อธิฐานรักข้ามภพ
เรื่องย่อบุพเพอาละวาดข้ามภพ (อธิฐานรักข้ามภพ)
ผู้แต่ง : อัปสรา

“วิลันดา ”หญิงสาวสวยผู้มีรูปร่างอรชร ใบหน้าอ่อนหวานดุจนางในวรรณคดี เธอต้องเจอมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิตเมื่อ ชัชวาล คนรักซึ่งวางแผนกำลังจะแต่งงานกัน แอบปันใจให้กับสาวในที่ทำงานเดียวกัน เธอจึงพาหัวใจอันบอบช้ำไปยัง “โบสถ์ปรกโพธิ์ “และอธิฐานจิตต่อหน้าองค์หลวงพ่อนิลมณีอันศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ได้พบกับคู่แท้ และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น “ขุนไกร” ทหารกล้าแห่งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ด้วยบุปเพสันนิวาส หรือบุปเพอาละวาดก็ไม่รู้ เขาพลัดหลงยุคมาพบกับเธอ เธอจึงจำเป็นต้องรับภาระดูแลเขา จนกว่าจะหาวิธีส่งเขากลับไปสู่ยุคกรุงธนบุรี เพียงเวลาไม่นานความรักเริ่มก่อตัวขึ้นแต่มิมีใครยอมพูดออกมา ปู่เจ้าแนะนำวิธีส่งขุนไกรกลับไปในคืนพระจันทร์เต็มดวงและนั่นเองทำให้ชีวิตของหล่อนเปลี่ยนไปตลอดกาล เธอได้หลุดเข้าไปในยุคกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร และได้พบกับ “จมื่นราชภักดี” หรือพ่อเพ็ง เขาตกหลุมรักแม่หญิงวิลันดาตั้งแต่แรกพบและเข้าใจผิดคิดว่าเป็นน้องสาวของขุนไกร ขุนไกรพาวิลันดาไปฝากไว้ที่คุ้มพระยามิตรไมตรี พ่อของเขา และขุนท้าวเฟื่องแม่ของขุนไกรรักใคร่เอ็นดูเธอมาก
ขุนไกรเคยช่วยยะโมหนั่ย สาวพม่าตาคมที่มีเชื้อไทยอยู่ครึ่งหนึ่งเธอเป็นกองสอดแนมฝีมือฉกาจที่พม่าส่งมาสอดส่องหาความเคลื่อนไหว ขุนไกรได้ช่วยเธอไว้จากการถูกงูกัดเธอตกหลุมรักเขาทันทีทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้และไม่ได้คิดหวังจะครองคู่ขอเพียงได้รักเขาเท่านั้น นั่นสร้างความไม่พอใจกับโบ๊ด๊ะฮูศิษย์ผู้พี่เป็นอันมากที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเธอ มีหญิงสาวมากมายมาหลงรักขุนไกรรวมถึงแม่ชบาลูกครึ่งแขกตาคมที่มีแม่เป็นอนุและร่วมพ่อเดียวกับขุนศรีเพื่อนรักของขุนไกรแต่ก็ไม่มีใครที่จะพิชิตใจขุนไกรได้สักคน
ระหว่างที่ขุนไกรอยู่ที่คุ้มจมื่นราชภักดีมาที่เรือนบ่อยครั้ง สร้างความไม่พอใจให้ขุนไกรเป็นอันมากเพราะเริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าหลงรักแม่หญิงวิลันดาจนหมดหัวใจ แต่แม่หญิงวิลันดาปากหนักไม่ยอมรับรักขุนไกร เขาจึงรุกหล่อนหนักจนทั้งคู่ยอมสารภาพรักต่อกัน ขุนไกรตั้งใจให้เสร็จศึกจากค่ายบางกุ้งจะให้แม่ไปขอยกเลิกการหมั้นหมายแก่แม่ดาวเรืองเพราะเขาไม่เคยมีใจให้นาง ขุนท้าวเฟื่องยอมตามใจเพราะรู้ว่าขุนไกรแต่งกับแม่หญิงดาวเรืองไปก็คงไม่มีความสุข
แต่เมื่อมีคนรักย่อมมีคนเกลียดชังเช่นกัน “แม่หญิงดาวเรือง” คู่หมั้นคู่หมายของขุนไกร ซึ่งแม่ของขุนไกรเคยหมั้นหมายนางไว้ให้ เพราะคิดว่านางเป็นหญิงที่ดีมีคุณสมบัติเพียบพร้อม หล่อนสงสัยในตัวแม่หญิงวิลันดาจนให้บ่าวคนสนิทไปสืบและรู้ว่ามิใช่หลานขุนท้าวเฟื่องจึงหาทางกำจัดนาง ปุโรหิตศรีวิชัยได้มาที่คุ้มเล่าถึงอดีตชาติของวิลันดาให้ฟังและเขาคอยช่วยหล่อนในหลายเรื่องเพราะที่แท้แล้วเขาเคยเป็นบิดาของหล่อนในอดีตชาติสมัยทวารวดี
ในระหว่างที่ขุนไกรต้องกลับไปฝึกซ้อมให้ทหารที่ค่ายจีนบางกุ้งยะโมหน่าย สายลับสาวของพม่าที่มีเลือดไทยอยู่ครึ่งหนึ่งและขุนไกรได้เคยช่วยชีวิตเอาไว้หล่อนหลงรักขุนไกร ได้มาเตือนไม่ให้ขุนไกรกลับไปที่ค่ายบางกุ้งแต่ขุนไกรไม่เชื่อเขาไม่คิดหนีเอาตัวรอดละทิ้งพี่น้องร่วมชาติ
ส่วนแม่หญิงดาวเรืองนำผงเสน่ห์จันทร์ ซึ่งเป็นยาปลุกกำหนัดชนิดหนึ่งมาให้จมื่นราชภักดี แต่เขาปฎิเสธน้องสาวไม่ยอมใช้วิธีสกปรกเช่นนั้นกับแม่หญิงวิลันดาเพราะเขาอยากได้หัวใจของนางมากกว่า แม่หญิงดาวเรืองจึงวางแผนกับบ่าวคนสนิทชวนพี่ชายและแม่หญิงวิลันดาไปชมผ้าที่ตลาดท่าจันทร์หวังให้วิลันดาต้องอับอายและรีบแต่งงานกับพี่ชายของนาง แต่บ่าวทีใช้ให้วางยากับหยิบยานอนหลับไปใส่แทนทำให้จมื่นราชภักดีมิได้ทำอะไรกับแม่หญิงวิลันดา ขุนท้าวเฟื่องและบ่าวไพร่ตามหาแม่หญิงและจมื่นราชภักดี
และมาพบในสภาพที่คิดเป็นอื่นไม่ได้ จมื่นราชภักดีรู้ว่าเขาโดนน้องสาววางแผนจัดฉาก แต่หากเขาไม่ยอมรับก็กลัวแม่หญิงวิลันดาจะเสียหายจึงยอมรับผิดเสียเอง ขุนไกลขอลาราชการกลับมาและตามไปจนพบภาพบาดตาบาดใจขาแทบจะฆ่าจมื่นราชภักดีให้ตายต่อหน้า แต่เชื่อมั่นในตัวแม่หญิงวิลันดาว่านางมิรู้เรื่องนี้ด้วย เขาเข้าใจผิดว่าจมื่นราชภักดีวางยานางและมิคิดรังเกียจในตัวแม่หญิงสักน้อยนิด
จมื่นราชภักดีให้พระยาสีหเดโชมาสู่ขอแม่หญิงวิลันดากับขุนท้าวเฟื่องและพระยามิตรไมตรีท่ามกลางความยินดีของแม่หญิงดาวเรืองคิดว่าจะหมดเสี้ยนหนาม แต่ขุนไกรโวยวายมิยอมให้แม่ยกให้เขาบอกแก่ทุกคนว่าหากแม่ยกให้ตัวเขาก็ต้องคงชิงแม่หญิงวิลันดาคืนมา วิลันดาไม่อยากให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคุ้มบาดหมางกันเพราะเรืองของเธอ จึงยอมตกลงแต่งงานกันโดยบอกว่าตนเองมีใจให้แก่จมื่นราชภักดี ขุนไกรเสียใจมากกลับไปที่ค่ายบางกุ้งแต่รับปากจะกลับมาให้ทันงานแต่งแม่หญิงวิลันดากับจมื่นราชภักดี ระหว่างทางพบคนถูกทำร้ายที่แท้คือยายแดงเจ้าของเพิงพักวันนั้นที่แม่หญิงดาวเรืองบังคับให้ช่วยเหลือในแผนการครั้งนั้น นางซึ้งในน้ำใจของขุนไกรจึงเล่าเรื่องราวที่แม่หญิงดาวเรืองเป็นผู้วางแผนทั้งหมดให้ขุนไกรฟัง ขุนไกรพานางแดงไปที่งานแต่งเขาไม่ยอมเสียแม่หญิงยายแดงเล่าความจริงให้ทุกคนฟัง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายโกรธแม่หญิงดาวเรืองมากจึงตำหนินงอย่างมิไว้หน้า ขุนไกรก็มิไยดีนาง แทนที่แม่หญิงดาวเรืองจะสำนึกในความผิด นางกับแค้นแม่หญิงวิลันดามากขึ้นและรู้ว่านางคงจะไม่มีทางได้หัวใจของขุนไกรเป็นแน่ จึงหยิบมีดสำหรับเจียนหมากพลูที่อยู่ในงาน แทงเข้าหมายจะให้ทิ่มแทงเข้าที่ขั้วหัวใจแม่หญิงวิลันดา แต่ด้วยความรักจมื่นราชภักดีเอาร่างเขาเข้ามาขวางไว้มีดของแม่หญิงดาวเรืองปักเข้าที่ร่างของเขางานมงคลจึงถูกเลื่อนออกไป จมื่นราชภักดีเป็นผู้ชายแม้นจะรักแม่หญิงมากเพียงไรแต่ก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจว่านางกับขุนไกรรักกันมากเขาจึงยอมยกเลิกงานแต่งงาน ส่วนแม่หญิงดาวเรืองทำชั่วไว้มากกรรมจึงสนองนาง นางเสียใจมากจึงหยิบขวดยาขึ้นมาหารู้ไม่ว่ายาขวดนั้นมิใช่ขวดยานอนหลับ กับเป็นผงว่านเสน่ห์จันทร์ซึ่งเป็นยาปลุกกำหนัด ยังโชคดีที่ผู้ชายที่พบนางในคืนนั้นคือขุนศรีซึ่งแอบมีใจให้นางทั้งสองจึงตกเป็นของกันและกัน ส่วนขุนไกรหลังจากเสร็จศึกที่ค่ายบางกุ้งและได้รับชัยชนะกลับมาเขาและแม่หญิงวิลันดาตัดสินใจแต่งงานกัน แม้นว่าประตูกาลเวลาจะให้โอกาสแม่หญิงวิลันดาได้เลือกอีกครั้ง แต่เธอเลือกที่จะอยู่เคียงข้างขุนไกรอยู่ที่กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรแม้นภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้นกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร จะไม่ได้มีอายุที่ยืนยาวนับร้อยปี แต่ความรักของขุนไกรและวินดากลับยืนยาวไปชั่วกัลปวสาน

