หลังม่านเมฆ

Tags: สืบสวน โรแมนติก

ตอน: ---- (3) ----


ความอึมครึมระหว่างพี่สาวกับพี่เขยยังคงดำเนินไปตลอดสัปดาห์ น่าแปลกตรงที่ปณาลีไม่เห็นความผิดปกติจากกวีวัธน์มากนัก อาจมีบ้างตรงที่ชายหนุ่มดูเครียดกว่าปกติและร่าเริงน้อยกว่าที่เธอเคยเห็น แต่เขายังคงสู้หน้าเธอทุกครั้งยามเจอกันที่โรงเรียน นี่หรือคนที่ทำร้ายพี่สาวของเธอ

“เป็นอะไรน่ะน้ำ มองพี่แปลกๆ มาหลายวันแล้วนะ”

“อ้าว! ไม่เนียนเลยเรา” ปณาลีแสร้งเขิน เธอรู้ว่าเขาคงสังเกตได้ ก็เธอเล่นเหลือบมองเขาทุกห้านาทีนี่นา

“ช่วงนี้ไม่เห็นแวะไปที่บ้านเลย” กวีวัธน์ชวนคุย ขณะที่รอเด็กๆ ซึ่งยังคงสนุกสนานกับการเล่นกับเพื่อนๆ

“มัน...อึมครึมแปลกๆ ค่ะ ก็เลยทำตัวไม่ถูก”

“พี่ก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอกนะ แต่พี่สาวเราก็เอาแต่ใจ และไม่ยอมหันมาคุยกันตามประสาผัวเมีย เรื่องมันก็จบลำบาก คนอื่นก็ไม่ควรจะเข้ามายุ่งเรื่องผัวเมียจริงไหม” สุดท้ายเขาหันกลับมาถามเธอเสียอย่างนั้น ไม่รู้เพราะต้องการความคิดเห็นหรืออยากแขวะใคร

“ก็ถ้าถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน บางครั้งมันก็ทำให้เสื่อมศรัทธาและหมดความเชื่อใจกันได้นะคะ ขนาดน้ำยังรู้สึก แล้วพี่หนึ่งคนที่รักพี่วัธน์มาก เขาจะไม่รู้สึกยิ่งไปกว่าเหรอคะ”

“พี่ยอมรับว่าพี่ผิดเรื่องนั้น แต่หลังจากวันนั้นหนึ่งก็ไม่ยอมหันมาคุยกันให้รู้เรื่องเลย พี่คิดว่าเรารักกัน ผูกพันกันมาก น่าจะเหลือเยื่อใยให้พี่ได้แก้ตัวบ้าง แต่ดูเหมือนหนึ่งจะหมดเยื่อใยกับพี่ ทั้งๆ ที่นี่คือครั้งแรกที่เรามีปากเสียงกันรุนแรง”

“ไม่มีเรื่องอะไรกันก่อนหน้านี้เลยเหรอคะ”

“ไม่มี” กวีวัธน์ตอบโดยไม่ลังเล

“หรืออาจจะมีอยู่ในใจของหนึ่งก็ได้ แต่พี่ไม่เคยรู้ และเราไม่เคยทะเลาะกัน” ปณาลีเม้มปากอย่างใช้ความคิด ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมๆ กับที่เด็กๆ วิ่งมาหาพ่อด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัว

“ถ้าเป็นไปได้ น้ำจะลองตะล่อมพี่หนึ่งดูนะคะ แต่พี่วัธน์ก็ควรจะรู้ด้วยว่าน้ำไม่ชอบให้ใครมาทำร้ายพี่สาวน้ำเหมือนกัน” ความเงียบเพียงไม่กี่วินาทีที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งสองคนอึดอัดได้ดีทีเดียว แน่นอนละว่าเขาไม่ได้อยากทำร้ายคนที่เขารักเหมือนกัน หากมันจะไม่เหลืออด

