อธิฐานรักข้ามภพ
เรื่องย่อบุพเพอาละวาดข้ามภพ (อธิฐานรักข้ามภพ)
ผู้แต่ง : อัปสรา

“วิลันดา ”หญิงสาวสวยผู้มีรูปร่างอรชร ใบหน้าอ่อนหวานดุจนางในวรรณคดี เธอต้องเจอมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิตเมื่อ ชัชวาล คนรักซึ่งวางแผนกำลังจะแต่งงานกัน แอบปันใจให้กับสาวในที่ทำงานเดียวกัน เธอจึงพาหัวใจอันบอบช้ำไปยัง “โบสถ์ปรกโพธิ์ “และอธิฐานจิตต่อหน้าองค์หลวงพ่อนิลมณีอันศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ได้พบกับคู่แท้ และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น “ขุนไกร” ทหารกล้าแห่งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ด้วยบุปเพสันนิวาส หรือบุปเพอาละวาดก็ไม่รู้ เขาพลัดหลงยุคมาพบกับเธอ เธอจึงจำเป็นต้องรับภาระดูแลเขา จนกว่าจะหาวิธีส่งเขากลับไปสู่ยุคกรุงธนบุรี เพียงเวลาไม่นานความรักเริ่มก่อตัวขึ้นแต่มิมีใครยอมพูดออกมา ปู่เจ้าแนะนำวิธีส่งขุนไกรกลับไปในคืนพระจันทร์เต็มดวงและนั่นเองทำให้ชีวิตของหล่อนเปลี่ยนไปตลอดกาล เธอได้หลุดเข้าไปในยุคกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร และได้พบกับ “จมื่นราชภักดี” หรือพ่อเพ็ง เขาตกหลุมรักแม่หญิงวิลันดาตั้งแต่แรกพบและเข้าใจผิดคิดว่าเป็นน้องสาวของขุนไกร ขุนไกรพาวิลันดาไปฝากไว้ที่คุ้มพระยามิตรไมตรี พ่อของเขา และขุนท้าวเฟื่องแม่ของขุนไกรรักใคร่เอ็นดูเธอมาก
ขุนไกรเคยช่วยยะโมหนั่ย สาวพม่าตาคมที่มีเชื้อไทยอยู่ครึ่งหนึ่งเธอเป็นกองสอดแนมฝีมือฉกาจที่พม่าส่งมาสอดส่องหาความเคลื่อนไหว ขุนไกรได้ช่วยเธอไว้จากการถูกงูกัดเธอตกหลุมรักเขาทันทีทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้และไม่ได้คิดหวังจะครองคู่ขอเพียงได้รักเขาเท่านั้น นั่นสร้างความไม่พอใจกับโบ๊ด๊ะฮูศิษย์ผู้พี่เป็นอันมากที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเธอ มีหญิงสาวมากมายมาหลงรักขุนไกรรวมถึงแม่ชบาลูกครึ่งแขกตาคมที่มีแม่เป็นอนุและร่วมพ่อเดียวกับขุนศรีเพื่อนรักของขุนไกรแต่ก็ไม่มีใครที่จะพิชิตใจขุนไกรได้สักคน
ระหว่างที่ขุนไกรอยู่ที่คุ้มจมื่นราชภักดีมาที่เรือนบ่อยครั้ง สร้างความไม่พอใจให้ขุนไกรเป็นอันมากเพราะเริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าหลงรักแม่หญิงวิลันดาจนหมดหัวใจ แต่แม่หญิงวิลันดาปากหนักไม่ยอมรับรักขุนไกร เขาจึงรุกหล่อนหนักจนทั้งคู่ยอมสารภาพรักต่อกัน ขุนไกรตั้งใจให้เสร็จศึกจากค่ายบางกุ้งจะให้แม่ไปขอยกเลิกการหมั้นหมายแก่แม่ดาวเรืองเพราะเขาไม่เคยมีใจให้นาง ขุนท้าวเฟื่องยอมตามใจเพราะรู้ว่าขุนไกรแต่งกับแม่หญิงดาวเรืองไปก็คงไม่มีความสุข
แต่เมื่อมีคนรักย่อมมีคนเกลียดชังเช่นกัน “แม่หญิงดาวเรือง” คู่หมั้นคู่หมายของขุนไกร ซึ่งแม่ของขุนไกรเคยหมั้นหมายนางไว้ให้ เพราะคิดว่านางเป็นหญิงที่ดีมีคุณสมบัติเพียบพร้อม หล่อนสงสัยในตัวแม่หญิงวิลันดาจนให้บ่าวคนสนิทไปสืบและรู้ว่ามิใช่หลานขุนท้าวเฟื่องจึงหาทางกำจัดนาง ปุโรหิตศรีวิชัยได้มาที่คุ้มเล่าถึงอดีตชาติของวิลันดาให้ฟังและเขาคอยช่วยหล่อนในหลายเรื่องเพราะที่แท้แล้วเขาเคยเป็นบิดาของหล่อนในอดีตชาติสมัยทวารวดี
ในระหว่างที่ขุนไกรต้องกลับไปฝึกซ้อมให้ทหารที่ค่ายจีนบางกุ้งยะโมหน่าย สายลับสาวของพม่าที่มีเลือดไทยอยู่ครึ่งหนึ่งและขุนไกรได้เคยช่วยชีวิตเอาไว้หล่อนหลงรักขุนไกร ได้มาเตือนไม่ให้ขุนไกรกลับไปที่ค่ายบางกุ้งแต่ขุนไกรไม่เชื่อเขาไม่คิดหนีเอาตัวรอดละทิ้งพี่น้องร่วมชาติ
