เหลี่ยมกุหลาบ
เพราะทนคำครหาของใครต่อใครไม่ไหวอีกต่อไป และต้องการแก้ไขความผิดพลาดในอดีต วรรษชลจึงตัดสินใจชวนเพื่อนรักปลอมตัวเข้าไปอยู่ในบ้านของมาเฟียหนุ่ม ที่ความจำเสื่อมในฐานะ เพื่อนและคู่หมั้นสาวแสนสวย เพื่อสืบหาความเป็นจริงของคดี

แต่ใช่ว่ามันจะง่ายอย่างที่คิด เมื่อเธอต้องเจอกับ มหาสมุทร ชายหนุ่มผู้ทำท่าเหมือนจะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกเธอ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2 แผนการอันแยบยล



มหาสมุทรมองร่างที่นอนหายใจสม่ำเสมอไม่ไหวติงมาเกือบสามวัน ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวด้วยความเป็นห่วง สองมือหนาประสานกันไว้ใต้คางอย่างครุ่นคิด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวพรรังสรรค์มันเกิดขึ้นเร็วมากจนเขาไม่ทันตั้งตัว

วันนั้น วันที่เขาได้รับแจ้งเหตุทางโทรศัพท์จากลูกน้องคนหนึ่งของนายอดิศวร บิดาของผนินทร ว่าครอบครัวของชายหนุ่มประสบอุบัติเหตุตอนที่มาดูงานที่กรุงเทพฯ เขาก็รีบรุดลงมาจาก ‘สาขา’ ที่เชียงใหม่ในทันที ไม่นึกเลยว่าเขามาช้าเกินไป เพราะทันทีที่เขาเหยียบสนามบินในประเทศ เขาก็ได้รับแจ้งจากคนสนิทว่าคุณอาผู้มีพระคุณผู้ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กได้สิ้นชีวิตไปพร้อมกับภรรยาของท่านและคุณใหญ่ บุตรสาวคนโตของท่านเสียแล้ว เหลือก็แต่เพียงผนินทร บุตรชายคนเล็กของเขาที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศได้เพียงเดือนเดียว มหาสมุทรจำได้ว่าอดิศวรมักจะบ่นให้ฟังบ่อยๆเกี่ยวกับความเหลวไหลของผนินทรที่ต่างประเทศ อดิศวรส่งบุตรชายของเขาไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่อายุยี่สิบ เพราะโดนรีไทร์จากมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ แต่ใช่ว่าผนินทรจะหยุดก่อเรื่องก่อราว ยังคงส่งข่าวคาวๆมาให้ผู้เป็นพ่อได้ไม่เว้นแต่ละวัน

ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงส่งเสียงครางออกมาเบาๆ ทำให้มหาสมุทรรีบลุกไปดู

“คุณคนเล็ก คุณคนเล็กครับ” เขาจับไหล่ผนินทรเขย่าเบาๆ “คุณคนเล็ก”

ผนินทรมีอาการตอบรับ มุ่ยหน้าเล็กน้อยเหมือนเจ็บปวด

“อะ....” เขาร้องคราง ก่อนจะยกมือขึ้นกุมศีรษะที่พันผ้าสีขาวเอาไว้

“เป็นยังไงบ้างครับ จะให้ผมเรียกหมอให้หรือเปล่า”

ผนินทรพยักหน้าแทนคำตอบ สีหน้าไม่สู้ดีนัก ชายหนุ่มค่อยๆดันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก มหาสมุทรจึงช่วยปรับเตียงและเอาหมอนรองหลังเขาไว้เพื่อพิงได้สะดวกก่อนจะกดปุ่มเรียกแพทย์ให้มาดูอาการ

“สักครู่หมอก็คงจะมาแล้ว” เขาบอกคนป่วยที่สีหน้าซีดเซียว

“ผมเป็นอะไรไป” ผนินทรพูดเสียงแหบแห้ง แทบจะไม่มีเสียง

“คุณประสบอุบัติเหตุครับ รถชนอย่างแรงก่อนจะคว่ำตกไหล่ทาง” เขาเล่าได้เพียงเท่านี้ เพราะยังไม่อยากจะบอกความจริงทั้งหมดให้กับผนินทรได้ทราบ เกรงว่าเขาจะรับเรื่องราวทั้งหมดไม่ไหว

