วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๑ (จบตอน)

รุ่งเช้ามาเยือนโดยที่เผด็จมิได้หลับลงสักงีบ เพียงตีห้าเศษๆ แสงตะวันก็เริ่มจับขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกย้อมริ้วเมฆขาวราวปุยนุ่นเป็นสีแดงเรื่อทอง ทั้งงดงามและอ่อนโยน ทว่าชายหนุ่มไม่ได้มีจิตใจละมุนละไมพอจะมาชมความงดงามของธรรมชาติเวลานี้ เขาปิดปากหาว หนังตาหลุบโรย แถมหิวโหยคล้ายอดโซมานาน

ร่างสูงเพรียวซึ่งเดินเล่นวนเวียนไปมาอยู่ในสนามหญ้าตั้งแต่กลางดึกตรงเข้าครัวซึ่งยามนี้ไม่มีใครอยู่สักคน ป้าแม่ครัวและเด็กผู้ช่วยไปจ่ายตลาดยังไม่กลับ เขาลงมือค้นหาเครื่องดื่มในตู้เย็นหรืออะไรอื่นก็ได้ที่พอจะช่วยทุเลาความหิว ทำให้ตาสว่างและมีชีวิตเหมือนคนธรรมดา

และแล้ว สายตาก็ปะทะเข้ากับบางสิ่งนอนนิ่งอยู่ในตู้เย็น ดวงตาสีนิลวาววามยามมองของสิ่งนั้น เขากลืนน้ำลายลงคอ ระงับความต้องการไว้อย่างยากเย็นเขากำลังต้องการมันมาก...

เลือด! ใช่...สิ่งนั้นคือเลือด...เลือดสดถุงใหญ่มัดปากจนตัวถุงพองสวย ช่างเย้ายวนชวนลิ้มลองเสียนี่กระไร เผด็จไม่รู้ตัวเลยว่าได้เอื้อมมืออันสั่นเทาไปยังเลือดถุงนั้น ก่อนจะคว้าหมับมากัดจนมุมตรงก้นถุงขาด เขาแหงนเงยดูดดื่มน้ำสีแดงเข้มข้นเข้าไปทดแทนความหิวกระหาย เปลือกตาพริ้มหลับ กำซาบรสชาติซึ่งปกติเค็มคาว ทว่าบัดนี้เขากลับรู้สึกหอมหวานล้ำเลิศยิ่งกว่าอาหารจานพิเศษใดๆ ไร้ความสะอิดสะเอียนเช่นครามีชีวิต

กว่าจะรู้ตัว เลือดสดในถุงก็หมดเกลี้ยง เขามองถุงเปล่าในมือด้วยความตระหนก คาดไม่ถึง เหมือนมันเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะมัดตัวฆาตกรร้ายอย่างไรอย่างนั้น

เสียงฝีเท้า เสียงพูดคุยของแม่ครัว เด็กผู้ช่วย และคนขับรถดังมาจากทางเดินด้านนอกทอดยาวจากโรงรถ เลียบตึกใหญ่มาสู่ครัวซึ่งถูกต่อเติมอยู่ด้านหลังของตัวบ้าน เผด็จดึงกระดาษหนังสือพิมพ์บนโต๊ะสำหรับวางเครื่องครัวมาหนึ่งแผ่น ซุกถุงเลือดไว้ด้านในแล้วขยำเป็นก้อนกลมปาลงถังขยะ จากนั้นรีบรุดไปยังประตูซึ่งเชื่อมกับตึกใหญ่...เขาไม่ต้องการให้ใครรู้เห็นการกระทำอันน่าหวาดเกรงของเขาในครั้งนี้ ไม่ต้องการเลยจริงๆ

เขาจะต้องดื่มเลือดเป็นอาหารไม่ต่างจากผีดิบอย่างนั้นหรือ เผด็จถามตัวเองขณะทิ้งกายลงบนเตียง แขนข้างหนึ่งก่ายเกยอยู่บนหน้าผาก รับรู้ถึงพลังที่อัดแน่นอยู่ในกาย ความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ความมีชีวิตชีวาแล่นซ่านไปทั่วร่าง เหล่านี้เป็นคำตอบอย่างดีว่าเลือดสามารถชุบชูให้ร่างนี้แข็งแกร่งพอๆกับดวงจิตซึ่งเข้ามาอาศัย อีกทั้งสมองยังคิดอ่านได้ว่องไว บางเรื่องหลงลืมไปก็กลับนึกออก

ตั้งแต่มาอยู่ในร่างวาริ เผด็จมัวแต่หลงเพลินไปกับการเอาอกเอาใจของวิไลวรรณ จนเกือบลืมคนสำคัญอีกคนในชีวิตไปเสียสนิทใจ

รัฐมนตรีบดินทร์ บิดาแท้ๆของเขา ป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง เคยตั้งใจว่าหายดีแล้วจะไปหา วันนี้สบโอกาสเหมาะ แต่จะเข้าพบอย่างไรในเมื่อเขายังอยู่ในร่างวาริ คนอย่างรัฐมนตรีบดินทร์ไม่ยอมให้ใครพบง่ายๆหรอก โดยเฉพาะคนไม่รู้จักคุ้นเคย
ไม่เห็นยาก เผด็จดีดนิ้วดังเป๊าะ คืนนี้ก่อนสิ...เผด็จคิดอย่างกระหยิ่มใจ หากการพบกันดีๆจะต้องทำเรื่องยุ่งยาก เขาก็มีวิธีอื่นที่ง่ายกว่านั้น