ส่วนแม่หญิงดาวเรืองนำผงเสน่ห์จันทร์ ซึ่งเป็นยาปลุกกำหนัดชนิดหนึ่งมาให้จมื่นราชภักดี แต่เขาปฎิเสธน้องสาวไม่ยอมใช้วิธีสกปรกเช่นนั้นกับแม่หญิงวิลันดาเพราะเขาอยากได้หัวใจของนางมากกว่า แม่หญิงดาวเรืองจึงวางแผนกับบ่าวคนสนิทชวนพี่ชายและแม่หญิงวิลันดาไปชมผ้าที่ตลาดท่าจันทร์หวังให้วิลันดาต้องอับอายและรีบแต่งงานกับพี่ชายของนาง แต่บ่าวทีใช้ให้วางยากับหยิบยานอนหลับไปใส่แทนทำให้จมื่นราชภักดีมิได้ทำอะไรกับแม่หญิงวิลันดา ขุนท้าวเฟื่องและบ่าวไพร่ตามหาแม่หญิงและจมื่นราชภักดี
และมาพบในสภาพที่คิดเป็นอื่นไม่ได้ จมื่นราชภักดีรู้ว่าเขาโดนน้องสาววางแผนจัดฉาก แต่หากเขาไม่ยอมรับก็กลัวแม่หญิงวิลันดาจะเสียหายจึงยอมรับผิดเสียเอง ขุนไกลขอลาราชการกลับมาและตามไปจนพบภาพบาดตาบาดใจขาแทบจะฆ่าจมื่นราชภักดีให้ตายต่อหน้า แต่เชื่อมั่นในตัวแม่หญิงวิลันดาว่านางมิรู้เรื่องนี้ด้วย เขาเข้าใจผิดว่าจมื่นราชภักดีวางยานางและมิคิดรังเกียจในตัวแม่หญิงสักน้อยนิด
จมื่นราชภักดีให้พระยาสีหเดโชมาสู่ขอแม่หญิงวิลันดากับขุนท้าวเฟื่องและพระยามิตรไมตรีท่ามกลางความยินดีของแม่หญิงดาวเรืองคิดว่าจะหมดเสี้ยนหนาม แต่ขุนไกรโวยวายมิยอมให้แม่ยกให้เขาบอกแก่ทุกคนว่าหากแม่ยกให้ตัวเขาก็ต้องคงชิงแม่หญิงวิลันดาคืนมา วิลันดาไม่อยากให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคุ้มบาดหมางกันเพราะเรืองของเธอ จึงยอมตกลงแต่งงานกันโดยบอกว่าตนเองมีใจให้แก่จมื่นราชภักดี ขุนไกรเสียใจมากกลับไปที่ค่ายบางกุ้งแต่รับปากจะกลับมาให้ทันงานแต่งแม่หญิงวิลันดากับจมื่นราชภักดี ระหว่างทางพบคนถูกทำร้ายที่แท้คือยายแดงเจ้าของเพิงพักวันนั้นที่แม่หญิงดาวเรืองบังคับให้ช่วยเหลือในแผนการครั้งนั้น นางซึ้งในน้ำใจของขุนไกรจึงเล่าเรื่องราวที่แม่หญิงดาวเรืองเป็นผู้วางแผนทั้งหมดให้ขุนไกรฟัง ขุนไกรพานางแดงไปที่งานแต่งเขาไม่ยอมเสียแม่หญิงยายแดงเล่าความจริงให้ทุกคนฟัง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายโกรธแม่หญิงดาวเรืองมากจึงตำหนินงอย่างมิไว้หน้า ขุนไกรก็มิไยดีนาง แทนที่แม่หญิงดาวเรืองจะสำนึกในความผิด นางกับแค้นแม่หญิงวิลันดามากขึ้นและรู้ว่านางคงจะไม่มีทางได้หัวใจของขุนไกรเป็นแน่ จึงหยิบมีดสำหรับเจียนหมากพลูที่อยู่ในงาน แทงเข้าหมายจะให้ทิ่มแทงเข้าที่ขั้วหัวใจแม่หญิงวิลันดา แต่ด้วยความรักจมื่นราชภักดีเอาร่างเขาเข้ามาขวางไว้มีดของแม่หญิงดาวเรืองปักเข้าที่ร่างของเขางานมงคลจึงถูกเลื่อนออกไป จมื่นราชภักดีเป็นผู้ชายแม้นจะรักแม่หญิงมากเพียงไรแต่ก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจว่านางกับขุนไกรรักกันมากเขาจึงยอมยกเลิกงานแต่งงาน ส่วนแม่หญิงดาวเรืองทำชั่วไว้มากกรรมจึงสนองนาง นางเสียใจมากจึงหยิบขวดยาขึ้นมาหารู้ไม่ว่ายาขวดนั้นมิใช่ขวดยานอนหลับ กับเป็นผงว่านเสน่ห์จันทร์ซึ่งเป็นยาปลุกกำหนัด ยังโชคดีที่ผู้ชายที่พบนางในคืนนั้นคือขุนศรีซึ่งแอบมีใจให้นางทั้งสองจึงตกเป็นของกันและกัน ส่วนขุนไกรหลังจากเสร็จศึกที่ค่ายบางกุ้งและได้รับชัยชนะกลับมาเขาและแม่หญิงวิลันดาตัดสินใจแต่งงานกัน แม้นว่าประตูกาลเวลาจะให้โอกาสแม่หญิงวิลันดาได้เลือกอีกครั้ง แต่เธอเลือกที่จะอยู่เคียงข้างขุนไกรอยู่ที่กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรแม้นภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้นกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร จะไม่ได้มีอายุที่ยืนยาวนับร้อยปี แต่ความรักของขุนไกรและวินดากลับยืนยาวไปชั่วกัลปวสาน

