต็มใจที่จะย้ายไปทำงานกับทินกร นางเองก็สุดจะรั้งไว้
“ธีร์จะว่ายังไง ถ้าแม่จะย้ายหนูแพรไปเป็นเลขาให้ทินกร” คุณหญิงเพ็ญพักตร์หยั่งเชิงถามบุตรชาย
“ผมก็ไม่เห็นว่ามีความจำเป็นอะไรที่เธอจะต้องย้ายนี่ครับ” ธีรพัฒน์ตอบมารดาเสียงเรียบ เพราะเป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้วว่าทินกรต้องมาขอตัวแพรวาไปแน่ๆ ผิดกับภายในใจเขาที่ตอนนี้ร้อนรุ่มอย่างประหลาด เมื่อรู้ว่าเขาจะไม่ได้ร่วมงานกับหญิงสาวอีก
“ก็ทินกรบอกกับแม่ว่าธีร์มีคนของธีร์ตามมาจากที่โน่นแล้ว เขาก็เลยจะขอหนูแพรให้ไปทำงานกับเขา” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ถอนหายใจหนักหน่วง
“ผมยังยืนยันคำเดิมนะครับคุณแม่ ว่าผมไม่มีใครตามมาทั้งนั้น เมนี่เป็นเพื่อนผมเขาแค่มาช่วยงานผมเล็กๆ น้อยๆ ตอนอยู่ที่โน่นเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นเลขาของผมสักหน่อย”
แม้จะเป็นความจริงแค่บางส่วน แต่เขาก็เลือกที่จะตอบมารดาไปแบบนั้น เพื่อให้มารดาเข้าใจว่าเขาต้องการเลขาที่เป็นคนของแม่เขาเท่านั้น และคนๆ นั้นจะต้องเป็นเธอ... แพรวา
“งั้นก็ต้องแล้วแต่หนูแพรเขาแล้วหละ ว่ายังอยากทำงานกับลูกหรือเปล่า... เจ็บตัวขนาดนั้น”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์ยังคงถอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน ภาวนาขอให้หญิงสาวไม่ถือโทษโกรธเคืองในตัวบุตรชาย
สองแม่ลูกนั่งคุยกันได้เพียงไม่นาน เสียงรถที่คุ้นหูเพราะเป็นแขกประจำของบ้านก็เข้ามาจอดยังบริเวณหน้าตึกใหญ่
ทินกรโอบประคองหญิงสาวในดวงใจลงมาจากรถด้วยความอ่อนโยนทะนุถนอม เพื่อไม่ให้หญิงสาวได้รับความกระทบกระเทือนมากนัก ส่งผลให้ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งมองอยู่ต้องเบือนหน้าไปทางอื่น เพราะไม่อยากเห็นภาพที่เขารู้สึกว่าไม่สบอารมณ์และเกิดความร้อนรุ่มภายในจิตใจ
“สวัสดีครับคุณป้า” ทินกรยกมือไหว้ผู้มีอาวุโสที่เคารพ แล้วมองหน้าเพื่อนตัวแสบอย่างอาฆาตแค้นเคือง
“สวัสดีค่ะคุณท่าน” แพรวากล่าวสวัสดีผู้เป็นเจ้านายที่เคารพยิ่ง ก้มศีรษะอย่างนอบน้อมเพราะเธอยกแขนไม่สะดวก ทันทีที่คุณหญิงเพ็ญพักตร์เห็นแพรวา ก็บังเกิดความสงสารขึ้นมาจับใจ หญิงสาวตัวเล็กๆ มีเฝือกหุ้มที่แขนข้างซ้ายพร้อมกับมีสายคล้องไปที่คอเพื่อป้องกันไม่ให้กระทบกระเทือนเวลาเดิน
“สวัสดีจ๊ะหนูแพร ไหนมานั่งนี่สิ... เป็นยังไงบ้าง”
พอหญิงสาวมานั่งใกล้ๆ จึงได้เห็นว่านอกจากแขนที่ใส่เฝือกแล้วยังมีรอยฝ่ามือที่ใบหน้านวลนั่นอีก คุณหญิงเพ็ญพักตร์หันไปมองหน้าลูกชายตัวดีตาเขียว เพราะไม่คิดว่าจะหนักหนาขนาดนี้ ความหวังที่หญิงสาวจะให้อภัยคงยากซะล่ะมั้ง
“แพรไม่เป็นอะไรมากค่ะ แต่คงต้องใส่เฝือกแบบนี้ไปอีกสักระยะ” แพรวาตอบอย่างนอบน้อม ซึ้งใจในความเมตรตาห่วงใยที่เจ้านายมีให้
“คุณแพรเธอกระดูกที่ข้อมือร้าว คงต้องพักสักระยะครับ เพราะกระดูกที่ร้าวจะหักได้ง่าย” ทินกรเป็นฝ่ายเล่าอาการป่วยของหญิงสาวให้ผู้เป็นป้าได้ฟัง
“เห็นไหมครับคุณแม่ ผมบอกแล้ว ว่าไม่มีอะไรมากสักหน่อย”
