น้ำค้างกลางจันทร์
ความลับสำคัญที่เธอไม่อาจบอกใครๆ
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา

แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
Tags: น้ำค้าง กลางจันทร์ รัก โรแมนติต ดราม่า นิยายน่าอ่าน เรื่องดีๆ พิศวาส ซ่อนเร้น

ตอน: บทที่ ๐๒๐

020



“รักหรือสงสารกันแน่คะ”

คำถามนั้นยังก้องอยู่ในหัว ร่วมทั้งสีหน้าของเขาที่ส่งกลับมาแทนคำตอบ มันยิ่งทำให้เธอแสนทรมานหัวใจ

คืนนั้น... ไม่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดอะไรขึ้น มันจะยังสำคัญอยู่อีกหรือ ในเมื่อวันนี้ ทุกอย่างล่วงเลยมานานนัก

ผู้เป็นบิดาให้สติเธอมาแล้ว...

คนเราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่สามารถสร้างสรรค์อนาคตของตนได้

ทั้งยังสามารถสร้างได้อย่างระมัดระวัง โดยใช้อดีตนั่นละ... เป็นบทเรียน

คำขอโทษของคนอย่างภาควัต ดูเหมือนจะเอ่ยออกมาอย่างง่ายดาย ทั้งที่มันแทบจะตรงข้ามกับความประพฤติ

หากไม่บอกว่าเธอจะยอมแต่งงานกับปริยัติ มีหรือที่เขาจะเผยความในใจ

อินทุอรพอจะชื่นได้ขึ้นมาได้บ้าง ตอนที่เขาเอ่ยขอโอกาส

แต่แล้วก็ต้องเสียความรู้สึกนั้นไปในทันที ที่แสร้งถามประโยคต่อไป

“รักหรือสงสารกันแน่”

เขานิ่งไปคล้ายไม่แน่ใจ ในแววตานั้นสับสนจนเธอเห็นได้

ก็คงแค่รู้สึกผิดหรอกกระมัง แต่จะปักใจว่ารักนั้นคงไม่ใช่

แล้วสิ่งอื่น คนอื่นที่แวดล้อมอยู่อีกเล่า อุปสรรคทั้งนั้นที่กั้นขวาง หรือหากจะยอมรับโดยเปิดเผย ว่าภาควัตต่างหากที่เธอคิดว่าเป็นคนที่ใช่... อะไรจะเกิดขึ้น!

เขาก็คงคิดไม่ต่างกัน ดูตอนที่สตรีสูงวัยทั้งสามเดินตามมาถึง เขายังถึงกับอึกอักพูดไม่ถูก แล้วในที่สุดเขาก็ตามทั้งกลุ่มกลับไปง่ายๆ

คนที่หันมามองเธออีกครั้ง แล้วยิ้มให้เหมือนปลอบ คือคนที่คุณโสภาพรรณแนะนำว่าเป็นมารดาของภาควัต

สายตาของคุณแวววิไล ทอแววเมตตาเปี่ยมล้น แต่ก็ชั่ววิบตาเดียวเท่านั้น ก่อนที่สายตาคู่เดียวกันนั้นคล้ายจะตักเตือน ให้เธอคิดถึงความเหมาะสมก่อนสิ่งอื่นใด

จนมานั่งกันอยู่ต่อหน้าแขกผู้ใหญ่เหล่านี้แล้ว เธอยังตัดสินใจไม่ถูก ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต

พันธกานต์คงทนรำคาญลลิตาไม่ได้ ที่หล่อนยังพูดจาแปลกๆ ออกมาเรื่อยๆ จึงขอตัวลุกไปตามนายอิศราที่ยังไม่ได้ออกมาร่วมโต๊ะ

แขกผู้ใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องลึกซึ้งย่อมไม่ระแคะระคายว่า สิ่งที่เพื่อนสนิทของเธอพูดออกมาเป็นทีเล่น เรียกเสียงขบขันหรือรอยยิ้มนิดๆ หน่อยๆ ให้เกิดขึ้นระหว่างรอเวลาเสิร์ฟอาหารนั้น เป็นเรื่องร้ายแรงเหลือเกิน ในความรู้สึกของคนที่ถูกแทงใจดำ

พอพันธกานต์พ้นสายตาออกไป ลลิตาก็ยิ่งเหมือนจะได้ใจ เพราะคราวนี้ การพูดจากระทบกระทั่ง จ้องเจาะจงเอากับภาควัตและอินทุอรได้ตรงๆ โดยไม่ต้องกังวลว่าคำพูดสิ่งไรจะกลับมากระเทือนตน หากว่าเรื่องนั้นกระทั้นไปถึงเรื่องลี้ลับระหว่างหล่อนกับพี่ชายคนใหญ่ของบ้านที่เพิ่งลุกจากไป