เรือนกายสูงใหญ่ได้ส่วนสัดสวยงามเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งบุรุษเพศก้าวออกจากห้องน้ำ หยดน้ำเกาะพราวบนผิวขาวสะอาด ตั้งแต่ใบหน้าจนกระทั่งลำตัว ท่อนล่างพันไว้ด้วยผ้าขนหนูสีเข้ม สัญชาตญาณในตัวกระตุ้นเตือนให้ตรงไปยังม่านหน้าต่างหนาหนักซึ่งปิดทึบทึม ราวกับห้องนอนกว้างขวางแห่งนี้คือโถงถ้ำในป่าลึก นิ้วเรียวยาวแหวกผ้าม่านแยกห่างจากกันอย่างช้าๆ ระมัดระวัง เปิดทางให้แสงแห่งวันลอดผ่านเข้ามาสลายความมืดทึบภายในทีละน้อย

แสงอาทิตย์ทาทาบบนเรือนกายแกร่ง ชายหนุ่มนิ่งงัน ก้มมองส่วนเสี้ยวของความสว่างบนร่างกาย ก่อนเลื่อนม่านให้กว้างขึ้น รอยยิ้มพึงใจบนใบหน้าค่อยๆฉีกกว้างขึ้นจนเกิดรอยบุ๋มเล็กๆสองข้างแก้มใกล้มุมปาก
ต้องเป็นเพราะเลือดในปริมาณมากที่ดื่มเข้าไปในช่วงเช้าแน่เลย มันช่วยให้เขาสู้แสงยามกลางวันได้อย่างสบาย ไม่ต้องทรมานด้วยความปวดแสบปวดร้อนอีกแล้ว

เผด็จผิวปากหวืออย่างชอบใจขณะกระชากม่านปิดเข้าที่เดิม ถึงอย่างไรเขาก็โปรดปรานความมืดมากกว่าอยู่ดี
หลังจากแต่งตัวเสร็จ ชายหนุ่มก็ลงมายังชั้นล่าง ตั้งใจจะแวะบอกวิไลวรรณว่าตนจะออกไปข้างนอก เช้าๆแบบนี้ เผด็จรู้ว่าหล่อนจะอยู่ที่ใด ชายหนุ่มชะโงกเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร และพบว่ามันว่างเปล่า ถ้าอย่างนั้นคงนั่งจิบกาแฟพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์ไปพลางอยู่ริมสระว่ายน้ำ

นั่นอย่างไร ป้าแม่ครัวยกถาดบรรจุกาแฟสดพร้อมเครื่องปรุงไปให้ วิไลวรรณนิยมปรุงกาแฟเอง เพราะแต่ละวันก็ดื่มรสชาติไม่ซ้ำกัน ยากที่ใครจะเอาใจ

ครั้นเดินไปใกล้ ก็ได้ยินหญิงสูงวัยรายงานว่า

“คุณผู้หญิงคะ เลือดสดที่คุณให้ป้าซื้อมาวันก่อน ว่าจะลงครัวทำก๋วยเตี๋ยวน้ำตกหมูน่ะค่ะ มันหายไปจากตู้เย็นทั้งถุงเลย ไม่รู้หายไปได้ยังไง ป้ามารู้ตอนกลับจากตลาด เลยต้องรอซื้อรอบใหม่ตอนไปตลาดเช้าพรุ่งนี้ เพราะแม่ค้าที่เราซื้อประจำและไว้ใจได้เขา
ขายเฉพาะช่วงเช้าค่ะ”

“ฮื้อ จะหายไปเฉยๆได้ยังไง ป้าซื้อแล้วลืมหิ้วกลับมาหรือเปล่า”

“ไม่ลืมค่ะ ถามคนในครัวดูได้ ใครๆก็เห็นว่าป้าเอาใส่ตู้เย็นเองกับมือ”

ได้ยินเช่นนั้น เผด็จก็เปลี่ยนความตั้งใจ รีบเลี่ยงจากตรงนั้นโดยไม่รอให้ทั้งสองรู้ตัว เหมือนคนมีชนักปักอยู่บนหลังและเกรงว่าใครจะหันมาพบ

ชายหนุ่มขับรถออกจากบ้าน ช่วงเช้าแบบนี้รถติดกันเป็นแพยาว เขาฆ่าเวลาโดยการหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเล่นเกม รถค่อยขยับทีละนิดแต่ก็ไม่พ้นไฟแดงสักที เกมที่เล่นก็ไม่ชนะ ยิ่งสร้างความหงุดหงิดใจให้เขาไม่น้อย สุดท้าย เผด็จจึงเลิกเล่นแล้วหันมากดดูรายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ที่วาริบันทึกไว้แทน

และแล้วชื่อใครคนหนึ่งก็โดดเด่น สะดุดตา สะดุดใจ

เปมิกา...คนนี้ใช่ไหมที่น้ำหนึ่งบอกว่าเป็นแฟนวาริ และกำลังจะแต่งงานกันแต่จนบัดนี้ เขายังไม่เคยเจอผู้หญิงชื่อเปมิกามาเยี่ยมวาริเลย แถมวิไลวรรณก็ไม่เคยเล่าถึงเว้นแต่เขาสะดุดใจและถาม ซึ่งหล่อนก็ตอบแบบกว้างๆไม่ให้เขาคิดมาก แถมบางครั้งเผด็จรู้สึกเหมือนถูกชี้นำให้เข้าใจว่าวาริกับเปมิกาไม่มีความสัมพันธ์พิเศษใดๆต่อกันแล้ว