“เขาไม่ได้บอกน้ำเหรอว่าพี่แค่ผลักไหล่เขาเท่านั้น” กวีวัธน์พูดไล่หลังมาตอนที่เธอกำลังจะหันหลังเข้าไปเก็บของกลับบ้านเมื่อนักเรียนทยอยกลับบ้านกันเกือบหมดแล้ว

เท้าเล็กๆ ชะงักก่อนหมุนตัวกลับมามองกวีวัธน์ที่ขับรถออกไปแล้ว หญิงสาวค่อยๆ ถอนหายใจเบาๆ ออกมา แค่ผลักไหล่ มันก็ไม่เท่าไรจริงๆ แต่สำหรับคนที่สุภาพมาตลอด และคนที่ไม่เคยมีเรื่องรุนแรงกันเลย มันกลับหมายถึงสัญญาณแห่งความบาดหมางและความรุนแรง
---------------------------------------------------------------------------

ปวิตราไม่กลับบ้านอ้างว่าขึ้นเวรแทนเพื่อน เพียงแต่โทรมาบอกเธอให้ช่วยดูแลลูกให้ ปณาลีถึงขั้นกุมหัว มันจะแย่ไปกว่านี้อีกหรืออย่างไร

หลังจากจัดการให้เด็กรับประทานอาหารเช้าแล้ว ปณาลีก็ส่งทั้งสองคนไปที่บ้านจริยากับจารีพร ก่อนที่ตัวเองจะคว้าจักรยานปั่นออกไปนอกหมู่บ้าน เป้าหมายคือตลาดนัดที่มีทุกเช้าวันเสาร์ ตลาดยามเช้าจอแจพอสมควร เนื่องจากมีของสดขายมากมาย เป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านที่เธอมีโอกาสออกมาเดิน หญิงสาวไม่รู้อะไรมากนัก จึงใช้วิธีเดินสะเปสะปะไปเรื่อยๆ ชอบร้านไหนก็หยุดดู ไม่ได้เจาะจงเป็นพิเศษ

จนกระทั่งสายโด่ง เธอจึงได้เพียงขนมกินเล่นติดไม้ติดมือมาสองอย่างเท่านั้น ปณาลีสาวเท้ากลับไปทางที่ตัวเองจอดจักรยานทิ้งไว้ ไม่อยากเถลไถลให้ร้อนมากไปกว่านี้

แลนด์โรเวอส์ที่จอดถัดไปจากจักรยานของเธอลดกระจกลง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร แถวนี้ไม่มีใครขับรถแพงลิ่วอย่างเขาแน่นอน

“เอาจักรยานทิ้งไว้ที่นี่ก่อน แล้วมาขึ้นรถพี่ มีเรื่องอยากจะคุย” นี่คือการสั่งสินะ ปณาลีถือไม้ลูกชิ้นค้างแล้วมองหน้าเขา ไม่ยอมขยับตัว

“ได้ไหม?” เมื่อโดนถามย้ำมาด้วยเสียงที่อ่อนลง จึงรู้สึกว่าตัวเองถูกขอร้องขึ้นมานิดหน่อย จึงพยักหน้าแล้วเดินไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ

เมื่อขึ้นมานั่งเรียบร้อย กวินภพก็ออกรถทันทีโดยที่ปณาลีก็ยังนั่งกินลูกชิ้นไปเรื่อยๆ พอจะรู้ว่าเขาจะคุยเรื่องอะไร แต่ที่ไม่รู้คือ ไม่รู้ว่าเขาจะพาไปที่ไหน

หลังขับรถออกมาจากย่านชุมชนได้ประมาณสิบห้านาที ชายหนุ่มก็หักพวงมาลัยเข้าไปยังถนนเส้นเล็กที่โรยด้วยกรวด สองข้างทางยังเป็นป่าหญ้า แต่จากสายตาหญิงสาวมองเห็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ข้างหน้า ขนาดไม่ใหญ่นักหรอก สองถึงสามคนคงพออาศัยอยู่ได้ แต่ทรงบ้านและสีสันช่างน่ารักเสียจริง