“ตกลงว่ามื้อนี้คุณภาคมางานไหนกันแน่คะ”

แล้วก็เหมือนลลิตาเอ่ยขึ้นลอยๆ เพราะสายตาไม่ได้มองมาทางผู้ที่หล่อนเอ่ยชื่อออกมา

“อะไรนะครับ... ผมฟังไม่ถนัด”

ส่วนภาควัตก็ยังคงรักษามรรยาทเป็นอันดี ทั้งที่เขายังติดจะเหม่อๆ เพราะยังงงๆ กับกิริยาอาการของอินทุอร แต่ก็ยังสามารถพูดจาถามตอบอย่างระมัดระวังได้เป็นอันดี

“ใจลอยไปถึงไหนกันล่ะคะ ก็... ถามว่า มาเป็นสักขีพยานงานไหน งานประกาศแต่ง หรืองานดูตัว หรือมาเข้าพิธีดูตัวเสียเอง”

คนถามลอยหน้าตั้งคำถาม โดยไม่ยอมสนใจเลยว่า คนที่ถูกพาดพิงทั้งหลาย จะรู้สึกขัดหูขัดตาอยู่อย่างไร

อินทุอรยังนั่งเงียบ เหมือนไม่ได้ยินที่เพื่อนสนิทพูดเลยสักคำ เพราะใจนั้นยังหมกมุ่นอยู่กับ การตัดสินใจอันยากเย็นบางอย่าง

“พี่หลิวจะมานั่งพูดนั่นพูดนี่อยู่ทำไมคะเนี่ย ใครจะมางานใคร มาทำไม ก็มีแต่คนที่เขาถูกเชิญๆ กันมาทั้งนั้น...”

แล้วก็เป็นพิมพิกาที่อดไม่ได้ที่จะต้องสวนออกไปบ้าง

“แต่พี่ก็สับสนนิดหน่อยไงคะ เรื่องความสัมพันธ์อะไรๆ กับใครกับใคร อะไรๆ ยังไงๆ อะไรๆ ก็ยังงงอยู่นะคะเนี่ย”

คนถูกสวนกลับยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แกล้งพูดจาให้วกวนต่อไปได้อีกเรื่อยๆ

ครั้นพิมพิกาจะต่อปากต่อคำต่อไป ก็คงมีแต่จะเข้าตัว หรือจะให้ตั้งอกตั้งใจลับคมฝีปากกับนังเพื่อนของอินทุอรคนนี้ ก็ไม่ถนัดนัก เพราะทางหนึ่งก็ยังต้องเฝ้าสังเกตท่าทีท่าทางของบรรดาหนุ่มๆ รอบตัว ว่าใครน่าจะกำลังคิดอะไรกันอยู่บ้าง

อย่างนายหน้าอ่อนศรันย์ที่มากับลลิตานั่น ตอนแรกหล่อนก็เข้าใจว่าเป็นคู่ควงของลลิตา แต่พอฟังไปฟังมา กลับได้ความว่ากำลังหลงรักอินทุอร ทว่าในตอนนี้กลับกำลังพินิจพิจารณาปิ่นปรียา ผู้เป็นน้องสาวของปริยัติอยู่อย่างแทบจะไม่ได้ละสายตาไปทางอื่น

ขณะที่พี่ชายที่เพิ่งลุกจากไป ก็ดูร้อนรนพิกลอยู่ ไอ้เรื่องที่ถูกหล่อนพูดแหย่ว่าหลงรักอินทุอรนั้น เขาควรจะชินและแสดงออกได้ดีกว่านี้ กลับกลายเป็นว่าเขากลับแสดงความไม่สบอารมณ์ให้เห็นชัด

โดยเฉพาะตอนที่ลลิตาเอ่ยถึง พวกความรักลับๆ ซับๆ ซ้อนๆ ที่ซ่อนอยู่ในโต๊ะอาหารมื้อนี้ ตอนนั้นละที่พันธกานต์ขอตัวไปตามคุณอิศรา พ่อเลี้ยงของเขา