คิดมาถึงตรงนี้ คิ้วดกหนาก็ขมวดเข้าหากัน เหลือบมองเวลาตรงมุมขวาบนหน้าจอสมาร์ทโฟน อีกห้านาทีเก้าโมงเช้า หากโทร.ไปตอนนี้ คงไม่ถือเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนหรอกนะ

มือไวเท่าความคิด เพียงปลายนิ้วแตะเบาๆบนชื่อเปมิกา การติดต่อก็ได้รับการเชื่อมโยงอย่างรวดเร็ว รออยู่นานกว่าเสียงงัวเงียจะตอบกลับมา ฟังจากคำพูดก็รู้แล้วว่าหล่อนขุ่นมัวไม่สบอารมณ์

“จะโทร.มาทำไมว่าน เราเลิกกันแล้วไง”

“เลิก” เผด็จทวนคำด้วยความฉงนใจ ไม่เห็นมีใครเคยบอกว่าวาริกับเปมิกาเลิกกันแล้ว หรือนี่คือเรื่องราวระหว่างหนุ่มสาวที่ไม่มีใครอื่นรู้

“ขอโทษ ผมประสบอุบัติเหตุ เลยทำให้ความจำบางส่วนหายไป ผมจำไม่ได้จริงๆว่าเราเลิกกัน”

“งั้นก็จำไว้นะว่าน ว่าเราเลิกกันแล้ว” เสียงหวานคลายอาการงัวเงีย “เป๊กกี้บอกเลิกว่านเย็นวันนั้นก่อนว่านจะเกิดอุบัติเหตุ และว่านก็ยอมรับโดยดี ไม่มีท่าทีเสียใจแม้แต่น้อย”

เผด็จยังไม่ทันสืบถามคำใด ใครคนหนึ่งก็ถามแทรกขึ้นมา

“ใครโทร.มาแต่เช้าน่ะเป๊กกี้ คุยกันเบาๆหน่อยได้ไหมคนจะหลับจะนอน”

เพียงได้ยินเสียง เผด็จก็ตัวชาวาบด้วยความโกรธ ดวงตาคมฉายแววดุกร้าว มือที่วางอยู่บนพวงมาลัยรถกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่ว่าเขาเกิดหึงหวงเปมิกาแทนวาริขึ้นมาหรอกนะ แต่เป็นเพราะเขาจดจำเสียงอ้อแอ้เหมือนคนเมาเพิ่งตื่นนอนนั้นได้แม่นยำต่างหาก มันคือคนที่เขาเกลียดชังสุดชีวิต

ชรัณ เสียงไอ้ชรัณแน่ๆ

มันเป็นชู้กับยายป๊อกกี้นี่อย่างไม่ต้องสงสัย เพื่อนฝูงกันคงไม่นอนด้วยกันยันเช้า หรือถึงมีคนทำแบบนั้นก็คงไม่ใช่ไอ้หมอนี่ มันไม่เป็นเพื่อนกับผู้หญิงคนไหนแน่

แว่วเสียงเปมิกาตอบชายผู้นั้นว่า

“ใครก็ไม่รู้ค่ะพี่รัน เขาโทร.ผิดน่ะค่ะ”

พี่รัน...ชัดแล้ว ประเทศไทยคงไม่มีคนชื่อเหมือนกันเสียงเหมือนกันหลายคนนักหรอก ยิ่งยายป๊อกกี้ปฏิเสธแบบนี้ ข้อสันนิษฐานของเขาคงเป็นจริงแน่แล้ว

จากนั้นการติดต่อก็ถูกตัดขาดดื้อๆ พร้อมกับการจราจรที่เริ่มเคลื่อนตัว ไฟเขียวสดจ้าที่รถทุกคันรอคอยปรากฏแก่สายตา ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งตามรถคันหน้าไปทันที รถคันงามออกตัวไปด้วยความเร็วและแรงเต็มสมรรถนะ ไม่สนใจสัญญาณไฟสีเขียวเรืองซึ่งสลับเป็นเหลืองและแดงเจิดจ้าในเวลาที่เขาพารถพุ่งผ่านสี่แยกเป็นคันสุดท้าย ขณะที่รถจากอีกฟากทะยานมาด้วยความเร็ว
แตรรถกรีดร้องก้องสี่แยกแห่งนั้น เสียงล้อรถบดกับถนนลั่นเอี๊ยด มันดังก้องจนน่ากลัว รถคันอื่นระส่ำระสาย แต่เผด็จหาได้สะทกสะท้านไม่ สัญชาตญาณสั่งให้เขาเหยียบคันเร่งจนมิด ท้ายรถยุโรปคันงามจึงรอดพ้นการประสานงากลางสี่แยกมาได้อย่างฉิวเฉียด

