ป่าหนาวในเงารัก
หญิงสาวผู้ชอบหว่านเสน่ห์ ทั้งยังไม่เคยศรัทธาต่อคำว่ารักแท้ เมื่อมาพบกับหนุ่มที่ปราศจากความสนใจในตัวเธอ...อะไรจะเกิดขึ้น

Tags: กรยุพา , ยุพากร รักโรแมนติก

ตอน: กรยุพา . มุกดารา 21

ความเดิมตอนที่แล้ว....


ภูมิรพีประสบอุบัติเหตุพร้อมสริตาบุตรสาวท่านผู้ว่าฯ แต่เมื่อภูมิรพีฟื้นขึ้นมากลับจำใครๆ ไม่ได้ ทำให้สริตารีบชิ่งหนีเพราะกลัวต้องมาเป็นภาระในอนาคต


21

ข่าวการกลับมาของภูมิรพีที่ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ทำให้กำนันถึงกับต้องจัดงานเลี้ยงฉลอง กระทั่งการหายตัวไปของบุตรสาวคนเล็กก็ไม่ได้ระแคะระคาย เหตุเพราะพุธิตาได้บอกกับผู้เป็นอาสาวว่าไปค้างที่หอของเพื่อนเพื่อทำรายงานส่งอาจารย์ตามที่ฐิตารีย์ได้แนะนำ


“งานนี้เราสบายแน่ครับท่าน ลองหมดไอ้ภูไปเสียคนก็ไม่มีใครหาญกล้าลุกขึ้นมาต่อกรกับเราแล้วแน่ๆ” กำนันกล่าวไปตามโทรศัพท์
“ขอให้จริงอย่างกำนันว่า ในเมื่อเราไม่มีไอ้ภูนี่สักคน โครงการที่เคยคิดทำนั่น น่าจะสานต่อให้เป็นรูปเป็นร่างกันได้แล้ว งานนี้มีหวังว่ามีแต่รวยลูกเดียวเท่านั้น” กล่าวพรอมหัวเราะอย่างมั่นใจในชัยชนะ
ปลายสายเกิดอาการกระหยิ่มยิ้มย่องตามไปด้วย หารู้ไม่ว่าซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นานนั้น ยังใช้ได้อยู่จวบจนปัจจุบันนี้

อาหารมื้อค่ำที่ไร่เทพทัตครึกครื้นเป็นพิเศษ เหตุเพราะภูมิรพีและมารดาจะมาเป็นแขกพิเศษของไร่ มินทิตามาร่วมโต๊ะอาหารด้วยเช่นกันและเรื่องของเธอก็เรียกความสงสารได้ไม่ใช่น้อย และเมื่อได้เวลาอันควรประมุขของฟาร์มก็ขอตัวจากไป โดยให้บุตรชาย บุตรสาว และหลานรักทำหน้าที่รับรองแขกแทน


“คุณภูต้องการคนดูแลเป็นพิเศษมั้ยล่ะคะ หากต้องการมินท์ก็ยินดีทำหน้าที่นั้นนะคะ มินท์ยังปิดเทอมอีกนานค่ะ” มินธิตาเอ่ยออกมาหลังจากมารดาของชายหนุ่มบอกว่าอยากได้ใครสักคนมาช่วยดูแลบุตรชายอย่างใกล้ชิด
นับเป็นเรื่องที่สองอาหลานคิดไม่ถึงว่าเด็กสาวหน้าใสจะกล้าพูดออกมาเช่นนั้น


“มินท์อยู่ฟรีกินฟรีที่นี่ก็เกรงใจนะคะ หากมีงานทำเป็นเรื่องเป็นราวก็น่าจะดีกว่า ถึงจะแค่ช่วงปิดเทอมก็เถอะค่ะ”
“ก็ดีเหมือนกันนะ คอยอ่านหนังสือ คอยชวนพูดชวนคุย อาจทำให้ภูกลับมาเป็นคนเก่าได้เร็วยิ่งขึ้น”
ไม่รู้เพราะเหตุใดที่คำพูดของบิดาทำให้ฐิตารีย์หงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


“จะดีหรือคะ หนูมินท์ช่วยงานทางนี้อยู่ไม่ใช่หรือคะ” แสงดาวรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ
ทั้งที่ฐิตารีย์อยากบอกว่า

ไม่ดีใจจะขาด แต่ที่ทำได้เพียงสงบปากไว้เท่านั้น
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูมินท์มาเป็นแขกของทางไร่มากกว่า จะไปไหนทำอะไรก็ตามสบายค่ะ” เจียระไนบอกเช่นนั้นทั้งที่ไม่สบายใจที่สุด ที่เธอกลัวคือเหตุการณ์ที่จะตามาต่างหาก อีกทั้งรู้ใจหลานรักดีว่ารู้สึกกับชายหนุ่มตรงหน้าเช่นใด