ส่วนอีตาคนที่บอกว่าจะต้องมาดูตัวกับตัวหล่อน ก็ไม่เห็นจะทำท่าสนอกสนใจกับใครเลย ตานี่คงรู้จักกับลลิตามาก่อน หรือไม่ก็ตาคนนี้นี่เอง ที่เอ่ยสารภาพรักกับอินทุอร แต่ก็ไม่เห็นว่าเขาอยากจะเสวนาอะไรกับลลิตา หรือกับอินทุอรในตอนนี้ ก็แทบจะไม่ได้สบตา กระทั่งกับปิ่นปรียา สาวสวยหวานจนจวนจะเลี่ยนนั่น ก็คงยิ่งไม่อยู่ในสายตา

ดูๆ ไป นายคนนี้ก็หน้าตาดีไม่หยอก ที่จริงก็จัดว่าหล่อเข้าขั้นเชียวละ ทั้งพื้นเพที่คุณแม่พยายามจะพร่ำพรรณนาให้ฟัง ก็ล้วนแต่น่านิยมคบหา น่าสมาคมหรือเกี่ยวดองด้วยเป็นอย่างยิ่ง นังแม่ที่มาด้วยก็ท่าทางจิตใจดี หากได้แต่งกันไปจริงๆ เจอหล่อนแผลงฤทธิ์ใส่เข้าสักหน่อย ขี้คร้านจะหงอจนหัวหดเข้ากระดอง

แต่จะหล่อ จะดีแค่ไหน ก็เปล่าประโยชน์ นอกจากนายนี่ ไม่ใช่ว่าคนหล่อ คนมีเทือกเถาเหล่ากอ พื้นเพดีๆ จะไม่มีอีกแล้วในโลก ไม่จำเป็นหรอกที่หล่อนจะต้องรีบตกปากรับคำ คบหาหรือหมั้นหมาย

“วันนี้ดูน้องพิมพิ์เงียบๆ ไป...”

อาจเป็นเพราะหล่อนไม่ได้ต่อปากต่อคำกับลลิตาเท่าไรนักก็ได้ ทำให้ปริยัติที่นั่งอยู่ตรงข้าม ได้ช่องเอ่ยปากถาม

และคำถามของเขาก็สะกิดเตือนให้พิมพิ์กาย้ำกับตัวเองได้ว่า เรื่องของผู้ชายรอบตัวเวลานี้ มันอยู่ที่หล่อนจะยื้อแย่ง... จะชนะอินทุอรได้อย่างไรต่างหาก

แล้วหล่อนก็เริ่มแผนการขั้นแรกของตัวเองทันที

ด้วยการส่งปลายเท้าเปลือย ไปเขี่ยสะกิดเล่นอยู่กับปลายเข่าของปริยัติ

ถึงตอนนี้ก็นึกขัดใจไม่น้อย เพราะความกว้างของโต๊ะอาหารเป็นอุปสรรค ทำให้ขยับเขี่ยเกลี่ยไปไม่ได้ถึงจุดหมาย

พิมพิกาแสร้งทำเป็นขยับเก้าอี้เข้าชิด เพราะเอื้อมของว่างจานที่ไกลไม่ถึง

ซึ่งปริยัติก็เหมือนจะรู้ทันในเจตนา เขาเลื่อนตัวช่วยตักของว่างจากจานนั้นให้หล่อน พอจะกลับลงนั่งในที่ ก็ถือโอกาสเขยิบเก้าอี้ให้ใกล้โต๊ะเข้ามาอีกนิด

กระทั่งสองฝั่งแตะต้องถึงกันได้พอดิบพอดี ระหว่างทางหนึ่งคือปลายเท้าของพิมพิกา กับทางหนึ่งคือระหว่างขาของปริยัติ

สถานการณ์ใต้โต๊ะอาหารตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะที่พิมพิกาจงใจจะแกล้งยั่ว ขณะที่บนโต๊ะ ต่างคนก็ต่างพากันทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีของลลิตา

แม้ปริยัติจะมีอาการเกร็งๆ กระตุกๆ อยู่บ้าง แต่ก็แนบเนียนจะไม่มีใครสังเกตเห็น

เรื่องที่ลลิตาพูด ก็วนๆ เวียนๆ อยู่กับความเหมาะไม่เหมาะของคู่นั้นคู่นี้ เรื่อยเจื้อยเหมือนตัวเองเห็นดีเห็นงามไปกับทุกคน ทั้งที่จริง บรรดาทุกคำพูดที่เอ่ยออกมา แต่ละคนก็รู้ได้ว่ามันเป็นคำกระทบกระเทียบแดกดันทั้งนั้น

