ทิพย์เทวี
เธอลงมาช่วยเหลือผู้มีพระคุณให้พ้นภัย แต่เรื่องดันวุ่นเพราะใช้ฤทธิ์เดชไม่ได้

นางฟ้าเคยเลิศเลอในแดนสรวงกลับไม่ต่างจากวิญญาณง่อยเปลี้ย

ไม่รู้ว่างานนี้นางฟ้าต้องช่วยมนุษย์หรือมนุษย์ต้องช่วยนางฟ้ากันแน่
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 7





บทที่ 7

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นยังส่งผลให้บดินทร์ทำอะไรไม่ถูกนัก เขาไม่อยากเชื่อว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นจริงๆ นางฟ้า เทวดา หรือสวรรค์ มีอยู่จริง...จะเป็นไปได้อย่างไร

ความคิดที่เคยมี ความเชื่อที่เคยเชื่อว่าไม่มีหรอกสิ่งเหล่านี้ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น จะมีจริงก็เฉพาะสิ่งที่มองเห็นได้...สามารถจับต้องได้เท่านั้น สิ่งใดที่ไม่เห็นหรือไม่สามารถจับต้องได้เป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก เป็นการหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ที่อุปโลกน์สิ่งไม่มีตัวตนขึ้นมาเพื่อบรรเทาความกลัว

แต่เหตุการณ์ตอนนี้ล่ะ...คืออะไร เขาไม่ได้ต้องการที่พึ่งพิง ไม่ต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่กลับมองเห็นในสิ่งที่ยากจะอธิบายได้อย่างไรกัน มองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่อาจเห็นได้อย่างไรกัน ชายหนุ่มสับสนเหลือประมาณ สติแตกจนทำอะไรไม่ถูก

สิ่งที่บอกตัวเองมาตลอดว่าไม่มี...ไม่ใช่ กลับมีขึ้นมาแล้วในตอนนี้

บดินทร์ลุกขึ้นจากตั่งไม้ใต้ถุนเรือนทั้งสภาพจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดินขึ้นไปบนบ้านอย่างมึนๆ ปล่อยทุกอย่าง ทุกคน ทุกสิ่งที่นั่งมองเขาเป็นตาเดียวไว้ที่นี่ คิดว่าการอาบน้ำคงพอช่วยดับความร้อนรุ่มและเรียกสติกลับมาได้บ้าง

เขาไม่รอช้าที่จะคว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำบนเรือนทันที ราดน้ำเย็นๆ โดยไม่เปิดฝักบัว สาดโครม...สาดโครม หายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ สลับกัน พยายามดับความร้อนรุ่มสับสนในใจ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร จนเมื่ออารมณ์พอจะเย็นบ้างแล้วจึงล้างหน้าแปรงฟัน ถอนหายใจยาวๆ อย่างหนักหน่วงอีกครั้งก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ดตัวแล้วออกมาจากห้องน้ำ ตรงไปยังห้องนอน และนั่นจึงทำให้เห็นว่ามือของเขาซีดเหี่ยวไม่น้อยเลย

บดินทร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดกางเกงยีน ทำทุกอย่างด้วยสติที่พยายามเรียกกลับมาให้ครบถ้วนที่สุด แต่ก็เหมือนไม่ได้อย่างใจ เขาคว้ากุญแจรถแล้วก็ทำหล่นคล้ายว่าไม่มีเรี่ยวแรง เป็นเช่นนั้นสองหรือสามครั้ง แล้วจึงเดินออกจากห้องนอน

ในความรู้สึกเหมือนมีอะไรกดทับ บีบรัดรอบตัวให้อึดอัดหายใจไม่ออกตลอดเวลา

“สติมิสมประดี ย่อมมิควรออกนอกเรือนแต่ประการใด เภทภัยอาจเกิดได้นะเจ้าข้า” มธุรสเทวีเอ่ยอย่างเป็นห่วง ดักหน้าบดินทร์เอาไว้ตรงประตูเรือนชาน ไม่ยอมให้ลงไป

แต่สำหรับบดินทร์ในตอนนี้ยากจะสงบจิตใจ ยิ่งมองเห็นใบหน้างามล้ำกำลังมองเขาด้วยความเป็นห่วง ลำคอก็ยิ่งเหมือนจะตีบตันมากขึ้น เขาหายใจไม่ออกอีกแล้ว ในคอขมไปหมด แล้วก็แห้งผากไปพร้อมกัน บนหน้าอกหนักเหมือนมีอะไรมาทับจนหายใจไม่ออก เป็นอาการที่บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกเช่นไร หรือเป็นอย่างไรในวินาทีนี้

“เหตุใดท่านบดินทร์จึ่งเศร้าหมองถึงเพียงนี้เจ้าข้า ความจริงแท้แห่งไตรภูมิ[1] แลข้าพเจ้าผู้มาจากฉกามาพจรสวรรค์[2] ได้ปรากฏเบื้องหน้าท่านในเพลานี้ ย่อมหมายว่ามีอยู่มิได้ผิดไป หากจักกล่าว มนุษย์มากหลายมิได้พบเห็นเหล่าทวยเทพ ฤๅผู้อยู่ในทิพยภูมิ ก็ด้วยความมืดบอดแห่งตนเป็นที่ตั้ง ครั้นตนมิได้เห็น...จักกล่าวโทษว่าสวรรค์มิได้มีอยู่ สรรพชีวิตในภพภูมิละเอียดกว่ามิได้มีอยู่จริง ย่อมเป็นการมิควรนัก หาได้ถูกต้องไม่

“แต่หากผู้ใดมีบุญ ใจละเอียดประณีตผ่องใส อวิชชาความดำมืดใดหุ้มเคลือบปิดบังได้น้อยนิด ฤๅมิอาจปิดบังได้ จักด้วยความเพียร วิริยะอุตสาหะ มิย่อท้อต่อการสร้างกุศลของคนผู้นั้น ฤๅด้วยการหมั่นขัดเกลาจิตใจตนด้วยการเจริญสติวิปัสสนาให้เกิดความผ่องใส ความมืดบอดใดย่อมหลุดร่อน มิอาจคงอยู่ เมื่อนั้น ผู้ประกอบด้วยความเพียรย่อมหยั่งถึงสวรรค์ นรก แดนสถิตแห่งอสุรกาย ฤๅทุกภพภูมิตามแต่บารมีผู้นั้นจักไปถึง ด้วยสิ่งเหล่านี้มีอยู่แน่แท้มิเปลี่ยนผัน ปรากฏนับแต่อนันตกาล ยาวนานมิอาจนับเพลาได้ถ้วนทั่ว