ความเคียดแค้นชิงชังรุ่มร้อนสุมอยู่ในอกคล้ายฟอนฟืนทับถมลงบนกองเพลิง เผาไหม้สติสัมปชัญญะจนมอดไหม้หมดสิ้น ส่งผลให้เขาลืมสัญญาเสียสนิท สัญญาว่าจะรักษาร่างของวาริอย่างดีตลอดวาระที่วิญญาณเขาดำรงอยู่ในกายเนื้อนี้
ถ้าหากเหตุการณ์ชวนตระหนกเมื่อครู่เกิดพลาด เหตุร้ายครั้งใหม่คงอุบัติขึ้นกับวาริอีกครา

เหตุการณ์เช่นนี้ ถ้าเกิดขึ้นกับคนอื่นคงใจหายใจคว่ำ มือไม้เย็น ทำอะไรไม่ถูกไปเป็นครู่ แต่เมื่อเกิดกับเผด็จ เขาเพียงเหยียดยิ้มมุมปากด้วยความสะใจ ความเคียดแค้นซึ่งขังค้างอยู่ในใจค่อยเบาบางลง

นึกไม่ออกเลยว่า หากเขาได้กำจัดคนคนนั้น ผู้สร้างความชิงชังให้แก่เขา ทำให้มันได้ตกนรกหมกไหม้ไปด้วยกันได้ ความสะใจ สาแก่ใจ จะทบทวีกว่านี้สักเพียงใด

พ้นสี่แยกมาได้ยังไม่เกินห้าร้อยเมตร เผด็จก็ต้องแตะเบรกและนำรถเข้าจอดเทียบบาทวิถี เขานึกอยากอาละวาดใส่ตำรวจจราจรที่บังอาจมาทำให้เขาล่าช้า สิ้นเปลืองเวลาโดยหาสาระอันใดมิได้

ครั้นลดกระจกลง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จัดแจงขอใบขับขี่พร้อมแจ้งความผิดให้ทราบ

“คุณขับรถฝ่าไฟแดง ขอดูใบขับขี่ด้วยครับ”

“ผมกำลังรีบครับ” เผด็จตอบสั้นๆ ไม่มีทีท่าจะยอมทำตาม

“ยังไงก็ต้องขอดูใบขับขี่ครับ คุณทำผิดกฎจราจร” ฝ่ายรักษากฎหมายยืนยันขันแข็ง ท่าทางไม่ยอมอ่อนข้อง่ายๆ
แทนที่เผด็จจะหยิบใบขับขี่มาส่งให้แต่โดยดี บางสิ่งบางอย่างในตัวกลับดิ้นเร่ารอการปลดปล่อย ชายหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นขณะที่เขาสบตานายตำรวจ จู่ๆก็มีพลังบางอย่างรวมตัวกันกลางอก แล้วแล่นรี่ขึ้นสู่ดวงตาทั้งคู่จนอุ่นวาบ “ขอโทษนะครับ ผมจะรีบไป” เขาระเบิดเสียงห้วนกระด้าง นัยน์ตาจ้องคู่สนทนาเขม็ง แสงสีแดงฉายวาบจากดวงตาคู่นั้น

ฝ่ายรักษากฎหมายผงะวูบ แล้วยืนตัวแข็ง ริมฝีปากยังอ้าค้างอยู่อย่างนั้น

เผด็จตระหนกและประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าไม่อยู่คิดค้นหรือพิสูจน์คำตอบ เขาฉวยโอกาสนั้นกดปุ่มปิดกระจกแล้วออกรถในทันที ทิ้งตำรวจจราจรผู้นั้นให้ยืนแข็งเหมือนก้อนหินอยู่บนถนน เป็นภาระให้รถที่แล่นผ่านต้องหลบกันวุ่นวาย

จนท้ายรถชายหนุ่มลับสายตา เพื่อนตำรวจอีกคนจึงขี่มอเตอร์ไซค์มาดูเหตุการณ์ เนื่องจากวิทยุมาแล้วไม่มีการตอบกลับ

“จ่าๆ ทำไมมายืนแข็งเป็นจ่าเฉยอยู่ตรงนี้ล่ะ รถฝ่าไฟแดงที่ให้สกัดไว้ไปไหนแล้ว”

คนยืนแข็งเป็นจ่าเฉยสะดุ้งเฮือกเมื่อคนบนมอเตอร์ไซค์ตบหนักๆลงบนบ่า ครั้นได้สติรู้ตัวก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก

“อ้าว ไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังขอดูใบขับขี่อยู่เลย”

“โถ จ่า สงสัยเมื่อคืนอยู่เวรดึก ไป ไปกินกาแฟให้ตาสว่างก่อน”

คนถูกชวนขึ้นซ้อนท้ายเพื่อนร่วมงาน ทั้งที่สมองยังมึนงง เขาปล่อยรถคันนั้นไปตอนไหน แล้วมายืนเซ่อทำอะไรบนถนน ดีไม่ถูกรถชนตาย คิดแล้วได้แต่ส่ายหน้าด้วยความหน่ายใจที่จดจำอะไรไม่ได้เลย สมองเริ่มแย่แล้ว




จุดหมายปลายทางของเผด็จอยู่ในตรอกแคบๆขนาดรถยนต์สองคันพอสวนกันได้ เขาผลักประตูก้าวลงจากรถ มือสองข้างเท้าเอว ดวงตาสีนิลมองลอดช่องว่างของรั้วระแนง หยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นยืนตัวสงบเงียบท่ามกลางแดดสาย เงียบจนชวนให้คิดว่าไม่มีใครอยู่ ทว่ารถญี่ปุ่นสีขาวคันกะทัดรัดยังคงจอดอยู่ในโรงรถทำให้เผด็จมั่นใจว่าเขาไม่ได้มาเก้อ