+++++++++++++++++++++++++++++++

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3


ตอนที่3
ณ. กรุงธนบุรี เรือนของพระยามิตรไมตรีซึ่งสร้างจ้ากไม้สักทองทั้งหลังอย่างสวยงามสมเป็นเรือนของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ยามนี้ ขุนท้าวเฟื่องเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ ด้วยอาการร้อนลุ่มกลุ้มใจ เพราะขุนไกรบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านแจ้งข่าวมาว่าจะกลับเรือนมาตั้งแต่วันมะรืน นี่ก็ล่วงมาหลายวันด้วยกันแล้วแต่ยังไม่มีข่าวใดส่งมาจากลูกชายของนางอีกเลย อาหารคาวหวานที่จัดไว้อย่างพิถีพิถันเตรียมต้อนรับการกลับมาของบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนจึงต้องตกเป็นลาภปากของบรรดาบ่าวไพร่มาหลายมื้อแล้ว
ขุนท้าวทรุดกายลงนั่งตรงตั่งไม้สักทองตัวเดิม ที่มักจะใช้นั่งนอนเล่นเสมอ โดยมีบ่าวไพร่วัยแรกรุ่นหน้าตาหมดจดหลายคนกำลังนั่งกรองมาลัยสำหรับบูชาพระ

“พ่อขุนหนาพ่อขุนหายไปไหนหนาลูก รู้รึไม่แม้คนนี้รอคอยเจ้าด้วยความเป็นห่วง”ใบหน้าที่ยังคงงดงามแม้จะผ่านวัยสาวมาเนิ่นนานปรายตามองไปยังบ่าวสาวคนสนิท

“นังขมิ้น เอ็งไปตามขุนศรีเกลอรักของพ่อขุนลูกชาขเรามาทีเถิด เราจักได้ถามจากขุนศรีว่าพ่อขุนติดงานอันใดถึงยังมิได้กลับคุ้มอีก เราห่วงกลัวจักเกิดเหตุร้ายกับพ่อขุนนัก”คนเป็นแม่นั้นไม่มีห่วงอะไรเท่ากับการห่วงลูกผัวกลัวว่าจะได้รับอันตรายนางจึงใจเย็นอยู่ไม่ได้