“อีกทั้งบัดนี้ ข้าพเจ้าถอยกายให้หยาบเพื่อปรากฏยังเบื้องหน้าท่านบดินทร์ได้สำเร็จ พิสูจน์แล้วว่าทิพยภูมิมีอยู่อย่างจริงแท้ ไฉนท่านจึ่งหลีกหนี มิยอมรับดั่งคนขลาดเขลาเล่าเจ้าข้า”

บดินทร์ไม่พูดอะไร เขารู้เพียงว่าตอนนี้สิ่งที่เจอทำให้สติแตกเกินกว่าจะยอมรับอย่างปีติยินดี เป็นใครที่เจอแบบเดียวกันจะไม่เกิดอาการอย่างเขาบ้างก็ให้รู้ไป มากน้อยก็ต้องมีเพื่อนตกอาการเดียวกันอยู่บ้างแน่นอน

“คุณยายแร่มเยี่ยงไรเจ้าข้า คุณยายได้รู้เห็น...สติมิได้แตกซ่านแม้แต่น้อย” มธุรสเทวีเอ่ย

แต่ในใจของบดินทร์คิดเพียงยายแร่มก็คือยายแร่ม ไม่ใช่เขา แกมีความคิดความเชื่อของแกแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไร ส่วนเขาไม่ใช่...เพราะไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้มานานมากแล้ว

ทันใดนั้นสีหน้าของยายแร่มหลังใส่บาตรก็ผุดขึ้นมา เพราะนอกจากแกจะไม่ตกใจ...สีหน้าตอนที่เห็นว่ากำลังอะไรเกิดขึ้นเมื่อติณภพยืนซ้อนกับมธุรสเทวีและเขาทำอะไรไม่ถูกขณะนั้น ยายแร่มก็แทบไม่ได้มีความสงสารให้เห็นสักนิด แววตายังออกแนวสมน้ำหน้าด้วยซ้ำไป ไม่สนใจหรือเป็นห่วงที่เขาเข่าอ่อนทรุดนั่งลงกับพื้นดิน แถมยังเชิดใส่ให้รู้ว่านี่แหละ...ของจริง ไม่ใช่เรื่องจินตนาการ บอกกี่ครั้งก็ไม่เชื่อยังจะมาเถียง ทีนี้เห็นหรือยังล่ะ

ซึ่งนั่นก็มากพอที่เขาจะเกิดอาการปากไม่มีแรงขยับสักนิดเดียว และลามมาจนถึงตอนนี้

บดินทร์ไม่พูดอะไรนอกจากเดินเลี่ยงมธุรสเทวีลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจเสียงหวานๆ ที่ดังตามหลังมาอย่างเป็นห่วง

เขาอยากหาที่สงบจิตสงบใจสักพัก จากนั้นค่อยว่ากัน

“ผมจะไปข้างนอก ยายไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ” บดินทร์ตะโกนบอกยายแร่ม ตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงมธุรสเทวีที่ดังมาให้ได้ยินแว่วๆ

เขาตรงไปโรงรถซึ่งอยู่ไม่ไกล และในขณะที่กำลังสตาร์ตรถ ไม่ทันได้เข้าเกียร์ บดินทร์ก็สะดุ้งสุดตัว ตกใจสุดขีด

“ไหนว่าหายตัวไม่ได้ไง!” เขาถึงกับพูดเสียงหลงกันเลยทีเดียว ความฟุ้งซ่านสติแตกก่อนนั้นมลายหายไปทันที อาการอยากหาที่สงบใจหมดลงโดยพลัน ใจเต้นแรงเหมือนจะทะลุออกจากอก

จู่ๆ แม่นางฟ้าก็มานั่งอยู่ข้างเบาะข้างคนขับเสียอย่างนั้น

“มาได้ยังไงกันเนี่ย!”

“มิทราบได้เจ้าข้า” สีหน้าของมธุรสเทวีนั้นดูตกใจไม่น้อย มองเขาตื่นๆ “ข้าพเจ้าเป็นห่วงท่านบดินทร์นัก จากนั้นพริบตาเดียวก็ปรากฏยังที่แห่งนี้” แล้วเธอก็มองมือ มองเนื้อตัวของตนเองอย่างงุนงงเป็นที่สุด พึมพำว่า “ก่อนนี้ข้าพเจ้าใคร่ทำ กลับยากเข็ญนัก แต่บัดนี้...เป็นไปได้เยี่ยงไร ช่างน่าฉงนยิ่งเจ้าข้า” พูดไปเธอก็คิ้วขมวดไปไม่หยุด

บดินทร์รู้ว่ามธุรสเทวีคิดและรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ สีหน้าท่าทางของเธอบ่งบอกว่าไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และนั่นทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมา มือข้างหนึ่งนั้นกุมขมับตัวเองเอาไว้เร็วพลัน ซบหน้าลงกับพวงมาลัยเพราะทำอะไรไม่ถูก

เขาอยากจะร้องไห้และหัวเราะเหมือนคนบ้าในเวลาเดียวกันในตอนนี้ หญิงเพี้ยนคนเดิมของเขาคนนั้นได้กลับมาแล้ว แถมเขาเองก็น่าจะเพี้ยนตามไปด้วย เพราะมีสารพัดอารมณ์พุ่งพล่านจนยากจะเอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำถึงความรู้สึกที่มีได้

ยิ่งได้เห็นมธุรสเทวีมีสีหน้าท่าทางบอกว่าเธอไม่เข้าใจ จับต้นชนปลายไม่ถูก มองเขาเหมือนจะถามว่าเขารู้ไหม

แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรล่ะ สารพัดเรื่องก่อนนั้นก็ยังมึนงงไม่หาย ส่วนเรื่องนี้ถ้ามธุรสเทวีไม่รู้...แล้วเขาจะรู้ได้หรือ นี่เขาเจอนางฟ้าประเภทไหนกันเนี่ย คิดแล้วก็อยากจะเป็นบ้า!

