การเอาคืนของหนุ่มร้านเบเกอรี่
บ้านของผมเป็นร้านขายเบเกอรี่ บ้านฝั่งตรงข้ามก็เช่นกัน

เป็นเรื่องปกติที่ถ้ามีคนมาแย่งลูกค้าแล้วจะรู้สึกไม่ชอบหน้าคนๆนั้น ทั้งสองร้านจึงเป็นศัตรูกันไปโดยปริยาย
ไม่ใช่แค่พวกผู้ใหญ่ สุดท้ายการที่โดนเป่าหูมากๆก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบยัยลูกสาวร้านเบเกอรี่ฝั่งตรงข้ามนั่นไปด้วย จะว่าไงดีล่ะ ก็มองเธอเป็นคู่แข่งมาตลอดเลยล่ะกับยัยแยมโรลนั่น

Tags: รักวัยรุ่น

ตอน: ตอนที่ 1

“สอบได้ที่ 1 อีกแล้วนะนายน่ะ ชีส” เจ้าของเสียงพูดเหล่านี้ไม่ใช่ใครเพราะเจ้านั่นคือเพื่อนสนิทของผมที่ชื่อว่า กอ อาจจะฟังเหมือนพวกนามสมมุติของพวกฆาตกรฆ่าข่มขืนตามหน้าหนังสือพิมพ์ไปหน่อยก็เถอะแต่นั่นก็คือชื่อของมันจริงๆ

กอมันพยายามมุดออกมาจากบอร์ดประกาศผลการเรียนหลังจากแหวกฝูงชนเข้าไปดูคะแนนให้ผม แต่ถึงมันจะบอกอย่างนั้นก็ต้องถามเพื่อความแน่ใจก่อนว่า

“แล้วแยมโรลล่ะ?”

“ไม่น่าถาม ก็ที่ 1 ร่วมยังไงล่ะ ตั้งแต่ขึ้นม.ปลายมานายสองคนก็สอบได้คะแนนเท่ากันตลอดเลยไม่ใช่รึไง ยังกะนัดกันแหนะ”
มันตอบอย่างเซ็งๆกับคำถามโง่ๆที่ผมถามมัน แน่นอนผมเซ็งกว่ามันอีก

“ให้ตายสิ พักหลังชักจะเสมอกันเยอะเกินไปแล้ว” หลังจากเอามือกุมขมับผมก็หันไปมองด้านซ้ายมือแน่นอนเป้าหมายของผมคือผู้หญิงรูปร่างเล็กผมดำยาวที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น ยัยแยมโรลนั่นเอง

ถึงจะแปบเดียวแต่ผมมั่นใจว่าเธอเองก็หันมามองเหมือนกันแน่ๆ แต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะนั่นก็เหมือนการประกาศสงครามขนาดย่อมของพวกเราด้วยอารมณ์ประมาณว่าคราวหน้าไม่ยอมให้มีเสมอหรอกนะ

“ไปกันเถอะ”

ไม่จำเป็นต้องหันไปมองอีก ต้องกลับไปวางแผนใหม่ ทุกวิธีการที่จะทำให้ชนะแม่นั่นได้ เพื่อศักศรีของร้านสมศักดิ์เบเกอรี่

“กลับมาแล้วครับ” ผมเดินทอดน่องไปบนพื้นกระเบื้องสีขาวของร้าน วันนี้ร้านของเราคนไม่มากนักแต่ผมก็ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาช่วยงานอยู่ดี

“ผลสอบเป็นไงบ้าง” สมศักดิ์ พ่อท่าทางเข้มงวดของผมหันมาถามในขณะที่กำลังใช้ที่คีบคีบขนมใส่กล่องให้ลูกค้าอยู่

“ที่ 1 ครับ”

“แล้วลูกสาวร้านนู้นล่ะ” ดูพ่อจะสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ

“ที่ 1 เหมือนกัน”

“อะไรกัน ได้คะแนนเท่ากันอีกแล้วหรอ ทำไมแกไม่ตั้งใจให้มากกว่านี้”

“พอเถอะค่ะคุณ ลูกได้ที่ 1 แค่นี้ก็ดีมากแล้วไม่ใช่หรอคะ” แม่ของผมซึ่งเดินออกมาจากครัวพอดีมาห้ามไว้ได้ทันก่อนที่พ่อจะทำการสวดยาว

“ดีอะไร ถ้าเรื่องแค่นี้ยังไม่ชนะแล้วเราจะชนะเจ้าพวกร้านฝั่งนู้นได้ยังไง?”