“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลงใช่มั้ยคะ จะให้มินท์พักที่ไร่คุณภูหรือพักทีฟาร์มนี่ดีล่ะคะ จริงๆ แล้วหากไม่ได้ช่วยงานทางนี้ มินท์ก็เกรงใจที่จะอยู่ต่อนะคะ”
เป็นอีกครั้งที่ฐิตารีย์ถึงต้องนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ ทำไมเธอต้องรู้สึกโกรธด้วยที่เด็กสาวพูดตรงไปตรงมาว่าจะไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป หรือเธอจะทำคุณกับคนไม่ขึ้น เพราะยามที่เดือดเนื้อร้อนใจก็มาพึ่งพิง แต่เมื่อได้ที่หมายใหม่ก็ไปโดยไม่มีคำว่าบุญคุณต่อกัน


“หนูพักที่ไร่ก็ได้ค่ะ จะได้ไม่ต้องรบกวนทางนี้” แสงดาวจำเป็นต้องเอ่ยออกมาเช่นนั้น
“ถ้าอย่างนั้นไปคืนนี้เลยได้มั้ยคะ”
ดูเหมือนแสงดาวจะอึดอัดขึ้นมาในทันใดกับทีท่ากะตือลือล้นจนเกินงามของเด็กสาวตรงหน้า
“เอ่อ…สี่โมงเช้าพรุ่งนี้จะส่งรถมารับหนูก็แล้วกันนะจ๊ะ”


“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูเอามอเตอร์ไซค์มา เดี๋ยวหนูขับไปเองค่ะ ถ้าอย่างนั้น หนูขอไปเก็บเสื้อผ้าก่อนนะคะ” เจ้าตัวพูดจบก็ลุกขึ้นทันที
เจียระไนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ อดไม่ได้ที่จะแอบมองสีหน้าของหลานรักที่บัดนี้ดูเหมือนจะซีดเผือด

ชมนาถที่ทอดยอดอยู่บนซุ้มส่งกลิ่นหอมกรุ่นมาตามสายลม เสียงชิงช้าที่ยังแก่วงไกวช้าๆ ดังแทรกกับเสียงเพลงที่เปิดไว้บนบ้านดังเป็นเพื่อนให้คลายหงุดหงุดไปได้บ้าง
“ดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังไม่นอน”
เสียงนั้นทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้งสุดตัว


“คุณปู่มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ มาเงียบๆ ตกใจหมดเลยค่ะ”
“ใจลอยไปถึงใคร หวังว่าคงไม่ใช่เพราะเรื่องเด็กผู้หญิงคนนั้นหรอกนะ”
ฐิตารีย์มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาไม่พริบ “ทราบเรื่องแล้วหรือคะ อาเอื้องไปบอกคุณปู่งั้นหรือคะ”


ผู้สูงอายุไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะความเป็นจริงนั้นเป็นเด็กผมจุกตัวดีที่ปั้นจิ้มปั้นเจ๋อไปอยู่ในวงสนทนาด้วยต่างหากที่นำความมาเล่าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“ผู้หญิงสมัยนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ นะขอรับท่านเจ้าคุณ หากท่านเจ้าคุณไม่ห้ามเอาไว้…จุกจะหลอกซะให้จับไข้หัวโกร๋น”
“เอ็งไปตรวจตราบ้านช่องได้แล้ว อย่ามัวแต่เล่นเพลิน นำความของข้าไปบอกแม่ตะเคียนด้วยว่าให้ระแวดระวังไอ้พวกที่จะเข้ามาที่กรุสมบัตินั่นไว้ให้ดีๆ”


หากเขาไม่สำทับไปเช่นนั้นเจ้าจุกคงจะยังเอ้อระเหยแวะยุ่งกับเรื่องชาวบ้านอีกนานแน่ๆ
“ตาไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่…คิดไม่ถึงเท่านั้นเองว่าเด็กนั่นจะกล้าเอ่ยปาก แล้วก็กล้าไปอยู่ที่นั่น ทั้งๆ ที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกับทางนั้น”


“อย่าคิดมากไปเลยลูก คนเราหากมีวาสนาต่อกัน ต่อให้เจอสิ่งยั่วยุร้อยแปด ใจเขาก็ยังอยู่กับเราวันยังค่ำ เชื่อปู่สิ ไปนอนเอาแรงเสียเถอะ พรุ่งนี้เช้ายังมีงานรอให้สะสางอีกมากมากนัก อย่าเอาเรื่องนี้มาบั่นทอนจิตใจเลยนะลูก”
เป็นครั้งแรกในหลายชั่วโมงที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว


“คุณปู่ก็เข้านอนเถอะนะคะ ตาก็จะนอนแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ตาสบายใจแล้วล่ะค่ะ”
หลานสาวประคองร่างสูงใหญ่มาส่งโดยชยุตนั่งรออยู่ที่หัวบันใด
“ขับรถดีๆ นะคะลุง” เธอบอกกับชยุตก่อนโบกมือให้ทั้งสองพร้อมรอยยิ้ม


“เราก็เข้าบ้านเถอะ อย่าลืมที่ปู่บอกเสียล่ะ ได้ยินเสียงอะไรก็ไม่ต้องออกมาดูเด็ดขาด ที่จริงน่าจะไปอยู่ที่บ้านใหญ่ด้วยกัน”
“ตาอยู่ได้ค่ะคุณปู่ รับประกันค่ะ ว่าจะไม่ออกจากบ้านจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นที่ขอบฟ้าเท่านั้น” ปากพูดเช่นนั้นแต่สายตาที่มองชยุตเต็มไปด้วยแววล้อเลียน
ชยุตได้แต่เพียงยิ้มรับโดยไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาทั้งที่รู้ดีว่าหญิงสาวคิดเช่นใด


ในเวลาเดียวกัน ณ ร้านกระทงทอง...โต๊ะของชายหนุ่มที่ถูกจับตามองไม่ใช่ใครแต่เป็นธันวินและณัฐพากย์ที่มีเรื่องสนทนากันหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือเหตุร้ายที่เพื่อนรักต้องประสบ เพราะกระทั่งเขาทั้งสองภูมิรพีก็ยังจำไม่ได้
“ไม่คิดเลยว่าภูมันจะโชคร้ายถึงขนาดนี้” ธันวินเอ่ยเรื่อยๆ ระหว่างละเลียดเบียร์เย็นฉ่ำที่อารียานำมาให้เองจนถึงโต๊ะพร้อมทั้งส่งสายตาหวานฉ่ำให้กับปลัดหนุ่ม


“ก็นั่นสินะ ภูมันทำเรื่องดีๆ ไว้มากต่อมากยังต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ นายเองก็ระวังตัวไว้บ้างก็แล้วกัน ดีไม่ดีจะเจอเรื่องเหนือความคาดหมายยิ่งกว่าภูมันจะหาว่าฉันไม่เตือน”
“นายหมายความว่าอะไร” ธันวินถามอย่างสงสัย


“ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่ฉันได้ข่าวไม่สู้ดีเกี่ยวกับนายมาก็เท่านั้น”
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ณัฐพากย์เอ่ยยิ่งเพิ่มความอยากรู้ให้กับธันวินอีกหลายเท่า
“นายพูดตรงๆ มาเลยดีกว่าว่าได้ข่าวอะไรมากันแน่”


ธันวินไม่อยากเชื่อว่าแม้กลับมาบ้านพักนานแล้ว แต่คำพูดของเพื่อนยังทำให้ความรู้สึกของเขาสั่นคลอนจิตใจอย่างไม่น่าเป็นไปได้


“นายกับกำนันร่วมมือกันทำอะไรบางอย่าง...ที่ผิดกฏหมาย และเกี่ยวพันกับไอ้ภูเพื่อนของเรา จนมันเกือบเอาชีวิตไม่รอดที่บนเขานั่น หากนายยังคิดว่าเราสามคนยังเป็นเพื่อนกันอยู่ก็เลิกยุ่งกับวงจรอุบาทว์นั่นเสียเถอะนะ ตอนจบของคนคิดคตทรยศกับบ้านเมืองฉันไม่เห็นว่าใครจะตายดีเลยสักคน”


เมื่อมาคิดเสียใจเอาเวลานี้มันก็คงสายเกินแก้เสียแล้ว ก็ในเมื่อเงินที่หามาได้จากการเป็นเพียงข้าราชการที่ตรงไปตรงมา มันไม่อาจตอบโจทย์ให้เขาได้รับชีวิตที่ดีกว่าแม้แต่น้อย และคำขู่ของณัฐภาคย์ก็ไม่มีผลใดๆ กับเขาทั้งสิ้น ที่สำคัญเขาก้าวมาไกลเกินจะหันหลังกลับได้แล้วจริงๆ ธันวินยังคงดันทุรังเข้าข้างตัวเอง โดยไม่ฉุกคิดเลยสักนิดว่าแม้มี ‘เงิน’ แต่หากไม่มีโอกาสได้ใช้ก็เท่ากับว่าสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง

พุธิตาตื่นแต่เช้าเพื่อไปยังไร่ภูมิรพี โดยไม่คิดทานอาหารเช้าก่อนจะจากลา
“มีอะไรก็เข้ามาที่ฟาร์มได้ตลอดนะจ๊ะหนู” เจียระไนยังอุตส่าห์บอกก่อนจาก
เสียงมอเตอร์ไซน์ที่ดังห่างออกไปทำให้ฐิตารีย์อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน เธอไม่คิดจริงๆ ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาจนถึงวันนี้ได้