“แล้วคุณ...เป็นใคร”ผนินทรหรี่ตามองเขาด้วยความสงสัย มหาสมุทรแปลกใจไม่น้อยที่ได้ยินคำถามนี้ แม้ว่าเขากับผนินทรจะไม่สนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว แต่เมื่อครั้งยังเด็กเขากับผู้ชายคนนี้ก็ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมาพร้อมกัน เป็นเวลาเกือบจะห้าปีได้กระมัง ไม่มีทางที่ผนินทรจะจำเขาไม่ได้

“ผม มหาสมุทรไงครับ” เขาเตือนความจำ “คลื่น ลูกพี่ลูกน้องของคุณ”

คนป่วยทำสีหน้างงงวยอย่างมาก ราวกับไม่เคยได้ยินได้ยล รู้จักมักจี่เขามาก่อน หากแต่ผนินทรก็พยายามเพ่งมองอย่างใช้ความคิด ก่อนที่ครู่เดียวผนินทรก็ยกมือขึ้นกุมขมับ ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

“ปวด...ผมปวดหัว” เขาร้องบอกเสียงเหมือนจะขาดใจ ทิ้งตัวลงบิดไปมาบนเตียงอย่างแสนเจ็บปวด มหาสมุทรหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก รีบวิ่งออกไปหน้าห้องเพื่อดูแพทย์เจ้าของไข้ของผนินทรทันที


“อาการของผู้ป่วยเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการได้รับความกระทบกระเทือนจากสมองครับ หรือเรียกว่า อาการของโรคความจำเสื่อม”

นายแพทย์วัยกลางคนเอ่ยขึ้น หลังจากที่พามหาสมุทรมาคุยที่ห้องตรวจ ก่อนจะชี้ให้เห็นรูปเอ็กซ์เรย์สมองของผนินทร ชายหนุ่มมองภาพนั้นด้วยความไม่เข้าใจ นายแพทย์จึงอธิบายต่อ

“จากภาพ สมองของคุณผนินทรได้รับความกระทบกระเทือนอย่างมากจากแรงจากอุบัติเหตุรถชน ตอนรถคว่ำ เพราะคุณผนินทรนั่งอยู่เบาะหลัง ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยทำให้ตัวของเขากระเด็นออกมานอกรถและสมองกระแทกกับพื้นถนนทำให้สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก” นายแพทย์ชี้ไปที่รูปต่อ “ตรงนี้ เป็นอาการสมองบวมของคนไข้ครับ ตอนแรกเขามีอาการสมองบวม เลือดคั่งในสมองมากจนเบียดเนื้อสมอง และมีเศษกระโหลกศีรษะบางส่วนหลุดเข้าไปในสมอง”

มหาสมุทรกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาไม่คิดว่าอาการของผนินทรจะร้ายแรงขนาดนี้มาก่อนเลย

“แต่หลังจากผ่าตัดสำเร็จ ตอนนี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ที่คุณเห็นเขาปวดหัวรุนแรงก็เป็นเพราะผลข้างเคียงของการบาดเจ็บเท่านั้น พบได้ในคนไข้ทั่วไปที่ประสบอุบัติเหตุ แต่จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่ได้รับ สำหรับคุณผนินทร นอกจากอาการความจำเสื่อมแล้ว อาจจะพบกับอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง มือเท้าไม่มีแรงบ้าง มีผลกระทบกับสัมผัสทั้งห้าเล็กน้อย และอาจจะมีอาการซึมลง ไม่ค่อยตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวบ้าง แต่เราก็บำบัดได้ครับ”

ชายหนุ่มถอนหายใจอ่อนแรง ฟังจากที่กล่าวมาอาการของผนินทรนั้นน่าเป็นห่วงไม่น้อย การกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดซึ่งไกลมือหมอและเครื่องมืออันทันสมัยจะเป็นเรื่องที่ดีไม่มหาสมุทรชักเริ่มไม่แน่ใจ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นอย่างใช้ความคิด ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกเข้าของเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง

ชื่อที่แสดงหน้าจอทำให้ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้ว

มันเป็นชื่อของบอร์ดิกร์ดที่เฝ้าอยู่หน้าห้องของผนินทร

“ว่ามา” เขากรอกเสียงเข้มๆลงไปตามสายโดยไม่เอ่ยทักทาย ซึ่งทำจนเป็นนิสัยไปเสียแล้ว

“มีผู้หญิงท่าทางน่าสงสัยสองคนมาที่ห้องครับ เธอแต่งตัวเป็นพยาบาลแต่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ท่าทางก็มีพิรุธ เธอมาสอบถามอาการของคุณคนเล็กครับ”