“ผมรู้อยู่แล้วน่ะครับพ่อ คราวหน้าผมชนะแน่” ใช่ คราวหน้ายังไงผมก็ไม่แพ้หรือเสมอกับยัยนั่นเด็ดขาด

“อย่าลืมที่พูดล่ะ”

“คร้าบคร้าบ” ผมรับคำก่อนจะเดินไปเช็ดโต๊ะและเก็บถ้วยชามที่ลูกค้ากินแล้วไปล้าง แม้จะเป็นงานที่น่าเบื่อแต่ผมก็ชอบที่จะทำงานแบบนี้เพราะมันทำให้รู้ว่าผมรักร้านนี้มากแค่ไหน

“เออนี่ชีสจ๊ะ เมื่อกลางวันมีพัสดุส่งมาถึงลูกด้วย แม่เอาไปวางไว้บนห้องเห็นรึยัง?”

“พัสดุหรอครับ?” ก็พอเดาได้นะว่าเป็นอะไร คงเป็นของสะสมคอลเลคชั่นการ์ตูนสาวน้อยเวทมนตร์ที่ผมสั่งไปวันก่อนแน่ โชคดีที่คนในบ้านนี้ไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวกัน ไม่งั้นถ้าเห็นของในกล่องเข้ามีหวังบ้านแตกแหงม

“ไว้เสร็จงานผมค่อยขึ้นไปดูแล้วกันครับ”

แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ฟิกเกอร์ของของสาวน้อยเวทมนตร์จำนวน 3 ตัวถูกแพ็คใส่กล่องส่งมาอย่างดี พร้อมกับชุดโกธิคสีชมพูของสาวน้อยเวทมนตร์ ซึ่งอย่างหลังนั้นผมแน่ใจว่าผมนั้นไม่ได้เป็นคนสั่งไปแน่

“ขอบคุณที่เป็นลูกค้าของเรามาอย่างยาวนานงั้นหรอ?” เมื่อหยิบจดหมายที่แนบมากับชุดขึ้นอ่านจึงทำให้พอเข้าใจเรื่องทั้งหมด เอาน่ะอย่างน้อยก็เป็นของแถมที่ได้มาฟรีจากการที่ซื้อของบ่อยล่ะนะ

“ต้องเก็บให้พ้นสายตาของคนอื่นหน่อย” ผมเลือกที่จะเอาของทั้งหมดเก็บใสตู้เสื้อผ้าของผมซึ่งในนั้นทั้งหมดมีแต่ฟิกเกอร์และสินค้าจากการ์ตูนสาวน้อยเวทมนตร์ทั้งนั้น ทำไงได้รู้สึกตัวอีกทีมันก็เต็มตู้เลยต้องซื้อตู้มาอีกใบเพื่อเก็บของพวกนี้โดยเฉพาะ

เมื่อผมนำชุดสาวน้อยเวทมนต์แถมฟรีชุดนั้นไปแขวนรวมกับชุดคอสเพลชุดอื่นๆของผม ก็ทำให้ประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก ดูเหมือนว่าชุดมันจะถูกออกแบบให้มีขนาดพอดีกับร่างกายผมอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยความสงสัยผมจึงปลดชุดสาวน้อยเวทมนตร์จากไม้แขวนมาลองใส่ดู ทุกสัดส่วนมันเข้ารูปจนอดสงสัยไม่ได้ว่ามันบังเอิญหรือคนส่งมันรู้สัดส่วนของผมกันแน่ แต่ก็ช่างมันเถอะผมยังไม่อยากเป็นไอ้วิปริตแต่งหญิงแค่ลองใส่ดูก็รู้สึกแย่มากๆแล้ว เพราะงั้นผมจึงนำมันไปแขวนที่เดิม