บดินทร์ดับเครื่องยนต์ ลงจากรถ ปิดประตูปัง เดินกลับเข้าบ้านทันที แต่เสียงเคาะกระจกจากข้างหลัง เสียงพูดเหมือนคนถูกขังอยู่ในกล่องอะไรสักอย่างนั้นเรียกให้หันกลับไปมอง

สีหน้าอ้อนวอน สองมือเกาะกระจก มองตาเขาปริบๆ ขยับปากพูดพึมพำอยู่ในนั้นคนเดียวทำให้บดินทร์พูดอะไรไม่ออก อยากจะขำแต่ก็เหมือนน้ำตาจะไหล อยากร้องไห้แต่ก็อยากหัวเราะไปพร้อมกัน แน่ชัดว่าแม่นางฟ้าแสนงามนั้นหาทางออกไม่ได้เป็นแน่แท้

แล้วตอนที่เข้าไปน่ะ...เข้าไปได้อย่างไรกันล่ะนั่น บดินทร์ส่ายหน้า เดินไปเปิดประตูรถให้ ถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เพลียใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะท่าทางของมธุรสเทวีที่กำลังพยายามเปิดประตู มองไปทั่ว จับนู่นจับนี่แต่ก็เปิดไม่ได้ มันควรจะเกิดขึ้นไหมล่ะนั่น

เขารู้สึกปวดหัวตุบๆ จนต้องเอามือกุมขมับไว้

และเมื่อเขาเปิดประตูให้...ยืนรอ มธุรสเทวีก็มองเขาอย่างซาบซึ้งใจเป็นที่สุดเมื่อก้าวลงมา ดวงตากลมโตคมคายมองมาอย่างขอบคุณ...เป็นการขอบคุณมากๆ อย่างที่มิอาจเปรียบประมาณในความรู้สึกเลยทีเดียว แล้วก็ยิ้มแฉ่งเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าเขาได้เรียบร้อย

หมดกัน...อารมณ์กระเจิดกระเจิงก่อนนั้นไม่มีเหลือ เขากลับมาเป็นบดินทร์คนเดิมได้รวดเร็วเพราะเจออะไรแบบนี้นี่แหละ ทำไมเธอถึงเป็นนางฟ้าที่ไม่เหมือนนางฟ้านะ หรือข้อมูลที่เขารู้มาก่อนนี้มันผิดกันแน่ ก็น่าสงสัยไม่น้อย

แล้วความคิดหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา ‘เรื่องแค่นี้มธุรสเทวียังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แล้วจะมาช่วยเหลือเขาได้อย่างไรกันล่ะนั่น’

ยิ่งคิดก็ยิ่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยิ่งเมื่อเห็นอาการยืนบิดตัวไปมาเล็กน้อย มองมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ มือจับกันแน่น บดินทร์ก็ได้แต่ส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจกันไป

“ขอบพระคุณยิ่งนักเจ้าข้า” เธอส่งยิ้มหวานมาให้

บดินทร์อยากจะเป็นลม ไม่เคยพบไม่เคยเห็นจนต้องเท้าสะเอวถาม “คุณเป็นนางฟ้ายังไงฮึ...มธุรสเทวี ถึงไม่รู้ว่าตัวเองไปยังไงมายังไงน่ะ เปิดประตูรถยังเปิดไม่ได้เลย เอ้านี่” เขาชี้ไปที่ตัวเปิดประตูด้านใน สาธิตให้ดูว่าใช้งานอย่างไร “ดึงแบบนี้ แล้วมันจะเปิดได้”

มธุรสเทวีมองตาม ค้อมตัวลงเพ่งมองมือของบดินทร์อย่างจริงจัง เรียนรู้อย่างตั้งใจมากสุดๆ ไม่รอช้าที่จะทดลองด้วยตนเอง และก็จัดการได้คล่องแคล่ว

“น่าฉงนนัก” เธอเปรยออกมา หน้านิ่วคิ้วขมวด ยืดตัวตรง มองบดินทร์อย่างสงสัยเป็นที่สุด “บางครา...ข้าพเจ้าจับต้องสิ่งของในมนุษยภูมิประหนึ่งสิ่งของทิพยภูมิได้เยี่ยงไรเจ้าข้า”

อ้าว แล้วเขาจะรู้ไหมนั่น “ปกติเขาทำไม่ได้กันเหรอคุณ”

ใบหน้าสวยหวานหยดย้อยครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่นานนักก็ส่ายหน้าไปมา คิ้วขมวดแทบจะชนกัน “หากเป็นภาวะแวดล้อมแห่งกุศล มิได้มากด้วยอกุศลเยี่ยงนี้ ย่อมกระทำได้ดอกเจ้าข้า ทว่าการทำเช่นนั้นต้องเป็นผู้มีบารมี...กำลังฤทธิ์ จึ่งสำแดงได้ แต่บัดนี้สภาวะในมนุษยภูมิล้วนเต็มไปด้วยละอองดำมากมาย จึ่งยากยิ่งนักจักทำได้เช่นนี้เจ้าข้า”

“แล้วทำไมตอนนี้คุณถึงทำได้ล่ะ”

เธอมองหน้าเขา สีหน้าแววตาบ่งบอกว่ากำลังคิดหาสาเหตุอยู่เหมือนกัน ดูเคร่งขรึมเช่นผู้ทรงปัญญา และเอ่ย “อาจด้วยข้าพเจ้าอยู่ใกล้ท่านบดินทร์ผู้มีบารมีธรรมแต่ปางก่อน แม้นบัดนี้อวิชชาหุ้มเคลือบดวงจิตท่านมิให้ผ่องใจ มิอาจรู้เห็น แลจิตใจดำมืด ทว่าบุญบารมีแต่เดิมนั้นยังมีมาก จึ่งช่วยเกื้อหนุน ช่วยเหลือข้าพเจ้าให้สำแดงฤทธิ์ได้บ้าง แลพันธะก่อนท่านจุติอาจเป็นเครื่องช่วยข้าพเจ้า แม้นว่าบางคราข้าพเจ้าก็อ่อนกำลังเหลือแสนเจ้าข้า” เธอยิ่งทำหน้าคิดหนักเลยทีนี้ และพึมพำว่า

“แต่บางครา...ฤทธิ์ก็สำเร็จผลโดยมิได้คาดฝัน บางครา....สิ่งที่ประสงค์กลับมิได้เป็นไปดั่งใจหมาย บางครา...กลับได้ผลดีเกินคาดนัก แต่บางคราก็ล้มเหลวน่าอับอาย ข้าพเจ้าฉงนนักแล เหตุใดจึ่งแปรปรวนได้มากเช่นนี้นะเจ้าข้า”

บดินทร์ขอเวลาทำใจสักนิด พยายามเรียบเรียงข้อความ กอดอกในท่ากุมขมับแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเมื่อพอจับใจความได้แล้ว “คุณหมายถึง บางที...ถ้าคุณอยากจะทำอะไร บางครั้งก็ทำได้สำเร็จ บ้างครั้งก็ทำไม่ได้ บางครั้งสิ่งที่ทำไม่ได้และลืมไปแล้วกลับสำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แบบไม่คาดฝัน หรือบางครั้งทำได้ก็ต้องมีเรื่องผิดพลาดทางเทคนิคให้ได้อับอาย หรือบางครั้งก็ไม่ได้ผลเลย ใช่มั้ย”