ในที่สุดปริยัติก็ต้องกล่าวขอตัวออกมาเบาๆ หลังจากที่ได้รับสัญญาณบางอย่างจากพิมพิกา เขาลุกจากโต๊ะไปด้วยท่าทางที่ไม่สง่าผ่าเผยเท่าไรนัก ทำตัวงอๆ พิกล แต่อาการอย่างนั้นก็ถูกพิมพิกาช่วยกลบเกลื่อนด้วยคำพูดที่แฝงเลศนัยหลายประการ

“อุ๊ย! อย่าบอกนะคะ ว่าแหนมเนืองของพี่หลิวทำพิษเอาเสียแล้ว ห้องน้ำข้างเฉลียงใกล้ที่สุดนะคะ ไม่ต้องไปถึงหลังบันไดห้องใหญ่”

อึดใจต่อมา หล่อนก็พูดขึ้นอีกว่า

“พี่พันธ์ว่าจะไปตามคุณพ่อ ทำไมหายไปเลย พิมพิ์ของตัวไปตามนะคะคุณแม่”

แล้วก็ลุกหายไปโดยไม่รอฟังคำทักท้วงจากใครๆ




“คุณแม่ของพันธ์คงยังไม่รู้เรื่องนี้”

เสียงเรียบๆ ของนายอิศราเอ่ยขึ้น ขณะที่เงียบไปอึดใจใหญ่ๆ หลังจากยื่นซองจดหมายให้พันธกานต์

ชายหนุ่มเงยขึ้นอย่างช้าๆ ค่อยๆ สบตากับผู้ที่ตนเคารพรักเสมอบิดาบังเกิดเกล้า

ใจนั้นคาดคะเนไปสารพัด ว่าในน้ำเสียงเรียบๆ ของผู้มากด้วยวัยตรงหน้า จะแฝงความหมายอะไรไว้บ้าง

แต่ก็เปล่า แววตาของนายอิศรายังคงนิ่งสนิท เป็นแววตาแห่งความสุขุมของคนที่ผ่านชีวิตมาแล้วอย่างยาวนาน

“...ครับ”

พันธกานต์ตอบได้เพียงเท่านั้น

“แต่ว่า พันธ์เองคงรู้แล้ว”

เป็นอีกประโยคที่เสียงเรียบๆ นั้น ช่างทำให้อึดอัดใจได้เหลือแสน

“นานแค่ไหน...”

“ก็...”

คราวนี้คนถูกถามพูดไม่ออก จะบอกได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ ถ้าบอกว่าแค่สองสามวันมานี้เอง หากถูกถามต่อไปว่าแล้วรู้ได้ยังไง ก็คงจะอับจนที่จะตอบคำถามนั้น

“อย่างนั้น... เอาใหม่ พ่อต้องถามว่า พันธ์รู้ได้ยังไง”

ยังไม่ทันได้ตอบด้วยซ้ำ ตอนที่ผู้มากวัยถามย้ำมาดังนี้

“ภรรยา... ภรรยาใหม่ เมล์มาบอกครับ”

“ทันสมัยไม่ใช่เล่น”

“คงเป็นลูกสาว ท่านมีลูกสาวกับภรรยาใหม่ น้องเรียนอยู่มอปลาย”

และก็ยากนักที่พันธกานต์จะเรียกชายอีกคนว่า “พ่อ” ได้เต็มปากเต็มคำ ทั้งที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาเป็นพ่อแท้ๆ ของตนหรือไม่

“พ่อดีใจที่เขายังอยู่ อะไรๆ มันจะได้ง่ายเข้า”

นายอิศรายังกล่าวเรียบๆ ต่อไป

“อ้อ... ที่พ่อบอกว่าคุณโสภายังไม่รู้เรื่องนี้ พันธ์ก็เงียบๆ ไว้ก่อนจะดีกว่า”

คนรับฟังอยากจะบอกเหลือเกินว่า แท้จริงแล้ว คนที่พาให้ตนรู้จักกับภรรยาใหม่ของบิดาบังเกิดเกล้าก็คือตัวคุณโสภาพรรณเองนั่นละ

สตรีสองคนนั้นพบกันในบ่อนพนัน คุยกันไปมาโดยไม่รู้ว่าครอบครัวพื้นเพของแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร จนวันที่ภรรยาของพ่อแท้ๆ มาบอกว่า เดือดร้อนเงิน เพราะสามีของหล่อนต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน จนได้รู้ในที่สุดว่าสามีของผู้หญิงคนนั้น ก็คือพ่อของเขา นี่คือสิ่งที่มารดาเล่าให้ฟัง หลังจากกลับจากไปพบเขาคนนั้นให้เห็นกับตา