“ทำใจให้หนักแน่นเข้าไว้นะลูก ยังมีอีกหลายเรื่องราวนักที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตของหลานปู่คนนี้”
คำพูดนั้นของเทพทัตเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเธอควรจดจำให้ขึ้นใจ ทว่าในความเป็นจริงฐิตารีย์รู้ตัวดีว่าทำไม่ได้แม้แต่น้อย
จู่ๆ ข่าวใหญ่ที่ใครๆ ในแสนดาวต่างวิภาควิจารณ์กันหนาหูคือเรื่องสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำที่กินพื้นที่ของป่าอนุรักษ์ที่ทุกคนหวงแหนไปครึ่งค่อน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีวี่แววมาก่อน และเรื่องที่ฐิตารีย์นำมาสนทนาในค่ำวันนี้ก็ทำให้ผู้เป็นบิดาถึงกับโกรธเป็นไฟ


“ตาคิดว่าจะเป็นผู้นำชุมชนในการต่อต้านการสร้างเขื่อนในครั้งนี้นะคะคุณปู่”
“พูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า” ธนวัตรวบช้อนส้อมทันท่วงที
“รู้ถึงผลที่จะตามมากับฟาร์มของเราบ้างหรือเปล่า คราวคุณแสงดาวแม่คุณภูนั่นเขาก็แทบตายทั้งเป็นที่ลูกชายเป็นคนแบบนั้น”


“เป็นคนแบบนั้นไม่ดีตรงไหนคะคุณพ่อ ในเมื่อเราต้องพึ่งพิงผืนป่า ในขณะที่ป่าไม่เคยทำร้ายเรา แต่ทำไมเราต้องทำร้ายป่าด้วยล่ะคะ” มีหรือที่เธอจะยอมง่ายๆ


“ผืนป่ามีแต่คำว่า ‘ให้’ ต้นไม้ทุกต้นใบหญ้าทุกใบล้วนให้คุณประโยชน์กับผืนแผ่นดิน ในเมื่อเราต่างต้องอาศัยผืนป่า โดยที่ต้นไม้เหล่านั้นไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ เราก็ควรเป็นปากเป็นเสียงให้ไม่ถูกต้องหรอกหรือคะ”


“ยังไงเสียตาก็ไม่ยอมให้แสนดาวเป็นเขาหัวโล้น หรือพวกนายทุนอย่างกำนันได้ผลประโยชน์จากการตัดไม้ โดยอาศัยการสร้างเขื่อนมาบังหน้าคราวนี้แน่ๆ ค่ะ”


“ยัยตา...”
เทพทัตที่ฟังสองพ่อลูกมานานรีบยกมือขึ้นห้ามเพื่อยุติข้อบาดหมางครั้งนี้เสียก่อนที่จะรุกลามใหญ่โต
“เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง ตาอิ่มแล้วไปคุยกับปู่ด้วยแล้วกัน” กล่าวก่อนลุกขึ้น
ดูเหมือนหลานสาวก็จะทานไม่ลงแล้วเช่นกันจึงเดินตามผู้เป็นปู่ไปทันที


บรรยากาศนอกชานที่มีสายลมเย็นๆ พัดผ่าน อีกทั้งความสงบเงียบก็ทำให้อารมณ์ของหญิงสาวกลับสู่ปกติได้อย่างรวดเร็ว
“ไหนบอกปู่มาซิ ว่าตาจะทำไงกับการต่อต้านการสร้างเขื่อนที่ว่านี่”
“ตอนนี้ระบบการสื่อสารกำลังล้อมโลกของเรา ตาจะเอาจุดนี้มาต่อกรกับโครงการเขื่อนนั่นค่ะ”
“อธิบายให้ปู่เข้าใจหน่อยได้มั้ย” ถามอย่างใจเย็น


“ตาจะอาศัยเครือข่ายทางอินเทอร์เน็ต ที่มีอยู่หลายค่าย ตลอดจนทำแคมเปญรณรงค์กับเว็บไซต์ชื่อดังเพื่อให้บุคคลทั่วไปได้ลงชื่อสนับสนุนจากผู้ที่มีความเห็นเดียวกับเรา รายชื่อจะมาจากทั่วทั้งประเทศ จากนั้นก็จะนำไปยื่นคัดค้านกับทางการค่ะ”
เทพทัตยังคงเงียบกริบ