+++++++++++++++++++++++++++++++

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 5

ตอนที่ 5

“เตรียมตัวเถอะค่ะขุนไกรวันนี้เป็นวันที่พระจันทร์จะเต็มดวงปีหนึ่งมีโอกาสไม่กี่ครั้ง ตามที่ปู่เจ้าท่านได้บอกไว้เดี๋ยวฉันจะไปส่งคุณเอง”วิลันดารู้ว่าถ้าพลาดโอกาสนี้แล้วไม่รู้ต้องรออีกนานเท่าไหร่หล่อนจึงเร่งเล้าเขาแต่เช้า
หลังจากได้ทำบุญร่วมกับขุนไกรในตอนเช้าแล้วหล่อนจึงเตรียมสัมภาระและกระเป๋าเดินทางที่มีเสื้อผ้าติดเพิ่มไปอีก 2 ชุดเพราะในคืนนี้กว่าจะรอให้พระจันทร์เต็มดวงก็คงดึกหล่อนคงจะเดินทางกลับกรุงเทพไม่ไหวคงต้องหาที่พักแถวอัมพวาพักสักคืนหนึ่ง

“ข้ามิได้เอาอันใดมาที่นี่ กระนั้นคงมิต้องเตรียมอันใดกลับไปด้วยแต่ของสิ่งหนึ่งกับหล่นหายอยู่ยังภพของแม่หญิงหากเจ้าพบมันข้าขอฝากไว้ที่เจ้าด้วยหนา” คำพูดเขาเป็นปริศนาแต่ไม่ยากที่จะคิดหาคำตอบ เมื่อคนหุ่นล่ำสันรู้ตัวว่าจะได้กลับบ้านแต่แปลกเหลือเกินที่ภายในใจเขากับรู้สึกหดหู่อย่างประหลาด

“อะไรหรือคะ คุณทำอะไรหล่นหาย” สีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัย ขนตางอนยาวเป็นแพหลุบลงก้มมองที่พื้นว่าขุนไกรทำอะไรหล่นหาย และถ้าหล่อนเกิดเจอตอนที่เขากลับบ้านไปแล้วจะเอาไปคืนเขาได้ยังไงนะ

“มิมีอันใดดอกเจ้า ข้าก็พูดหยอกเย้าเจ้าเพียงกระนั้น” ขุนไกรมองกิริยาของแม่หญิงต่างยุคที่กำลังช่วยเขาหาของบางอย่างอยู่ เขารู้สึกขำท่าทางหล่อนและรู้แก่ใจว่าของสิ่งนั้นหาเท่าไหร่ก็คงหาไม่เจอเพราะไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่าเพราะมันต้องสัมผัสด้วยหัวใจ

ขุนไกรอยากกจะบอกกับหล่อนเหลือเกินว่าสิ่งที่เขาทำหล่นหายเมื่อมาที่ภพนี้ก็คือ หัวใจของเขา แต่หากเขาบอกความรู้สึกนี้ไปเขากับหล่อนเมื่อต้องพรากจากกันก็ย่อมไม่มีความสุขทั้งสองฝ่าย สู้เขาเก็บงำความรู้สึกนี้ไว้กับตนเองผู้เดียวน่าจะดีกว่า

รถยนต์ Jazzสีชมพูบานเย็น คู่ใจของวิลันดาขณะนี้ดูแคบอีกไปครั้งหนึ่งเมื่อมีขุนไกรนั่งเคียงคู่มาด้วยกัน หล่อนขับมุ่งหน้าสู่สมุทรสงครามอีกครั้ง แต่วันนี้วิลันดากับขับมันไปอย่างช้าๆ 80 ก.ม/ช.ม อาจเป็นเพราะว่าสาวสวยหน้าหวานเจ้าของรถคันนี้ไม่อยากจะให้ถึงที่หมายไวเกินไปนัก เพราะมีความรู้สึกบางอย่างแทรกซึมเข้ามาในหัวใจของหล่อนโดยไม่รู้ตัว ความเจ็บจากการถกชัชวาลนอกใจนั้นๆค่อยๆหายไปโดยที่หล่อนไม่ทันได้สังเกตตนเอง

“ขุนไกรตั้งแต่คุณหลงมาที่นี่ฉันยังไม่เคยพาคุณไปเที่ยวไหนเลย อยากจะลองไปเที่ยวตลาดน้ำของคนยุคนี้บ้างไหมคะ”

“หากมิเป็นการรบกวนเจ้าเกินไปนัก ข้าก็มิคิดขัดข้องอันใด”เพราะในใจของขุนไกรเองก็อยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับวิลันดาให้มีค่าที่สุดเพื่อที่เขาจะตราตรึงภาพหล่อนเอาไว้ในหัวใจ แม้ร่างกายจะต้องจำจากพรากกันคนละภพ ไม่รู้เพราะอะไรเมื่อเขามาพบผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขารู้ได้ทันทีว่าหัวใจที่เคยแกร่งเหมือนหินไม่เปิดทางเข้าให้กับใครมาก่อนมันกับยินดีเปิดต้อนรับหล่อนเข้ามา แต่อุปสรรคใหญ่หลวงคือเขาและหล่อนอยู่กันคนละภพที่ไม่มีวันจะมาบรรจบกันได้