มธุรสเทวีพยักหน้ารัว มองเขาประมาณว่า ใช่เลย...แบบนั้นแหละคือปัญหาที่กำลังเจออยู่ แล้วก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า มองไปรอบๆ ตัว ดวงตากลมโตคมคาย น่ารัก งดงาม เปล่งประกายระยิบระยับและน่ามองในเวลาเดียวกำลังแสดงท่าเหมือนเห็นบางอย่างบนนั้น หรือนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

เธอมองออกไปรอบๆ ตัว อาการดีใจ ตกใจ ไม่เข้าใจ เสียใจ งงงัน และสารพัดอารมณ์ที่ดูกี่ครั้งก็สวยงามน่ารักแบบนางฟ้าแสนเปิ่นกำลังแสดงออกมาให้บดินทร์ได้เห็นในตอนนี้ เธอมองหน้าเขาอีกครั้ง

ส่วนบดินทร์...ถ้าไม่นับเหตุการณ์ที่เห็นว่าติณภพยืนซ้อนร่างเธอ มองอย่างไรก็มธุรสเทวีไม่น่าจะเป็นนางฟ้าได้เลย มาดสูงส่งแบบที่เป็นของสูงให้กราบไหว้ไม่มีเหลือสักนิดเดียว แต่เป็นคนที่น่ารักน่ากอดเสียมากกว่า

“เบื้องบนนี้...”

บดินทร์แสร้งกระแอมไอออกมานิดหนึ่งหวังกลบความคิดตัวเอง เกรงว่าอีกฝ่ายอาจล่วงรู้สิ่งที่คิดเมื่อครู่ เขามองตาม แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจากก้อนเมฆและท้องฟ้าสีสันสดใสในเวลาเช้าของวันเท่านั้น

“อากาศเทวา องค์เทพ องค์เทพี รุกขเทวดา ฤๅเหล่าทวยเทพฝ่ายกุศลทั้งหลายหาได้มีมากเช่นควรเป็น มองไปทางใดก็แทบหามิได้เลย กลับมีเพียงละอองสีดำเต็มไปหมด” เธอพูด สีหน้าและเสียงเริ่มเศร้าหมอง มองไปรอบบ้านเหมือนกำลังหาบางอย่าง และหยุดอยู่ที่ใบหน้าของบดินทร์อีกครั้ง

“อาณาบริเวณของเรือนนี้ มีเจ้าที่ดูแลเพียงองค์เดียว ยังดีที่เป็นฝ่ายกุศล บางบ้านเจ้าที่นั้นก็มิใช่ฝ่ายกุศลเสียแล้ว...แต่เป็นฝ่ายอกุศลแทน บ้านเคยร่มเย็นจึ่งกลายเป็นร้อนรุ่ม มีเรื่องดั่งถูกไฟสุมมิได้ขาด ยากนักจักเป็นสุขแลสงบ ช่างน่าวิตกมิน้อยเทียว” เธอถอนหายใจออกมา

“ข้าพเจ้าเพิ่งทราบได้มินานว่าวิกฤติแห่งละอองสีดำในมนุษยภูมิเพลานี้มีมากเกินว่าเทพฝ่ายกุศลจักอยู่ต่อไปได้ องค์เทพจำนวนมากจึงหลีกภัย ที่เคยสถิตดูแลมากมายจำต้องกลับวิมานเดิมแห่งตน รอให้ภาวะโดยรอบมนุษยภูมิเป็นคุณ...สว่างใส มิเป็นภัยแก่องค์เทพเสียก่อน จึ่งลงมาสร้างบารมีในมนุษยภูมิกันใหม่อีกคราหนึ่ง

“แต่นั่นย่อมหมายความว่า...สัตว์โลกทั้งหลายจักถูกมล้างด้วยภัยพิบัตินานัปการ อันเกิดแต่กรรมแห่งมนุษย์ได้ประพฤติเป็นที่ตั้ง...อาจเหลือผู้มีจิตใจสูงส่ง ใสสะอาด รอดพ้นภัยนั้น แต่คงน้อยนัก แม้นว่าองค์เทพฝ่ายกุศลใคร่ช่วยเหลือมากเพียงใด ก็จำต้องวางตนไว้ในอุเบกขาทั้งสิ้นเมื่อเพลานั้นมาถึง

“ด้วยละอองดำนี้มิใช่เพียงสำแดงว่าฝ่ายอวิชชามีกำลังครองใจมนุษย์โดยมากเท่านั้นเจ้าข้า แต่ละอองสีดำคือสิ่งอันกลั่นออกมาจากความประพฤติ การปฏิบัติตนของเหล่ามนุษย์เป็นที่ตั้ง ยิ่งมนุษย์ปล่อยใจให้แก่ความชั่วช้าอวิชชาทั้งหลายมากเพียงใด โดยมิได้ตระหนักว่าภัยมากมายย่อมเกิดจากความประพฤติของตนทั้งสิ้น

“อีกทั้งสิ่งที่น่ากังวลนักคือละอองสีดำ มิใช่เพียงแค่สำแดงความประพฤติแห่งเหล่ามนุษย์ แต่หมายความถึงการสำแดงฤทธิ์แห่งฝ่ายอกุศล สำแดงฤทธิ์แห่งอวิชชา สำแดงฤทธิ์แห่งเทวมาร แลเป็นเครื่องทำร้ายเทพฝ่ายกุศล ตัดทอนกำลังคนของฝ่ายพระได้ด้วยเช่นกัน หากท่านบดินทร์ได้เห็นดั่งข้าพเจ้าเห็นในเพลานี้”

เธอแหงนมองไปรอบๆ สีหน้าเศร้าหมอง “ถ้วนทั่วล้วนขมุกขมัวด้วยละอองสีดำ...บางแห่งก็หนาแน่นมากนัก บางแห่งก็เบาบาง แต่ก็นับว่ามีมากอยู่ ในละอองสีดำนั้นบ้างก็มีรูปทรงประหนึ่งจักรเจ็ดซี่หมุนไปทางซ้ายมิเปลี่ยนวงหมุนเป็นขวา บ้างเป็นดวงกลมๆ สีดำหนาแน่น มากน้อยแล้วแต่ความประพฤติของเหล่าชนผู้อยู่ในแหล่งนั้น ยิ่งละอองดำไหนเป็นสีดำสนิทยิ่งร้าย แต่ก็มิร้ายกาจเท่าละอองสีดำสนิทมีแสงเรืองจ้าบาดตา