“เจ้าค่ะ บ่าวจักรีบเดินทางไปเจ้าค่ะ”กิริยานั้นดูรีบเร่งทำตามคำสั่งจนดูเหมือนจะลนลาน แต่เมื่อบ่าวสาวรับใช้ลงเรือนไปได้ยังไม่ยังมิพ้นเรือน ก็กลับหมอบคลานเข้ามาแจ้งข่าวกับขุนท้าวเฟื่อง

“คงมิต้องไปตามแล้วเจ้าค่ะขุนเท้าเจ้าขา” ขุนท้าวเฟื่องทำสีหน้าฉงน

“มีเหตุอันใดรึนังขมิ้น เอ็งจึงมิทำตามคำสั่งของข้า” ขุนท้าวเอ่ยถามทั้งที่นางร้อนใจแต่นังขมิ้นกลับขึ้นมาบอกว่าไม่ต้องไป หรือว่า...พลางรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้า “พ่อขุนกลับมาถึงเรือนแล้วรึ”
“มิใช่เจ้าค่ะ แต่ท่านขุนศรี กับแม่หญิงชบาน้องสาว กำลังขึ้นเรือนมาเจ้าค่ะ”ขมิ้นเองก็ดีใจจนออกนอกหน้าที่จะได้รู้ข่าวนายหนุ่มที่ตนเองเฝ้ารอคอยรับใช้อยู่ทุกลมหายใจ

“เยี่ยงนั้นเอง” สีหน้าของขุนเท้าเฟื่องดูสดชื่นขึ้นในทันที “เอ็งรีบไปจัดของว่างมาบัดเดี๋ยวนี้”

“เจ้าค่ะ” บ่าวสาวคนสวยของขุนท้าวเฟื่อง รีบทำตามคำสั่งนายของตน เพื่อจะได้รีบกลับมาฟังข่าวว่าขุนศรีมีอะไรมารายงานขุนท้าว

“พวกเอ็งไปกับข้า” นังขมิ้นเรียกบ่าวสาวอีกสองคนที่กำลังเด็ดกลีบดอกไม้สำหรับใช้กรองมาลัย รีบลามือและตามไปช่วยนาง ใครก็รู้ว่านังขมิ้นเป็นบ่าวคนสนิทของขุนท้าวเฟื่อง ในบ่าวไพร่ด้วยกันไม่มีใครกล้าขัดใจนาง แต่จะมีคู่ปรับก็คือนังมะลิ บ่าวสนิทอีกคนของขุนท้าวเฟื่อง นังขมิ้นหวังว่าหากสักวันหนึ่งหล่อนมีบุญได้เป็นเมียของขุนไกร แม้นจะได้เป็นเพียงเมียบ่าว ไม่ใช่เมียแต่งก็นับว่ามีวาสนามากแล้วการได้เป็นบ่าวใกล้ชิดของขุนเท้าจึงทำให้หล่อนสามารถที่จะขึ้นลงบนเรื่อนได้ ผิดจากบ่าวไพร่หญิงคนอื่น และจะได้ใกล้ชิดขุนไกรยามที่ท่านมาเยือนคุ้ม เพราะฉะนั้นหล่อนจึงไม่ยอมตกลงปงใจไปกับบ่าวหนุ่มหลายคนที่คิดหมายปอง

ชายรูปร่างสูงใหญ่เยี่ยงนักรบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีแบบลูกผู้มีอันจะกิน เดินเคียงมาพร้อมกับแม่ชบาน้องสาวต่างมารดา ผู้มีใบหน้าคมสวย ตาของหล่อนกลมโตเหมือนลูกแขกขนตายาวดำสนิทงอนเชิดขึ้นเรียงกันเป็นแพ งามผิดกับหญิงสาวชาวสยามทั่วไป นั่นเป็นเพราะแม่หญิงชบามีแม่เป็นแขกเปอร์เซีย ซึ่งเป็นอนุของพระยาราชศักดิ์ ถึงแม้แม่หญิงชบาจะเป็นน้องต่างมารดาที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าขุนศรีซึ่งเป็นเมียเอกมากนัก แต่เขาก็รักน้องสาวคนนี้มากเพราะสงสารที่นางอาภัพแม่ของนางตายไปตั้งแต่ยังเยาว์ เรื่องของแม่นางนั้นถูกปิดเป็นความลับไม่มีใครกล้าพูดถึงมากนักจนบางคนลืมเลือนไป

“ขุนศรี ป้ากำลังจักให้นังขมิ้นมันไปตามหลาน ดีเสียว่าพ่อขุนมาเยือนพอดิบพอดี”

ขุนศรี และแม่ชบารีบไหว้ขุนท้าวเฟื่องอย่างนอบน้อมตามกิริยาของผู้ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี ขุนท้าวเฟื่องรับไหว้ด้วยรอยยิ้ม และมีความหวังว่าจะได้รับรู้เรื่องราวของบุตรชายที่ยังกลับมามิถึงคุ้ม

“ท่านป้าคงมิว่ากระมังหากหลานจักมาชวนขุนไกร เข้าไปเที่ยวที่พระนครเสียหน่อย พอดีแม่ชบาน้องสาวอยากจักไปซื้อเสื้อผ้าแพรไหมหนาขอรับ”

สีหน้าของขุนท้าวเฟื่องดูหม่นลงทันที “ป้าคิดจักถามพ่อขุนศรีอยู่พอดีว่าพบขุนไกรบ้างรึไม่ ป่านนี้แล้วล่วงมาหลายเพลาพ่อขุนยังมิกลับถึงเรือนเลยหนา” ความหวังเมื่อครู่นั้นเลือนหายไปเพราะขุนศรีเองก็คงคิดว่าขุนไกรคงจะพักอยู่ที่เรือน

สีหน้าของขุนศรีเปลี่ยนไป เขาและขุนไกรได้ลาราชการกลับมาเยี่ยมบ้าน ก่อนแยกจากขุนไกร เขาและเกลอรักได้นัดหมายกันว่าจะมาเจอกันที่คุ้ม ขุนไกรแจ้งแก่เขาว่าจักเข้าไปสำรวจที่ค่ายบางกุ้งก่อนจักเดินทางกลับ บัดนี้แล้วยังมกลับมารึว่ามีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้น ส่วนแม่ชบานั้นมีแววผิดหวังปรากฏบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัดหล่อนอุตสาห์ออกอุบายให้ขุนศรีพาไปซื้อผ้าที่พระนคร และได้บอกพี่ชายให้ชวนเกลอรักไปด้วยกัน หวังจะได้เจอหน้าชายที่ตนแอบหลงรักถึงแม้เขาจะมีคู่หมายแล้วก็ตามทีแต่ก็ต้องได้รับความผิดหวังกลับไป นังขมิ้นที่กำลังจัดถาดขนมหวานเพื่อมารับรองแขกก็ต้องชะงักมือและเงี่ยหูฟังทันทีความผิดหวังปรากฎเป็นริ้วรอยบนใบหน้า