วันนี้ฟ้าปลอด ไร้เมฆขาวหรือเทามาแต้มแต่งเช่นทุกวัน ลมตะวันตกพัดแรงจนชายเสื้อเชิ้ตปลิวเยิบยาบ แดดจ้าจัดเพราะฟ้าเปิดอวดสีฟ้าครามกระจ่างใส ปกติอากาศแบบนี้ เผด็จแทบซุกอยู่ในโปงผ้าห่ม เขาดีใจที่สามารถออกไปไหนมาไหนเหมือนคนปกติได้สักที อย่างนี้เขามิต้องดื่มเลือดสดเป็นอาหารทุกวันหรือ

ตกลงนี่เขาเป็นอะไร เป็นคน เป็นวิญญาณ หรือเป็นผีดิบกันแน่

เลือดก่อให้เกิดพลังลึกลับขึ้นในตัวเอง พลังที่สามารถสะกดให้คนแข็งเป็นหิน แล้ววิธีแก้ไขเล่า จะทำเช่นไร

คร้านจะหาคำตอบ บางทีความสามารถพิเศษนี้อาจได้มาเพื่ออะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเชื่อว่าธรรมชาติจะจัดสรรความสามารถให้คนเราอย่างเต็มที่และยุติธรรม เมื่อได้มาแล้วก็ควรอยู่กับมันให้ได้ บางทีนี่อาจเป็นเครื่องมืออันแนบเนียนเพื่อใช้...แก้แค้น!!

เผด็จสลัดความคิดร้ายๆออกจากหัว กดกริ่งสองสามครั้งติดกัน รอไม่นาน คนที่เขาอยากพบหน้าก็โผล่มามองตรงประตูบ้าน ฝ่าเท้าเปล่าเปลือยย่ำมาบนผืนหญ้าฉ่ำชื้นบนสนามเล็กๆ สายตาชายหนุ่มจับตามร่างเพรียวในชุดกางเกงขาสั้นอวดเรียวขาขาวเนียน เสื้อยืดคอวีแขนสั้นลายการ์ตูนเมื่อรวมกับผมหยักยาวซึ่งบัดนี้รวบสูงเป็นหางม้า ทำให้เธอดูเหมือนเด็กมัธยมปลายมากกว่าสถาปนิกสาวผู้สมบุกสมบัน พอเห็นเขาเท่านั้นละ คิ้วเข้มสวยของเธอก็ขมวดฉับเข้าหากัน

“มาทำไมแต่เช้า” น้ำเสียงห้าวห้วนขัดกับใบหน้าสวยเก๋ถามขึ้น

เผด็จมองหน้ายุ่งๆนั้นแล้วชอบใจ น้ำหนึ่งคงไม่รู้ว่าเขาชอบสาวเสียงห้าว แฟนคนแรกที่เขาคบหาก็เสียงห้าว มาดเท่แบบนี้แหละ เธออ่อนกว่าเขาสองปี สวยถูกตา นิสัยถูกใจ แต่เวลานั้นเขาไม่ชอบคบใครนาน พอเบื่อก็เลิก รู้ข่าวว่าอีกฝ่ายฟูมฟายจะเป็นจะตายให้ได้ ทว่าเขาก็ไม่ได้ย้อนกลับไปปลอบโยนหรือสานต่อความสัมพันธ์ มีคนบอกว่าเธอลาออกจากมหาวิทยาลัยและไปเรียนต่อต่างประเทศ เขาดีใจและโล่งใจที่เธอพบหนทางเยียวยาตัวเอง ไม่จ่อมจมอยู่กับอดีตอย่างเขา

“ยืนยิ้มอยู่นั่นแหละ ถามก็ไม่พูด”

“เปิดประตูก่อนสิ แล้วจะบอก”

“ทำไมต้องเชื่อ บ้านเรา เราอยากให้ใครเข้าหรือไม่ให้ใครเข้าก็ได้”

ตอนที่พูด น้ำหนึ่งไม่ได้ทำหน้าดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่น้ำเสียงเธอเข้มและเด็ดขาดจนเผด็จคิดว่า หากเขาดึงดันจะเข้าไปให้ได้ เธอคงกล้าโวยวายและสามารถแจ้งตำรวจจับเขาได้โดยไม่แคร์ความเป็นเพื่อนที่มีต่อกัน...แน่ละ เขาไม่ใช่วารินี่ จะได้อบอุ่นอ่อนโยนจนเธอกล้าบรรจงจูบนุ่มนวลเหมือนวันที่เขาฟื้นขึ้นมาพบ

แทนที่เผด็จจะกลัวหรือเกรงใจเจ้าของบ้าน เขากลับฮึกเหิมอยากเอาชนะ ด้วยความอยากรู้อยากลอง นั่นละจึงได้มองสบดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มซึ่งจ้องเขาอย่างเอาเรื่อง รอจนกระแสอุ่นวาบจุดขึ้นในโพรงอก แล้วแล่นรี่ขึ้นมายังดวงตาทั้งคู่ ซึ่งวันนี้ไร้เลนส์สีดำสนิทปกปิดเหมือนเช่นเคย จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงเข้มชัดจริงจัง บ่งบอกความต้องการชัดเจน