“แหล่งใดมีคนชั่วช้าอวิชชาครองได้มาก...พื้นที่แห่งนั้นจักเต็มไปด้วยละอองดำเหล่านี้แล เป็นที่สถิตแห่งเทวมาร มีฝ่ายอกุศลเป็นผู้ดูแลเหล่าชนผู้ประพฤติชั่ว จึ่งยิ่งทำการชั่วช้ามิได้มิละอาย กลับมองว่าเป็นเรื่องดี น่ายกย่อง เหตุเพราะธรรมชาติฝ่ายมารก็ว่าความเดือดร้อน ความชั่ว ความโกรธ ความหลง ความตลบตะแลง ความเลวทรามทั้งหลายเป็นสิ่งดีงามทั้งสิ้น มิอาจมองดั่งฝ่ายพระฤๅฝ่ายกุศลว่าความเจริญ ความสงบ ความร่มเย็น ความซื่อสัตย์ แลการให้ด้วยใจเมตตาเป็นสิ่งดีงาม ต่างมองว่าธรรมชาติของฝ่ายตนเป็นสิ่งดี

“ชนเหล่าใดประพฤติดี ย่อมมีความสงบเป็นที่ตั้ง ชนเหล่าใดประพฤติชั่ว ย่อมมีความร้อนใจ เดือดร้อน เป็นที่ตั้ง แลธรรมชาติของฝ่ายพระกับฝ่ายมารจึ่งมิได้ลงรอยกันนัก พอฝ่ายไหนมีกำลังมาก อีกฝ่ายย่อมกำลังถดถอยตามไป นี่จึ่งเป็นหนึ่งในเหตุให้เหล่าเทพฝ่ายกุศลมิอาจอยู่ในมนุษยภูมิได้ดั่งเก่าก่อน” เธอถอนหายใจ

“บรรยากาศเต็มไปด้วยละอองสีดำเช่นเพลานี้ ย่อมเป็นคุณแก่ฝ่ายอกุศลมากนักแลเจ้าข้า...ท่านบดินทร์ เหตุเพราะเป็นธรรมชาติของเขา เพลานี้มนุษยภูมิเสมือนเป็นถิ่นแดนของฝ่ายมาร มีอวิชชาครอบครอง ยิ่งสัตว์โลกเดือดร้อน พบภัยแลมากด้วยภยันตราย เกิดเหตุพิบัติหลากหลาย ฝ่ายมารฝ่ายอกุศลก็ยิ่งว่าดี ยิ่งมีคนชั่วช้ามากยิ่งเป็นการดี เดือดร้อนให้มากยิ่งเป็นเรื่องดี จักได้ล่มจม เป็นทุกข์กันให้หนัก เพราะธรรมชาติของเขาว่านี่แหละ...คือสิ่งดีงาม ความฉิบหายเดือดร้อนคือสิ่งดีงาม

“อีกทั้งฤทธิ์แห่งละอองดำยังทำลายล้างให้ฝ่ายกุศลแตกดับได้ หาใช่แค่ตัดกำลังเพียงประการเดียว จึ่งเป็นภาวะมลพิษร้ายแรง ร้าย...ประหนึ่งลมกรด ไฟกรด น้ำกรด อากาศกรด แก่เทพฝ่ายกุศลดอก หากเทพองค์ใดมิได้แข็งแกร่งพอ จักจุติก่อนได้ช่วยเหลือมนุษย์สำเร็จเป็นแน่แท้ จึ่งเป็นภัยมิน้อยเทียว เทพฝ่ายกุศลองค์ใดยังอยู่ในมนุษยภูมิก็จำต้องระมัดระวังตัวกันไป อาศัยบุญแห่งตนเป็นเครื่องคุ้มภัย เทพองค์ใดมีบารมีน้อยนิดแลมิอาจคุ้มครองตนได้ก็จำต้องกลับ เพราะหากอยู่...ก็ประหนึ่งเอาตัวเข้าสู่ความตายเช่นกัน

“แต่ใช่ว่าเทพองค์ใดมีฤทธิ์มากจักอยู่ในมนุษยภูมิได้ปลอดภัยดอกเจ้าข้า ด้วยว่ามากน้อยย่อม ถูกทอนกำลังทั้งสิ้น เทพฝ่ายกุศลที่สถิตในมนุษยภูมิเพลานี้บางองค์ก็อยู่ด้วยกิจธุระ บางองค์อยู่ด้วยดูแลรักษาผู้มีบุญคุณแห่งตนในอดีตชาติ ดูแลมิให้ด่างพร้อย ช่วยเหลือผู้มีบุญคุณแห่งตนได้กลับสู่ภพภูมิอันดี ปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้มีคุณแห่งตนมิได้ละทิ้งแต่อย่างใด ทว่าจะสัมฤทธิ์ผลมากน้อยฤๅไม่...ก็ย่อมอยู่ที่เจ้าตัวผู้ถือกำเนิดในมนุษยภูมิแต่เพียงผู้เดียว ส่วนบางองค์ก็อยู่ด้วยภาระมอบหมายจากองค์อธิบดี

“เหล่าเทพผู้มีกิจดั่งข้าพเจ้าว่ามานั้นจักมีกำลังฤทธิ์มากกว่าเทพองค์อื่น บางองค์มีเบื้องบนช่วยเหลือดูแลเกื้อหนุน มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ภาวะแห่งมนุษยภูมิว่ามีละอองดำแลเครื่องอวิชชามากน้อยเพียงใด

“หากละอองดำเบาบาง ก็ส่งกำลังช่วยเหลือได้มาก หากหนาแน่น ก็ช่วยเหลือมิได้เลย หากจักเปรียบก็ประหนึ่งดำน้ำนั่นแล เทพองค์ใดแข็งแกร่งจักอยู่ได้นานกว่าผู้แข็งแกร่งน้อย”

บดินทร์กอดอกยืนฟัง “แล้วเทวดาที่เหลือล่ะไปไหนกันหมด ทำไมไม่ลงมาช่วยๆ กันล่ะคุณ ปล่อยมนุษย์อยู่กันแบบนี้ได้ยังไง มันเดือดร้อนนะ”

แววตาที่บอกว่าช่างคิดออกมาได้นั้นส่งให้บดินทร์ทันที ชายหนุ่มถูกมองเช่นนี้ก็รู้สึกหน้าม้านหน้าชา เหมือนถูกตำหนิทางสายตาจนต้องแกล้งมองพื้น