หล่อนคิดถึงสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดนี้“ไปตลาดน้ำอัมพวากันดีกว่าเพราะอยู่ใกล้ๆกับโบสถ์ปรกโพธิ์ด้วยค่ะ” หล่อนเคยไปเที่ยวแล้วหลายครั้งและรู้สึกประทับใจจึงอยากพาเขาไปดูสักครั้ง

วิลันดาในชุดแส็คสั้นสีชมพูอ่อนเหนือเข่าเพิ่มความอ่อนหวานด้วยระบายลูกไม้สีขาวที่ชายกระโปรง และขุนไกรซึ่งแต่งตัวอย่างผู้ชายยุคปัจจุบันกางเกงสแลคสีครีม กับเสื้อโปโลเนื้อดีพื้นขาวคาดสีน้ำเงินสลับขาวรายขวาง ก้าวลงจากรถมุ่งเข้าสู่ตลาดน้ำชื่อดังของจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งวันนี้เป็นวันอาทิตย์ทั้งแม่ค้านักท่องเที่ยวเยอะเป็นพิเศษจนขุนไกรตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งที่เขาพบเห็น แม้จะรู้สึกอึดอัดบ้างกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่ดูแออัดไปสักนิด

“ตลาดน้ำของเจ้าช่างมีของมากมายล้วนแปลกใหม่สำหรับข้ามากนัก มากเสียกว่าข้าวของที่พวกโปรตุเกสนำมาขายที่ตลาดพระนครเสียอีก หากซื้อนำติดตัวกลับไปได้ข้าก็อยากจักนำพามันกลับไปด้วย แต่มันคงเป็นไปมิได้” เขามองสิ่งของรอบตัวอย่างสนอกสนใจ

“ใช่ค่ะ ฉันคิดว่าเราคงนำของอย่างอื่นข้ามกาลเวลาไปด้วยไม่ได้ยกเว้นตัวของเราซึ่งถูกกำหนดไว้เพียงเท่านั้น”หล่อนเคยดูละครเรื่องหนึ่งที่นางเอกข้ามไปสู่ภพอดีตนางเอกจะเอาอะไรไปด้วยก็ไม่ได้ยกเว้นตัวและเสื้อผ้าติดกายเท่านั้นที่จริงแล้วการข้ามกาลเวลาคงเหมือนกับการต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง แต่หล่อนไม่รู้ว่าการข้ามกาลเวลาแท้จริงแล้วใครกันเป็นผู้กำหนดว่าจะให้ใครได้ใช้ช่องทางนี้ผ่านไปมาได้บ้างและมีเหตุผลอะไรกันแน่ มันช่างเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติจริงๆและไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตของหล่อนจะได้พบกับปฏิหาร

อุ๊ย! วิลันดาสะดุดตากับของบางสิ่ง และตามวิสัยของผู้หญิงหล่อนพาร่างงามที่ใครต่อใครต้องเหลียวหลังเดินตรงลิ่วไปหาของสิ่งนั้นในทันที

“ สวยจัง” วิลันดาเอื้อมมือไปหยิบกำไลทองเหลืองชิ้นหนึ่งซึ่งมีลักษณะขัดเงาแบบเรียบที่หัวเป็นรูปพญานาค มีพลอยสีเขียวเม็ดเล็กประดับขึ้นที่ดวงตาทั้งสองมาลองสวมที่ข้อมือเรียว

หล่อนยิ้มอย่างพึงพอใจกับกำไลอันสวย“สวยไหมคะขุนไกร” พลางยกข้อมืออวดโชว์อย่างถูกอกถูกใจกับกำไลทองเหลืองชิ้นนี้

“เจ้าสวมมันแล้วดูงามนัก” ขุนไกรอยากจะซื้อกำไลชิ้นนี้ให้เป็นของที่ระลึกกับหล่อนแต่เขานึกได้ว่าเขาไม่มีอัฐหรือเงินของคนยุคนี้ติดตัวอยู่เลย

“คุณใส่แล้วสวยมากเลยนะคะมันเหมาะกับข้อมือคุณมากเลยค่ะ” แม่ค้าร่างท้วมผู้มีแก้มอิ่มแลดูใจดีนั้นเชียร์สินค้าของหล่อนให้หญิงสาวเพราะเห็นว่าหล่อนสวมแล้วดูสวยจริงๆ แต่ก็อดที่จะรู้สึกแปลกๆกับชายหนุ่มหน้าตาหล่อคมเข้มที่มาด้วยว่าทำไมถึงพูดจาเหมือนคนสมัยโบราณไม่เหมือนนักท่องเที่ยวคนอื่นแต่ก็ไม่ได้ถามออกไปกลัวจะเป็นการเสียมารยาท

“ข้าอยากจักซื้อมันให้กับเจ้ายิ่งนัก เสียแต่ว่าข้ามิมีอัฐติดตัวมา” เขานึกเสียดายที่ไม่อาจจะซื้อกำไลมอบให้เป็นของกำนัลแก่หล่อนได้ ถ้าอยู่ในยุคของเขา หล่อนอยากจะได้มากกว่านี้สักเท่าไหร่เขาก็จะจัดหาให้หล่อนได้ไม่อยาก ต่อให้เป็นทองคำแท้เสียด้วยซ้ำ