ธีรพัฒน์ที่นั่งมองหญิงสาวอยู่นานเอ่ยขัดขึ้นมา เพราะดูท่าจะมีคนห่วงแม่เลขาคนสวยของเขาเกินไปจนน่าหมั่นไส้ แต่เขาก็ยอมรับว่าโล่งใจที่อย่างน้อยเธอก็ยังเดินไปไหนมาไหนได้ ไม่ใช่นอนแหม็บอยู่บนเตียง ไม่งั้นคุณแม่ต้องเล่นงานเขาหนักแน่ๆ
“แกหุบปากไปเลยนายธีร์ ที่เห็นนี่แกยังว่าไม่มากอีกเหรอ” ทินกรนึกโมโหตัวต้นเหตุ ที่พูดหน้าตาเฉยว่าเรื่องแค่นี้ไม่มีอะไร
“อ้าว... อะไรวะกร แค่นี้ทำเป็นอารมณ์เสียไปได้ คนเจ็บตัวเขาไม่เห็นจะโวยวายอะไรเลย” คนต้นเหตุทำท่ายียวน นั่งพิงพนักโซฟาอย่างสบายอารมณ์ แต่แอบปรายตาสำรวจหญิงสาวอยู่ตลอดเวลา
“เอาหละๆ พอแล้วทั้งสองคน ให้แม่คุยกับหนูแพรหน่อย”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์ตัดบทห้ามทัพ แล้วหันมาพูดกับหญิงสาวตรงหน้าเสียงนุ่ม
“หนูแพร ฉันจะไม่อ้อมค้อมละนะ ฉันจะให้ความยุติธรรมกับเธอหากเธอจะย้ายไปทำงานกับทินกรฉันก็ไม่ว่าอะไร” ประมุขใหญ่ว่าพลางลูบผมหญิงสาวที่นางรักและเอ็นดูอย่างอ่อนโยน ส่วนสองหนุ่มที่นั่งอยู่ต่างก็หูผึ่งรอลุ้นคำตอบของหญิงสาวอย่างใจจดใจจ่อ
แพรวาเมื่อได้ฟังคำถามก็หันไปมองหน้าทินกรที่ส่งยิ้มให้เธออยู่ก่อนแล้ว เหมือนเขายินดีที่จะให้เธอไปทำงานกับเขา ส่วนอีกคนเธอหันไปสบตาเขาแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น และดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับคำตอบของเธอ แต่สิ่งที่เธอคิดมาตลอดก็คือความกตัญญูที่มีต่อผู้หญิงสูงวัยตรงหน้า ดังนั้นคำตอบสำหรับเธอคงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก
“แพรยินดี จะรับใช้คุณท่านต่อไปค่ะ”
คำตอบของแพรวาทำให้ทินกรหน้าถอดสีด้วยความไม่พอใจที่เธอยังคิดจะทำงานกับธีรพัฒน์ต่อ ทั้งๆ ที่ตัวเองเจ็บขนาดนี้ ส่วนอีกคนที่หญิงสาวเลือกจะทำงานด้วยแม้จะดีใจมากแค่ไหน แต่ก็ยังเก็บอาการให้นิ่งเฉยได้ดี
“ทำไมครับคุณแพร คนของนายธีร์เข้ามาทำร้ายขนาดนี้คุณยังอยากทำงานกับเขาอีกเหรอ” ทินกรโวยวายอย่างเหลืออดคัดค้านการตัดสินใจของหญิงสาวที่เป็นดวงใจ
“นั่นสิ หนูแพร ไม่ต้องเกรงใจฉันนะ ทำอย่างที่ใจต้องการเถอะ ฉันไม่ว่าอะไร” คุณหญิงเพ็ญพักตร์บอกหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
“แพรคิดดีแล้วค่ะ... แพรเต็มใจ เพราะคุณท่านเป็นผู้มีพระคุณกับแพร ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณท่านสอนให้แพร จนแพรมีวันนี้ได้ก็นับว่าชาตินี้คงทดแทนไม่หมดแล้ว”
แพรวาตอบผู้มีพระคุณเสียงหวานนอบน้อม พร้อมทั้งหันไปมองหน้าผู้ชายที่แสนดีในชีวิตของเธออย่างนึกขอโทษที่เธอไม่สามารถถทำตามความต้องการของเขาได้
“งั้นฉันก็ดีใจ... ขอบใจมากนะแพรวา ที่เธอช่วยแบ่งเบาภาระให้ฉันได้เยอะ”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์ยิ้มกว้างอย่างยินดี ที่อย่างน้อยนางก็มองคนไม่ผิดจริงๆ แพรวาเป็นคนกตัญญูรู้คุณ แม้จะต้องเจ็บตัวแต่ก็ไม่เคยลืมบุญคุณ
“ถ้าอย่างนั้นแพรขอตัวกลับไปทำงานที่ค้างไว้นะคะ” หญิงสาวผู้มีความรับผิดชอบในหน้าที่ เอ่ยขอตัวเพื่อกลับไปทำงานกองโตที่เจ้านายหน้ายักษ์สั่งไว้