มธุรสเทวีอธิบายโดยพลัน “ทวยเทพมีมากมายนับองค์ได้มิถ้วนจริงอยู่เจ้าข้า แต่นั่นมิใช่หน้าที่เลย องค์เทพที่สถิตอยู่ในมนุษยภูมิก็ด้วยหวังสร้างบุญสร้างบารมี ทั้งกับมนุษย์...แลสรรพสัตว์ คราใดมนุษยภูมิสว่างใส มิเป็นภัยดั่งเพลานี้ เหล่าเทพทั้งหลายย่อมลงมาสร้างบารมีมิได้เว้นวาง แต่เมื่อมีละอองดำแห่งฝ่ายอกุศลมากมายดั่งได้เห็น ต่างย่อมต้องรักษาชีวิตตนเป็นที่ตั้งดอกเจ้าข้า เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว องค์เทพฝ่ายกุศลทั้งหลายทั้งปวงก็คือมนุษย์ผู้ประกอบกรรมดี จึ่งได้เสวยบุญแห่งตนยังทิพยภูมิ หาใช่ผู้มีหน้าที่ดูแลรักษาสัตว์โลกแต่อย่างใด ด้วยผู้ได้เกิดเป็นมนุษย์ย่อมต้องเป็นผู้สร้างบุญ กระทำความดีด้วยตนเองทั้งสิ้น ใช่ว่าจักให้ผู้อื่นกระทำแทนหาได้ไม่

“เมื่อเป็นเช่นนี้...มนุษย์เหล่าใดมิได้หมั่นสำรวจตน มิได้ขัดเกลาใจตน มิได้หมั่นเพียร มิได้รักษาใจให้สะอาดบริสุทธิ์ มิได้ฝักใฝ่กุศลอยู่เป็นนิจ เอาแต่สนุกสนานไปตามสิ่งลวงล่อว่าดีงามแต่ซ่อนไว้ด้วยกิเลส ตัณหา ราคะ แลอกุศลอวิชชาทั้งหลาย งอมืองอเท้าหวังให้ผู้อื่นช่วยเหลือ ย่อมเป็นไปมิได้ที่จักดำเนินสู่ภพภูมิอันดีงามดอกเจ้าข้า แม้นหวังรอดพ้นภัยพิบัติก็ยังยากยิ่ง

“บ้างมนุษย์ผู้มิได้รู้เท่าทันความประพฤติมิชอบทั้งหลายก็กล่าวหาว่าเป็นด้วยกรรมเก่าบ้าง ธรรมชาติบ้าง หารู้ไม่ว่าแท้จริงนั้นเกิดจากความประพฤติปฏิบัติที่ตนละเว้นทั้งทาน ศีล การเจริญภาวนา แต่มนุษย์เหล่าใดที่มีปัญญาหยั่งรู้ แลเร่งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ขัดเกลาจิตใจ ละวางสิ่งทั้งหลายอันล่อลวงเป็นกิเลส ฝ่ายกุศลจึ่งพอช่วยเหลือคนผู้นั้นได้บ้างดอก ส่วนการที่มนุษย์นั้นมิได้พบเห็นผู้อยู่ภพภูมิอื่นก็ด้วยว่าใจมิได้ประณีตละเอียดผ่องใส แม้นองค์เทพถอยกายให้หยาบเพียงใด ก็ยากจักมองเห็น

“เมื่อเหตุเป็นเช่นนี้ เหล่ามนุษย์จักร้องขอให้ได้รับความช่วยเหลือตลอดเพลาได้เยี่ยงไรเจ้าข้า ทั้งที่ตนนั้นกลับมิได้ลงมือกระทำ เกียจคร้านก็มากนัก มิได้หมั่นเพียรมุ่งมั่นก็เป็นหนึ่ง ธรรมชาติแห่งสัจธรรมย่อมเป็นไปมิได้แน่แท้ว่าชนเหล่านี้จักยังถึงทิพยภูมิ ฤๅแม้นแต่นิพพานอันสูงส่งเทียว เพราะชนเหล่าใด...ได้กระทำสิ่งใด...ก็ย่อมได้สิ่งนั้น แม้นมิเห็นผลเร็ววัน แต่ทุกอย่างย่อมเป็นไปด้วยเครื่องคำนวณผลกุศลแลอกุศลทั้งสิ้น เก็บไว้มิได้เลือนหายดอกเจ้าข้า แม้นคราเป็นมนุษย์ทุกข์นัก ข้นแค้นนัก แต่มิได้ละทิ้งกุศลผลบุญ เมื่อใดละสังขาร กุศลกรรมอันประเสริฐย่อมยังถึง คุ้มครองให้ดำเนินสู่ภพภูมิอันดีงาม

“องค์เทพทั้งหลายก็ต่างสร้างกุศลด้วยตนเองมิได้พึ่งพาผู้ใด จึ่งได้เสวยสุขในทิพยพิมาน มิใช่อยู่รอความช่วยเหลือแล้วจักเสวยสุขแต่อย่างใด มนุษย์ผู้ใดคิดหวังแต่หาผู้ช่วยเหลือเยี่ยงนี้ ก็ประหนึ่งผู้มีสันดานน่ารังเกียจ มิได้รู้ว่าตนนั้นน่าชิงชังมากเพียงใด พอมิได้ดั่งใจก็โยนความผิดให้ผู้อื่น โยนความผิดให้ผู้ช่วยเหลือดูแลทั้งที่มิใช่กิจแห่งองค์ท่าน ด้วยความจริงแท้คือท่านเสียสละให้ความช่วยเหลือ เสี่ยงภัยก็ใช่น้อย ทว่ามนุษย์มากหลายนั้นมิได้สำนึกสำเหนียกในข้อเท็จจริง

“เมื่อเหตุเป็นเช่นนี้...จักต่อว่าเทพฝ่ายกุศลได้เยี่ยงไรว่าละทิ้งเล่าเจ้าข้า จักกล่าวหาว่าละทิ้งมนุษย์ได้เยี่ยงไร แล้วตัวมนุษย์เล่า...กระทำการใดบ้างเพื่อช่วยเหลือตนเอง นอกเสียจากเห็นแก่ได้ในประโยชน์แห่งตน มิเคยคิดช่วยเหลือดูแลองค์ท่าน ช่วยเหลือตนเองก็ยังยากนักจักกระทำ คอยแต่เอาเปรียบ เอาแต่ประโยชน์ตนเป็นที่ตั้งอยู่ฝ่ายเดียว มิได้รู้เลยว่าแท้จริงตนนั่นแล...คือผู้ทำร้ายผู้ช่วยเหลือตลอดเพลา

“ความประพฤติของมนุษย์ในเพลานี้ จึ่งเปรียบประหนึ่งผู้ถือหอกดาบคมกริบทิ่มแทงผู้ช่วยเหลือนั่นเทียว การปล่อยตัวปล่อยใจให้กิเลสอวิชชาครอง ปล่อยให้ตนนั้นมีผู้ปกครองเป็นฝ่ายมารมิใช่ฝ่ายพระ ปล่อยใจให้ถูกหุ้มเคลือบด้วยละอองสีดำ ชักจูงไปสู่อกุศลทีละนิด มิได้หมั่นเพียรขัดเกลาใจตนแม้แต่น้อย มิได้พิจารณาไตร่ตรองว่าตนนั้นมีจิตใจอ่อนแอ มิได้ตั้งมั่นในกุศล โอนเอนตามสิ่งล่อลวงมืดบอด นานวันเข้าก็ชำระล้างจิตใจให้ใสสะอาดได้ยากยิ่งนัก