“ขุนไกรยังมามิถึงอีกรึนี่ ครั้งสุดท้ายก่อนแยกจากกันขุนไกรบอกหลานว่าจักเข้าไปที่ค่ายก่อนขอรับ” เมื่อรู้ว่าเพื่อนรักยังกลับมาไม่ถึงเขาเองก็อดจะห่วงไม่ได้

“ป้าร้อนใจนัก มิมีข่าวคราวอันใดส่งมาแจ้งแก่ป้าด้วย พ่อขุนจักเป็นอันใดรึไม่”

“ขุนไกรมีฝีมือเก่งฉกาจนัก ทั้งเป็นครูฝึกทหารกล้าท่านป้ามิต้องเป็นห่วงไปดอก เพียงแต่คงจักมีเรื่องอันใดสำคัญจึงยังมิได้กลับมาในเพลานี้ หากวันมะรืนยังมิกลับหลานเองจักกลับไปดูที่ค่าย”

“ถ้าเจ้าว่าเยี่ยงนั้นป้าก็สบายใจขึ้นมาก” ขุนท้าวเฟื่องค่อยๆผ่อนลมหายใจ ขุนศรีกับขุนไกรเป็นเพื่อนรักกันมานาน นางเชื่อว่าหากขุนไกรยังมิกลับมาขุนศรีจักต้องไปตามขุนไกรจนเจออย่างแน่นอน ยามนี่ท่านเจ้าพระยามิตรไมตรีก็ไปราชการที่หัวเมืองนางจึงเคว้งคว้างถ้าได้ขุนศรีตามข่าวขุนไกรให้ก็คงจักเบาใจได้มาก
เมื่อคลายความกังวลเรื่องขุนไกรลงบ้างแล้ว ขุนท้าวจึงหันมาสนใจแขก แลเริ่มชวนสนทนาภาษาคนรู้จักกันซึ่งท่านเคยเห็นขุนศรีแลแม่ชบามาตั้งแต่ยังเล็กๆ ยังใส่จับปิ้งวิ่งเล่นกระโดดน้ำกับขุนไกรลูกท่าน

“แม่หญิงชบานี่เจ้ายิ่งโตก็ยิ่งงามนัก” ขุนท้าวเฟื่องเอ่ยชมด้วยความจริงใจ กิริยาของนางก็ดูเรียบร้อยดี นางยังเคยคิดจะไปทาบทามแม่หญิงมาเป็นสะใภ้เสียแต่ว่า ท่านพระยามิตรไมตรีได้ทาบทามแม่หญิงดาวเรืองบุตรีของท่านเจ้าพระยาสีหกเดโชไว้ก่อนแล้วแต่วาวตาสาวใช้คนสวยของขุนท้าวเฟื่องเหลือบมองไปยังใบหน้าสวยคมและก้มลงเหยียดริมฝีปากแต่กิริยานั้นไม่มีใครเห็นนอกเสียจากแม่หญิงชบาผู้เดียว

แม่หญิงชบาเอียงอายต่อคำชมของขุนท้าว “หลานมิทราบว่าท่านป้าสบายดีรึไม่เจ้าค่ะ ได้ข่าวมาว่าในวังช่วงนี้ก็วุ่นวายมิใช่น้อย”

“เจ้านี่หูตาไว แม้นมิได้อยู่ในเวียงวังรับใช้ใกล้ชิดก็ยังล่วงรู้ความใน”

“หลานทราบข่าวจากท่านพ่อเจ้าค่ะ”

เฮ้อ... “ยามนี้ในวังก็วุ่นวายไม่แพ้กัน ทั้งแก่งแย่งชิงดีกันไม่เว้นแต่ละวัน.”
“เจ้าเองมิคิดถวายตัวเป็นนางกำนัลตำหนักใดตำหนักหนึ่งบ้างรึแม่หญิงชบา”กิริยาแช่มช้อย เรียบร้อยอีกทั้งนางเคยได้ข่าวว่าแม่ชบาก็เก่งเรื่องการบ้านการเมืองจึงไม่ใช่ปัญหาหากนางคิดจะถวายตัวเป็นนางพระกำนัล

“หลานมิอยากจักเข้าวังเจ้าค่ะ หลานอยากดูแลท่านพ่อ”หล่อนรู้ตัวหากไปอยู่ในวังฐานะต่ำต้อยลูกอนุอย่างหล่อนคงจักถูกรังเกียจ คงไม่มีชาววังคนใดอยากจะคบค้าสมาคมด้วยเป็นแน่ เพราะนางกำนัลที่เข้ารับการถวายตัวรับใช้ในวังนั้นล้วนมาจากลูกเจ้าขุนมูลนายด้วยกันทั้งนั้นคงจะดูถูกลูกเมียรออย่างหล่อน

“แล้วนี่พ่อขุนศรี ถ้าเกิดพ่อขุนอยู่คงจักชวนกันไปเที่ยวชมพระนคร แลกินเหล้าจนเมาใช่รึไม่”ขุนท้าวเฟื่องถามอย่างรู้ทันเพราะรู้ดีว่าขุนศรีเป็นคนที่ติดทั้งสุรานารี แต่ก็มีข้อดีคือเป็นคนรักเพื่อนอย่างจริงใจ ซึ่งขุนท้าวพอจะมองออก

“ท่านป้ารู้ทันหลานไปหมดหนาขอรับ” ขุนศรียิ้มเก้อๆ “เสียดายที่วันนี้เกลอรักยังมิได้กลับมาถึง มิเยี่ยงนั้นแล้วคงจักได้พาไปชมสาวๆในพระนครเสียหน่อย” โดยมิได้มองว่าแม่หญิงชบาน้องสาวส่งสายตาค้อนเขาทีหนึ่ง

“พ่อศรีเองก็น่าจะออกเย้าออกเรือนได้แล้วยังมิคิดแต่งเมียอีกรึพ่อ” ผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนตักเตือนด้วยความหวังดี

แม่หญิงชบาเบิกตากว้างขึ้นขนตางอนงามนั้นทำให้นังขมิ้นบ่าวคนสวยรู้สึกอิจฉา “พี่ศรีบอกหลานว่าเนื้อคู่ยังมิเกิด จักขอจีบสาวไปเรื่อยๆเยี่ยงนี้เจ้าค่ะ” แม่หญิงชบาชิงตอบเสียก่อน