“โอ๊ย... ช่างมันก่อนงานน่ะ กลับไปพักผ่อนเถอะ แล้วจะหยุดต่อก็ได้นะฉันอนุญาต” คุณหญิงเพ็ญพักตร์บอกหญิงสาวอย่างเอ็นดู
“งั้นให้ผมไปส่งดีกว่านะครับคุณแพร” ทินกรขันอาสา
“แกมีงานด่วนไม่ใช่เหรอ ไปทำงานของแกเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการลูกน้องของฉันเอง”
คนนั่งเงียบอยู่นานรอจังหวะจะได้ใกล้ชิดหญิงสาวที่เขาเริ่มรู้สึกหมั่นไส้กลายๆ เพราะดูเหมือนแม่คุณจะเสน่ห์แรงเหลือเกินไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงคนแก่ก็ดูจะหลงรักเธอไปซะหมด
“อือ นั่นสิตากร ไหนว่ามีงานด่วนให้ป้าดู มาๆ เดี๋ยวตามป้าไปที่ห้องทำงานเลย”
“ครับคุณป้า”
ทินกรแม้จะขัดใจอยู่บ้างที่ไม่ได้ไปส่งหญิงสาว แต่ยังไงตอนนี้งานต้องมาก่อน เอาไว้เสร็จงานแล้วค่อยแวะไปหาเธอก็แล้วกัน
“ส่วนแกตาธีร์ จัดการไปส่งหนูแพรเขาให้ถึงบ้านแล้วหาข้าวหายาให้เขาทานให้เรียบร้อยก่อนจะกลับมา และอย่าให้ฉันรู้นะว่าแกทิ้งหนูแพรไว้กลางทาง... ฉันฆ่าแกแน่ตาธีร์!”
คนเป็นแม่หมายหัวลูกชายอย่างนึกหมั่นไส้ พอรู้ว่าเขายอมทำงานด้วยหน่อยก็ทำเป็นนั่งลอยหน้าลอยตา จะขอบอกขอบใจถามไถ่ก็ไม่มี อย่างนี้ต้องแกล้งให้ดูแลคนป่วยซะให้เข็ด แต่หารู้ไม่ว่านางได้ฝากปลาย่างไว้กับแมวชัดๆ
“ครับ... คุณแม่” ธีรพัฒน์ลากเสียงยาวล้อเลียนผู้เป็นมารดา
“สวัสดีค่ะคุณท่าน”
“จ้ะ กลับบ้านแล้วก็พักผ่อนซะนะ ถ้าตาธีร์รังแกอะไรอีกโทรมาบอกฉันได้เลย ฉันจะจัดการให้”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์บอกหญิงสาวพร้อมส่งสายตาอาฆาตไปให้ลูกชายอย่างเอาเรื่อง หากคิดจะทำให้คนของนางเจ็บตัวอีก คราวนี้ไม่รอดแน่
“งั้น เดี๋ยวเสร็จงานผมโทรไปหานะครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณกร” หญิงสาวตอบรับเสียงหวาน ซาบซึ้งในน้ำใจที่อีกฝ่ายมีให้
หลังจากนั้นทินกรจะเดินตามผู้ที่เป็นทั้งป้าและเจ้านายเข้าไปในห้องทำงาน แต่ก็ไม่วายหันกลับมามองเพื่อนรักที่ดูเหมือนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งดูได้จากแววตาที่ใช้มองหญิงสาวในดวงใจของเขา ‘หรือเขาจะมีศัตรูหัวใจเพิ่มขึ้นอีกคน’ ทินกรคิดด้วยหัวใจที่แสนเจ็บปวดและอ่อนล้า
หลังจากทินกรตามคุณหญิงเพ็ญพักตร์เข้าไปในห้องทำงานอีกคน ทำให้ห้องรับแขกเหลือเพียงชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ยังคงอยู่ในสถานการณ์คลุมเครือ
ธีรพัฒน์เอาแต่จ้องหน้าหญิงสาวตรงหน้าอย่างกับจะกลืนกิน ส่วนหญิงสาวก็ได้แต่นั่งก้มหน้า เพราะไม่รู้ชายหนุ่มจะเอายังไงกับเธอกันแน่ เอาแต่นั่งจ้องหน้าเธออย่างไม่รู้ความหมาย เธอจึงต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เอ้า! ไม่กลับบ้านหรือไงแม่คุณ จะนั่งให้รากมันงอกอยู่ตรงนี้หรือไงห๊ะ”
ธีรพัฒน์บอกอย่างใส่อารมณ์ ส่งผลให้หญิงสาวกระเด้งตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจจนร้อนรนทำอะไรไม่ถูกได้แต่หันซ้ายหันขวา ไหนจะกระเป๋าสะพาย ไหนจะแขนที่เจ็บอยู่ เมื่อครู่ทินกรเป็นคนถือเข้ามาให้เธอ และยังช่วยพยุงเธอเข้ามาด้วย แต่ตอนนี้จะหวังพึ่งพาชายหนุ่มตรงหน้าคงจะไม่ได้