“เมื่อจิตใจมิได้ใสสะอาดแล้ว ละอองสีดำผู้เป็นเจ้าของเขาก็สำแดงฤทธิ์เดช ให้คุณตามธรรมชาติของฝ่ายมาร คือให้มนุษย์ผู้นั้นทุกข์หนัก ฉิบหายหนัก แต่มนุษย์ผู้มิรู้ความฤๅ...กลับโยนความผิดแก่ฟ้า แก่เทวดา แก่ทวยเทพฝ่ายกุศล รบเร้าหาความช่วยเหลือ ร่ำร้องหาความสุขสงบ ร่ำร้องหาที่พึ่งพิง มิได้มองย้อนกลับมาดูว่าตนนั่นแล...ได้ประพฤติเยี่ยงไร บ้างก็โยนความผิดว่าเหตุที่เกิดนั้นย่อมเป็นไปโดยธรรมชาติ

“ยิ่งเพลานี้ความชั่วช้าใครเล่าเขาก็ทำกัน เราจึ่งทำบ้างก็มิเห็นเป็นไร ความตายมิได้กลัว...แต่กลัวอดเมื่อยังมีลมหายใจอยู่ มิได้เกรงกลัวละอายต่อบาป มิได้หาทางแก้ไขตนเอง มิได้คิดป้องกันภัยแก่ตน มิได้มองเป็นความผิดของตนสักนิด ทั้งปัจจุบัน แลกาลเบื้องหน้า มิได้ก้มมองดูการกระทำของตนว่าประพฤติเยี่ยงไร ประกอบด้วยบุญกุศลเป็นเสบียงมากฤๅน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจักให้เทพองค์ใดมาช่วยเหลือกันเล่าเจ้าข้า

“มนุษย์ส่วนมากก็เป็นเช่นนี้แล โทษแต่ผู้อื่น...มิเคยกล่าวโทษตนแม้แต่น้อย นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดเทพทั้งหลายจึงกลับสู่วิมาน มิได้สถิตอยู่มากมายดั่งกาลก่อน

“ที่ข้าพเจ้ากล่าวมานั้นหมายเพียงจักบอกท่านบดินทร์ ชนเหล่าใดประพฤติตนด้วยจิตอกุศล ปล่อยให้อวิชชาปกครอง ยินยอมให้ละอองดำหุ้มเคลือบจิตใจให้มืดมน มากด้วยกิเลสแลอวิชชาทั้งหลาย ก็ยากจักหาความสุขสงบได้ เมื่อใจมิได้สุขสงบ…ก็ร้อนรุ่มนัก ครั้นใจร้อนรุ่ม...ก็ยากที่ทวยเทพฝ่ายกุศลจักช่วยเหลือได้

“หากแม้นท่านบดินทร์สงสัยว่าข้าพเจ้าจักสำแดงฤทธิ์เดชได้มากน้อยเพียงใด ฤๅข้าพเจ้ามีความเป็นไปเยี่ยงไรเมื่อเยือนมนุษยภูมิในเพลานี้ ก็จงตระหนักในถ้อยคำที่ข้าพเจ้าว่ามาให้เสียมากเถิดเจ้าข้า ว่าตัวท่านแลภาวะโดยรอบนั้นเป็นเยี่ยงไร ได้ดูแลตนมากพอจักเกื้อหนุนข้าพเจ้าให้กระทำการสัมฤทธิ์ผลได้มากน้อย ฤๅเป็นภัยแก่ข้าพเจ้า ส่วนตัวข้าพเจ้านั้นย่อมกระทำการจนสุดความสามารถ มิได้ละเว้น มิได้ทิ้งขว้างท่านเป็นแน่แท้เจ้าข้า”

คล้ายโดนเธอตอกหน้าหงายยับเยิน ย่อยยับแบบที่ยิ่งกว่าโดนสับเป็นแสนล้านชิ้น โดนดาบปักทะลุอกเป็นหมื่นๆ ที ก็ยังไม่อาจเปรียบความรู้สึกที่ถูกต่อว่าสั่งสอน

บดินทร์ได้แต่แสร้งเอามือป้องปาก กระแอมออกมานิดหนึ่ง แล้วหันไปมองฟ้ามองลม

“เข้าบ้านเถอะ” กลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายชวนเธอกลับเสียเอง และยังแอบนวดขมับไปพลาง เมื่อเจอเทศน์แบบที่รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นมีความประพฤติและการปฏิบัติของเขาเป็นสาเหตุของปัญหาก็ยิ่งพูดไม่ออก จึงรีบเดินกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่พูดอะไรอีก ขืนอยู่นานกว่านี้คงโดนด่าแบบนิ่มๆ ให้ได้ตายกันไปข้างหนึ่งแน่ๆ

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -

แม้ดูเหมือนทุกอย่างเริ่มจะดีขึ้น เริ่มทำใจกับสิ่งที่พบเห็นได้ดีขึ้น แต่บางครั้งความสับสนมึนงงก็ยังมีไม่หาย บดินทร์กับมธุรสเทวีต่างนั่งมองหน้ากันนิ่งๆ บนหอนั่ง โดยไม่มีใครพูดอะไร โดยเฉพาะบดินทร์ที่มีแต่คำถามมากมายในหัวของตนเองตอนนี้ เพราะจากตำราก็ดี จากเรื่องเล่าต่อๆ กันมาก็ดี หรือที่เคยได้ยินแบบผ่านหูผ่านตามาก็ดี ล้วนไม่เหมือนความจริงที่เขากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

หอนั่งกลางเรือนไทยหมู่ที่มีลักษณะคล้ายศาลา มีหลังคา รอบด้านนั้นเปิดโล่ง ขนาดกว้างขวางพอประมาณ ยกพื้นขึ้นสูงกว่าชานเรือนหรือพื้นเรือนที่เชื่อมต่อกับเรือนแวดล้อมให้เดินถึงกันได้ ตามลักษณะบ้านทรงไทยเรือนหมู่ของบ้านไทยภาคกลาง พัดลมขนาดกลางยังพัดส่ายไปมา

บดินทร์นั่งทอดขา เริ่มมองนกมองไม้รอบตัวเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี เวลานี้ยังไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็นนัก แม้จะพิสูจน์ชัดแล้วว่าหญิงสาวรูปงามหยดย้อยตรงหน้าไม่ใช่แค่ภาพลวงตา ไม่ใช่แค่ความฝัน