“พ่อเสียใจอยู่นิดเดียว คือตอนนั้น... คุณโสภาบอกว่าเขาหายสาปสูญตอนปฏิวัติเมื่อปีสองเก้า”

“ผม...เพิ่งสองสามขวบ”

“ตอนนั้นคุณโสภาน่าสงสารมาก พ่อเองก็เพิ่งเสียคุณแม่ของหนูอินทุ์ ตอนนั้นหนูอินทุ์ยังไม่ครบขวบด้วยซ้ำ”

“ผมยังจำวันที่คุณพ่อยืนรอรับผมกับคุณแม่ที่ลานเฉลียงหน้าบ้านวันนั้นได้ติดตา”

น้ำตาแห่งความตื้นตันเอ่อขึ้นมานิดหนึ่ง ตอนที่พันธกานต์หวนรำลึกถึงภาพในวันนั้น ซึ่งกระทั่งความกระเซอะกระเซิงหม่นหมองของตนเองกับมารดา เขาก็ยังไม่ลืม

“ที่ว่าเสียใจก็คือ พ่อรู้สึกเหมือนทำผิดกับพ่อของพันธ์ เรื่องไม่สืบหาให้ดีก่อน ที่จะตกลงใจทำอะไรๆ ลงไป แต่พันธ์ต้องเห็นใจพ่อบ้าง ตอนนั้นทั้งพ่อทั้งแม่ของพันธ์ ต่างคนต่างก็ว้าเหว่นัก ขาดที่พึ่งทางใจจนต่างคนต่างก็เคว้งด้วยกันทั้งคู่”

“แล้ว... ที่คุณพ่อได้พบกับ... เอ่อ...”

“พ่อก็ขอโทษเขา แต่ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เราก็เหมือนมีชีวิตกันอยู่คนละโลก พ่อของพันธ์เขาก็มีชีวิตของเขา มีครอบครัวของเขา เรา... พ่อ แม่ของพันธ์ กับพันธ์ กับพิมพิ์ เราก็มีชีวิต มีครอบครัวของเรา... นี่ละที่พ่อบอกว่า อย่าเพิ่งไปพูดเรื่องนี้กับคุณโสภา พ่อไม่อยากให้เขาทุกข์ไปมากกว่านี้”

“เพราะอะไรหรือครับ”

เอ่ยปากออกไปแล้วก็นึกขัดใจตัวเอง คิดว่าเป็นคำถามที่ไร้สาระเหลือเกิน

“ชื่อของพันธ์ไงล่ะ พันธกานต์ พันธ์คืออนุสรณ์แห่งความรัก ที่แม่ของพันธ์มีให้กับเขา คุณโสภาคงรักเขามาก หากรู้ว่ายังอยู่ก็คงไม่มาปลงใจกับพ่อ หรือหากมารู้ตอนนี้ว่าเขายังอยู่ ก็คงต้องลำบากใจไม่น้อย ซึ่งฝ่ายนั้นก็ต้องการอย่างนี้”

จบประโยคท้าย นายอิศราก็ทอดถอนลมหายใจยืดยาว เปิดลิ้นชักหยิบชุดกล้องยาสูบขึ้นมาจัดการ จนอึดใจต่อมาพันธกานต์ก็ได้กลิ่นหอมๆ เย็นๆ ของยาสูบอย่างดี ที่ผู้มากวัยระบายควันออกมาเบาๆ โดยไม่ได้สังเกตเลยว่า สีหน้าของชายหนุ่ม คนที่ตนเลี้ยงมาแต่เล็กน้อยน้อยนั้น แปรเปลี่ยนไป ทั้งนี้ก็เพราะ สิ่งที่ผู้มากด้วยวัยเอ่ยออกมานั้น เริ่มขัดแย้งกับข้อมูลบางอย่าง ที่เขาได้รับรู้จากทางครอบครัวของพ่อแท้ๆ ที่ผ่านมาจากทางปากคำของคุณโสภาพรรณ

“แต่... รู้ไหม เรื่องที่ทำให้พ่อสบายใจกลับมีมากกว่า ถึงแม้ว่าเรื่องนี้แม่ของพันธ์จะไม่ค่อยเห็นด้วย... ที่จริงก็ยืนยันหัวชนฝานั่นละว่า ไม่ยอม”

“เรื่องอะไรหรือครับ”

ดูเหมือนคนฟังจะตั้งคำถามเป็นอยู่อย่างเดียว

“พ่อไม่รู้ว่าหนูอินทุ์เป็นอะไรไป ถึงได้ยอมรับหมั้นกับนายปริยัติ แต่พ่อแน่ใจว่าเธอไม่ได้เต็มใจ ที่สำคัญคือตลอดเวลาร่วมปีที่หมั้นหมายกันไว้ ลูกสาวของพ่อมีแต่ความหม่นหมอง อมทุกข์เสียมากกว่าจะเป็นสุขสดชื่น”