“เอากระเป๋ามานี่... เห็นแล้วรำคาญ” คนปากจัดยังคงทำเสียงฮึดฮัดขัดใจที่หญิงสาวมัวแต่โอ้เอ้ไม่ทันใจเขา พร้อมทั้งกระชากกระเป๋าสะพายของหญิงสาวไปถือในมือซะเอง
“ไม่เป็นไรค่ะ แพรถือเองได้”
“อย่าอวดเก่งน่ะ แค่เดินไปขึ้นรถก็เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ฉันไม่อุ้มเธอไปเหมือนนายกรหรอกนะ” ว่าเสร็จก็เดินตัวปลิวไปขึ้นรถทันที โดยไม่สนใจคนที่ขยับตัวเดินตามเขาไปขึ้นรถอย่างเงียบๆ ‘ถ้าไม่เต็มใจไปส่งก็บอกดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องทำอารมณ์เสียใส่เลยนี่’ หญิงสาวบ่นในใจก่อนจะเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งในรถที่ชายหนุ่มรออยู่ก่อนแล้ว
“นึกว่าจะได้ไปพรุ่งนี้ซะอีก ฉันไม่เคยต้องนั่งรอใครขนาดนี้เลยนะ” คำพูดของธีรพัฒน์ทำให้หญิงสาวที่เพิ่งเข้ามานั่งในรถหันขวับไปมองอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าคุณไม่เต็มใจจะไปส่ง แพรกลับเองก็ได้นะคะ”
“ฉันจะเต็มใจหรือไม่ นั่นมันเรื่องของฉัน... เธอมีหน้าที่นั่งก็นั่งไป... อย่าพูดมาก” ธีรพัฒน์เสียงแข็งขึ้นมาทันทีที่หญิงสาวข้างกายต่อปากต่อคำทำให้เขาต้องหงุดหงิด
ภายในรถคันหรูที่มีธีรพัฒน์ทำหน้าที่เป็นสารถีให้กับเลขาคนสวยตามคำบัญชาของผู้เป็นแม่ ตลอดทางตั้งแต่คำพูดสุดท้ายของเขาจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา
หญิงสาวได้แต่นั่งเงียบสายตามองออกไปนอกตัวรถ โดยไม่สนใจคนที่ขับรถให้เธอนั่งเลยสักนิด แม้ข้างนอกจะไม่มีอะไรน่าสนใจให้มอง แต่เธอก็เลือกที่จะมองทิวทัศน์ข้างนอกนั่น มากกว่าคนที่อยู่ภายในรถกับเธอ
บรรยากาศภายในรถเต็มไปด้วยความอึดอัด ชายหนุ่มได้แต่หันไปมองคนข้างๆ ที่แทบจะกลายเป็นหันหลังให้เขาด้วยซ้ำ และไม่มีทีท่าว่าเธอจะหันมาหรือจะเอ่ยอะไรสักคำ ธีรพัฒน์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะเป็นคนทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ซะเอง
“ฉันไม่รู้ว่าบ้านเธออยู่ไหน ถ้าจะกรุณาก็ช่วยบอกทางให้ฉันด้วย” ธีรพัฒน์พูดพร้อมกับหันไปมองดูคนข้างๆ ว่าเธอจะได้ยินหรือรับรู้การมีตัวตนของเขาหรือเปล่า
“คุณก็มาถูกทางแล้วนี่คะ คุณไปบริษัทยังไง ก็ไปบ้านแพรอย่างนั้นแหละค่ะ” แพรวาละสายตาจากวิวข้างทางแล้วหันมาตอบชายหนุ่ม
“ฉันถามดีๆ เธอจะกวนประสาทฉันหรือไงหะแพรวา แล้วที่ฉันขับรถมาทางนี้ก็เพราะฉันเคยชินกับถนนหนทางที่นี่แค่ทางไปบริษัทเท่านั้นแหละ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าบ้านเธอไปทางไหนถ้าเธอไม่บอก” ชายหนุ่มทำเสียงฮึดฮัดขัดใจที่หญิงสาวยียวนกลับมา
“ผ่านบริษัทเลยไป 500 เมตร คอนโดอยู่ซ้ายมือค่ะ” หญิงสาวบอกโดยไม่หันมามองหน้าคนถาม
ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เมื่อไรว่าบ้านเธออยู่ไหน แต่เพราะอยากจะทำลายบรรยากาศความเงียบที่ชวนอึดอัดนี่มากกว่าจึงเอ่ยถามออกไป เพราะดูท่าแล้วหญิงสาวคงจะนั่งเงียบแบบนี้ไปตลอดทางเป็นแน่หากเขาไม่ชวนคุย และดูเหมือนเธอจะแสดงออกอย่างชัดเจนอีกด้วยว่าไม่ต้องการสนทนากับเขา