“ระวังเถิดหนาเจ้าชู้ประตูดิน อย่างนี้โบราณเขาว่าจักได้เมียดุ แต่งงานแล้วจักกลัวเมีย” ขุนศรีเองก็ใช้ชีวิตอย่างชายโสด เขามีนางเล็กๆ อยู่หลายคนแต่ไม่คิดจะแต่งนางใดขึ้นมาเป็นเมียเอกสักคน

หลังจากสนทนากันได้สักพักหนึ่ง ตามประสาคนสูงวัยกับหนุ่มสาวรุ่น ย่อมไม่มีเรื่องอะไรคุยกันได้นานนัก ขุนศรีกับน้องสาวจึงได้กราบลาขุนท้าวเฟื่อง ท่ามกลางความรู้สึกผิดหวังของแม่หญิงชบาที่ไม่ได้เจอหน้าคนที่หล่อนรอคอย

+++++++++++++++++++++
กรุงเทพฯ

ขุนไกรมองดูอาหารบนโต๊ะที่วิลันดาตื่นขึ้นมาทำห้เขาในเช้าวันนี้ เขาเองรู้สึกหิวจนท้องร้องแต่ยังไม่รู้จะจัดการกับอาหารหน้าตาแปลกๆตรงหน้าย่างไรดี

ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปหยิบอาหารจากจานเมลามีนใบใสวยขึ้นมาตามความเคยชิน

อ่ะ! “นี่คุณ” เสียงหวานใสร้องขึ้นเมื่อเห็นเขาจะทานอาหารด้วยมือเปล่า

เพียะ! หล่อนตีมือเขาเบาๆเมื่อเห็นเขาใช้มือหยิบหมูแฮมฉีกออกและส่งเข้าปาก

“เขาใช้ช้อนส้อมและมีดทำแบบนี้” หล่อนทำตัวอย่างให้เขาดูใช้มีดเฉือนไส้กรอกไข่ดาวออกเป็นชิ้นเล็กและใช้ส้อมจิ้มส่งเข้าไปที่ปากอิ่มสีชมพูระเรื่อ

“สมัยคุณทำไมไม่ยุ่งยากนักนะ” เขาบ่นอุบอย่างขัดใจ พลางมองหญิงสาวรับประทานอาหารคำน้อยๆนั่นอย่างขัดใจ

“ก็ถ้าเกิดคุณขืนไปทำอย่างนี้ให้คนอื่นเห็นเขาก็ต้องมองคุณแปลกๆนั่นแหละ” เพราะวันนี้หล่อนตั้งใจจะพาเขาไปสื้อเสื้อผ้ากลัวว่าเขาจะไปทำแบบนี้นอกบ้าน

ขุนไกรจึงมองไปยังมีดสำหรับหั่นอาหารเงาวาววับกับช่อนส้อมที่วางอยู่ข้างจาน เขาหยิบมันขึ้นมาและทำเลียนแบบหล่อน

วิลันดานึกขำแต่ไม่กล้าหัวเราะกับท่าทางรับประทานอาหารของเขา “สำหรับอะไรที่พึ่งจะหัดครั้งแรกก็อย่างนี้แหละค่ะ”หล่อนหมายถึงการที่เขาหัดใช้มีดและส้อม

“แล้วครั้งแรกของคุณล่ะเป็นอย่างไรบ้าง ยากไหมครับ” เขาถามหล่อนหน้าตาเฉยอย่างไม่ได้คิดอะไร

แต่หญิงสาวกับหน้าร้อนผ่าวคิดไปไกลคนละเรื่องเดียวกัน“นี่คุณไกร ฉันจะเตือนอะไรให้วันหลังคุณอย่ามาถามผู้หญิงแบบนี้อีกนะคะ”

“ทำไมหรือครับ ผมพูดอะไรผิดไปแค่คิดว่าตอนคุณหัดใช้มัน” เขามองไปที่ส้อมและมีด “มันจะยากไหม”

วิลันดามีสีหน้าเก้อพลางคิดต่อว่าตนเองในใจว่ากำลังคิดอะไรอยู่

หล่อนมองเขายามใส่ชุดเหมือนคนปรกติในยุคนี้เขาดูหล่อเท่ห์ไม่เบาเลยถ้าไม่ติด คำพูดแปล่งหู กับท่าทีแปลกๆ เสื้อเชิ้ตและกางเกงแสลคของพ่อหล่อนเขาก็ใส่มันได้อย่างพอดิบพอดีเพราะรูปร่างที่ใกล้เคียงกัน นี่ดีนะที่หล่อนเองมีรูปร่างบางเหมือนแม่ไม่เช่นนั้นคงจะต้องกลุ้มใจอย่างแน่นอน
ทั้งคู่นั่งทานอาหารของตนเองไปเรื่อยๆจนวิลันดาเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อน

“คุณยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังเลยค่ะ ว่าคุณมาสำรวจอะไรที่โบสถ์ปรกโพธ์นั่นจนทำให้ต้องหลงมายุคนี้ได้”

หากไม่ได้พบเจอด้วยตนเองแล้วหล่อนคงไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ แต่ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มหล่อล่ำที่มีอายุอานามแก่กว่าหล่อนราวๆ 200กว่าปีกำลังนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกับหล่อนอยู่

“เรากำลังรวบรวมกำลังไพล่พลทหารไทย-จีนตั้งค่ายใหม่อีกครั้งหลังจากค่ายบางกุ้งนี้ล้างไปพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต เจ้าเมืองเวียงจันทร์ที่ฝักใฝ่อยู่กับพม่าได้ไปทูลยุแหย่ เเจ้ากรุงอังวะ ว่าบัดนี้ว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ตั้งตนเป็นใหญ่ เจ้ากรุงอังวะจึงได้ให้เจ้าเมืองทวายนั้นตระเตรียมกองทัพยกเข้ามาหมายจะโจมตีเพราะเป็นช่วงพลัดแผ่นดินใหม่ ผมจึงถูกส่งมาเพื่อสำรวจความพร้อมของลี้พลเหล่าบรรดาทหารอาสา”

หล่อนไม่อยากจะบอกเขาเลยว่าต่อจากนั้นอีกสักระยะหนึ่งค่ายบางกุ้งก็จะถูกพม่าล้อมความเป็นอยู่จะลำบากมาก แต่สุดท้ายทหารของพระเจ้าตากก็จะฝ่าฝันมันไปได้และการที่พม่าแพ้ในครั้งนี้จะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทหารไทยอย่างมาก แต่อย่างไรสู้ปล่อยให้เขารู้เองเสียดีกว่า

++++++++++++++++++
เรือนไทยขนาดย่อมซึ่งอยู่ท้ายวัดพิกุลทอง ซึ่งถ้าหล่อนไม่เคยมาแล้วก็คงจะหาไม่พบ หล่อนได้กลิ่นควันธูปโชยออกมาตั้งแต่ก้าวขาลงจากรถยนต์พร้อมกับขุนไกรที่เดินตามหล่อนไม่ห่าง