อีกฝ่ายรายงานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เข้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ บอกทุกคนให้เตรียมพร้อมทุกเมื่อ อย่าเพิ่งปล่อยให้สองคนนั้นกลับไปจนกว่าฉันจะไปถึงที่นั่น เข้าใจนะ”


“พวกคุณเป็นใคร”

ผนินทรถามเสียงสั่น มองพยาบาลสาวสองคนที่ใส่หน้ากากอนามัยปิดหน้าปิดตาเดินบุ่มบ่ามเข้ามาหาเขา แถมยังเรียกเขาว่า ‘คุณคนเล็ก’ เหมือนผู้ชายที่เดินออกไปเมื่อครู่ ชื่อแปลกๆที่เขาไม่แน่ใจเลยสักนิดว่ามันจะเป็นชื่อของเขาหรือไม่ และเขาเองก็ไม่อยากคิดอะไรในตอนนี้

“จำพวกเราสองคนไม่ได้เหรอคะ” หญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้ม แต่งหน้าจัดจ้าน ขนาดเข้าเห็นแค่คิ้วโก่งสีเข้มกับเปลือกตาสีน้ำตาลแก่นั่น ยังพอจะเดาออกว่าเธอเป็นสาวทันสมัย หญิงสาวสาวทำท่าฟึดฟัด ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ก่อนจะหันไปหาผู้หญิงอีกคนที่ท่าทางเจี๋ยมเจี๊ยม ยืนสงบเสงี่ยมอยู่เบื้องหลัง “หรือเขาจะความจำเสื่อมแบบในละครกันจี้”

หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า จี้ ส่ายหน้า ก่อนหันมามองเขาตาเศร้า คิ้วขมวดมุ่น

“คุณคนเล็กบาดเจ็บมากจริงๆพันแผลเต็มตัวไปหมดเลยฝน เราสงสารเขาจัง”คนพูดทำเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ มีน้ำตาเอ่อที่ขอบตา

แต่ผนินทรยังไม่อยากเห็นใครร้องไห้ตอนนี้ เขาอยากรู้มากกว่าว่าผู้หญิงสองคนนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในนี้ได้ เธอแต่งชุดสีขาว เหมือน...นางพยาบาล

แม้ตอนนี้เขาจะมึนๆงงๆ แต่เขาก็คิดว่าแววตาท่าทางของผู้หญิงสองคนนี้ช่างคุ้นตา คุ้นใจเขานัก

แต่ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ เธอก็ยังไม่ได้ตอบคำถามเขาเลยนี่

“ผมถาม...ไม่ได้ยินเหรอ” เขาตวาดซ้ำเสียงดังลั่น ก่อนที่จะเจ็บที่แผลบริเวณหน้าท้องด้านซ้ายเสียเอง

“คุณคนเล็ก!!” หญิงสาวเรียบร้อยร้องเรียก แต่ไม่ได้ถลาเข้ามาหาเขาแต่อย่างใด กลับฉุดมือของเพื่อนออกมาจากข้างเตียงแทน “ฝน เรากลับกันเถอะนะ เราว่าถ้าเกิดคุณคนเล็กเป็นอะไรขึ้นมาเราจะลำบาก ตอนนี้ฝนยังไม่มีแผนใช่ไหม เรากลับกันก่อนเถอะ ให้เขาได้พักผ่อน”

“ไม่ได้จี้ ฉันจะต้องสอบถามเขาตอนนี้ ฉันรอไม่ได้ ฉันทนไม่ได้หรอก” ผู้หญิงคนนั้นสะบัดมือออกอย่างแรง แล้วหันมาทางเขา “คุณคนเล็ก คุณคิดว่าที่คุณประสบอุบัติเหตุครั้งนี้ มันเป็นอุบัติเหตุหรือการฆาตรกรรมคะ”

ผนินทรเบิกตากว้างอย่างตกใจ

ผู้หญิงคนนี้หมายถึงอะไร ใคร? ฆาตกรรม?