“ขุนไกรอยากซื้อกำไลให้ฉันอย่างนั้นหรือคะ” หล่อนยิ้มหวานให้เขา เมื่อมองหน้าเขาสีหน้าเขบ่งบอกว่าเขาอยากจะซื้อมันให้เธอมากแต่ติดตรงที่ว่า..ใช่ซิหล่อนลืมไปเขาไม่มีเงิน

“ไม่อย่างนั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” หล่อนส่งธนบัตรสีเทาให้เขาใบหนึ่งซึ่งขุนไกรก็เข้าใจว่านี่คงจะใช้เช่นเดียวกับอัฐในยุคของเขา

“กำไลอันนี้ราคาเท่าไหร่คะป้า”

“950 บาท แต่ป้าลดให้หนูเหลือ 900ก็พอจะ” แม่ค้าร่างท้วมบอกราคาพลางยิ้มหวานให้หล่อนเช่นกัน

“ขอบคุณค่ะป้า” หล่อนกระซิบที่ข้างหูขุนไกรเบาๆ “จ่ายเงินเขาไปซิคะ ไหนคุณบอกจะซื้อให้ฉันยังไงคะ”

“แหมอัฐยายซื้อขนมยายกันตรงนี้เลยนะ” แม่ค้าใจดีวัย 50 แซวลูกค้าหนุ่มสาวคู่นี้ พลางนึกเอ็นดูคนทั้งสองถึงแม้จะดูเป็นคู่รักที่ดูแปลกสักหน่อยแต่สมกันราวกิ่งทองใบหยก

“นี่ขอรับ” ขุนไกรส่งธนบัตรสีเทาให้แม่ค้า ซึ่งแม่ค้าก็ส่งธนบัตรสีแดงใบละหนี่งร้อยบาททอนให้กับขุนไกร1ใบ แม้ขุนไกรจะดูเก้อเขินกับการที่ต้องใช้เงินวิลันดซื้อของขวัญให้หล่อนก็ตามแต่เขาก็ดีใจที่เธอชอบมัน

ขณะที่คนทั้งคู่เดินพูดคุยกันมาหล่อนพลางชี้ชวนให้ขุนไกรดูเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่พายเรือมาขายผลหมากรากไม้สดๆจากสวนในละแวกนี้ อีกทั้งของกินมากมายทั้งปิ้ง ย่าง บางลำก็พาย บางลำก็จอดเทียบท่า กำลังซื้อขายกันอยู่ก็มี ขณะที่หญิงสาวไม่ได้ระวังตัวเด็กน้อยผู้ชาย 2 คนไว้ผมจุกอย่างเด็กสมัยก่อนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาทางวิลันดา อีกคนไว้ผมเกรียนวิ่งไล่จับกันมาจนเด็กผมจุกชนวิลันดาจนหล่อนเซถลาไปเพราะไม่ได้ระวังตัว

อุ๊ย!

วิดาหล่อนเซไปเกือบจะตกลงไปในคลองท่ามกลางสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาอย่างหวาดเสียวแทน แต่มีมือใหญ่มือหนึ่งขาวจัดอย่างคนจีนเอื้อมมารั้งแขนขวาของหล่อนเอาไว้ ขณะที่มือใหญ่แข็งแกร่งของขุนไกรจับแขนซ้ายของหล่อนไว้ มิเช่นนั้นวิลันดาคงต้องไปว่ายน้ำแข่งกับปลาแล้วเป็นแน่

“ขอบคุณค่ะขุนไกร เอ่อ..ขอบคุณค่ะคุณ....”
“ผมพลครับ” ชายร่างสูงผิวขาวใบหน้าหล่อเหลาแต่ตาชั้นเดียว แต่งกายสุภาพดูดียิ้มทักทายหล่อนและยิ้มเลยมาเผื่อขุนไกร แต่ดูเหมือนสายตาเขาจะจับจ้องแต่สาวร่างบางผู้มีใบหน้าหวานละมุนอย่างไม่วางตา

“ขอบคุณ คุณพลมากนะคะไม่อยากนั้นฉันคงต้องได้ลงไปว่ายน้ำกับแล้วละคะ”

“ ไม่เป็นไรครับแค่เรื่องเล็กน้อย”

ขณะที่ขุนไกรมองหน้าชายผู้มีชื่อว่าคุณพล เขามีความรู้สึกว่าเขาเคยพบผู้ชายคนนี้มาก่อน เพียงแต่การแต่งกายของเขาที่เปลี่ยนไปจึงทำให้ขุนไกรยังนึกไม่ออกในเวลานี้ว่าเคยพบกับเขาที่ไหน

“ผมมีโฮมเสตย์อยู่ที่อัมพวานี้ถ้าคุณกับเพื่อนสนใจลองไปพักดูก็ได้นะครับ” เขาหยิบกระเป๋าสตางค์ดึงนามบัตรออกมาให้กับวิลันดา แท้ที่จริงเขาไม่ได้หวังได้หล่อนเป็นลูกค้า แต่เป็นเพียงเพราะเขาพยามหาโอกาสที่จะได้พบหล่อนอีกครั้ง เพราะรู้สึกชอบหล่อนขึ้นมาตั้งแต่แรกเห็นหล่อนกำลังยืนเลือกกำไลอยู่ เขามองหล่อนอยู่นานจนเห็นหล่อนถูกเด็กคนนั้นวิ่งเข้ามาชนอเขาจึงไม่ยอมเสียโอกาสรีบเข้ามาช่วยหล่อนทันที