ฮะ ฮะๆๆ

“มากันแล้วหรือ เข้ามาๆ” เสียงแก่ๆ ของชายหนุ่มขัดกับอายุ30ต้นๆ สวมชุดขาวอย่างนักบวชแขวนปะคำดูขลังขัดกับหน้าตาที่ยังดูหนุ่มแน่นไม่เหมือนร่างทรงทั่วไป ร้องทักทายเมื่อเห็นหล่อนและขุนไกรเดินเข้ามา

“ค่ะดิฉันพาเพื่อนมาให้ท่านช่วยเหลือ” หญิงสาวนั่งลงพร้อมดึงมือขุนไกรให้นั่งลงตามหล่อน
ร่างทรงนั่งหลับตาลงอย่างช้าๆกิริยาและดูสงบ เขามองจ้องไปยังบุรุษตรงหน้าถึงแม้เขาจะแต่งกายและพูดจาอย่างคนยุคปัจจุบันแต่คงไม่พ้นเนตรทิพย์ของปู่เจ้าผู้มีตบะแก่กล้าไปได้

“มาไกลนะเจ้า” เสียงชายแก่แต่หน้ายังหนุ่มเอ่ยถาม ขึ้น แต่หากลองฟังดีๆจะพบว่าคำว่ามาไกลนั้นหมายความเช่นไร

“แล้วผมจะกลับไปยังที่จากมาได้อย่างไรครับ” ขุนไกรยกมือไหว้เอ่ยถามด้วยกริยาอ่อนน้อมสำรวม เขาเองมีความรู้สึกว่าชายเบื้องหน้าไมใช่คนธรรมดามีความพิเศษอยู่ในตัวโดยที่เขาบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร

ด้วยแรงอธิฐานและอำนาจบางอย่างจึงทำให้ชายผู้นี้ข้ามภพมาแต่ปู่เจ้าไม่ได้บอกออกไปเช่นนั้น“เจ้ามาที่นี่ก็เพราะเจ้าถูกลิขิตให้มา เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะได้กลับไปเอง”

“แล้วเมื่อไหร่หรือครับ”

“อีกไม่นานนักหรอก ในคืนพระจันทร์เต็มดวงนี้เจ้าจงไปรออยู่ที่ๆเจ้ามา”

“ก็อีกแค่ 3วันข้างหน้าละซิ” หล่อนนึกขึ้นได้ว่าอีก3วันจถึงวันลอยกระทงซึ่งจะเป็นวันเพ็ญเดือน12 เแล้วหล่อนจะได้หมดธุระกับขุนไกรผู้นี้เสียที

“เจ้าก็เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาเจ้าก็ต้องกลับไปยังที่ ที่เจ้าจากมาเช่นกัน” ร่างทรงหนุ่มหันไปทางวิลันดา

“ดิฉันหรือคะ หมายความว่าอย่างไรดิฉันไม่ค่อยเข้าใจคะที่ท่านพูด” หล่อนไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหล่อนด้วย ท่านคงจะหมายความว่าให้หล่อนไปส่งเขาอย่างนั้นมั้งหล่อนคิด

“เมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง” ร่างทรงหนุ่มบอกเป็นปริศนากับหล่อนยิ่งทำให้หล่อนอยากรู้มากขึ้น แต่เขาไม่อาจจะบอกหล่อนได้ตอนนี้เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่หล่อนจะต้องรู้ ปู่เจ้ามองคนสองคนที่มีชีวิตผูกพันกันมาหลายภพหลายชาติทำไมหนอความรักแม้นจะอยู่ไกลข้ามภพข้ามชาติกับดึงคนสองคนให้กลับมาภพกันได้ และแรงชังก็เช่นกันย่อมตามมาราวีไม่หยุดหย่อนได้เช่นเดียวกัน

“เอาเถิดเมื่อเวลานี้ฟ้าลิขิตให้อยู่ทีนี่ก็จะลองใช้ชีวิตอย่างคนยุคนี้ดูสักครั้ง” ขุนไกรรำพึงอยู่คนเดียวเบาๆ

“บ่นอะไร” วิลันดาสะกิดถามเขา

“เปล่า แค่ยอมรับในโชคชะตา”

หลังจากลาปู่เจ้าเป็นที่เรียบร้อยเขาจึงขับรถพาหล่อนกลับบ้าน และนึกขึ้นได้ว่าอย่างน้อยหล่อนควรมีน้ำใจซื้อเสื้อผ้าให้เขาสักหน่อยเพราะชุดของพ่อหล่อนที่เหลือไว้ก็มีเพียงสองชุดเท่านั้นแล้ววันต่อไปซึ่งเขายังต้องอยู่ที่นี่จะใช้อะไร หล่อนจึงเลี้ยวรถเข้าไปยังห้างดังแห่งหนึ่ง

“คุณจะพาผมไปไหน” ขุนไกรเอ่ยถามหล่อน เขามองสภาพบ้านเมืองแปลกตาที่อยู่ภายนอกตัวรถอย่างตื่นตาตื่นใจไม่คิดว่าโลกจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

“ฉันไม่พาคุณไปขายให้กับพิพิธฐภัณฑ์หรอกน่า” หล่อนยิ้มจนเห็นฟันสวย “เอ..แต่ถ้าเอาไปขาคงได้หลายตังค์”หล่อนปรายตามามองเขาก็เห็นสีหน้าดุดันกำลังถลึงตาใส่หล่อนกลับทันที

“ฉันจะพาคุณไปห้างสรรรพสินค้า ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้คุณไง”

“คุณไม่ต้องลำบากหรอกอีกไม่กี่วันผมก็จะกลับบ้านแล้ว”พูดไปแล้วก็นึกถึงมารดาป่านนี้นางคงจะเป็นห่วงเขามอกเพราะแจ้งข่าวไปว่าจะเดินทางกลับเมื่อหลายวันที่แล้วแต่ตอนนี้เขากับหลงมาอยู่ที่ไกลแสนไกลจนท่านคงจะคิดไม่ถึง

“อ้าวแล้วถ้าคุณยังไม่กลับจะไม่ใส่เสื้อผ้าหรือคะ คุณจะเปลือยให้ฉันดูเหรอ” หล่อนพูดไปอย่างไม่คิดอะไร

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ใบหน้าเข้มส่งสายตาดุมาหาหล่อน และหน้าแดงแทนที่จะเป็นวิลันดา


เมื่อเข้ามาในห้างดังใจกลางกรุงเทพฯ ขุนไกรก็ตื่นตากับสิ่งที่พบเห็นผู้คนแต่งตัวประหลาดเดินขวักไขว่กันจนเขาตาลายมีของมากมายที่เขาไม่เคยเห็น มันช่างไม่เหมือนตลาดในพระนครที่เขาเคยไปอยู่บ่อยครั้ง

“เดี๋ยวหลงนะตามฉันมาเร็วๆเข้า”ราวกับจะเรียกเด็กน้อยให้เดินตามหล่อน

“วิคุณมากับใคร” เสียงคุ้นหูเรียกหล่อนจนหญิงสาวต้องหันกลับมามอง

“ชัช”

“ผมขอโทษนะวิผมกับอรเลิกกันแล้วเมื่อวานผมไปหาคุณที่บ้านแต่คุณไม่อยู่”เขาเดินเข้ามาจับแขนหล่อนไว้ในทันที

“ปล่อยวิคะชัช”หล่อนสะบัดแขนออก

โอ๊ย!