กวินภพจอดรถก่อนจะหันมาส่งสายตาเสมือนชวนให้เธอลงไป หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เฟอร์นิเจอร์ไม้หน้าบ้านโดยที่คนพามาไม่ต้องเชิญ

“บ้านพี่เอง ถ้าไม่ได้กลับไปบ้านแม่ พี่ก็อยู่ที่นี่แหละ” ปณาลีเพิ่งจะรู้ว่ากวินภพมีบ้านแยกอยู่ต่างหาก

“ทำไมละคะ บ้านป้าจุ๋มก็ใหญ่ดีออก น้ำนึกว่าอยู่กันที่นั่นหมด”

“เราไม่เคยนึกอยากมีความเป็นส่วนตัวบ้างเหรอ?”

“มีมากพอแล้วมั้งคะ สมัยเรียนน้ำอยู่หอคนเดียวมาตลอด เหงาเหมือนกัน ยิ่งเห็นคนบ้านใกล้ ไม่ต้องมาอยู่หอเหมือนเราก็อิจฉา เลยคิดอยากกลับมาอยู่บ้านที่ห้อมล้อมไปด้วยครอบครัวของเรา แต่นั่นแหละค่ะ วุ่นวายนิดหน่อย แต่อบอุ่นดี” กวินภพอมยิ้มกับคำตอบตรงๆ ของเธอ

“ดื่มน้ำไหม?” หญิงสาวส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อกี้ดื่มมาเยอะแล้ว” กวินภพจึงหย่อนตัวลงนั่งตรงกันข้าม ปณาลีมีความเป็นธรรมชาติสูง และไม่ประดิษฐ์ เขานึกว่าสังคมเมืองหลวงจะทำให้หญิงสาวเปลี่ยนแปลงไปเหมือนหลายๆ คนที่เขาเคยเจอ แต่เท่าที่เห็น ไม่เป็นอย่างนั้น ที่สำคัญ เธอเข้ากับสังคมที่นี่ได้เป็นอย่างดี ไม่มีอาการ จมไม่ลง เหมือนคนที่อยู่กรุงเทพฯ มานาน

“เรื่องวุ่นวายที่ว่าหมายถึงพี่สาวกับพี่เขยเราหรือเปล่า” ชายหนุ่มตรงเข้าเรื่อง ไม่อ้อมค้อม

“พี่วินไม่ทราบบ้างเหรอคะ ว่าพวกเขาสองคนมีเรื่องอะไรกัน ถึงได้อึมครึมกันแบบนี้” กวินภพส่ายหน้าแต่ไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าสวย ปณาลีจึงรู้สึกเขินแปลกๆ

“พี่หนึ่งบอกว่าพี่วัธน์ตบตีเขา แต่พี่วัธน์บอกว่าแค่ผลักไหล่ จะว่าไปผลักไหล่มันก็ไม่ได้รุนแรง แต่สำหรับคนสองคนที่ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน น้ำว่ามันทำร้ายจิตใจกันมากนะคะ”

“เห็นหนึ่งไปไหนมาไหนกับอาของเขาบ่อยช่วงนี้” กวินภพเลือกถามไปอีกเรื่อง

“อาอู๋สนิทกับพี่หนึ่ง เอ็นดูกันมาตั้งแต่เล็ก ช่วงพี่หนึ่งไม่สบายใจจึงอาจจะอยากอยู่ใกล้ใครสักคนที่เข้าใจเขามั้งคะ” กวินภพถอนหายใจเบาๆ

“แต่มันยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง” แม้จะคุยกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ว่าประโยคของกวินภพก็ยังสั้นอยู่นั่นเอง