“ขอบคุณค่ะ”วิลันดารับนามบัตรของพลมาถือไว้ หล่อนยิ้มให้เขาก่อนจะเก็บมันเข้าไปในกระเป๋าถือของหล่อน

“ถ้าอย่างนั้นฉันกับเพื่อนคงต้องขอตัวก่อนนะคะพอดีจะต้องไปที่อื่นกันต่อค่ะ” หล่อนยิ้มให้พลพลางพยักหน้าเป็นเชิงบอกขุนไกรว่าให้เดินตามหล่อนไปได้แล้ว

ขุนไกรเป็นผู้ชายเขาย่อมดูออกว่าชายผู้นี้สนใจวิลันดามาก แต่เมื่อเขายังไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียดเกินการแนะนำตัวขุนไกรจึงไม่ได้สนใจอะไรกับพลมากนัก หากแต่ถ้าชายคนนี้ทำลุ่มล่ามกับหล่อนเขาจะไม่ให้นายพลคนนี้ได้มีโอกาสพูดกับหล่อนอย่างแน่นอน

“ครับ” พลมองตามร่างบางนั้นไปอย่างนึกเสียดาย พลางคิดว่าเขากับหล่อนต้องมีโอกาสเจอกันอีกแน่ๆ

“ขุนไกรคะ คุณเคยชมหิ่งห้อยบ้างไหมคะ” ไม่รู้เพราะอะไรหล่อนอยากจะถ่วงเวลาเอาไว้อีกสักนิดก็ยังดี

“หิ่งห้อย ข้าเคยเห็นอยู่ทุกค่ำคืน ที่เรือนของข้าติดกับลำคลองมีต้นลำภูอยู่ต้นหนึ่งเจ้าพวกหิ่งห้อยมันมักจักชอบออกมาเล่นแสงจันทร์” เขานึกถึงบรรยากาศที่เรือนของเขา ขุนไกรนึกอยากให้วิลันดาได้เห็นหล่อนคงจะตื่นเต้น

“แต่ยุคนี้การได้ดูหิ่งห้อยถือเป็นเรื่องโชคดีมากค่ะ เพราะมันค่อนข้างจะหาดูยากเสียแล้ว ต้องเป็นที่น้ำสะอาดจริงๆ และมีต้นไม้อุดมสมบูรณ์ถึงจะมีให้เห็น ที่นี่เขาก็มีการพานั่งเรือไปชมหิ่งห้อยกันด้วยนะคะคุณอยากดูไหม”
ตั้งแต่หล่อนเกิดมาพึ่งจะเห็นเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยแค่สองครั้งเอง คือสมัยตอนเป็นเด็กที่บ้านสวนบางน้ำผึ้ง ซึ่งเดี๋ยวนี้ได้กลับกลายเป็นตลาดน้ำชื่อดังที่ใครต่อใครรู้จักกันดี และอีกที่หนึ่งก็คืออัมพวาแห่งนี้เมื่อไปที่แล้วที่เธอมาเที่ยวพร้อมแก้วกานดา

“เจ้าชอบหิ่งห้อยกระนั้นรึ” ขุนไกรมีความรู้สึกว่าหล่อนอยากจะให้เขาไปด้วย

“จะว่าชอบก็ชอบนะก็ตอนนี้ฉันอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่มีโอกาสจะได้เห็นหรอกค่ะ”

“เช่นนั้นข้าจักไปดูมันเป็นเพื่อนเจ้า”

“อย่างนั้นเราไปซื้อตั๋วกันดีกว่าค่ะ” คนอยากดูหิ่งห้อยดึงแขนขุนไกรจ้ำอ้าวเข้าไปซื้อตั๋ว

“ ขอจองตั๋ว2 ใบค่ะ แล้วเรือจะออกตอนกี่ทุ่มคะ ”

“รอบต่อไปก็ 2 ทุ่มครึ่งครับเราจะพาไปดูหิ่งห้อยจนไปถึงคลองผีหลอกแล้วจะกลับมาถึงน่าจะประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง”