ทันทีที่ธีรพัฒน์พารถมาจอดยังหน้าคอนโดบริเวณทางขึ้นล็อบบี้ หญิงสาวก็ทำท่าจะลงจากรถทันที โดยไม่ลืมที่จะหันมาขอบคุณชายหนุ่มผู้มาส่ง แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นจากประตูรถก็ได้ยินเสียงทรงอำนาจขัดขึ้นมาซะก่อน
“เดี๋ยว! รออยู่ตรงนี้แหละ ฉันจะเอารถไปจอดแล้วจะขึ้นไปส่งเธอ”
ชายหนุ่มในรถออกคำสั่งเสียงเข้มโดยไม่ฟังคำปฏิเสธใดๆ จากหญิงสาว ทางด้านคนตัวเล็กเมื่อโดนดักคอแบบนี้เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเธอไม่เคยพาผู้ชายคนไหนขึ้นไปบนห้องเลยสักครั้ง แล้วจู่ๆ วันนี้ผู้เป็นเจ้านายจะขึ้นไปส่งเธอเหมือนเป็นเรื่องปกติได้อย่างไร
แพรวาหันซ้ายหันขวาอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปยังล็อบบี้ แล้วตรงไปที่ลิฟต์ทันทีโดยไม่รอชายหนุ่มที่สั่งไว้
“นี่เธอจะขัดคำสั่งฉันหรือไง” ธีรพัฒน์ตรงเข้าคว้าแขนข้างที่เธอหิ้วกระเป๋าสะพายอยู่ด้วยความโมโห เขานำรถไปจอดเรียบร้อยแล้ว เมื่อกลับมาไม่เห็นหญิงสาวรออยู่ที่เดิมเขาจึงรีบวิ่งเข้ามายังล็อบบี้ก็เห็นคนตัวเล็กทำท่าเหมือนจะหนีเขาขึ้นข้างบนไปซะอย่างนั้น
“โอ๊ย! ปล่อยนะคะ แพรเจ็บ” หญิงสาวโอดครวญเมื่อชายหนุ่มจับแขนเธออย่างแรงแล้วดันเข้าไปในลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิด
“เอ้า ชั้นที่เท่าไรล่ะแม่คุณ มัวแต่ร้องโอดโอยวันนี้จะถึงไหมห้องน่ะ”
เสียงของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวที่กำลังเจ็บที่ต้นแขนหันไปกดชั้นที่เป็นห้องพักของเธอทันที
จากนั้นไม่นานลิฟต์ก็พาทั้งสองมายังชั้นที่ต้องการ หญิงสาวเดินนำชายหนุ่มมาถึงหน้าห้องของเธอซึ่งเป็นห้องริมในสุด ‘ฮึ เข้าใจเลือกมุมซะด้วย ห้องริมสุดทางเดินดูแล้วลับตาคน เวลาพาผู้ชายมาจะได้ไม่ค่อยมีใครเห็นอย่างนั้นสินะ’ ชายหนุ่มต่อว่าหญิงสาวในใจ
“เอากุญแจมานี่! ฉันจะไขให้” คนตัวใหญ่หันไปตวาดหญิงสาวที่กำลังก้มๆ เงยๆ กับกุญแจหน้าห้อง แล้วคว้ากุญแจในมือเธอมาไขประตูห้องซะเอง โดยไม่รอคำอนุญาตจากหญิงสาว
เมื่อประตูห้องถูกเปิดออกคนตัวเล็กที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วก็รีบแทรกตัวเข้าไปในห้องแล้วยืนขวางหน้าประตูไว้เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มเข้ามาในห้อง
“หมดหน้าที่ของคุณแล้ว... แพรต้องการพักผ่อน... ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวพูดอย่างรวดเร็ว แล้วทำท่าจะปิดประตูทันที
แต่ความไวของเธอยังสู้คนตรงหน้าไม่ได้ ธีรพัฒน์ใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็สามารถถผลักประตูแล้วแทรกตัวเองเข้ามาภายในห้องของหญิงสาวได้จนสำเร็จ
“ไม่คิดจะเชิญฉันเข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าสักหน่อยเหรอ ใจจืดใจดำจริงนะแม่คุณ หรือว่าใจดำเฉพาะกับฉัน ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงจะยินดีสินะ”