“ถ้ามีใครมาเห็นคงต้องผูกคอตายแน่ๆ” ว่าไปนั่นใครจะมาเห็น ก็ห้องของตัวเองนี่นะ

เช้าวันต่อมาผมเลือกที่จะออกไปโรงเรียนแต่เช้า แน่นอนเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะยัยร้านเบเกอรี่ฝั่งตรงข้าม อย่างน้อยมันก็ทำให้ทั้งวันผมมีความสุขได้ถ้าไปถึงโรงเรียนก่อน

“นี่นายน่ะ” เสียงเรียกดังมาจากด้านหลังซึ่งผมมั่นใจว่ามันคือเสียงของแยมโรล ผมจึงเลือกที่จะทำเป็นว่าไม่ได้ยิน ใช่แล้วนี่คือสิ่งที่ถูก พวกเราคือศัตรูกันไม่จำเป็นต้องไปญาติดีกับแม่นั่น

“ฉันเรียกนายไม่ได้ยินหรือไง?”

ไม่ได้ยินเฟ้ย! หึหึ ถึงเรียกให้ตายก็ไม่ได้ยินหรอก

“ให้ตายสิ ถ้างั้นคงเอารูปพวกนี้ไปปล่อยบนเว็บบอร์ดโรงเรียนได้แบบไม่ต้องถามสินะ”

“รูป” ผมหันหลังควับทันทีกับคำพูดเธอ แม่นี่ไม่เคยเป็นมิตรถ้าพูดคำว่ารูปแบบนี้มันต้องมีเรื่องอะไรจริงๆแน่

“ก็รูปไอ้วิตถารแต่งหญิงในห้องนี่ไง”

ชัดเลยรูปที่เธอชูให้ดูคือรูปของผมที่กำลังใส่ชุดโกธิคสีชมพู ผมไม่ลืมว่าห้องของเธออยู่ตรงข้ามกับห้องของผมแต่มันก็ไกลเกินกว่าที่จะมองเห็น ไม่คิดเลยว่าเธอจะเห็นแล้วใช้กล้องซูมถ่ายรูปพวกนี้ออกมาทั้งหมด นี่มันหายนะชัดๆ

“พะ...พูดเรื่องอะไรงั้นหรอ?” คุมสติไว้ต้องคุมสติไว้แสดงให้แม่นี่เห็นว่ารูปแค่นี้ทำดาเมจฉันไม่ได้หรอก

“พอดีฉันถ่ายรูปพวกนี้ได้แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นใครน่ะเลยว่าจะเอาไปโพสในบอร์ดของโรงเรียนดูเผื่อจะมีคนรู้จักบ้าง” เธอทำสายตาเจ้าเล่ห์ เห็นได้ชัดเลยว่าเธอรู้ว่าเป็นผม

“หยะ...อย่าทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นเลยนะ”

“นั่นสินะ ว่าแต่เมื่อยจังเลย ถ้ามีคนมาถือกระเป๋าให้ก็คงดีสิ” แยมโรลส่งสายตามาทางผม นังกระจงเผือก โผล่หางแล้วสินะ

“ถ้าแค่ไปโรงเรียนจะช่วยถือให้ก็แล้วกัน” ผมกัดฟันบอกอย่างไม่เต็มใจแล้วยื่นมือไปคว้ากระเป๋านักเรียนทรงสี่เหลี่ยมสีดำมาจากมือของเธอ

“เฮ้ออออ สบายขึ้นเยอะเลย จากนี้ไปก็ฝากหลายๆเรื่องด้วยล่ะ”

จากคำพูดแม่นี่คงไม่หยุดแค่ให้ถือกระเป๋าแน่ต้องหาทางทำอะไรซักอย่าง

ในขณะที่ผมใช้เวลาพักนั่งเครียดกับเรื่องนี้อยู่ในห้องเรียน ดูเหมือนว่าจะเจ้ากอมันจะรู้ว่าผมกำลังคิดมากเลยเข้ามาคุยด้วย