พอได้เวลาลงเรือแล้ววิลันดาแม่สาวกรุงเทพผู้ไม่ค่อยสันทัดในการขึ้นลงเรือเท่าไหร่นัก ทำให้หล่อนเซถลาเมื่อตอนก้าวลงเรือเกือบจะตกน้ำเสียให้ได้ ดีเสียแต่ว่าขุนไกรจับหล่อนเอาไว้ทันแต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ขณะที่เรือนำเที่ยวลำที่เธอและเขานั่งกำลังจะออก ก็มีเรือที่กลับมาและกำลังจะไปพร้อมกันอีกหลายลำ ในเรือมีหนุ่มสาวหลายคู่ดูเหมือนจะเป็นคู่รักกัน ขุนไกรกับวิลันดานั่งอยู่ช่วงกลางลำเรือ ส่วนด้านหลังเธอเป็นครอบครัวพ่อแม่และลูกชายวัยไม่เกิน5 ขวบ ต่างตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะได้ไปชมหิ่งห้อย พอใกล้ถึงจุดหมายไกด์ประจำเรือแนะนำให้นักท่องเที่ยวปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด และทำตัวให้เงียบที่สุดเรือค่อยแล่นๆตามลำน้ำใสสะอาด เรือทุกลำปิดไฟแล้วทุกคนก็ต้องตื่นเต้นเมื่อในคืนนี้มีหิ่งห้อยนับพันมาให้ชม วิลันมองพวมันกระพริบแสงวูบวาบ ลอยยิ้มของเธอดูมีความสุข จนทำให้ขุนไกรมีความสุขตามไปด้วย แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาได้มาชมหิ่งห้อยแต่เพราะเขาเห็นสาวน้อยข้างกายกำลังเพลิดเพลินแม้ในความมืดเขาก็เห็นหน้าหล่อนกระจ่างชัดเพราะความขาวของหล่อน เขาคิดว่าหากหล่อนไปยังภพของเขาได้คงดีไม่น้อยเขาจะพาหล่อนเที่ยวชมหิ่งห้อยยามราตรี หล่อนและเขาคงจะมีความสุขมาก แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเขาและหล่อนก็จะต้องลาจากกันแล้วเหลือเพียงความทรงจำ ขุนไกรรู้สึกว่าเหมือนหัวใจที่แข็งแกร่งของเขามันรู้สึกใจหายชอบกล

“สวยจังเลยค่ะ ฉันอยากจะมาที่นี่อีก วันหลังจะชวนยายแก้วมาด้วย” หล่อนยิ้มหวานให้เขาหลังจากขึ้นมาจากท่าเรือ หล่อนยกดูนาฬิกาข้อมือเส้นเล็กสีชมพูซึ่งบ่งบอกว่าเป็นเวลา21.45 น. “แย่แล้วขุนไกรเราต้องรีบไปโบสถ์ปรกโพธิ์กันแล้วแหละ”
ขุนไกรรู้สึกใจหายวาบ เขานึกอยากจะกลับมาดูหิ่งห้อยกับหล่อนอีกครั้ง แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเขาต้องจากหล่อนไปไกล ทำไมหล่อนกับเขาถึงไม่ได้เกิดในยุคเดียวกันถ้าหล่อนกับเขาอยู่ภพใดภพหนึ่งด้วยกันได้ตลอดไป เขาจะไม่มีวันปล่อยหล่อนไปไกลตัวเป็นอันขาด
รักไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาที่คบหาแต่ขึ้นอยู่กับหัวใจสองดวง เมื่อใดที่เราได้พบรักแท้แม้เพียงเศษเสี้ยวของเวลาก็เพียงพอที่จะรัก

“นี่คงใกล้เวลาเข้ามาทุกทีแล้ว” ขุนไกรรีบเดินตามหล่อนไปยังลานจอดรถ

สองข้างทางดูมืดมากในยามกลางคืน วิลันดาขับรถไปตามเส้นทางมุ่งสู่โบสถ์ปรกโพธิ์ ขุนไกรรู้สึกห่วงวิลันดามาก หากเขากลับไปแล้ว หล่อนจะกลับออกมาจากโบสถ์อย่างไร หล่อนเป็นเพียงผู้หญิงตัวคนเดียว แถมยังสวยอีกต่างหากเขายิ่งคิดก็ยิ่งห่วง

“หากข้าไปแล้วเจ้าจักกลับออกมาจากที่นั่นเยี่ยงไรกัน”

“ฉันก็จะขับรถออกมาไปพักโฮมสเตย์แถวนี้ก็ได้ค่ะมีเยอะออก ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ” หล่อนไม่ต้องการให้เขากังวล แต่อย่างน้อยวันนี้หล่อนก็ได้พบเจ้าของโฮมสเตย์ที่ให้นามบัตรไว้ หล่อนคงโทรหาเขาแล้วไปพักที่นั่นได้ไม่ยาก

“ข้าเป็นห่วงเจ้านัก” น้ำเสียงของเขาแสดงอย่างชัดเจนว่าห่วงใยหล่อนจริง

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ” หล่อนพูดให้เขาคลายกังวลทั้งที่ตนเองก็กลัวเช่นกัน

“ใจคอเจ้าคงอยากจักขับไล่ไสส่งข้าให้กลับไปโดยเร็วกระมัง” เขาตัดพ้อหล่อนดูเหมือนหล่อนจะไม่เสียใจเลยที่จะต้องจากกันแล้ว
“เปล่าค่ะ” ที่จริงแล้วหล่อนรู้สึกใจหายตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านมาเสียอีกเหมือนกำลังจะทำของสำคัญหายเสียด้วยซ้ำ แต่ต้องทำตัวให้ร่าเริงไว้เพื่อไม่ให้ขุนไกรจับพิรุธหล่อนได้

พอรถของหล่อนขับมาถึงหน้าโบสถ์ซึ่งบัดนี้มีแต่ความมืดสงัด ดูวังเวงชอบกลผิดจากกลางวันมากนักและยิ่งหล่อนเคยฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติของโบสถ์ปรกโพธิ์ซึ่งมีคนบอกว่ากลางคืนชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาเคยเห็นหญิงสาวสวยใส่ชุดไทยอยู่ในโบสถ์ปรกพิ์ซึ่งบางคนกล่าวขานกันว่าเป็นแม่นางไม้ หญิงสาวแม้มีเจตตนาดีแต่หล่อนก็อดที่จะขนลุกไม่ได้ นี่ถ้าไม่มีขุนไกรอยู่ตรงนี้ด้วยแล้วนั้นยังไงวิลันดาคงจะรีบขับรถออกไปให้เร็วที่สุด