ชายหนุ่มต่อว่าหญิงสาวพลางเดินไปนั่งลงยังโซฟาลักษณะกลางเก่ากลางใหม่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าทันทีเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง
“นี่คุณพูดอะไร แพรไม่เข้าใจ อะไรใครมาแพรถึงยินดี” เจ้าของห้องหันไปแหวใส่ทันทีที่ได้ยินคำดูถูกจากปากของแขกไม่ได้รับเชิญ ซึ่งเธอได้ยินคำพูดเหล่านี้จากปากของเขาหลายครั้ง แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาหมายถึงอะไร
“เลิกทำหน้าใสซื่อแบบนั้นสักที... ฉันรำคาญ” ธีรพัฒน์ฮึดฮัดขัดใจที่หญิงสาวยังคงไม่ยอมรับความจริง
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะโต้ตอบอะไรกลับไป เสียงโทรศัพท์เครื่องเล็กในกระเป๋าสะพายที่หญิงสาววางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น คนตัวเล็กล้วงมือเข้าไปควานหาโทรศัพท์เครื่องจิ๋วขึ้นมาดู เมื่อเห็นเป็นชื่อของคนสำคัญจึงกดรับทันทีพร้อมทั้งเดินห่างออกจากชายหนุ่มไปที่ระเบียงห้องเพื่อคุยโทรศัพท์กับเพื่อนรัก
คนที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่คนเดียวกวาดสายตามองสำรวจไปรอบๆ ห้องพักของหญิงสาวที่ดูเก่ากว่าที่เขาคิด
ขนาดห้องที่ไม่ใหญ่มากนัก มีห้องรับแขกตรงกลาง ฝั่งซ้ายน่าจะเป็นห้องนอน ด้านในติดกับระเบียงนั่นคงเป็นห้องครัว แต่ที่เขาแปลกใจคือ ห้องรับแขกของเธอไม่มีทีวี ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนบ้านที่ทุกคนควรจะมี และโดยเฉพาะผู้หญิงที่หลอกเงินจากผู้ชายไปวันๆ อย่างเธอน่าจะมี แต่กลับไม่มี ดูเหมือนห้องพักของเธอจะไม่เหมาะสำหรับการต้อนรับแขกเลยสักนิด เหมือนกับว่าไม่เคยรับแขกเลยด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยก็น่าจะมีเครื่องปรับอากาศ แต่ห้องนี้ก็ไม่มีอีก
ธีรพัฒน์เหลือบไปมองประตูห้องนอนด้วยประกายตาวาววับ หรือว่าเธอจะจัดห้องนอนสำหรับต้อนรับแขกเพื่อการนั้นโดยเฉพาะ ไวเท่าความคิด ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังประตูห้องที่เขาเข้าใจว่าต้องเป็นห้องนอนของเธอทันที แต่ยังไม่ทันจะเอื้อมมือไปจับลูกบิด เสียงของหญิงสาวเจ้าของห้องก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“นั่นคุณคิดจะทำอะไร คุณธีร์พัฒน์!” คนตัวเล็กตวาดเสียงดังลั่น เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะลอบเข้าห้องนอนของเธอ
“เปล่า... ฉันไม่ได้ทำอะไร” คนปากแข็งหันมาสบตาคนตัวเล็ก แล้วเดินกลับไปนั่งยังโซฟาตัวเดิมที่เขาเพิ่งลุกมา
“เชิญคุณกลับไปได้แล้วค่ะ เพื่อนฉันกำลังจะมา” หญิงสาวเปลี่ยนสรรพนามออกปากไล่อย่างเหลืออด ในเมื่อเขาไม่มีมารยาทกับเธอก่อน เธอก็ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับเขา
“เพื่อนที่ว่านี่ ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ”
ธีรพัฒน์ถามหน้าตาเฉย พลางลุกขึ้นถอดเสื้อสูทตัวนอกออก ขยับดึงเนกไทลงมาจากคอเสื้อ ปลดกระดุมและล่นแขนเสื้อขึ้นมาที่ข้อศอก พร้อมทั้งดึงชายเสื้อออกจากกางเกงสแล็คเนื้อดีราคาแพง ด้วยความรู้สึกร้อนอึดอัด
“นะ นั่นคุณจะทำอะไร” คนตัวเล็กตกใจที่ชายหนุ่มตรงหน้าปลดเสื้อผ้าของตัวเองเป็นพัลวัน