“เป็นอะไรของนายน่ะ”

“มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยอย่าใส่ใจเลย”

“เรื่องที่บอกใครไม่ได้สินะ”

“นายรู้”

“ก็ไม่เห็นจะยาก เพราะปกตินายก็บอกฉันหมดทุกเรื่องนั่นแหละ ถ้าเรื่องไหนไม่บอกแสดงว่าไม่อยากให้ใครรู้จริงๆ” ใช่แล้วให้ใครรู้ไม่ได้หรอกเรื่องแต่งหญิงนั่นน่ะ

“ก็ทำนองนั้น”

“ไม่ไปที่ห้องรับปรึกษาปัญหาชีวิตดูล่ะ ถ้าเป็นที่นั่นไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปก็จะได้รับคำแนะนำดีๆกลับมาเสมอ แถมคนที่ทำงานอยู่ที่ห้องนั้นก็ไม่ใช่คนปากโป้งแล้วก็พึ่งพาได้อย่างสุดๆด้วย”

“ห้องรับปรึกษาปัญหาชีวิตงั้นหรอ?” ผมคิดตาม “จะลองไปดูแล้วกัน”

หลังจากตัดสินใจได้พอเลิกเรียนผมก็ไปที่ห้องดังกล่าว แม้จะคิดว่าคงช่วยอะไรไม่ได้แต่อย่างน้อยอาจจะได้แผนการอะไรดีๆในการรับมือมาบ้าง

“อยู่ไหน รีบมาถือกระเป๋าเดี๋ยวนี้งั้นหรอ? ตอนกลางวันก็ให้วิ่งซื้อน้ำซะวุ่น เห็นฉันเป็นทาสรึไง?” ผมบ่นขึ้นหลังจากได้เห็นข้อความจากยัยร้านเบเกอรี่ฝั่งตรงข้าม

“อาจารย์เรียกคุยด้วย คงนานหน่อย รอไม่ได้ก็รีบๆกลับไปซะ” ข้อความนี้อย่างน้อยก็พอจะถ่วงเวลาได้บ้างล่ะนะ

ผมเปิดประตูห้องเข้าไปหลังจากส่งข้อความเสร็จ ที่นั่นเป็นห้องที่ไม่มีอะไรมากนัก มีเพียงโต๊ะไม้ขนาดไม่ใหญ่มากตัวหนึ่งกับเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงินสี่ตัวเท่านั้น

“ยินดีต้อนรับสู่ห้องรับปรึกษาปัญหาชีวิตค่ะ” เสียงหวานๆเป็นเสียงของเด็กสาวผมบอบตัวเล็กที่น่าจะอายุน้อยกว่าผมซึ่งนั่งอยู่ในห้องก่อนหน้าแล้ว

“ครับ” ผมรับคำสั้นๆแล้วเดินไปจับจองที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอ

“มีปัญหาอะไรมาหรอคะ”

“เอ่อ...?”

“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ทุกเรื่องที่คุณพูดมาจะถูกเก็บเป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้น”

“จริงนะครับ” ผมถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ค่ะ” เธอยิ้มตอบ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกไว้ใจเธอขึ้นมาบ้าง

“ก่อนอื่นต้องแนะนำตัวก่อนเลยนะครับผมชื่อวชิระ อยู่ม.5ห้อง1ครับ”

“ฉันนานาม.6ห้อง1ค่ะ” การแนะนำตัวของเธอทำผมตกใจไม่น้อยเพราะตอนแรกผมคิดว่ายังไงเธอก็ต้องอายุน้อยกว่าผมแน่ๆ

“ทีนี้ว่ามาเถอะค่ะ มีเรื่องอะไรหรอคะ?”

“คือผมโดนแบล๊คเมล์น่ะครับ”

“โดนแบล๊คเมล์?”

“โดนถ่ายรูปตอนน่าอายแล้วขู่ว่าจะเอาไปประจานถ้าไม่ยอมเชื่อฟังครับ” ผมตัดสินใจบอกทั้งหมด

“จะไม่ถามนะคะว่ารูปอะไร แต่กรณีนี้ตั้งแต่ที่ฉันทำงานห้องนี้มาก็เพิ่งเจอเป็นครั้งแรกนี่แหละค่ะ” เธอทำท่าคิด

“พอ...พอจะช่วยได้ไหมครับ?”