“พี่วินมองอาอู๋ในแง่ร้ายเหรอคะ?” คราวนี้กวินภพถึงกับนิ่ง

“อย่าบอกว่าไม่ใช่ เพราะไม่อย่างนั้นพี่วินจะไม่พูดออกมาเรื่องพี่หนึ่งไปไหนมาไหนกับอาอู๋” ชายหนุ่มทำเสียงหึในลำคอ เธอย้อนเขา เรื่องของฐิติกับสุกัญญา

“เรามีสิทธิ์สงสัยบุคคลที่สาม”

“เรา? ไม่ใช่แล้วค่ะ น้ำไม่สงสัยอาอู๋ พี่วินจะสงสัยก็ช่าง แต่ถ้าน้ำจะสงสัยคนอื่นพี่วินก็อย่ามาว่าแล้วกัน เพราะเรามีสิทธิ์สงสัยบุคคลที่สาม” กวินภพเม้มปาก อยากจะหักคอเด็กจริงๆ

“ยอกย้อนเก่งนะเรา คิดว่าพี่ไม่มีขีดความอดทนหรือไง” เจอไม้นี้เข้าไปคนชอบย้อนเลยได้แต่มองหน้าเขาตาขุ่น

“ไป! กลับ จะให้ไปส่งที่บ้านหรือตลาด” ถามมาได้ ก็จักรยานเธออยู่ที่ตลาดเธอก็ต้องไปที่ตลาดสิ

“ตลาด” ตอบห้วนๆ ก่อนจะเดินลงส้นไปขึ้นรถ ทำไมนะบทสนทนาของเธอกับเขามันจึงไม่เคยจบดีๆ เสียที
-----------------------------------------------------------------------

เสียงเดินเร็วๆ ออกมาจากในบ้านทำให้ปณาลีที่ก้มๆ เงยๆ กับการเก็บขยะอยู่ที่หน้าบ้านหลังกลับมาจากทำงาน ต้องรีบเงยหน้าขึ้นไปมอง

“น้ำ พ่อมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย” หลังจากปวิตราเริ่มมีปัญหา ดูเหมือนภามจะร้อนใจอยู่มาก

“มีอะไรเหรอคะ หน้าตาไม่ดีเลย” หญิงสาวปิดประตูรั้วเตี้ยๆ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้พร้อมกับบิดา

“ป้าจุ๋มมาคุยกับพ่อวันนี้ เขาบอกว่าวัธน์กับหนึ่งถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน” ปณาลีก้มหน้า จริงๆ ไม่อยากให้บิดาต้องรู้ จึงปิดปากเงียบหลังจากพี่สาวบอก แต่เมื่อวันนี้ภามรู้แล้ว เธอจะทำอย่างไรได้ พ่อคงเสียใจมาก

“ค่ะ พี่หนึ่งบอกน้ำอย่างนั้นเหมือนกัน”

“ป้าจุ๋มบอกพ่อว่า เอ่อ...คือ วัธน์อาจจะมีปัญหาเรื่องยาเสพติด ก็เลยก้าวร้าว” ปณาลีเงยหน้ามองภามทันที

“พี่วัธน์น่ะเหรอคะพ่อ เป็นไปได้เหรอคะ น้ำเจอเขาเมื่อสองสามวันก่อน เขาก็ดูปกตินะคะ”

“ไม่รู้สิ ก็ไม่เคยเจอคนติดยานี่ เราอาจจะดูไม่ออก แต่นี่แม่เขาเป็นคนพูดเองนะ ถ้าเป็นคนอื่นเราคงไม่เชื่อหรอก ถ้าไม่จริงเขาคงไม่พูดให้ลูกเขาเสียหาย” นั่นสินะ ถ้าไม่จริงจริยาจะพูดทำไม เรื่องแบบนี้มันอ่อนไหวมาก

“ป้าจุ๋มไปรู้มาจากไหนคะ?”