“ผม... ผมก็คิดว่าอย่างนั้นครับ”

“แล้วพันธ์ไม่เป็นห่วงน้องบ้างเลยหรือ”

“คุณพ่อหมายความว่าอย่างไรครับ ผมตามไม่ทัน”

“พ่อดูรู้ว่าพันธ์รักและเป็นห่วงหนูอินทุ์ขนาดไหน”

พันธกานต์รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ตอนนายอิศราพูดจบ

“และพ่อก็เชื่อว่าพันธ์จะสามารถดูแลน้องได้เป็นอย่างดี”

นายอิศราสูดควันจากกล้องยาสูบเข้าไปอัดอยู่ในปอดอีกอึดใจหนึ่ง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาช้าๆ

ปล่อยให้ชายหนุ่มนิ่งตะลึงงันอยู่กับ สิ่งที่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยินจากคนตรงหน้า

“เรา... หมายถึงพ่อกับหนูอินทุ์ กับตัวพันธ์กับคุณพ่อของพันธ์ เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันตั้งแต่แรก ตอนนี้เขามีตัวตนขึ้นมา ก็หมายความว่าตอนนี้พันธ์ยังมีญาติผู้ใหญ่อีกคน ที่พอจะกันไม่ให้คนเขานินทาเอาตรงๆ ได้ว่า ทำให้เรือล่มในหนอง...”

“คุณพ่อหมายความว่า...”

เขาถามออกไปเพราะไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่... พ่ออยากให้หนูอินทุ์แต่งงานกับพันธ์!”




“ทำไมเราไม่ขึ้นไปบนห้องละครับพิมพิ์”

ปริยัติกระซิบกระเส่าอยู่ที่ข้างหูของหญิงสาว เนื้อตัวนั้นบดเบียดโลมล้วงกันอยู่อย่างสนิทแนบ

“พิมพิ์ยังไม่กล้าถึงขนาดนั้นหรอกค่ะปอนด์”

“นี่ยังจะว่าไม่กล้าอีกหรือ ตั้งแต่ที่โต๊ะนั่นแล้ว คุณปลุกให้ผมแทบลุกเป็นไฟ”

“ก็จัดการเลยซีคะ เพราะพิมพิ์รักปอนด์ รักมากขนาดไหนปอนด์ก็รู้ ใครเล่าคะจะยอมทำถึงขนาดนี้”

“ก็คนดีคนนี้ของผมไงล่ะครับ...”

ท้ายคำนั้นฟังไม่ถนัด เพราะริมฝีปากของชายหนุ่ม บดลงบนริมฝีปากนุ่มของหล่อนเสียก่อนแล้ว

“พิมพิ์เตรียมพร้อม”

ปริยัติพึมพำ ตอนที่มือควานผ่านชายกระโปรงขึ้นมา

“ปอนด์ก็พร้อมเสมอ... นี่ไงคะ”

พิมพิกาเองก็ไม่ยอมแพ้ ที่จะรุกรานไปถึงส่วนสำคัญ

“ยกโทษให้ผมแน่นะ เรื่องที่ผมล้อคุณเล่นวันนั้น”

เขายังไม่วายแคลงใจ เพราะเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึก ยังบอกว่ามันน่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล ไม่อย่างนั้นพิมพิกาไม่น่าจะต้องลงทุนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย มาเล่นฉากรักพิศดารอยู่ในห้องใต้บันไดแคบๆ นี่

“แล้วปอนด์ล่ะคะ ยกโทษให้พิมพิ์หรือยัง”

คำนี้หล่อนพรอดอยู่กับอกกว้างของเขา เพราะกำลังก้มหน้าก้มตาปลดเข็มขัดให้อย่างค่อนข้างรีบร้อน

“แค่รูปซิบก็พอ...”