“อะไรกันวะ” ชัชรู้สึกฉุนจนควันออกหู

ชัชวาลสบถอย่างโมโหเขาถูกฝ่ามือใหญ่ของชายแปลกหน้าที่มากับวิลันดา ผลักจนเขาเซกระเด็น ในขณะที่เริ่มมีไทยมุงกับเหตุการณ์1หญิง2ชาย

“แกเป็นใครวะ หนอย..ไอ้ล่ำคงจะมาจีบวิละซิท่า” ชัชมองร่างกายกำยำของขุนไกรและก็อดจะหวั่นใจไม่ได้ ก็ดูเขาซิไม่มีมัดกล้ามอย่างหมอนั่นสักนิด

“หยุดเถอะค่ะขุนไกรเขาไม่ใช่อย่างที่คุณคิด และเขาก็ไม่ได้มาจีบวิด้วย” หญิงสาวพยามห้ามปรามอดีตแฟนเก่า ในตอนนี้หล่อนได้เห็นว่าชัชแสดงอาการออกมาได้น่าเกลียดซึ่งหล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน
ฮา ....! เขาสะดุดชื่อที่วิลันดาใช้เรียกชายหนุ่มร่างใหญ่

“ขุนไกรอย่างนั้นหรือ ชื่อโคตรเชยเลยยังกับพระเอกละครย้อนยุคแนะ” ชัชวาลพูดเย้ยหยันพลางปลี่เข้าไปดึงแขนเรียวบองของวิลันดาให้ตามไปกับเขา

“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงทุ้มของขุนไกรกล่าวพลางยกมือดึงแขนหล่อนกลับมาอย่างไม่ต้องออกแรงมากนัก และประเคนกำปั้นเสยเข้าที่หน้าชายหนุ่มผู้ที่ไม่ให้เกรียติสตรี

ถ้าชายผู้นี้อยู่ในยุคของเขาคงได้เจ็บตัวมากว่านี้เป็นแน่

โอ๊ย!

ใบหน้าชัชวาลสะบัดไปตามแรงกำปั้นใหญ่ของทหารกล้าแห่งกรุงธนบุรีพร้อมกับความเจ็บปวด

“ชัชวาล”

“ขุนไกร พอเถอะค่ะ” วิลันดารั้งแขนขุนไกลเอาไว้มิอย่างนั้นอดีตคนรักของหล่อนอาจจะต้องรับหมัดของเขาอีกเป็นแน่

“วิคุณเข้าข้างมัน” ชัชวาลมองหญิงสาวที่เคยคบหากันมานานอย่างผิดหวังที่หล่อนไม่ยอมตามไปกับเขา

“แต่คุณเป็นฝ่ายมาหาเรื่องก่อนนะชัช” วิลันดากล่าวเพราะรู้สึกไม่ดีกับอดีตคนเคยรักที่เข้ามาหาเรื่องและจะชุดกระชากหล่อนต่อหน้าสาธรณชนแบบนี้

“แรงคนหรือแรงควายวะ” ชัชวาลถอยกรูดเอามือกลุมหน้าตัวเองไว้ เพราะเขาชักกลัวชายหนุ่มตรงหน้าที่ดูเอาจริงซึ่งเขาก็รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ และก็เริ่มอายคนที่เริ่มมุงดูมากขึ้น

“ฝากไว้ก่อนเถอะนะ” เขารีบหันกลับหลังเดินหนีไปในฝูงชนแต่คิดที่จะเอาคืน เขาไม่ยอมเสียวิลันดาให้ใครแน่นอนแค่ขอกลับไปตั้งหลักก่อน เพราะเขารู้แล้วว่าอรอิสรา สาวน้อยคนนั้นจริงๆแล้วหล่อนไม่ได้ใสบริสุทธิ์อย่างที่เขาเข้าใจทีแรกยิ่งทำให้เขาเสียดายวิลันดาเป็นร้อยเท่าทวีคูณ

“ชายผู้นั้นเป็นแฟนของเจ้าใช่รึไม่” ขุนไกรเอ่ยถาม

“เคยเป็นนะ” แต่ในตาของหล่อนแอบเศร้าจนขุนไกรสังเกตได้

“ฉันว่าการที่คุณต้องพูดแบบคนสมัยนี้พูดกันมันก็คงยากนะ”หล่อนสังเกตจากคำพูดทั้งไทยโบราณ และไทยปัจจุบันปนกันยุ่งในหลายๆครั้ง

“เจ้าพึ่งจักเข้าใจข้ารึ”เขาเปลี่ยนการพูดไปเป็นแบบยุคสมัยเดิมของเขา

“ ฉันว่าคุณพูดเหมือนเดิมแบบของคุณจะดีกว่า” วิลันดาคิดว่าอีกแค่2วันเขาก็จะกลับไปสู่ยุคของเขาแล้วสู้ปล่อยให้เขาได้พูดได้เป็นตัวเองจะดีเสียกว่า เกิดหล่อนสอนให้เขาพูดเหมือนคนในยุคของหล่อนเขาเกิดจำคำที่หล่อนสอนไปใช้ผิดๆในยุคของเขาอีกหน่อยภาษาไทยคงได้วิบัติ เป็นแน่ หล่อนเองก็คงต้องรู้สึกผิดกับครูสอยภาษาไทยไปด้วย

“ตกลงเจ้าจักให้ข้าพูดเยี่ยงใดกันแน่รึ” ขุนไกรก็ไม่เข้าใจหล่อนเดี๋ยวหล่อนก็ต้องการให้เขาพูดแบบคนในยุคหล่อน เดี๋ยวก็จะให้พูดแบบคนในยุคเขานี่ถ้าหล่อนต้องไปอยู่ในยุคของเขา เขาจะแกล้งหล่อนเสียให้เข็ดเลย

วิลันดาตะลึงงันมองกระเทยนางหนึ่งอยู่ๆไม่รู้หล่อนมาจากไหนวิ่งโผเข้ามาเกาะแขนขุนไกร ส่งเสียงทักทายสูงปรี๊ด พลางส่งยิ้มหวานให้ขุนไกร

อุ๊ยต๊าย !