“เพื่อนของวัธน์บอกมา ก็พวกหุ้นส่วน เขากลัวร้านจะเจ๊ง ก็เลยมาบอกป้าจุ๋ม เผื่อจะหาทางแก้ไขได้ทัน”

“แล้วป้าจุ๋มเชื่อตามนั้นเหรอคะ หรือว่าได้ตรวจสอบหรือยังว่าจริงหรือเปล่า” ภามถอนหายใจ กุมมือไว้หลวมๆ

“นั่นละ เห็นว่าติกับมุกก็มาเตือนป้าจุ๋มว่าให้ลองดูไปก่อน อย่าเพิ่งไปปักใจเชื่อ” ปณาลีขมวดคิ้ว ฐิติกับสุกัญญาอย่างนั้นหรือ

“พ่อว่าพี่วินจะรู้เรื่องไหมคะ?” หากจะเลียบเคียงถามจากกวินภพอาจจะง่ายกว่ากระมัง วันก่อนที่กวินภพพาเธอไปที่บ้านของเขา ยังไม่ทันพูดคุยได้ใจความ ต่างคนต่างรวนกันเองเสียก่อน จึงแยกย้ายกันออกมา ครั้งนี้ปณาลีคิดว่าเธอจะลองสอบถามและคุยกับเขาแบบเป็นการเป็นงานสักครั้ง เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง

“พ่อก็ไม่รู้ แต่คิดดูแล้วเราต้องรู้ข้อมูลทั้งสองฝั่งนะ ซึ่งมันยากมากที่จะง้างปากหนึ่งได้ กำลังหาทางให้อาของเราช่วย นี่ก็อีกคน เป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว หลานมีเรื่อง แทนที่จะสั่งสอนกันแบบผู้ใหญ่ แต่ดันไปตามใจหลานซะอย่างนั้น ยัยหนึ่งเลยได้ใจว่ามีคนถือหาง พานไม่คิดจะแก้ไขปัญหายุ่งๆ นี้ซะที”

“พี่หนึ่งก็ไม่พูดอะไรมากมายกับน้ำเหมือนกันค่ะ น่าเสียดาย สองคนนี้เขารักกันมาก ผูกพันกันก็มาก แต่วันหนึ่งพอมีปัญหา ความรักความผูกพันกลับไม่ได้ช่วย แปลกจังค่ะ มีอะไรอยู่ในใจของเขาสองคนก็ไม่รู้นะคะ” ภามส่ายศีรษะหน้าตากลัดกลุ้ม

“หากมีโอกาส น้ำจะถามพี่วินค่ะ พี่เขาใกล้ชิดกับพี่วัธน์ น่าจะรู้อะไรบ้าง พ่อไม่ต้องคิดมากนะคะ” ภามถอนหายใจเบาๆ

“พ่อเองก็ไม่ได้หัวโบราณอะไรมากมาย หากว่าเขาสองคนหมางใจกันจริง จนอยู่ด้วยกันไม่ได้อีกต่อไป จะแยกทางกันพ่อก็ไม่ว่า แต่การเล่นเกมกันแบบนี้ไม่ดีเลย คนอื่นก็มองไม่ดี คนรอบข้างก็ลำบากใจมองหน้ากันไม่ติด ไหนจะลูกเต้าอีกเล่า สงสัยถ้ามีโอกาสเจออาอู๋ของเราอีกที พ่อต้องเตือนเขาให้มาก ว่าอย่าให้ท้ายจนหลานเสียคน”
------------------------------------------------------------------------------

ผ่านไปอีกหลายวัน สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นนัก ปณาลีไม่มีโอกาสเจอกวินภพเพื่อไถ่ถามข้อข้องใจตามที่เธอได้รับคำไว้กับบิดา จนวันนี้เธอคิดว่าสถานการณ์มาถึงขั้นแย่สุด เมื่อปวิตราแจ้งว่ากำลังจะย้ายเข้าพักที่บ้านพักของโรงพยาบาล นั่นหมายถึงพี่สาวของเธอจะไม่พักที่บ้านสามีตัวเองอีกต่อไปแล้ว บางครั้งปณาลีสงสัยนักว่าปวิตราคิดอะไรอยู่ คนเป็นน้องนึกสงสัยในวุฒิภาวะของพี่สาวก็หลายครั้ง