“ก่อนอื่นเลยต้องรู้ความสัมพันธ์ของคุณกับคนร้ายก่อนค่ะ”

“ความสัมพันธ์งั้นหรอครับ” ผมใช้ความคิดอยู่พักหนึ่งก่อนตัดสินใจตอบ เพราะมันยากมากที่จะอธิบายให้คนอื่นฟังถึงความสัมพันธ์ของผมกับแม่นั่น “เป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ค่อยถูกกันน่ะครับ”

“อายุและเพศล่ะคะ?” เธอถามต่อ

“17เพศหญิงครับ”

“งั้นหรอคะ” รุ่นพี่นานานิ่งไปครู่หนึ่ง “ถ้างั้นก็ไม่ยากหรอกค่ะ ผู้หญิงน่ะถ้าใครทำดีด้วยสุดท้ายก็ต้องใจอ่อนทุกราย ทำไมคุณ
ไม่ลองไปทำดีกับเธอดูล่ะคะ”

“ทำดี? ระ...เรื่องนั้นคง...”

“อย่างเช่นจีบเธอไปเลยเป็นไงคะ?”

“ไม่มีทางหรอกครับ ผมไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นกับแม่นั่นแน่ ต่อให้แม่นั่นเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายบนโลกผมก็จะไม่ขอเลือก” ใช่แล้วไม่มีทางที่ผมจะมีความสัมพันธ์อะไรแบบนั้นกับยัยลูกสาวร้านตรงข้ามได้

“งั้นหรอคะ แย่จัง นึกว่าจะใช้วิธีนี้เคลียทีเดียวสองงานได้แล้วอีก”

“เคลียทีเดียวสองงาน?”

“มะ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ถึงเธอจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็พอจะเดาได้ว่าก่อนหน้านี้ยัยแยมโรลนั่นต้องเคยมาขอคำปรึกษากับชมรมนี้แน่

“แสดงว่าคุณก็เคยให้คำปรึกษากับยัยนั่นเหมือนกันใช่ไหมครับ?”

“เอ่อ...คือ...ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะว่าใช่คนเดียวกันไหม? แต่เคยมีคนที่มาขอคำปรึกษาเรื่องคุณอยู่” เธอบอกพร้อมควักรูปของผมออกมาจากกระเป๋านักเรียน “รูปนี้เธอให้ฉันเอาไว้ค่ะ”

“แล้วเธอมาขอคำปรึกษาเรื่องอะไรงั้นหรอครับ?”

“เรื่องนั้นบอกไม่ได้หรอกค่ะ มันเป็นจรรยาบรรณในหน้าที่ของฉัน”

“งั้นหรอครับ” แม้จะอยากรู้แต่ถ้าผมไปรบเร้ามากๆรุ่นพี่นานาก็คงน่าสงสาร ความจริงเธอก็ทำถูกแล้วที่เลือกที่จะเก็บความลับของคนที่มาขอคำปรึกษาเอาไว้ถึงที่สุด

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปขอคำปรึกษาจากคนที่เคยให้คำปรึกษากับศัตรูอีก ยัยลูกสาวร้านตรงข้ามคงมาถามเรื่องวิธีที่จะเอาชนะผมแล้วรุ่นพี่ก็แนะนำให้ตามดูพฤติกรรมของผมเอาไว้เพื่อหาจุดอ่อน ส่วนผมก็พลาดเองที่ไปใส่ชุดนั้นแล้วโดนแบล๊คเมล์ ยังไงตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเล่นตามน้ำไปก่อนจนกว่าจะหาทางทำอะไรซักอย่างได้

“ช้าจัง”

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ยัยหายนะนี่เลือกที่จะไม่กลับบ้านไปก่อนแล้วยืนรอผมอยู่หน้าประตูโรงเรียน อย่างน้อยก็ต้องยอมรับในความอดทนที่รอจะเล่นงานผมล่ะนะ

“พอดีอาจารย์คุยยาวไปหน่อยน่ะ”

“เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะน่า รีบมาถือกระเป๋าของฉันไปได้แล้ว” เธอกวักมือเรียก ให้ตายสิไอ้ท่าทีวางมาดว่าเป็นเจ้านายนี่มันอะไรกัน

“รู้แล้วน่า” ผมรับคำแล้วเดินไปคว้ากระเป๋าจากมือของเธอมา“แค่นี้ก็พอใช่ไหม?”