“มีคนทำสำเร็จในเรื่องต่างๆ มานับไม่ถ้วน ทำไมตาจะไม่ลองบ้างล่ะคะ คนที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่เพียงคนหรือสองคน ไม่ใช่เฉพาะครอบครัวของเรา ไม่ใช่แค่คุณปู่หรือตัวตาเอง แต่นี่เป็นการต่อลมหายใจให้กับแสนดาวนะคะ”
เทพทัตมองหลานรักก่อนจะทอดถอนใจ


“คุณปู่เป็นคนบอกกับตาเองไม่ใช่หรือคะว่าหากสิ่งที่เราทำคือ ‘ความดี’ ก็ไม่ต้องกลัวกับผลที่จะตามมา”
ครั้งนี้เทพพัตแทบสะอึกกับคำพูดของหลานสาว
“ในเมื่อคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีอย่างคุณภู เขาคนเดิมไม่ได้อยู่ช่วยแสนดาวอีกต่อไปแล้ว ตาก็อยากจะสานต่อเจคนารมณ์ของเขาค่ะ” บอกอย่างมุ่งมั่น
ดูเหมือนเทพทัตจะจนแต้มแล้วจริงๆ


“เอาเป็นว่าตาก็อย่าโกรธพ่อเขาเลยนะลูก เขาเป็นห่วงถึงได้พูดแบบนั้น” ในที่สุดผู้เป็นปู่ก็เอ่ยออกมาจนได้
“ตาจะทำอะไรก็แล้วแต่ แต่ห้ามใช้ชื่อของตัวเองออกหน้าอย่างเด็ดขาด”
ฐิตารีย์ได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย


“ขอให้ใช้ชื่อปู่ออกหน้า เท่านี้ตาคงทำได้” บอกพร้อมกับจ้องหลานรักนิ่ง
“คุณปู่...”
“รู้ใช่มั้ยว่างานนี้...มีได้มีเสีย และสิ่งที่จะตามมาย่อมไม่ธรรมดาแน่ เพราะฉะนั้นหากเป็นปู่ คนที่คิดจะมาปองร้ายก็เข้าถึงตัวได้ยากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นตาก็จะประมาทไม่ได้อย่างเด็ดขาด”
“ขอบคุณค่ะคุณปู่ ตาจะไม่ทำให้คุณปู่ผิดหวังแน่ๆ ค่ะ” บอกอย่างตื้นตันใจจนน้ำตาคลอเบ้า


แต่สำหรับเทพทัตถึงพูดเช่นนั้นทว่าส่วนลึกในหัวใจกลับกังวลอย่างบอกไม่ถูก นาทีนี้เขาอดคิดไม่ได้ว่าหากเธอยังคงเป็นคนเก่าที่เอาแต่เที่ยวเล่น เรื่องหนักใจเช่นนี้ก็คงไม่มีวันเกิดขึ้นเป็นแน่
ด้านธนวัตที่ยังไม่อาจข่มใจให้นิ่งได้เจียระไนจึงต้องรับหน้าที่ไกล่เกลี่ยให้หลานสาว


“ใจเย็นๆ นะคะคุณพี่ ยัยตายังเด็กทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เดี๋ยวคุณพ่อก็จัดการเรียบร้อยเองแหละค่ะ” หารู้ไม่ว่าเรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคาดคะเนแม้แต่น้อย


สายลมที่ผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาดังหวีดหวิวชวนให้ขนหัวลุก ทว่าผู้ที่ขัดสมาธินิ่งอยู่ที่หน้าพระประธานเหมือนไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งผู้ที่สืบเท้าเข้ามาใกล้ก้มลงกราบพระด้วยท่าเบญจางคประดิษฐ์แล้วก็ตาม แต่เพียงชั่วอึดใจประมุขของฟาร์มก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับยื่นขวดแก้วเจียรไนให้กับชยุต


“ท่านน่าจะเก็บเอาไว้เอง” เทพทัตเอ่ยแผ่วเบา
“อย่าให้ผมต้องเก็บเอาไว้กับตัวเลยครับ ตราบใดที่ท่านยังอยู่ ผมก็ยังอยากจะฝากไว้กับท่าน”
เทพทัตพยักหน้ารับระหว่างมองบุคคลตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงเรื่องราวที่อีกฝ่ายเล่าขานให้ฟัง ซึ่งไม่ต่างกับชยุตแม้ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนั้นแต่เขายังจำได้ไม่เคยลืมลืมเลื่อน...


หนุ่มผมยาววัยไม่เกินยี่สิบห้าผู้ช่ำชองการหาของป่า เขาเข้าออกป่าใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าวันนั้นแตกต่างจากทุกครั้งอย่างสิ้นเชิง เพราะป่ารกชัฏที่ก้าวย่างเข้ามากลับเสมือนจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ความเงียบสงัดจนปราศจากสายลมที่พาพัดกระทั่งใบไม่ยังไม่ไหวติง ที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าเห็นจะเป็นดวงตะวันที่ชายหนุ่มมั่นใจว่าเพิ่งอยู่ตรงศีรษะเมื่อครู่แต่บัดนี้กลับโพล้เพล้ราวยามสนทยาไม่มีผิด!