“ฉันอยากเข้าไปข้างใน อย่าขัดขวางได้ไหม”

เห็นชัดว่าน้ำหนึ่งชะงักงัน ดวงตาเบิกกว้าง ยืนนิ่งขึงไม่ต่างจากหุ่นปั้น

ชายหนุ่มนิ่งดูท่าที เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่ขยับ จึงทำท่าจะปีนรั้วเข้าไปภายใน เท่านั้นละ คนยืนนิ่งก็กะพริบตาปริบ ร้องห้ามเสียงหลง

“เฮ้ย จะบ้าหรือ ปีนเข้ามาไม่ได้นะ ไม่งั้นฉันแจ้งตำรวจจับจริงๆด้วย”

เผด็จหยุดการกระทำอันอุกอาจด้วยความฉงนใจ นี่พลังพิเศษของเขาใช้ไม่ได้ผล หรือมันคลี่คลายลงในเวลาอันรวดเร็วกันแน่ แล้วน้ำหนึ่งก็เป็นคนเฉลยให้หายข้องใจ

“เมื่อกี้ฉันเห็นตาเธอแดงมาก เหมือนมีไฟลุกอยู่ข้างในเลย เธอติดเชื้ออะไรหรือเปล่า...” เจ้าตัวเขม้นมอง “แต่มันหายไปแล้วนี่ ทำไมหายไวจัง”

สัญชาตญาณกระมังที่บอกว่าพลังของเขาใช้กับน้ำหนึ่งไม่ได้ผล เมื่อแผนหนึ่งไม่สำเร็จ แผนสองจึงตามติดมาเร็วรี่

“โอ๊ย” เผด็จยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดตา ท่าทางเจ็บปวดมากทีเดียว “ฉันแสบตา...แสบเหมือนโดนพริกราดเลย”

เจ้าของบ้านขมวดคิ้วยุ่ง ท่าทางไม่เชื่อถือเลยสักนิด แต่เมื่อเขาเองก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงขยี้ตาทั้งสองข้างอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอจึงมีท่าทางลังเล

“รีบไปหาหมอสิ มัวยืนโวยวายเป็นเจ๊กตื่นไฟอยู่ตรงนี้ มันจะหายไหมล่ะ”

“ลืมตาไม่ขึ้นแบบนี้แล้วจะขับรถไปยังไงล่ะยายเซ่อ ขอเข้าไปล้างตาข้างในหน่อยสิ”

“โอ๊ย เรื่องมากจริงๆเลย” น้ำหนึ่งบ่นเสียงดัง ก่อนยอมเปิดประตูเล็กให้คนเรื่องมากเข้าไปภายใน ท่าทางไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่คนอย่างเผด็จไม่สนอยู่แล้ว อะไรที่อยากได้ เขาต้องได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็จะเอาด้วยกล ถ้ายังไม่ได้ผล ก็ต้องทำตัวเป็นคนเจ้ามารยากันบ้างละ

ชายหนุ่มกระหยิ่มใจขณะน้ำหนึ่งหันหลังไปปิดประตูลงกลอน

ครั้นเจ้าตัวหันมาพบก็ตาเขียว ยกมือเท้าสะเอวฉับ “อ้าว ไหนว่าเจ็บตา ทำไมยืนยิ้มปากบานขนาดนี้”

“ไม่ได้บอกเจ็บตาสักหน่อย บอกว่าแสบตาต่างหาก” เขายักไหล่ “แล้วก็อย่าหาว่าฉันยิ้มปากบานอีก นึกภาพตามแล้วน่าเกลียดพิกล”

น้ำหนึ่งเม้มปากแน่น คล้ายสุดจะทานทนและกำลังคิดคำก่นด่าให้สาแก่ใจ

“กำลังดื่มกาแฟอยู่ใช่ไหม ขอดื่มด้วยคนสิ” เผด็จเอ่ยพร้อมกับเดินนำไปยังประตูบ้านโดยไม่รอให้ใครเชื้อเชิญ ขืนรอ คงเป็นชาติหน้าบ่ายๆนั่นละ

“รู้ได้ไง”

คราวนี้เผด็จหันกลับมาเผชิญหน้าทันทีทันใด เล่นเอาคนที่เดินตามหลังซึ่งไม่ทันตั้งตัวแทบจะชนเข้าอย่างจัง หญิงสาวยกมือสองข้างขึ้นกางเสมออกโดยอัตโนมัติ พลางก้าวถอยหลัง แต่ไม่ไกลเกินกว่าเผด็จจะยื่นนิ้วไปแตะมุมปากเธอเบาๆ ป้ายคราบกาแฟที่ยังไม่แห้งดี...

ยังไม่ทันชักมือออก น้ำหนึ่งก็ตบผัวะลงมาบนหลังมือพร้อมกับเอ่ย

“อย่ามาทำรุ่มร่ามนะ”

“รุ่มร่ามอะไร ก็แค่จะป้ายคราบกาแฟมาให้ดู” เขายกปลายนิ้วขึ้นสูงในระดับสายตา ให้เธอมองได้ชัดๆ

“ถ้าไม่มีเจตนาจะโดนเนื้อต้องตัว แค่บอกก็พอปะ”

ท่าทางเธอโกรธเอาเรื่องทีเดียว...