“ไปได้แล้ว” เธอออกคำสั่งต่อ แน่นอนเป็นเธอที่เดินนำหน้าแล้วผมก็เดินตามหลัง ช่างเป็นบรรยากาศที่แย่สุดๆ นี่ผมต้องทำแบบนี้ไปอีกกี่วันกัน

“นี่เธอ ฉันจะต้องทำไปถึงเมื่อไหร่ถึงจะยอมเอารูปมาให้ฉัน”

“จนกว่าฉันจะพอใจล่ะนะ” ช่างเป็นคำตอบที่ไร้ความรับผิดชอบแบบสุดๆ

“แล้วเมื่อไหร่เธอจะพอใจกันเล่า?”

“หนวกหูจังนะนายน่ะ”

“หนวกหูก็ส่งรูปมาได้แล้ว”

“เรื่องอะไรฉันจะให้ ถ้าอยากได้มากก็ช่วยแสดงออกมาเป็นผลงานหน่อยสิ” เธอยิ้มแบบมีเลศนัยซึ่งผมรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

“ผลงาน?”

“พอดีมีสาวน้อยคนนึงลืมการบ้านไว้ที่โรงเรียนน่ะ ช่วยไปเอาให้หน่อยได้ไหม?”

“สาวน้อยที่ว่ามันใครกันตรงนี้มีแต่เธอกับฉันไม่ใช่ไง”

“นั่นสินะ ฝากด้วยล่ะ” แม้จะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าโมโหแต่ผมก็เลือกไม่ได้ ภาพลักษณ์เด็กหนุ่มที่เรียนดีกีฬาก็เด่นยังไงจะ
ไม่ยอมจบเพราะเรื่องเป็นวิตถารแต่งหญิงไม่ได้เด็ดขาด

“ให้ตายสิ จะไม่ซื้อฟิกเกอร์ร้านนั้นตลอดชีวิตเลย” ผมรีบวิ่งหน้าตั้งกลับไปโรงเรียนทำไมน่ะหรอ? ก็ขืนกลับช้าแบบไม่มีเหตุผลพ่อผมได้เอาตายข้อหาที่ไม่ช่วยงานที่ร้านแน่

ผมใช้เวลาไม่นานในการไปถึงโรงเรียนและเสียเวลานิดหน่อยกับขั้นบันได แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่เมื่อมาถึงห้องเรียนผมก็พบว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งมาถึงที่โต๊ะของแยมโรลก่อนแล้ว

“นี่เธอทำอะไรน่ะ?” ผมรีบขัด

“อะ...เอ่อ ฉันแค่มาเอาของให้รุ่นพี่แยมโรลค่ะ”

“เอาของให้แยมโรล?” คำพูดของเธอทำให้ผมสงสัยยิ่งขึ้นไปอีก นี่มันหมายความว่าไงกันนอกจากฉันแม่นั่นยัยยังมีเบ๊
หมายเลข 2 อีกหรอเนี่ย

“ละ...แล้วคุณล่ะคะ?”