คบเพลิงถูกจุดขึ้นในทันใด นาทีนั้นได้แต่บอกตัวเองว่าหรือโดนอาถรรพ์ของป่าเล่นงานเขาตามที่ผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านเล่าขานแล้วกันแน่ ทว่าสองเท้ายังคงก้าวต่อไป


ท่ามกลางความมืดมนอนธการนั้นจู่ๆ นกยูงสีทองอร่ามที่ส่องประกายวาววามก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ก่อนจะเยื้องย่างเข้าไปยังซุ้ม ’เถาวัลย์หลง’ ทว่านาทีนั้นต่อให้มีช้างมาฉุดชายหนุ่มก็ไม่อาจยับยั้งใจไว้ได้ เพราะเขาตามติดนกยูงทองตัวนั้นโดยไม่ห่วงชะตากรรมเบื้องหน้าแม้แต่น้อย


ไม่รู้ว่าเนิ่นนานเพียงใด แต่เมื่อทางเดินอันมืดมิดสิ้นสุดลง ก็พบกับโถงถ้ำอันเย็นยเยือกจนชายหนุ่มที่ท่อนบนเปลือยเปล่าถึงกับสะท้านทั้งที่ปราศจากสายลม แสงเรืองๆ ของเจ้านกยูงตัวนั้นก็มีอันอันตรธานตามไปด้วยแต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือกลับปรากฏฤษี ที่หลับตานั่งขัดสมาธิ ห่มกายด้วยหนังเสือโคร่ง โดยมุ่นมวยไว้บนศีรษะข้ามาแทนที่ ความเข้มขลังน่าเกรงขามทำให้ชายหนุ่มไม่อาจขยับร่างจากไปได้ ท่ามกลางความเงียบงันนั้นได้ยินเพียงเสียงหยดน้ำจากเพดานถ้ำที่ตกกระทบลำธารดังราวเข้ามาอยู่ในหัวใจ


ดูเหมือนทุกอย่างได้ลิขิตเอาไว้แล้วเพราะฤษีตนนั้นส่งคลื่นกระแสจิตบอกว่าเขาคือคนที่ถูกเลือกไว้แล้ว ถึงชายหนุ่มไม่ต้องการก็ไม่อาจขัดขืนหรือปฏิเสธ วันคืนผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ แต่เมื่อถ่ายทอดวิชาอาคมให้เขาจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่วิชาแปลงร่างให้เป็นสัตว์ร้าย และแล้วก็ถึงเวลาที่เขาต้องออกมาเผชิญโลกภายนอกเพียงลำพัง ก่อนจากฤษีตนนั้นได้หยิบยื่นผลน้ำเต้าแห้งที่ด้านในบรรจุน้ำอมฤตให้กับเขา เพียงจิบน้ำที่อยู่ในผลน้ำเต้าในคืนจันทร์ดับเขาก็จะเป็นอมะตมนุษย์ไปตราบชั่วกัปกัลป์


แต่หากเขารู้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ก็จะไม่มีวันรับมาอย่างเด็ดขาด เพราะไม่เพียงต้องอยู่อย่างเดียวดาย หากแต่ยังต้องพบกับความสูญเสียที่เจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาต้องหนีจากหมู่บ้าน คนที่รักเพราะไม่อาจให้ใครได้ล่วงรู้ถึงความลับที่เขาไม่มีวันแก่ เจ็บหรือกระทั่งตาย แต่เหมือนชะตาได้ลิขิตเอาไว้แล้วเมื่อเขาได้พบกับเทพทัตเมื่อสองร้อยปีก่อน...


ในฐานะบ่าวไพร่ที่ต้องทำหน้าที่ดูแลคุณคมแก้วจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว เพราะไม่เพียงสามารถตามหาเทพทัตผู้นี้จนพบในภพนี้ แต่ยังเฝ้ารักษาดวงวิญญาณและกรุสมบัติไว้อย่างดี
“ท่านดื่มเสียเถอะ อย่ารีรออยู่เลย” เทพทัตเอ่ยเมื่อเห็นชายหนุ่มยังคงจ้องน้ำในขวดเจียระไนไม่ไหวติง