ชายหนุ่มพยายามนึก แล้วอยู่ๆความรู้สึกปวดปลาบก็แล่นเข้าสู่ศีรษะจนชาหนึบไปหมด เขาร้องอย่างทรมานเพราะความปวดที่เกิดขึ้น บิดตัวไปมาอย่างแสนเจ็บปวด หางตามองเห็นชายชุดดำสามสี่คนกรูเข้ามาในห้องและรุมเขาไว้ด้วยความตกใจ

“คุณคนเล็ก....!! ฉิบหายแล้วไง ถ้าคุณคลื่นมาเห็นสภาพนี้พวกเราตายห่ากันหมดแน่” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น

“กูว่ามึงกดปุ่มเรียกหมอมาเถอะ ก่อนที่มึงจะกลายเป็นคนป่วยไปอีกคน”

และเพราะความชุลมุนเล็กๆที่เกิดขึ้นนั่นเอง ทำให้ไม่มีใครสังเกตได้ว่านางพยาบาลสาวสองคนได้หนีหายไปจากตรงนั้น แล้วเรียบร้อย


วรรษชลหายใจหอบถี่อย่างหมดแรง โยนผ้าปิดปากอย่างนึกรำคาญโดยไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าใครจะเห็นหน้าเธออีกหรือไม่ตอนนี้รู้อย่างเดียวว่าเหนื่อยและร้อนเต็มทน หลังจากวิ่งหนีออกมาจากห้องพิเศษนั้นโดยอาศัยตอนที่ทุกคนกำลังชุลมุนวุ่นวายกับอาการของผนินทร ในขณะที่เพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเธอเองก็มีสภาพที่ไม่แตกต่างกันมาก รายนั้นออกจากหนักกว่าเธอด้วยซ้ำ เพราะทันทีที่ขจีเนตรมาถึง ก็เกิดขาการเข่าอ่อนหมดทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างไม่กลัวเปรอะเปื้อน

“เหนื่อยเป็นบ้าเลยนะฝน” ขจีเนตรยกมือขึ้นทาบอก “แล้วนี่คุณคนเล็กจะเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้”

วรรษชลมองเพื่อนเหมือนเป็นตัวประหลาด นี่ยังมีแก่ใจห่วงผนินทรอีกหรือนี่

“เชื่อเลยจีจี้”หญิงสาวโคลงศีรษะให้กับอาการ ‘อยู่ในห้วงรัก’ ของเพื่อนสนิท “เอาชีวิตรอดมาได้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว คราวนี้แหละเราจะทำยังไงต่อดี ไม่นึกเลยว่าคุณคนเล็กจะความจำเสื่อมแบบนั้น”

“จะยังไงก็แล้วแต่นะ เราว่าพวกเรากลับกันเถอะฝน”

“วันนี้เราก็คว้าน้ำเหลวอีกแล้วเหรอเนี่ย เซ็งมาก” หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปดด้วยความหงุดหงิด ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตัวเองก่อนจะกระฟัดกระเฟียดออกไปจากตรงนั้น แต่ยังไม่ทันไปถึงไหน หญิงสาวก็ตกใจจนหัวใจจนแทบจะหยุดเต้น เมื่อเห็นกลุ่มชายชุดดำสี่ห้าคน ที่เดินเปะปะไปทั่ว ท่าทางเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง

วรรษชลกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเขากำลังหาใคร !

หญิงสาวหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก หันกลับไปมองเพื่อนอย่างนึกเป็นห่วง แม่เพื่อนตัวดีของเธอก็เดินทอดน่องสบายใจเฉิบกิริยาเรียบร้อยเหมือนนางในวรรคดีอยู่ได้ ไม่รู้ตัวซะบ้างเลย

ยิ่งเห็นว่าชายชุดดำเข้ามาใกล้เท่าไหร่ หญิงสาวยิ่งหัวใจเต้นช้าลงเท่านั้น

พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น ชั้นวางหนังสือที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ขจีเนตรยืนอยู่ วรรษชลรีบก้าวยาวๆเต็มความสามารถ คว้าแขนบอบบางของนางในวรรคดี ออกแรงกระชากอย่างแรง และพลักเธอนั่งลงบนเก้าอี้นวมที่วางเรียงกันอยู่ ก่อนจะยัดหนังสือพิมพ์ให้ขจีเนตรถือกางไว้บังหน้า