“ฉันมาเอาของให้แยมโรลเหมือนกันน่ะ”

“เอ๋...หรือว่าคุณก็เหมือนกันกับฉัน” เหมือนกัน? เธอคนนี้คงหมายถึงเรื่องโดนแบล๊คเมล์สินะ
“ใช่แล้วล่ะ ลำบากน่าดูเลยนะเราสองคนน่ะ”

“ค่ะ รุ่นพี่น่ะชอบลืมของฉันเลยต้องเอาไปให้บ่อยๆค่ะ” บ่อยๆ แม่นี่เป็นเบ๊มานานแล้วแหงม แล้วกรณีผมจะต้องเป็นไปอีกนานเท่าไหร่ล่ะเนี่ย

“จากนี้ไปฉันก็คงมาเอาให้บ่อยๆเหมือนกัน ฝากตัวด้วยล่ะ”
“จริงนะ” เธอทำสายตาอ้อน แล้วไหงถึงทำตาแบบนั้นล่ะเนี่ย “ฉันน่ะที่จริงกลัวมากเลยที่ต้องมาที่โรงเรียนตอนเย็นคนเดียวแบ
บนี้น่ะค่ะ”

“เอ๋” ดูดีๆแล้วเธอน่ารักไม่ใช่เล่นเลยล่ะเด็กผู้หญิงคนนี้น่ะ ปากนิดจมูกหน่อยกับผมตัดสั้นดูน่าถนุถนอม แล้วทำไมยัยจั๊ดง่าวนั่นถึงได้ใจร้ายกับเด็กผู้หญิงคนนี้ได้ลงคอกันนะ

“เธอได้ของที่ต้องการแล้วใช่ไหมล่ะ?” ผมเดินเข้าไปหยิบสมุดการบ้านบ้าง
“ค่ะ ได้ร่มแล้วค่ะ”

“ส่วนฉันก็ได้การบ้านแล้ว เราเอาไปให้ยัยนั่นด้วยกันเถอะ”

“ค่ะ ว่าแต่คุณชื่อว่าอะไรหรอคะ?”

“ชีส เรียกฉันว่าแบบนั้นแล้วกัน อ่อ จะดีมากเลยถ้าเติมคำว่ารุ่นพี่นำหน้าให้ด้วย ยังไงฉันก็เรียนห้องเดียวกับแยมโรลนะ”

“ค่ะ รุ่นพี่ ชีส ส่วนหนูชื่อ ต้นข้าว นะคะ” เธอยิ้ม

รอยยิ้มของต้นข้าวช่างรบกวนจิตใจของผมยิ่งนัก ถ้าแค่ผมยังว่าไปอย่างแต่ทำไมยัยแยมโรลถึงต้องแบล๊คเมล์เด็กผู้หญิงคนนั้นด้วยนะ ผมนอนคิดเรื่องนี้รวมถึงเรื่องจะทำยังไงกับนิสัยเสียของยัยนั่นดีจนเวลาเกือบตีสองก็คิดอะไรไม่ออกซักอย่าง

“ห้องรับปรึกษาปัญหาชีวิตอะไรกัน ไม่เห็นช่วยอะไรได้ซักนิด” นั่นเป็นแค่คำพูดที่ผมโบ้ยไปเรื่อยในยามที่คิดอะไรไม่ออกแบบนี้ ก็แหงล่ะไหนเจ้ากอมันมั่นใจนักหนาว่าช่วยได้ทุกเรื่องไงล่ะ ไม่สิเดี๋ยวก่อน เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผมมองข้ามไปอยู่ บางอย่างที่อยู่ในคำพูดของรุ่นพี่นานา ใช่แล้วนั่นไงล่ะ

ไม่ใช่จีบ แต่ผมจะทำให้แม่นั่นหลงรักแล้วมาสารภาพรักกับผม พอหลงรักก็หมดปัญหาเรื่องแบล๊คเมล์ แล้วสุดท้ายผมก็จะปฏิเสธการสารภาพรักของม่นั่น นั่นแหละคือการเอาคืน

เช้าวันต่อมาผมรีบตื่นให้ไวกว่าปกติเพื่อมายืนรออยู่ที่ประตูกระจกหน้าร้าน สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างความประทับใจในการพบกันครั้งแรก ทันทีที่แม่นั่นเปิดประตูร้านออกมาผมก็เปิดออกไปพร้อมกันให้ดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ


“เอาล่ะ เกม สตาร์ท”





ไอศครีม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ย. 2557, 09:16:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ย. 2557, 09:25:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 740





<< บทนำ   ตอนที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account