“ร้อน! ไม่เห็นหรือไงว่าฉันเหงื่อท่วมขนาดนี้ แอร์ก็ไม่มี พัดลมก็ไม่มี ฉันจะเป็นลมตายอยู่แล้วเนี่ย” ได้ทีชายหนุ่มบ่นอุบ เพราะเขาไม่เคยชินกับอากาศแบบนี้
“แพรก็บอกให้คุณกลับไปไงคะ” เจ้าของห้องออกปากไล่อีกครั้ง ส่งผลให้ชายหนุ่มที่เพิ่งจัดการตัวเองเสร็จหันมามองหน้าหญิงสาวด้วยความโมโห ไม่เคยมีใครไล่เขาขนาดนี้ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ทุกคนมีแต่จะรั้งรอให้เขาอยู่กับเธอได้นานที่สุด นี่เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่กล้าไล่เขา
ชายหนุ่มตรงเข้าคว้าเอวเล็กๆ ของหญิงสาวร่างบางเข้ามากอดด้วยความระมัดระวังไม่ให้โดนแขนข้างที่เจ็บ แล้วจับให้เธอนั่งพาดตะแคงข้างอยู่บนตักแกร่งของเขา ธีรพัฒน์รู้สึกว่าเธอดูตัวเล็กและบอบบางกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก เมื่อนั่งอยู่บนขาของเขาแบบนี้
“นี่! ปล่อยแพรนะคะคุณธีร์” คนตัวเล็กโวยวาย พยายามดิ้นรนใช้แขนข้างขวาดันอกแกร่งของชายหนุ่มไม่ให้ใกล้ชิดเธอมาก
“ไม่ปล่อย! เพื่อนที่มาน่ะ ผู้หญิงหรือผู้ชายเธอยังไม่ตอบฉันเลยนะ” คนตัวใหญ่เอ่ยถามพร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
หญิงสาวยังคงดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของชายหนุ่ม แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะเธอแขนเจ็บ
“โทรกลับไปบอกมันซะว่าไม่ต้องมา เพราะเธอมีแขก” เสียงเข้มบอกออกไปอย่างคนเอาแต่ใจ นึกโมโหที่หญิงสาวพยายามจะไล่เขาเพื่อรอผู้ชายอีกคน
“ไม่! แพรจะฟ้องคุณท่าน ว่าคุณธีร์... อะ...” น้ำเสียงของหญิงสาวกลืนหายเข้าไปในลำคอทันทีที่ปากหนาของชายหนุ่มเข้าประกบปิดริมฝีปากบางของเธออย่างไม่ทันตั้งตัว
“อื้อ...” แพรวาพยายามผลักดันอกแกร่งชายหนุ่มด้วยเรี่ยวแรงที่มีอันน้อยนิด เพียงไม่นานก็ต้องอ่อนยวบให้กับผู้มากประสบการณ์อย่างเขา ปากหนาที่ครอบครองขบเม้นอย่างรุนแรงในคราแรก และค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนนุ่มนวลแต่เรียกร้องโหยหาการตอบสนองจากหญิงสาว ลิ้นหนาแทรกเข้าไปในโพรงปากเล็กเพื่อลิ้มลองความหวานที่ชวนให้หลงใหลอย่างที่ไม่เคยพานพบจากหญิงใดมาก่อน ชายหนุ่มส่งปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดไล่ต้อนลิ้นเล็กๆ ของเธอที่คอยหนีการดูดดึงจากเขาอย่างน่าโมโห เมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดดิ้นขลุกขลักเหมือนกำลังขาดอากาศหายใจ ชายหนุ่มจึงปล่อยริมฝีปากบางให้เป็นอิสระอย่างแสนเสียดาย
“หวานเหลือเกิน” คนเอาแต่ใจกระซิบที่ข้างหูหญิงสาวในอ้อมกอดพร้อมกับหอมแก้มนวลที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าอย่างนึกมันเขี้ยวอีกหนึ่งฟอด
“เอาซี้... ทีนี้เธอจะฟ้องแม่ฉันว่าอะไร จะบอกว่าฉันจูบเธอหรือกอดเธอดีล่ะ” ชายหนุ่มบอกหญิงสาวอย่างยียวน ทำให้คนที่กำลังตัวสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้น และตกใจที่เธอเสียจูบแรกให้กับชายในฝันอย่างไม่ทันตั้งตัวตื่นภวังค์
เพียะ!...