“อะไรกันฝน เราไม่อยากอ่านหนังสือพิมพ์ตอนนี้”ขจีเนตรทำหน้าเหรอหราไม่รู้เรื่อง

วรรษชลระบายลมหายใจอย่างนึกรำคาญขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะทำเสียงเขียว

“ถ้าอยากโดนจับไปนั่งยางริมป่าก็เชิญเอาหนังสือพิมพ์ลงมาเลย” พูดจบก็ทำหน้าพยักเพยิดให้เพื่อนสนิทหันไปมองชายชุดดำที่ก้าวเข้ามาใกล้ทุกที ก่อนที่ตัวเองจะยืนหันหน้าเข้าชั้นหนังสือและหยิบนิตยสารเก่าๆที่วางอยู่ขึ้นมาเปิดอ่านในทันที

เมื่อชายชุดดำร่างใหญ่สองคนเดินผ่านมาด้านหลัง หญิงสาวแถบจะกลั้นใจตายเสียให้ได้

รู้สึกเหมือนเขาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเธอพักหนึ่ง ก่อนจะวิ่งจากไป

ขจีเนตรถอนใจอย่างโล่งอก พิงศีรษะกับผนังอย่างหมดแรง เธอเองก็ไม่ต่างกัน เธอวางหนังสือที่ถืออยู่ในมือกลับคืนกองของมันอย่างเดิม โดยไม่ลืมที่จะยกมือไหว้อย่างรู้คุณ

แล้วสายตาอันแหลมคมของเธอ ก็เห็นรูปบนหน้าปกหนังสือเล่มนั้นเข้าอย่างจัง

หญิงสาวหยิบมันขึ้นเปิดอ่านมันอย่างยินดี ราวกับคนเจอโอเอซิสในทะเลทรายก็ไม่ปาน

“หนังสือเรื่องย่อละครนี่”ขจีเนตรทักขึ้นอย่างแปลกใจ “ปกติแล้วฝนไม่ดูละครไทยไม่ใช่เหรอ เห็นดูแต่ซีรีย์อเมริกา”

“ตอนนี้ฉันเริ่มสนใจละครแล้วล่ะ” เธอเบิกตากว้างอย่างสนใจจริงๆจังๆ ก่อนยกหนังสือเล่มนั้นให้เพื่อนดู “ละครเรื่องนี้ออนแอร์วันไหน”

ขจีเนตรมองหนังสือเรื่องย่อละครเรื่องนั้นแล้วอมยิ้ม ส่ายหน้าช้าๆอย่างนึกเอ็นดู

“ฉายจบไปนานหลายเดือนแล้วล่ะ แต่ถ้าอยากดูล่ะก็ เราอัดเก็บไว้เพราะชอบพระเอกคนนี้ ถ้าฝนสนใจ ขากลับก็แวะบ้านเราแล้วกัน เราหยิบให้”

วรรษชลส่ายหน้าเร็วๆ

“ไม่ๆ เราไม่อยากดู แต่เราอยากรู้ว่านางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชายเข้าไปในไร่ของพระเอก พระเอกดูไม่ออกเลยเหรอ” วรรษชลเบิกตาอย่างกระตือรือร้นสุกขีด จนขจีเนตรหัวเราะเบาๆ

“ไม่รู้ ไปรู้ตอนเกือบอวสานเลยล่ะ ตลกมาก”หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ก่อนเสียงหัวเราะใสๆจะค่อยๆแห้งไปในที่สุด เหมือนจะรู้ทันอะไรบางอย่าง “นี่..อย่าบอกนะว่าจะคิดพิเรนทร์ปลอมตัวเป็นผู้ชายเข้าไปในอาณาจักรของคุณคนเล็กเพื่อสืบข่าวน่ะ”

ขจีเนตรส่ายหน้า รีบเข้ามากุมมือเพื่อไว้แน่น

“มันมีแค่ในละครนะ ใครเขาจะดูไม่ออกกัน แล้วคุณคนเล็กเขาชอบเธออยู่นะ เขาจะจำเธอไม่ได้ได้ยังไง”

วรรษชลถอนหายใจ มุ่ยหน้าอย่างผิดหวัง

“แต่....”สาวมั่นทำท่าจะเถียง แต่ขจีเนตรกลับขัดขึ้นก่อน

“ไม่มีแต่....เราต้องหาวิธีกันใหม่ ไม่ใช่วิธีปลอมตัวเป็นผู้ชายนี่”ขจีเนตรแย่งหนังสือเรื่องย่อละครมาไว้ในมือ ก่อนจะวางคืนไปบนกองหนังสือ แล้วลากเพื่อนออกมาจากตรงนั้น