ปริยัติกระซิบเหมือนยั่ว

“ไม่กลัวเจ็บหรือคะ”

“ถ้าพิมพิ์กลัว ก็...ตามใจ”

พูดจบเขาก็ใช้มือหนึ่งกดไหล่ให้หญิงสาวทรุดกายลงช้าๆ

จนเมื่อเห็นว่าฝ่ายหญิงคงตอบโต้ด้วยวาจาอะไรไม่ได้อีกสักพัก เขาจึงค่อยๆ ก้มลง เอ่ยสิ่งที่ยังคลางแคลงอยู่ในใจ

“ผมจะดีใจที่สุดเลย ถ้าคุณ... อืมม์... ถ้าพิมพิ์ยอมรับเงื่อนไขอันนั้น”

ปริยัติต้องครางออกมาตรงกลางประโยค เมื่อรู้สึกถึงความอุ่นวาบที่ซ่านผ่านปลายประสาท

ส่วนพิมพิกาก็ตวัดสายตาขึ้นมองนิดหนึ่ง เป็นเชิงถามว่าเงื่อนไขอะไร

“ก็... พอผมแต่งงานกันอินทุ์ แล้วความสัมพันธ์ของเราก็จะยังเหมือนเดิม...โอ๊ะ! พิมพิ์! ผมเจ็บ!”

แล้วก็ถึงกับต้องซี้ดปากออกมาอีกครั้ง เมื่อถูกหญิงสาวหยอกเอาแรงๆ ก่อนที่จะผละจากส่วนนั้น เพื่อขึ้นมาแลกรสจุมพิตกันอีกคราว

เสียงกำชับกำชาอะไรกันแว่วๆ ของชายสองคนผ่านหน้าประตูไปอย่างรวดเร็ว ปริยัติถึงกับสะดุ้ง ขณะที่พิมพิกาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของนายอิศรากับพันธกานต์

“ทางนี้แหละที่มันจะคลี่คลายปัญหาทุกอย่าง”

นี่เป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่เสียงจะเงียบหายไป

“คุณพ่อกับพี่พันธ์.. เข้ามาเร็วๆ เถอะค่ะ พิมพิ์บอกที่โต๊ะไปว่า มาตามพวกเขา”




บรรยากาศในโต๊ะอาหารนิ่งสนิท เรียกได้ว่าหากดอกไม้สักกลีบร่วงลงกระทบผ้าปู ก็อาจได้ยินเสียงตกกระทบอันนั้น

เป็นภาวะความนิ่ง สงัด ที่มีมวลแห่งความกดดันอวลตรลบ อยู่ท่ามกลางสีหน้าและสายตางุนงงของทุกผู้คนที่ร่วมมื้ออาหาร

คนยืนอยู่หัวโต๊ะคือนายอิศรา ค่อยนั่งลง ขณะที่คนบนเก้าอี้ตัวใกล้ คือคุณนายโสภาพรรณกลับผุดลุก ส่งสายตากราดทั่ว แล้วไปหยุดอยู่ที่ลูกเลี้ยง คืออินทุอร

ต่อให้คุณโสภาพรรณเพียบพร้อมไปด้วยมรรยาทสังคมอย่างไร ก็อดไม่ได้ที่จะต้องแสดงอาการขัดเคือง เหลือเพียงแค่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปกลางวงเท่านั้น

ตอนที่มารดาผุดลุกขึ้นนั่น เป็นตอนที่คู่ของปริยัติกับพิมพิกาเร่งฝีเท้าเข้ามาสมทบถึงพอดี ขอบเอวกระโปรงด้านหลังของหล่อนยังพลิกทบไม่เข้าที่ แต่ปริยัติก็ไม่กล้าจะเตือน

พอลูกสาวคนโปรดเข้ามาอยู่ในคลองสายตาเช่นนี้ แววความกราดเกรี้ยวก็ยิ่งทวีคูณ เพราะคุณโสภาพรรณเป็นคนที่รู้ดียิ่งกว่าใครทั้งหมด ว่าความสัมพันธ์ของพิมพิกากับปริยัติเป็นอย่างไร

สตรีผู้ยึดตำแหน่งภรรยาเจ้าของบ้านนี้มากว่ายี่สิบปี ค้อมศีรษะให้ทั้งโต๊ะนิดหนึ่ง ก่อนจะสะบัดเดินตรงเข้ามายังบุตรสาวแท้ๆ ของตน

“สมใจหล่อนแล้วสินะ!”

มารดาส่งเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันออกมาโดยแทบไม่ได้ขยับริมฝีปาก อีกทั้งเสียงนั้นยังดังเพียงพอให้ได้ยินแค่สามคน คือคนพูด หญิงสาวและชายหนุ่มที่เพิ่งเดินตามกันออกมาจากเรือนใหญ่

พิมพิกายกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม แต่ผู้เป็นมารดากลับเชิดหน้าเดินผ่านไปอย่างไม่ไยดีในข้อสงสัยอันนั้นของบุตรสาว

ปริยัติเองก็ยังประเมินสถานการณ์ไม่ถูก เพราะตอนนี้ ทุกคนในโต๊ะ ยกเว้นครอบครวของเจ้าบ้าน ต่างมองมาที่ตนเป็นตาเดียว

“เกิด... เกิดอะไรขึ้นหรือครับ...”