“บางทีหากผมยอมปล่อยวาง โดยไม่ยึดติด ยอมจากไปโดยไม่แตะต้องสิ่งนี้อีก ที่สำคัญภารกิจที่ตั้งใจตามหาท่านก็ลุล่วงไปแล้ว...” พูดอย่างที่รู้สึกจริงๆ
“ท่านก็อาจจะเหลือเพียงเถ้าธุลีเท่านั้น จะคิดให้เปลืองสมองทำไมกัน ในเมื่อหากท่านอยู่ยังสามารถทำประโยชน์ให้สังคมนี้อีกตั้งมาก”


“บางทีผมก็เบื่อชีวิตแบบนี้เต็มทน” ชยุตพูดจากใจจริง
“โดยเฉพาะหากวันที่ไม่มีท่านมาถึง ผมคงไม่รู้ว่าจะคุยกับใคร”
คำพูดตรงไปตรงมาของอีกฝ่ายทำให้เทพทัตได้แต่หัวเราะในลำคอ
“ท่านคิดว่าคุณภูเป็นยังไงล่ะ”


สายตาทั้งคู่ที่สบกันทำให้ชยุตเผยยิ้มออกมา
“ท่านไว้ใจพ่อหนุ่มคนนั้น เพราะเขามี ‘ปาน’ สินะครับ”
วูบหนึ่งที่ชยุตนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นหลังผจญเพลิง...ชายหนุ่มที่ถอดเสื้อตัวนอกออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามระหว่างเช็ดเนื้อตัวด้วยผ้าเปียก ภาพที่ได้เห็นทำให้เขาถึงกับเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า...


สองร้อยปีก่อน ณ อาณาจักรอยุธยา ก่อนที่จะฝังร่างไร้วิญญาณของทารกน้อย ตัวเขาเองที่นำเขม่าก้นหม้อดินป้ายไว้ตรงหัวไหล่ข้างซ้ายตามความเชื่อว่าหากได้เกิดใหม่จะยังคงมีร่องรอยนี้มาปรากฏ ซึ่งเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นก็เมื่อวันที่ชายหนุ่มมาช่วยดับไฟป่านี่เอง


“มันก็น่าคิดจริงมั้ยท่าน...ก็ในเมื่อกาลเวลาผ่านมาเนิ่นนานขนาดนั้น แต่ในที่สุดก็ยังมาพบกันได้ จะเสียดายก็แต่เขาไม่ได้มาเกิดเป็นลูกของผม แต่โชคชะตาก็นำพาเขาให้มาพัวพันกับเราจนได้” เทพทัตยังคง
“แต่ถึงท่านไม่พบตำหนินั่น ผมก็ยังรู้สึกถูกชะตากับพ่อหนุ่มคนนั้นอยู่ดี นี่กระมังที่เรียกว่าสายสัมพันธ์”
“ท่านยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคุณคมแก้วหรอกหรือ” ชยุตเพิ่งฉุกคิดขึ้นได้


เทพทัตส่ายหน้า
“หากบอกก็เท่ากับว่าจะยื้อให้เขายังติดอยู่กับภพนี้ต่อไป”
“แต่เธออาจสบายใจ และยอมปล่อยวางเสียที”
“เขาบอกแล้วว่ายังไงก็จะไปพร้อมกับผม การรอคอยจะได้สิ้นสุดกันเสียที”


“แต่...กรุสมบัตินั่น...”
“คงต้องฝากให้ท่านดูแล ท่านเอง...ที่เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาอาคมให้กับผม อย่างนี้แล้วผมจะต้องกังวลใดๆ อีก ท่านเองก็ไม่ต้องไปไหนอีกแล้ว อยู่ที่ฟาร์มนี่ล่ะ แม้ว่าจะไม่มีผมอยู่แล้วก็ตาม เพราะผมเขียนพินัยกรรมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
ชยุตถึงกับพูดไม่ออกกับสิ่งที่ได้รับฟัง


“จริงๆ แล้วผมยังหวังมากกว่านั้น” เทพทัตกล่าวต่อ
“ผมหวังว่า...ยัยตากับคุณภูจะมาบรรจบกันได้” เทพทัตบอกความในใจ
“ตอนนั้นหากผมรู้เรื่องของนายวัตกับแสงดาว...บางที คุณภูอาจเป็นหลานของผมก็ได้ ผมยังมานั่งนึกจนบัดนี้ว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่มาปรึกษาผม”


“ผู้การบอกว่า...ไม่คิดมาก่อนว่าคุณแสงดาวจะตัดสินใจอย่างนั้นครับ” ชยุตกล่าวเรื่อยๆ
“นั่นสินะ เพราะเพื่อลูกแล้วผมก็จะยอมขายสมบัติเพื่อเอาไปขอผู้หญิง”
“ท่านก็ทราบ ว่าเราไม่อาจฝืนชะตาได้ ในเมื่อทั้งคู่ไม่ได้มีวาสนาต่อกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ความผิดของท่านแม้แต่น้อย”