หากแต่วรรษชลยังคงมองหนังสือเล่มนั้นจนสุดสายตา


หลังจากสั่งการลูกน้องให้คอยจับตาดูอย่าให้ใครเข้ามาใกล้ผนินทรตามลำพังได้อีก มหาสมุทรก็เข้ามาในห้องพักของผนินทรเพียงลำพัง เขาเห็นผนินทรนั่งซึมผิดจากความเป็นผนินทรคนเก่า ชายหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย มหาสมุทรเห็นแล้วอดหดหู่ตามไม่ได้

“นี่..คุณคนเล็ก ผมว่าเราไปเดินเล่นสูดอากาศดีๆในสวนหย่อมกันบ้างไหมครับ หมอบอกว่ามันอาจจะทำให้คุณหายเร็วขึ้นนะ”

ผนินทรหันมามองเขาช้าๆ แววตาว่างเปล่า

“ไม่ล่ะครับ”เขาปฎิเสธเสียงเอื่อย ขยับตัวทำท่าจะล้มลงนอนอีกรอบ “ผมไม่อยากออกไปไหน”

“แล้วไม่รู้สึกอึดอัดบ้างเหรอ ผมอยู่แค่แป๊วเดียวยังอึดอัด คุณนอนตั้งนานแล้ว เบื่อตายชัก”

ผนินทรหลับตาลงช้าๆ ก่อนขยับปากพูด

“ผมอึดอัดสิ”เขาพูดทั้งที่ไม่ลืมตา “ผมรู้สึกเหมือนว่าทุกคนปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องอุบัติเหตุ ตัวตนของผม ผมรู้แค่ว่า ผมชื่อ คนเล็ก ก็เท่านั้น”

มหาสมุทรคลี่ยิ้มบางๆ ขยับเข้าไปใกล้เตียงคนไข้ใกล้กว่าเก่า

“คุณค่อยๆรับรู้เรื่องต่างๆไปนะครับ หมอบอกว่าสองสามเดือนคุณก็หายเป็นปกติแล้วครับ”

คนที่นอนอยู่บนเตียงยกเปลือกตาขึ้นข้างหนึ่ง

“ก็หวังว่านะ” เขายักไหล่น้อย ๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเช่นเดิม มหาสมุทรมองอยู่จนแน่ใจแล้วว่าผนินทรหลับไปแล้วจริงๆจึงได้เดินไปนั่งอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ที่โซฟาในห้องรับรองผู้เฝ้าไข้

โดยไม่รู้เลยว่า คนที่กำลังแกล้งหลับสนิทอยู่บนเตียงนั้น ไม่สามารถเอาภาพของพยาบาลสาวสองคนที่บุกเข้ามาในห้องเขาเมื่อครู่ได้เลย

ไม่รู้ว่าทำไม ช่างรู้สึกคุ้นเคยนัก


ขจีเนตรไม่สงสัยเลยว่าทำไมตลอดทางกลับบ้านเพื่อนสาวช่างจ้อของเธอถึงได้นั่งนิ่งจมอยู่กับความคิดไม่พูดไม่จาเช่นที่เคยเป็น เพราะทันทีที่เธอตามวรรษชลมาที่บ้าน หญิงสาวก็พาเธอขึ้นไปบนห้องนอนส่วนตัวชั้นบน และหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงสดมาวางตรงหน้า

“นี่มันคืออะไรเหรอฝน”

วรรษชลไม่ตอบ ฝ่ายนั้นทำเพียงแค่มองหน้าเธอเหมือนช่างใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจเปิดกล่องกำมะหยี่นั้นออกมา สิ่งที่อยู่ในกล้องนั้นทำให้ขจีเนตรต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

เครื่องเพชรชุดเล็กที่ดูเหมือนจะเป็นของเก่า ในชุดประกอบไปด้วยสร้อยเพชรน้ำงามลายเหมือนเป็นดอกไม้ กับต่างหูและแหวนเพชรล้อมทับทิมสีม่วงงดงาม ดูสูงค่าเป็นอย่างมาก

ขจีเนตรมองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ วรรษชลนำของแบบนี้มาให้ดูเพื่ออะไร

“ถ้าฉันบอกแล้วเธออย่าโกรธฉันนะ”หญิงสาวพูดไม่เต็มเสียง ความมั่นใจที่เคยมีลดหายไปเกือบครึ่ง ขจีเนตรเห็นเพื่อนเป็นแบบนั้นแล้วก็อดอยากรู้ไม่ได้ จึงได้พยักหน้าตอบรับไปอย่างที่เพื่อนต้องการ

ฝ่ายนั้นจึงได้ขยับตัวเล็กน้อย และพูดไม่เต็มเสียงว่า

“เครื่องเพชรชุดนี้ เป็นของคุณคนเล็ก”

ขจีเนตรแปลกใจกับเรื่องที่ได้ยินเป็นอย่างมาก หมายความว่าอย่างไรกันแน่

จำได้ว่าตอนอยู่ที่ต่างประเทศ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผนินทรติดต่อเธอมา เพื่อของคำปรึกษาที่จะขอวรรษชลเป็นคนรักแบบจริงจังจนถึงขั้นแต่งงาน เขานำแหวนมาให้เธอดูวงหนึ่ง บอกว่าเป็นของตกทอดกันมาตั้งแต่รุ่นคุณย่า เป็นของสำคัญประจำครอบครัว เขาต้องการจะมอบมันให้วรรษชล

ขจีเนตรจำได้เป็นอย่างดี มันคือแหวนวงเดียวกันกับที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้

“แหวนนี่....เป็นแหวนประจำตระกูลของคุณคนเล็ก”ขจีเนตรพึมพำ

“ใช่...ฉันเคยปฏิเสธที่จะไม่รับแหวนนั่น”เพื่อนรักของขจีเนตรเริ่มเล่า “แต่ตอนที่ฉันจะกลับมาที่นี่ คุณคนเล็กได้มอบนี่ให้ฉัน เขามอบให้ฉันและบอกว่าให้เวลาคิดให้ดีๆ แล้วเขาจะมาเอาคำตอบด้วยตัวเอง”

ขจีเนตรรับฟังเพื่อนนิ่ง สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ถ้าจะถามว่าเธอเจ็บปวดหรือไม่ ที่เห็นว่าวรรษชลกับผนินทรมีพัฒนาการทางด้านความรักโดยที่เธอไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลย

คำตอบคือ เจ็บปวด

ใช่เธอเจ็บปวด ปลาบแปลบในใจ แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ผนินทรกับวรรษชลรู้จักกันมาก่อน สำหรับตัวเธอนั้นมีโอกาสได้ไปเรียนภาษาช่วงระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่หนึ่งปี เธอได้รู้จักกับผนินทรก็ช่วงเวลานั้นเอง ตอนนั้นผนินทรก็ตาตื้อวรรษชลอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เธอได้รู้จักกับผนินทรไปด้วย ผนินทรเป็นผู้ชายร่าเริง สดใส เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ไม่เว้นแม้แต่เธอที่เป็นคนที่เขาเพิ่งรู้จัก

“นิ่งไปเลยเหรอจี้ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันขอโทษ”หญิงสาวถูกมือไปมา ต้องการขอโทษเพื่อนคนสนิท

“ไม่ต้องขอโทษหรอกฝน ฝนไม่ผิดนี่ คุณคนเล็กเขาเป็นคนดีนะ เสียดายที่เขามาเจ็บป่วยไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเธอกับคุณคนเล็กก็คงจะได้ลงเอยกัน” พูดไป ขจีเนตรก็รู้สึกโหวงๆในหัวใจตัวเองแปลกๆ

“ไม่หรอก...ยิ่งเห็นเธอชอบเขาจริงจังขนาดนี้ ฉันก็ยิ่งหักหลังเธอไม่ได้”

“อย่าเลย แล้วจะบอกอะไรให้นะ ลองคุณคนเล็กเขาเอาของแบบนี้มาให้เธอแสดงว่าเขาจริงจังกับเธอมาก อีกอย่างนะ ฉันเองก็มีคนที่ต้องแต่งงานด้วยอยู่แล้ว”

วรรษชลเบิกตากว้าง แทบจะกระโดดข้ามกล่องเครื่องเพชรมาเกาะเธอเลยทีเดียว

“บ้าน่า....อย่าบอกนะว่ายายเธอจะจับเธอแต่งงานน่ะ”