“ให้น้ำไปช่วยขนของนะคะพี่หนึ่ง” รับอาสาเผื่อจะหาโอกาสถามไถ่เรื่องที่คาใจ

“ไม่เป็นไรหรอก พี่มีกระเป๋าลากใบใหญ่ใบเดียว ประเดี๋ยวอาอู๋จะมาช่วย” เอาเข้าไป ตอนนี้ปณาลีร่ำๆ อยากเจออาของเธออีกคน อยากกระชากคอเสื้อมาถามนักว่ากำลังทำเรื่องบ้าบออะไรกันอยู่ คนหนึ่งก็หนุ่มใหญ่อายุสี่สิบกว่า อีกคนก็หญิงสาวลูกสองคนเข้าไปแล้ว

“แล้วแฝดละคะ?” ปวิตราชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบทั้งที่ไม่ได้มองหน้าเธอ

“อาจต้องให้น้ำแล้วก็คุณตากับคุณยายช่วยดูให้หน่อย เพราะพี่ต้องเข้าเวรคงไม่มีเวลา แต่ถ้าวันไหนไม่ต้องทำงานพี่จะแวะมาหาที่นี่”

“แต่เด็กๆ เขาคงไปวิ่งเล่นบ้านโน้นเหมือนปกติแหละค่ะ” ปวิตราหันมาทำตาเขียวใส่น้องสาว ทันทีที่ปณาลีจบประโยค

“น้ำแล้วก็พ่อกับแม่คงไม่สำคัญพอที่พี่หนึ่งจะเล่าเรื่องไม่สบายใจให้ฟัง พี่หนึ่งจึงตัดสินใจทำเรื่องต่างๆ โดยที่พวกเราไม่มีสิทธิ์ได้รู้เลย แต่แปลกนะคะ ทั้งที่พี่หนึ่งไม่ยอมให้พวกเรารู้เรื่องอะไร แต่พี่หนึ่งกลับโยนภาระเลี้ยงแฝดมาที่เรา ดูมันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไรนะคะ”

“พี่บอกเธอไปแล้วไง ว่าพี่วัธน์ใช้กำลังกับพี่” ปวิตราขึ้นเสียง

“พี่วัธน์แค่ผลักไหล่” ปณาลีไม่ยอมแพ้บ้าง

“แต่พี่ไม่ทนให้สามีทำร้ายหรอกนะ วันนี้แค่ผลักไหล่ วันหน้าเขาจะทำอะไรอีกก็ไม่รู้”

“น้ำเองไม่ชอบใจหรอกนะคะที่มีคนมาทำร้ายพี่สาวของน้ำ แต่ขอถามพี่หนึ่งสักคำว่าสาเหตุที่ทะเลาะกันคือเรื่องอะไร แล้วพี่หนึ่งเคยพยายามจะปรับความเข้าใจกับพี่วัธน์จากต้นเหตุไหมคะ? แล้วการที่พอมีปัญหากันพี่หนึ่งใช้วิธีมาค้างที่บ้านแม่ ไปไหนมาไหนกับอาอู๋ หลีกเลี่ยงพี่วัธน์ตลอดเวลา มันใช่วิธีแก้ปัญหาเสียที่ไหน นานไปมีแต่จะแย่ลง เพราะห่างเหินกันจนยากจะปรับเข้ากันติด” ยิ่งพูดมายิ่งของขึ้น ปณาลีพยายามกดความโกรธในใจลง