“แค่แตะมุมปากนิดเดียวเนี่ยนะ” เผด็จนิ่วหน้า “ทีเธอขโมยจูบฉันตอนนอนอยู่โรงพยาบาล ฉันยังไม่โวยวายเลย เธอนี่มันเอาเปรียบที่สุด” พูดแล้วก็แสร้งส่ายหน้าอย่างหน่ายใจเต็มที

คนถูกกล่าวหาได้แต่ยืนกำมือแน่น จ้องหน้าเขาเขม็ง คล้ายเส้นเลือดในกายได้เขม็งเกลียวแน่นและพร้อมจะปริแตก หากเขากระทบอีกเพียงนิดเดียว

“โอเค โอเค” เผด็จยกมือทำท่ายอมแพ้...เธอเป็นผู้หญิงคนแรกเลยนะที่ทำให้เขายอม ถ้าเป็นคนอื่นคงรุกไล่จนสุดทางให้รู้แพ้รู้ชนะกันไป “ฉันจะไม่พูดเรื่องนั้นอีก ถ้ามันทำให้เธอ...เขิน” แต่ก็อดยั่วไม่ได้จริงๆ

แต่คนถูกยั่วไม่ขำด้วย เห็นชัดว่าโกรธจัดทีเดียว เธอเปล่งวาจาช้า ชัด “เธอจะออกไปจากบ้านเราดีๆ หรือให้เราเรียกตำรวจมาลากคอเธออกไป”

“ไม่เอาน่าเพชร” คนตัวสูงลดมือลงมาเท้าเอว ก้มสบสายตากับหญิงสาวตรงหน้าราวกับตนเป็นนักบุญผู้โอบเอื้อกำลังตักเตือนให้สติคนทุกข์ยาก “เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ ฉันก็แค่อยากล้อเธอเล่น เห็นเธอเครียดๆน่ะ ไม่คิดว่าวิธีนี้จะยิ่งทำให้เธอเครียดหนัก”

“แล้วขับรถมาหาตั้งแต่หัววันแบบนี้ เพื่อจะตอแหล...เอ๊ย ตอแยเราเท่านั้นหรือ”

ริมฝีปากหยักลึกใต้ไรหนวดเขียวๆกระตุกยิ้ม...นี่ถ้าตอบว่าใช่ ก็คงโกรธและไล่ตะเพิดเขากลับเดี๋ยวนี้เป็นแน่ แต่ก็ขอยั่วต่ออีกนิดเถอะ

“รู้หรือเปล่า ตอแยน่ะ เขาใช้กับคนจีบกัน เธอคงไม่ได้คิดว่าฉันจีบเธอหรอกนะ”

น้ำหนึ่งทำท่าเหมือนอยากจะกรี๊ด แต่ก็ไม่ได้กรี๊ด มือที่เคยกำแน่นจนคลายออกไปรอบหนึ่ง แล้วกลับกำแน่นขึ้นอีกคำรบ ถ้าเขายั่วแหย่ต่ออีกประโยคเดียว เธออาจใช้กำปั้นนั่นฟาดปากเขาก็ได้

“มีเรื่องที่นึกออกและอยากคุยด้วยน่ะ” เผด็จเอ่ยเสียงอ่อน รู้ว่าเป็นทางเดียวที่จะทำให้คนตรงหน้ายอมพูดดีๆด้วยได้

“จริงเหรอ” ท่าทางเธอยังคลางแคลงไม่ไว้ใจง่ายๆ

จนเมื่อเขาพยักหน้าด้วยความหนักแน่นและพูดชัดเจนว่า “เรื่องสำคัญด้วย”

ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มสุกใสดั่งลูกแก้วคู่นั้นจึงแวววาวด้วยความตื่นเต้น น้ำเสียงที่ถามก็ฟังดูกระตือรือร้นทีเดียว คล้ายไม่เคยโกรธเคืองกันมาก่อน

“เหรอ เธอเริ่มจำอะไรได้บ้างแล้วใช่ไหม เรื่องอะไรล่ะ จะให้เราช่วยทบทวน ต่อเติมเรื่องที่ขาดๆหายๆและยังนึกไม่ออกใช่หรือเปล่า เล่ามาสิ ถ้าเรายังไม่ลืมเรื่องนั้น เราจะช่วยเสริมให้”

เผด็จคิดถึงภาพหนุ่มสาวช่วยกันต่อจิ๊กซอว์อย่างขมีขมัน หยิบตัวนั้นต่อตรงนี้ หยิบตัวนี้วางตรงนั้น จนช่องว่างแหว่งเว้าที่ขาดหายถูกเติมเต็มได้ภาพสำเร็จที่สมบูรณ์...ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในร่างวาริ จะมีใครมาช่วยเติมเต็มความทรงจำอันเว้าแหว่งขาดหายไหม
คงไม่...เผด็จมันคนโฉดชั่ว มีแต่คนก่นด่าสาปแช่ง ตายไปเสียได้ แผ่นดินก็คงสูงขึ้น

ความปวดร้าววาบลึกในอก จะคนดีหรือเลว ก็คงต้องการความรักความใส่ใจไม่ต่างกัน

“เข้าไปคุยในบ้านดีกว่าไหม ตรงนี้แดดร้อน เธอหน้าแดงไปหมดแล้ว”