ขจีเนตรพยักหน้าแทนคำตอบ ใช่ ยายเธอหาคนที่เหมาะสมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เธอเองก็เคยพบเจอพูดคุยกับเขาอยู่บ้าง เขาเป็นคนดี สุภาพ เรียบร้อย เธอคงจะรักเขาได้ไม่ยาก

“พอเถอะยายจี้ เลิกดราม่า ดูสิ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้”วรรษชลโน้มตัวมาตีต้นแขนเธอเบาๆ “ที่ฉันเอาเครื่องเพชรมาให้ดูนี่ไม่ใช่เพื่อจะอวดเธอให้เธอเสียใจหรอกนะ แต่เพื่อแผนของเราต่างหาก”

วรรษชลกอดอก เชิดหน้าอย่างมั่นใจในความคิดของตัวเองสุดๆ

“ฉันจะนำเครื่องเพชรชุดนี้ไปแสดงตัวกับคุณผนินทร บอกเขาว่าฉันเป็นคู่หมั้นเขา และฉันต้องตามดูแลเขาทุกฝีก้าว จนกว่าจะหายดี”

ขจีเนตรแทบจะลมจับ แทบจะทันทีที่ได้ยินความคิดของเพื่อนสาว

“จะบ้าเหรอ...มันอันตรายมากนะ ฝนจะทำเรื่องแบบนั้นคนเดียวได้ยังไง ไม่เห็นเหรอว่าคนพวกนั้นน่ากลัวแค่ไหน ฝนก็บอกเองนี่ว่าพวกนั้นอาจจะเอาเราไปนั่งยางที่ไหนก็ได้”

วรรษชลโบกนิ้วชี้ไปมา ราวกับขจีเนตรพูดผิด เข้าใจผิด

“ใครว่าคนเดียวกันล่ะ” หญิงสาวขยับตัว ทำตาวาวอย่างกระตือรือร้น “เธออีกคน รวมกันเป็นสองคนต่างหากล่ะจีจี้”

ขจีเนตรเบิกตากว้างอย่างตกใจ ร้องอุทานขึ้นมาเสียงดัง

“จะบ้าเหรอ เซ่อๆซ่าๆอย่างเราเนี่ยนะ ไปเป็นเป้านิ่งให้เขาฆ่าเสียมากกว่า”

“เธอไม่ต้องทำอะไรเลย”เจ้าของแผนการพยายามเกลี้ยกล่อมเสียงอ่อน

เสียงหวาน “สิ่งที่เธอต้องทำก็คือ ดูแลคุณคนเล็กแบบอย่าให้คราดสายตา ฉันเนี่ยแหละจะเป็นคนคอยเก็บหลักฐานและดูพฤติกรรมคนรอบข้างเอง”

ขจีเนตรร้องเสียหลง แม้ในใจจะแอบยินดีและเริ่มจินตนาการถึงภาพตัวเองที่คอยดูแลผนินทรอยู่ก็ตาม

“จืดชืดอย่างเราเนี่ยเหรอ จะไปอ้างเขาว่าเป็นคนรักของคุณคนเล็ก ใครจะไปเชื่อ แล้วยิ่งไปกับฝนนะ เป็นใคร ใครก็ชอบฝนมากกว่า ยิ่งคนใกล้ตัวของคุณคนเล็ก ก็น่าจะรู้สเป็คของเขาบ้างแหละ” ขจีเนตรพยายามจะอธิบาย แต่อีกฝ่ายเหมือนเตรียมไว้อยู่แล้วว่าเธอจะถามคำถามนี้ จึงได้สวนขึ้นทันควัน

“ก็ใครว่า เราจะไปทั้งสภาพอย่างนี้กันบ้างล่ะ ฝนซะอย่าง ธรรมดาที่ไหน”
วรรษชลยักคิ้วอย่างมั่นใจ ในขณะที่ขจีเนตรได้แต่ทำหน้าเมื่อย ไม่เห็นด้วยกับเพื่อนอย่างแรง แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งใดๆ



ศิลป์ศรุตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ค. 2554, 23:06:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ค. 2554, 23:06:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1456





<< ตอนที่ 1 ลบคำสบประมาท   ตอนที่ 3 การมาของคนในความทรงจำ (1) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account