แต่นั่นก็เหมือนยิ่งทำให้พูดไม่ออก ก่อนหน้านี้เขาก็ยังมึน งง อึ้ง และจุก จากเหตุการณ์หลายสิ่งหลายอย่างไม่หาย การโดนต่อว่าที่ยิ่งกว่าการถูกด่าตรงๆ ช่างเจ็บลึกในหัวใจจนยากจะลืมเลือน

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -

บดินทร์ลุกไปเข้าห้องน้ำ ความอ่อนอกอ่อนใจยังมีอยู่ อาการปวดหัวรุมๆ เหมือนจะเป็นไข้เริ่มทวี เขาไม่หิว ไม่อยากกินอะไรเพราะกลืนไม่ลง แม้แต่น้ำก็ไม่ได้จิบ ได้แต่ทอดมองตัวเองผ่านกระจกเงาในห้องน้ำ ก็พบว่าทุเรศตัวเองไม่หยอก ยากจะทำใจจริงๆ แต่ที่สุดก็ตัดสินใจออกมา กลับมานั่งจ้องหน้ามธุรสเทวี ทำท่าว่าจะพูดแต่ก็พูดไม่ออกอีกครั้ง เหมือนกับว่าถ้อยคำต่างๆ ติดอยู่ที่ปาก ติดอยู่ในลำคอ กล่องเสียงได้หายไป จึงได้แต่ถอนหายใจออกมา

ครั้นคิดว่าจะเดินเข้าไปในนอนห้องใดห้องหนึ่งในสามห้องที่มีอยู่เพื่อหลบหน้าหลบตามธุรสเทวีก็เหมือนว่าจะไม่ได้เรื่องอีกเช่นกัน

ดูเหมือนมธุรสเทวีจะเข้าใจ เธอไม่พูดอะไรนอกจากนั่งยิ้มหวานให้เขาเพียงอย่างเดียว

และเมื่อพอทำใจได้ระดับหนึ่ง บดินทร์จึงตัดสินใจถาม “ตอนนี้คุณหายตัวไปไหนมาไหนได้ไหม” เขาคิดว่าการเข้าเรื่องคงจะดีกว่านั่งมองกันโดยไม่มีอะไรคืบหน้าแบบนี้

“นับแต่ปรากฏกายต่อหน้าท่านบดินทร์ การเข้าไปอยู่ในพาหนะนั้น นับเป็นคราแรกที่ทำสำเร็จเจ้าข้า”

“แล้วก่อนหน้านั้นล่ะคุณ”

เทวีแสนงามทำท่าครุ่นคิด “ก่อนการถอยกายให้หยาบเพื่อจักปรากฏในมนุษยภูมิ ข้าพเจ้าจักไปยังที่แห่งใด ก็เพียงระลึกตั้งมั่น ย่อมถึงที่หมายโดยพลัน มิได้ผิดเพี้ยนเจ้าข้า” พูดจบ มธุรสเทวีก็ระลึกย้อนไปว่านับตั้งแต่ลงมาสู่มนุษยภูมินั้นได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง มีเหตุผิดพลาดอะไรบ้าง เพื่อจะได้นำมาสู่การแก้ไขปัญหา ซึ่งยังไม่รู้ว่าเกิดเพราะเหตุใด

และในภาพนั้น...โดยไม่มีใครคาดคิด บดินทร์กลับได้รู้เห็นประหนึ่งเข้าไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยพร้อมกัน

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -



[1] ไตรภูมิ หรือ ไตรโลก (หมายถึง สามโลก) เป็นคติเกี่ยวกับโลกสัณฐานตามความเชื่อในพุทธศาสนา เป็นที่อยู่ของสัตว์โลก แบ่งย่อยเป็น 31 ภูมิ

ภูมิที่ 1. กามภูมิ แบ่งเป็น

(1.1) อบายภูมิหรือทุคติภูมิ คือ กามภูมิไม่เจริญ-เสื่อม มี 4 ภูมิ คือ 1. นรกภูมิ 2. เดรัจฉานภูมิ 3. เปรตภูมิ และ 4. อสุรกายภูมิ

(1.2) สุคติภูมิ คือ กามภูมิฝ่ายดี มี 7 ภูมิ คือ 1. มนุษยภูมิ และ 2. ฉกามาพจรสวรรค์ หรือ สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น

ภูมิที่ 2. รูปภูมิหรือรูปาวจรภูมิ คือ รูปพรหมทั้ง 16 ชั้น

ภูมิที่ 3. อรูปภูมิหรืออรูปาวจรภูมิ คือ อรูปพรหม 4 ชั้น

*เหนือกว่าไตรภูมิคือ โลกุตรภูมิ 1. โสดาบันโลกุตรภูมิ 2. สกิทาคามีโลกุตรภูมิ 3. อนาคามีโลกุตรภูมิ และ 4. อรหัตโลกุตรภูมิ (อ้างอิง:ไตรภูมิพระร่วง)

[2] ฉกามาพจรสวรรค์ หมายถึง สวรรค์ 6 ชั้น ซึ่งเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ยังเกี่ยวข้องกับความรักใคร่ ติดอยู่ในบ่วงกามตัณหา มีการอุบัติ จุติ (เกิด-ดับ) เหมือนโลกมนุษย์ แบ่งเป็น ชั้นที่ 1. จาตุมหาราชิกา ชั้นที่ 2. ดาวดึงส์ ชั้นที่ 3. ยามา ชั้นที่ 4. ดุสิต ชั้นที่ 5. นิมมานรดี และชั้นที่ 6.ปรนิมมิตวสวัตดี



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ย. 2557, 17:17:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ย. 2557, 17:17:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1641





<< บทที่ 4, 5, 6   บทที่ 8 >>
แว่นใส 23 พ.ย. 2557, 21:45:05 น.
ทำใจยากเนอะ


คิมหันตุ์ 24 พ.ย. 2557, 00:59:32 น.
แว้บบบบบบบมาตามอ่านแล้วจ้า...สนุกมากๆค่ะ ชอบแนวนี้นะคะ
แต่ว่ามันก็ก้ำกึ่งกับความรู้สึกของนางฟ้า กับมนุษย์นิดๆ แต่ก็บอกเลยว่ารอติดตามจ่ะ


สุชาคริยา 24 พ.ย. 2557, 01:48:44 น.
@คุณแว่นใส = ซ่ายแว้วววว
@คุณคิมหันตุ์ = ขอบพระคุณมากๆ เลยค่า จุ๊บบบบๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account