“ผมรู้...แต่กับยัยตา...ผมหวังอยู่ลึกๆ เพราะหากทั้งคู่ได้แต่งงานกัน ผมก็คงนอนตายตาหลับอย่างเป็นสุข”
“จริงสิ คนที่ติดต่อขอเช่าพระเบญจภาคีครั้งนี้ยอมสู้ราคาโดยไม่ต่อสักบาทเดียว คราวนี้ก็จะปลดหนี้ฟาร์มได้เสียที ไม่ต้องเดือดร้อนยัยตาอีกต่อไป”
“เห็นคุณตาว่าคุณหนูวัฒน์ก็ไปทำงานพาร์ทไทม์แล้ว หลังจากรู้สถานการณ์ของทางฟาร์ม” ชยุตเอ่ยถึงฐิติวัฒน์หลานชาย

อีกคนของเทพทัต
“ดีแล้วจะได้รู้จักสู้ชีวิตเสียบ้าง สบายมากมันจะเคยตัว”
“ถึงท่านจะพูดถึงความตายอย่างไม่หวั่นกลัว แต่สำหรับผมไม่เคยอยากให้วันนั้นต้องมาถึง” ดูเหมือนชยุตยังกังวลกับเรื่องเก่า


“ของอย่างนี้มันจะแน่นอนได้อย่างไรกันล่ะท่าน แต่อย่างน้อยผมก็ได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ทุกชีวิตที่เกิดมาย่อมถูกลิขิตเอาไว้แล้ว ท่านเองก็เช่นกันเพราะใช่ว่าคนอย่างท่านจะหาได้ตามท้องถนน บางทีอาจมีท่านอยู่เพียงคนเดียวในโลกใบนี้ก็ได้”
“และถึงวีรบุรุษบนโลกนี้มีอยู่มากมายและถึงท่านไม่มีชื่อจารึกไว้ในนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความหมายเพราะท่านคือวีระบุรุษในใจของผมไปตลอดกาล ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเจอกับท่าน” เทพทัตเอ่ยมาจากใจ


“อีกไม่นานจะมีเรื่องสนุกๆ ให้ได้คลายความเบื่อหน่าย ถึงเวลานั้นท่านอาจจะบ่นว่ารู้อย่างนี้อยู่สบายๆ อย่างเดิมก็ดีแล้ว” เทพทัตพูดพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ชยุตกระตุกยิ้มก่อนจิบน้ำสีเขียวมรกต ถึงอย่างไรเทพทัตก็พูดถูกเขายังสามารถสร้างประโยชน์ให้กับโลกใบนี้อีกมากมายนัก แม้ภารกิจในฟาร์มจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่อย่างน้อยแต่ละวันที่ผ่านพ้นไปชีวิตเขาก็ไม่ได้สูญเปล่ามิใช่หรือ


เมื่ออยู่เพียงลำพังเทพทัตอดไม่ได้ที่จะระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา...เมื่อเขาตัดสินใจบวชเพื่อทดแทนพระคุณบิดาและมารดาด้วยวัยยี่สิบสี่ปี ที่ตามมาคือเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่เขาเองก็คิดไม่ถึงมาก่อน เพราะเมื่อฝึกปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน ชยุตก็สามารถติดต่อกับเขาได้ด้วยพลังจิต และถึงเขาจะไม่สามารถระลึกชาติได้ทว่า
ชยุตอีกเช่นกันที่ผู้นำดวงจิตเขาให้ไปพบกับเรื่องราวในอดีต

กระทั่งเขามีพลังจิตที่แก่กล้าจึงร่วมกับชยุตย้ายกรุสมบัติจากณครประวัติศาสต์ ซึ่งที่ดินเดิมบัดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองใหญ่แต่ใครจะล่วงรู้ว่าลึกลงไปยังมีจักรพยนต์ที่ยังคงทำงาน และยังมีอีกมิติที่ซ้อนทับกันอยู่




-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ที่รักทุกๆ ท่าน
หลังจากไม่ได้เขียนเรื่องนี้มาเป็นปี ก็กลับมาลงให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันอีกครั้งนะคะ
ต้องขออภัยด้วยนะคะที่หายไปนานมากๆ
ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

ด้วยรักจากใจค่ะ
ยุพากร



ยุพากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ต.ค. 2557, 14:01:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ต.ค. 2557, 16:05:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1094





<< 20 มุกดารา . ยุพากร   
อลิเชีย 20 ต.ค. 2557, 18:37:39 น.
ต้องเริ่มอ่านใหม่เพื่อให้ได้รสชาติ อิอิ. แล้วจะมาอ่านอีกค่ะ จุ๊บๆ


ยุพากร 21 ต.ค. 2557, 14:18:52 น.
ขอบคุณคุณอลิเซียมากๆ ค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account