“ไปสิ” เจ้าของบ้านกุลีกุจอเดินนำ

นี่ถ้ารู้ว่าเขาจะพูดเรื่องอะไร เธอจะหาอะไรมาฟาดปากและไล่ตะเพิดเขากลับไป โทษฐานที่ทำให้เธอเข้าใจผิดไหมนะ

******************************
ทักทายท้ายเรื่อง

ไอ้พี่เก้าอสิตารา ข้าจะลงก่อนเช้าเสมอ เผื่อคนอ่านตื่นขึ้นมา จะได้เจอกัน วิไลวรรณน่ารักมาก นางคงเป็นนางเอกรุ่นพ่อรุ่นแม่มาก่อน

หนูเกดซ่า แหม ก็ขุ่นพี่วีวี่น่ารักขนาดนั้น เป็นใครก็เคลิ้ม

หนูยิ้มจัง เผด็จขี้อ้อน มารยาสาไถนัก

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ เฮียเผด็จฝากบอกมาว่า ต่อให้ผู้อ่านค่อนแคะอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ จะทำคะแนนนำนายว่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ๕๕๕

หนูบาร์บี้ เผด็จทำได้ทุกอย่าง มารยาร้อยเล่มเกวียนยิ่งกว่าผู้หญิง เป็นผู้ชายที่แรดนักนะ

น้องหนอนน้อยดังกี้ เรื่องอื่นที่หนูหนอนเดาพี่ไม่สปอยล์ แต่บอกได้อย่างเดียวว่า อาการเจ็บชายโครงขวาไม่ใช่โรคหัวใจจ้าาา

คุณโกลเด้นท์ซัน เรื่องนี้มีสาวสวยอยู่สองคน คือเกดว่า กับน้ำหนึ่ง ตอนนี้เกดซ่าหายหัว หายตัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เลยเหลือน้ำหนึ่งคนเดียว เฮียเผด็จเลยไม่รู้จะจีบใคร จะจีบวิไลวรรณก็ไม่งาม จะจีบป้าช้อยชวนชิมก็ใช่ที่ ๕๕๕

คุณน้องหมีบุลินทร เจ๊ตื่นราวๆตีหนึ่ง แต่มัววุ่นวายกะลูกน้อยหอยสังข์ทที่ป่วยน่ะจ้ะ กว่าจะเสกคาถาเป่ามนตร์ให้นางหลับได้ และเจ๊ทำธุระอื่นๆเสร็จก็ปาเข้าไปตีสี่นั่นละ สรุปว่าเรื่องนี้เป็นดราม่าสะท้อนสังคมรึ

คุณ Siraphon Samphan ไม่มีใครขโมยวาริไปจากเราได้ ถ้าเราเก็บเขาไว้ในใจที่มั่นคง เหมือนที่น้ำหนึ่งเก็บนายว่านไว้ในใจอย่างคงมั่นเสมอมา ก๊ากกก ตอบสวยเกินไปแระ รออ่านต่อวันพรุ่งนี้ดีกว่าเนอะ



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ย. 2557, 03:36:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ย. 2557, 03:36:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1681





<< บทที่ ๑๑ (ครีึ่งแรก)   บทที่ ๑๒ (ครึ่งแรก) >>
อสิตา 27 ก.ย. 2557, 07:17:00 น.
ขำตาแดงกับมุกเจ็บตา


ดังปัณณ์ 27 ก.ย. 2557, 09:30:19 น.
ตับแข็ง! ไตวาย! มะเร็งปอด!

555+ หันมาเดาโรคพ่อวานี่แระ กร๊ากกกกกกกกกกกกกก แหม ไม่ใช่ผีดิบหรอกเด็จจี้เอ๊ย ชอบเลือดสดๆงี้ มันปอบ ป๊อบชัดๆๆๆ แหมทำเฉยๆๆ อย่าแอบไปฉกเลือดน้ำตกใครมากินอีกละ อิๆ เด็จจี้แอบน้อยใจนิดๆนะนั่น แต่น้ำก็ทันจริงๆ นี่คงมาบอกเรื่องยัยเป๊กกี๊อ่ะดิ๊ อุๆๆ


ketza 27 ก.ย. 2557, 09:33:31 น.
เลือด!!!! เผด็จเป้นผีดิบ ?????
ทีพลังสะกดจิตอีกด้วยยย โหยยย มีแต่คนเจ๋งๆ 55555


ริญจน์ธร 27 ก.ย. 2557, 10:54:03 น.


yimyum 27 ก.ย. 2557, 11:14:25 น.
แล้วถ้าบอกน้ำหนึ่งจะเชื่อมั้ยเนี่ย ??


นักอ่านเหนียวหนึบ 27 ก.ย. 2557, 13:04:36 น.
อร๊ายยย angel ปะทะ devil แล้วนางฟ้าตัวน้อยของเราจะรอดพ้นมือพยามารไปได้อย่างไร
ทำไม อ่านฉากที่หนึ่งปะทะกะเด็จแล้ว อยากเอามือทุบอิเด็จตลอดเวเลยยย


Barby 2 ต.ค. 2557, 14:26:44 น.
ดื่มเลือดสด ผีดิบว้ายๆๆๆ


Barby 2 ต.ค. 2557, 14:27:44 น.
เว้นอ่านไปนานขออภัยด้วยคะ มาตามอ่านตามเม้นนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account