“หล่อล่ำสุดๆ เจอแล้วพระเอกของพี่”

“เอ่อ คืออย่างนี้นะคะ คือพี่ชื่อพี่เก๋ มาจากค่าย สตาร์โมเดอริ่งค่ะ”พลางส่งนามบัตรยื่นให้ขุนไกรและดูเหมือนหล่อนจะไม่สนใจวิลันดาเลยด้วยซ้ำ

ขุนไกรไม่ยอมรับนามบัตรที่กระเทยสาวนางนั้นส่งให้เขา

“ปล่อยมือของเจ้าออกจากข้าบัดเดี๋ยวนี้ เจ้าเป็นชายใยทำตัวน่าเกลียดเยี่ยงนี้” ถ้าทางของคุณไกรบ่งบอกว่าเขาไม่ชอบกระเทยสาวนางนี้อย่างมากเ เพราะเขาเป็นทหารย่อมไม่ชอบที่จะเห็นผู้ชายมาแสดงกริยาแบบนี้ นี่ถ้าเป็นสมัยของเขาชายผู้นี้เขาจะจับมาฝึกเป็นทหารซะให้เข็ด

“โอโฮคุณน้องรู้ได้ยังไงคะว่าพี่เก๋ จะมาชวนคุณไปเทสหน้ากล้องเล่นละครเป็นพระเอกหลงยุค ถึงได้โชว์การแสดงให้พี่ดูเสียขนาดนี้

“พี่รับรองเลยค่ะคุณต้องได้บทนี้แน่นอนทั้งหล่อคมเข้ม การแสดงก็ได้ ต้องดังแน่ๆเลยค่ะ” หล่อนพูดพลางพิจรณารูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มที่หล่อเหลารูปร่างกำยำ แบบพระเอกหนังไทยอย่างที่ตนกำลังค้นหาอยู่นั้น

“ข้าบอกให้เจ้าปล่อยแขนของข้าออกบัดเดี๋ยวนี้”ขุนไกรพยามดึงแขนของเขาออกจากกระเทยสาวที่เกาะแขนเป็นปลิง

แหม!

“เลิกแสดงได้แล้วค่ะคุณน้อง คุณพี่เชื่อแล้วค่ะว่าคุณน้องต้องได้บทนี้แน่ๆขอคุณพี่ถ่ายรูปหน่อยได้ไหมจะ”

“เออคุณเก๋คะ เขาคงไปเทสหน้าก้องให้คุณไม่ได้หรอกค่ะ” วิลันดาทำหน้าเก้อไม่รู้จะบอกกับกระเทยนางนี้ยังไงดีให้หล่อนเข้าใจ

“ทำไม่ย๊ะหล่อน” คุณเก๋แมวมองชื่อดังแห่งยุคมองวิลันดาอย่างแอบหมั่นไส้เบ้ปากเล็กน้อยอย่างเสียอารมณ์ คิดว่าเธอคงหวงแฟนหนุ่มเป็นแน่

“เอ่อคือเขาเป็นคนบ้านะค่ะ ชอบคิดว่าตัวเองเป็นทหารสมัยก่อน บางทีก็ถือดาบไล่ฟันคนอื่นก็เลยพูดจาแปลกแบบที่เห็นนี่ละค่ะ”

“เฮ้อพูดไปดิฉันก็ยิ่งสงสารพี่ชายคนนี้ของดิฉันค่ะ” วิลันดาตีหน้าเศร้าสลดและมองชายหนุ่มแบบสงสารในโชคชะตะที่ต้องกลายเป็นคนวิกลจริตตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น เพราะหล่อนไม่รู้จะบอกอย่างไรให้กับคุณเก๋แมวมองคนนี้เข้าใจ

ขุนไกรเองก็ได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ แอบเคืองหล่อนเล็กๆที่มาหาว่าเขาเป็นคนบ้าไปนั่น

ว้าย!

“คนบ้าหรอกหรือย๊ะเนี่ยไม่หน้าเลยนะ เสียดายความหล่อจริงๆ” กะเทยสาวรีบปล่อยมือที่เกาะกุมขุนไกรทำหน้าไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อๆและขอตัวจากไปด้วยอาการเสียดาย

“นี่เจ้าว่าข้าเป็นคนเสียจริตรึ” ขุนไกรเอ่ยถามส่งสายตาคมเข้มมาหาหล่อนอย่างดุดุ
“อ้าวก็ถ้าฉันไม่พูดไปแบบนั้นเขาจะยอมไปหรือคะ เอ...หรือว่าคุณอยากไปเป็นพระเอกหนังละ” หล่อนยิ้มล้อเลียนเขา

“นี่เจ้า”

“เอาล่ะเราไปซื้อเสื้อผ้ากันดีกว่าจะได้รีบกลับบ้านกันเสียที” หล่อนพูดตัดบทและพาเขาไปยังร้านขายเสื้อผ้าผู้ชายชื่อดัง

ขณะที่หล่อนพาขุนไกรมาซื้อเสื้อผ้าผู้ชาย สาวพนักงานๆภายในร้านก็แอบส่งยิ้มหูตาแพรวพราวให้กับขุนไกรกันยกใหญ่ จนวิลันดาแอบหมั่นไสร้ พลางคิดว่าขุนไกรผู้นี้ก็เสน่ห์แรงไม่เบาไม่รู้ในยุคของเขาจะมีผู้หญิงเป็นโขยงหรือเปล่ายิ่งผู้ชายในยุคของเขานี้แล้วด้วยนิยมมีเมียเล็กเมียน้อยเต็มบ้านไปหมด
++++++++++++++++++++



อัปสรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ค. 2554, 12:46:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ค. 2554, 12:46:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 2004





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
ลิลลี่สีขาว 5 ก.ค. 2554, 10:45:45 น.
ขอเม้นท์นิดนึงนะคะ ตรงประโยคที่ว่า "..ดึงคนสองคนให้กลับมาภพกันได้" คำว่า "ภพ" น่าจะเป็น "พบ" มากกว่ามั๊ยคะ กับอีกที่คำว่า "หมั่นไสร้" น่าจะเป็น "หมั่นไส้" นะคะ คือว่าไม่อยากให้มีคำผิดในหนังสือน่ะค่ะ


อัปสรา 5 ก.ค. 2554, 12:27:26 น.
จริงด้วย ขอบคุณมากค่ะขนาดตรวจแล้วตรวจอีกนะเนี่ย แต่ยังไม่หลุดออกไปหรอกค่ะเพราะว่าจะผ่านกระบวนการพิสูจน์อักษรอีกที แต่ถ้าเราเจอก่อนเก็บคำผิดได้หมดเหลือน้อยที่สุดก็จะเป็นการดีค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account