เขาต้องถามไปยังมารดาของตน ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าอย่างที่ช่างจะปั้นไม่มีวันถูก

“จะเอายังไงกันล่ะทีนี้ตาปอนด์”

“เรื่องไรครับแม่”

“ก็... ให้มันได้อย่างนี้สิน่ะ!”

มารดาของปริยัติส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความขัดใจ ขณะส่งสายตามองมายังพิมพิกาอย่างหมิ่นแคลนเต็มที่

“เรื่องอะไรหรือครับคุณลุง ผมงงไปหมดแล้ว”

เมื่อเห็นท่าทีดังนั้นของมารดา เขาก็จำเป็นต้องไปถามกับคนที่น่าจะเป็นต้นตอ

“คุณลุงบอกว่าพี่อินทุ์ยังไม่พร้อมจะมีครอบครัว ขอถอนหมั้นน่ะค่ะ”

เป็นปิ่นปรียาที่ช่วยไขข้อข้องใจให้พี่ชาย

“ว่ายังไงนะยัยปิ่น”

ปริยัติหน้าซีด ขณะที่พิมพิกาลอบอมยิ้ม คุณพ่อจะระแคะระคายอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นในต้องเก็บของ ที่ท่านเดินผ่านมาเมื่อกี้นี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้หล่อนก็กำจัดอินทุอรออกไปจากเส้นทางได้คนหนึ่งแล้ว

แขกรับเชิญอื่นๆ เริ่มทยอยขอตัวกลับ มีคุณอิศราลุกขึ้นส่งอย่างสุภาพ ขณะที่คู่กรณีทั้งหลายยังไม่ได้พูดอะไรอื่นอีก จนเหลืออยู่แต่เพียงครอบครัวที่เกี่ยวข้อง ส่วนคุณหญิงศรีประภานั้น ลุกตามคุณโสภาพรรณไปตั้งแต่แรก

คุณแวววิไลเองก็ส่งสัญญาณชวนลูกชายกลับ แต่ภาควัตกลับทำเป็นไม่เห็นสัญญาณนั้น

“กลับกันเถอะคุณหลิว เรื่องส่วนตัวของเขา”

ศรัยน์ก็เห็นท่าไม่ดีเช่นกัน แต่ลลิตากลับเอียงหน้ามาบอกว่า

“เรื่องส่วนตัวของเขาที่ไหนกันล่ะ ก็เรื่องของนายนั่นละ รอดูก่อนสิว่า นายปอนด์จะเอายังไง”

นั่นละ ชายหนุ่มถึงได้แต่กลืนถ้อยคำต่อไปของตัวเองลงคอ แล้วยังนั่งอยู่นิ่งๆ เพื่อรอดูสถานการณ์

“ผมไม่ยอมนะครับคุณแม่... คุณลุง... เราหมั้นกันมาเป็นปีๆ ไปไหนมาไหนด้วยกัน จนใครๆ เขาก็รู้เห็นเป็นพยาน”

กว่าปริยัติจะตั้งตัวได้ก็อีกเป็นนาน

“ถ้ารักจริง... ก็คงต้องรอ ลุงบอกได้แค่นั้น นี่หมายถึงว่าถ้าลูกสาวลุงคิดว่าพร้อมจะมีครอบครัวแล้วจริงๆ”

“แต่...”

“ถ้ารักก็ต้องรอ แค่นั้น”

คำตอบของนายอิศราเรียบๆ แต่เฉียบขาด จนไม่มีใครเดาได้ว่า ที่จริงผู้พูดมีแผนการอะไรในใจอยู่แล้ว

แต่แล้วก็ต้องถึงกับสะเทือนใจอย่างแรง กับคำที่พิมพิกาเอ่ยออกมา ด้วยสีหน้าท่าทางรื่นเริง จริงจัง

“พี่อินทุ์ไม่พร้อม แต่พิมพิ์พร้อมนะคะคุณพ่อ...”




**************




นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ค. 2554, 16:55:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ค. 2554, 16:56:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1850





<< 019   บทที่ ๐๒๑ >>
แพม 6 ก.ค. 2554, 20:12:00 น.
ครอบครัวคนรวยนี่ ปวดหัวจริง ๆ ต้องมานั่งคิดแผนการไม่ให้เงินทองไหลออก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account