ฝ่ามือบางฟาดลงที่แก้มสากทันทีที่หญิงสาวตั้งสติได้ แล้วขยับตัวลุกขึ้นจากตักของชายหนุ่มทันที
“เธอกล้าตบหน้าฉันเหรอ... แพรวา!” ธีรพัฒน์สะบัดตัวลุกขึ้น ดวงตาคู่คมมองหญิงสาวด้วยความเกรี้ยวกราด มือหนาคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนกลมกลึงบอบบางของหญิงสาวก่อนจะกระชากเข้ามาปะทะอกแกร่งอย่างรวดเร็ว และไม่รอให้หญิงสาวได้เอ่ยประท้วงใดๆ ทั้งสิ้น ชายหนุ่มก้มลงส่งเรียวปากแข็งแรงเข้าบดเบียดริมฝีปากของคนตัวเล็กทันทีเพื่อต้องการจะสั่งสอน ทั้งบดขยี้ ขบกัดรุนแรง ไม่มีความอ่อนโยนเหมือนในครั้งแรก ทำให้คนตัวเล็กเจ็บจนน้ำตาซึมก่อนจะเอ่อล้นเต็มขอบตาและไหลลงมาที่พวงแก้มสวย
ธีรพัฒน์เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำใสๆ ที่อาบบนแก้มนวลของหญิงสาว เขาจึงถอนริมฝีปากออกแล้วปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระจากวงแขนแกร่งทันที
“ฮึ! ทำอย่างกับไม่เคย” คนขี้โมโหไม่วายพ่นวาจาร้ายๆ ใส่หญิงสาวตรงหน้าให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจอีกหน
แพรวาเงยหน้าขึ้นสบตาคมของชายหนุ่มแน่นิ่ง มือบางกำเข้าหากันแน่นด้วยความโกรธ พร้อมทั้งง้างฝ่ามือออกไปหมายจะตบคนปากร้ายอีกครั้ง แต่โดนชายหนุ่มคว้ามือเล็กไว้ได้ทัน ทำให้ฝ่ามือของเธอไม่กระทบแก้มสากอย่างตั้งใจ
“อย่าได้คิดจะตบฉันอีกแพรวา ไม่งั้นเรื่องไม่จบแค่จูบแน่” ว่าจบคนใจร้ายก็สะบัดมือออกจากหญิงสาว แล้วตรงเข้าไปคว้าเสื้อสูทที่ถอดวางเอาไว้ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องด้วยความไม่พอใจ ทิ้งให้หญิงสาวยืนคว้างอยู่กลางห้องด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งเสียใจ เจ็บปวด เครียดแค้นชิงชังที่ชายหนุ่มดูถูกเหยียบย่ำเธออย่างไร้ศักดิ์ศรี
คนที่รีบไปทำงานด่วนของตัวเอง เมื่อเสร็จงานสำคัญก็รีบตรงไปหาหญิงสาวในดวงใจทันที
ทินกรพารถของตัวเองมาจอดยังคอนโดของหญิงสาวฝั่งด้านข้างของประตูทางเข้าล็อบบี้ กำลังจะหยิบโทรศัพท์หมายจะกดโทรหาคนที่เขาคิดถึงและเป็นห่วง พลันสายตาคมเหลือบไปเห็นเพื่อนรักที่ดูเหมือนจะกลายเป็นเพื่อนแค้นของเขาไปเสียแล้วตอนนี้ กำลังเดินออกมาจากคอนโดของหญิงสาวในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผมเผ้ายุ่งเหยิง เหงื่อแตกโทรมกาย จะเรียกว่าหมดสภาพเลยก็ว่าได้
ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจดวงแกร่งของทินกรกระตุกวูบชาดิกด้วยความเจ็บปวด ไม่คิดว่าเพื่อนรักกับคนที่เขาหมายปองจะลงเอยแบบนี้ ‘ไอ้เพื่อนระยำ ไอ้เพื่อนเลว แกทำอย่างนี้ได้ยังไง’ ทินกรสบถออกมาอย่างเจ็บปวด สองมือกำเข้าหากันแน่นไม่รู้จะลงที่ตรงไหนให้มันสาแก่ใจที่มันเจ็บช้ำปวดหนึบอยู่ตอนนี้ เมื่อสภาพของจิตใจไม่พร้อมที่จะพบหญิงสาว เขาจึงเลือกที่จะขับรถออกไปจากที่นี่เพื่อตรงกลับบ้านทันทีด้วยหัวใจที่ปวดร้าว
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
^_^
สนใจสั่งซื้อนิยายเรื่องนี้ในแบบรูปเล่ม ติดต่อผู้แต่งโดยตรงได้ที่
E-mail : oilza24@hotmail.com
โทร/ไลน์ : 094-4942566
หรือสนใจในรูปแบบ E-Book สามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่
www.chalawanhunsa.com หรือ
www.nongoil.com
สุภาวดี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.ย. 2557, 21:59:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.ย. 2557, 22:18:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 1266
<< ตอนที่ 5 มารผจญ | ตอนที่ 7 สารภาพปรับความเข้าใจ >> |