“เป็นเยี่ยงไรบ้างแม่หญิงเจ้ายังริปากกล้ามิกลัวเกรงต่อสิ่งใดอีกรึไม่” คนพูดนึกขำสาวน้อยขึ้นมา แม้เงาสลัวที่ มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องให้ความสว่างแต่ขุนไกรก็เห็นเจ้าร่างบางหน้าซีดเผือดไปคงจะกลัวไม่น้อย ทั้งสองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงงามนัก เหมือนมีเสียงกระซิบแผ่วเบาลอยมาตามสายลมให้คนทั้งคู่ก้าวเข้าไปในโบสถ์ ซึ่งตอนนี้ในโบสถ์ก็มืดมิดมีเพียงเงาจันทร์ที่สาดส่องเข้าไปให้เห็นลางๆ แต่ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อนิลมณีแล้วคนทั้งคู่ก็ใจชื้นเพราะรู้ว่าจะไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้นกับเขาและเธอเป็นอันขาด ขุนไกรและวิลันดาก้มลงกราบองค์หลวงพ่อนิลมณี

“องค์หลวงพ่อขอรับโปรดนำพาลูกกลับไปยังที่จากมาด้วยขอรับ ลูกยังมีภาระต้องรับใช้ชาติบ้านเมือง”

ลมกระโชกแรง พลันเหมือนแรงอธิฐานของเขาจะสัมฤทธิ์ผล แสงสว่างบางอย่างขยายเป็นวงใหญ่วิ่ง
เข้ามาโอบล้อมรอบตัวเขา วิลันดาซึ่งหล่อนนั่งเคียงข้างเขาอยู่มองปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างตกใจ

“ถึงเวลาที่ข้าจักต้องลาจากเจ้าไปแล้วหนา”

คนทั้งคู่รู้สึกใจหายเมื่อจะจากกันจริงๆ

เสียงในหัวใจของขุนไกร ตอนนี้มีเสียงเรียกร้องว่าเขาไม่อยากกลับไปแล้วเขาทิ้งเธอไว้อย่างนี้ไม่ได้

“ฉันขอให้คุณโชคดี ฉันจะคิดถึงคุณเสมอ” น้ำตาของหล่อนเริ่มเอ่อออกมาทั้งที่เจ้าตัวตั้งใจไว้ว่าจะไม่
ร้องไห้ให้เขาเห็นเป็นอันขาด เพียงเวลาไม่กี่วันที่ได้พบกันแต่ทำไมหล่อนจึงรู้สึกว่าผูกพันกับเขาเหมือนได้รู้จักกันมาทั้งชีวิต
คนเราจะรู้สึกผูกพันกับใครคนหนึ่งที่พึ่งได้รู้จักกันไม่นานได้จริงๆหรือ สมองของหล่อนเอ่ยถามกับหัวใจ

ร่างของขุนไกรค่อยๆเลือนลางจางลงเรื่อยๆ เขาเปลี่ยนใจเขาทิ้งหล่อนไปแบบนี้ไม่ได้ เขาเอื้อมมือมา
พยามจะจับมือหล่อนไว้ ทันใดนั้นกับมีแสงสว่างอย่างออร่าสีทองซึ่งเกิดขึ้นมาได้อย่างไรไม่มีใครทราบลำแสงของมันวิ่งมาล้อมวิลันดาเอาไว้

เปรี้ยง!

เสียงสายฟ้าฟาด ลมกระโชกแรงอย่างหนัก

“อะไรกันนี่” วิลันดามองไปรอบๆตัวของหล่อน และสายตาของหล่อนก็มองไม่พบขุนไกรอีกแล้วร่างนั่นเลือนลับหายไปพร้อมแสงสว่างที่ดับวูบลงเหลือไว้แต่ความมืด แต่แล้วสี่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดกับวิลันดาก็เริ่มขึ้นร่างของหล่อนเองกำลังจะเเลือนหายไปด้วย

ไม่นะ!

ขุนไกร ขุนไกร ช่วยฉันด้วย”

ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสงบดังเดิม ภายในโบสถ์ปรกโพธิ์ยามนี้ทุกอย่างดูเป็นปรกติ ยกเว้นเพียงแต่หนุ่มสาวคู่หนึ่งซึ่งบัดนี้ได้หายไปอย่างไร้ซึ่งวี่แวว

“วิลันดา” ขุนไกรตะโกนก้องร้องเรียกหล่อนปานจะขาดใจ

“ขุนไกร คุณอยู่ที่ไหน” หล่อนมองไปรอบด้านต้นไม้ที่ขึ้นรกชัดบรรยากาศรอบตัวของหล่อนได้เปลี่ยนจากความมืดมิดมาเป็นกลางวันที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นตรงหัว

สระน้ำ ! “ที่นี่ที่ไหนกัน” วิลันดามองไปรอบไม่เห็นใครสักคนแล้วนี่หล่อนอยู่ที่ไหนกัน ลักษณะโดยรอบมีต้นไม้ขึ้นรกครึ้มและเหมือนว่าจะมีแนวปราการไกลๆ
+++++++++++++




อัปสรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ค. 2554, 11:44:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ค. 2554, 11:44:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1912





<< ตอนที่ 4    ตอนที่6 (คนที่เคยอ่านผ่านได้เลยค่ะ) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account