“พ่อเป็นห่วงพี่หนึ่งมาก อยากรู้ว่าต้นสายปลายเหตุคืออะไร จะได้ช่วยกันแก้ไข แต่พี่หนึ่งก็เอาแต่ปิดปากเงียบ จนถึงตอนนี้น้ำกับพ่อก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน สิ่งเดียวที่พวกเราทำได้คือการดูแลเด็กๆ ให้ดีที่สุด เพราะเขาไม่ได้รู้เรื่องของผู้ใหญ่เลย มันไม่ยุติธรรมหรอกที่การกระทำของผู้ใหญ่จะสร้างแผลไว้ในใจเด็กตลอดชีวิต

และถ้าพี่หนึ่งตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหันหลังให้ปัญหาแบบนี้ แล้วปล่อยแฝดไว้ที่นี่ พวกเราก็ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ทั้งอิชย์และอัณณ์ก็มีสิทธิ์จะเข้าออกบ้านป้าจุ๋มเหมือนเดิม เพราะทางนั้นเขาก็เป็นย่าเหมือนกัน”

“ระวังเถอะ สนิทสนมกับทางนั้นมากเข้า เขาจะเอาหลานไป” ปณาลีถอนหายใจเฮือก ปวิตราคิดอะไรอยู่ในหัวกันนะ หรือมีอะไรที่เธอยังไม่รู้ ทำไมพี่สาวจึงตัดเยื่อใยกวีวัธน์ได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ หนำซ้ำมารดาและป้าของกวีวัธน์ก็เอ็นดูปวิตรามากนัก ทำไมจึงไม่นึกถึงใจกันบ้าง

“เขาจะเอาไปทำไมกัน เด็กทั้งสองคนเป็นสิทธิ์ของพ่อกับแม่คือพี่หนึ่งกับพี่วัธน์ ตายาย และย่าก็เป็นเพียงผู้ช่วยเลี้ยงดู ใครก็เอาอะไรไปไม่ได้ทั้งนั้น น้ำอยากให้พี่หนึ่งไปตั้งสติแล้วคิดให้ดีๆ เถอะค่ะ ว่าที่ทำอยู่ตอนนี้แน่ใจแล้วว่าทำถูกต้อง” ปณาลีก้าวยาวๆ ออกไปจากบริเวณนั้นทันที รู้ว่าอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยปกติเสียแล้ว โมโหคนเป็นพี่สาวเสียเหลือเกิน

ออกจากบ้านได้ก็คว้ารถขับออกไปทันที เมื่อมาถึงหน้าซอยจึงพยายามกดความกรุ่นโกรธลง หากก็ไม่ได้มากนักจึงตัดสินใจเลี้ยวรถไปยังสถานที่ที่หนึ่งที่เพิ่งเคยมาเพียงหนเดียว แต่หญิงสาวกลับสามารถจำทางได้แม่นยำ ไม่แน่ใจนักว่าเจ้าของสถานที่จะอยู่ที่นั่น แต่อย่างน้อยที่เงียบๆ อากาศดีๆ คงพอทำให้ใจของเธอเย็นลงได้บ้าง
-----------------------------------------------------------------------

สองทุ่มกว่าแล้วเมื่อกวินภพเลี้ยวรถเข้ามายังถนนเส้นเล็กเพื่อมุ่งสู่บ้านหลังอันอบอุ่นของเขา หลังจากเข้าไปตรวจดูบัญชีที่รีสอร์ตเมื่อช่วงบ่าย จากนั้นจึงแวะไปพบมารดาที่บ้าน และตัดสินใจกลับมานอนที่นี่ เงาตะคุ่มๆ ของรถอีกคันที่จอดอยู่หน้าบ้านทำให้เจ้าของบ้านต้องขมวดคิ้ว แวบแรกเกือบจะหยิบปืนพกประจำกายออกมา แต่เขายั้งมือไว้ทันก่อนจะเขม้นมองรถอีกทียามเคลื่อนรถของตัวเองเข้ามาใกล้

หากมีใครคิดมาทำร้ายเขาจริง คงไม่จอดรถไว้หน้าบ้านจนเป็นที่สังเกตง่ายถึงเพียงนี้ แสงจากคืนพระจันทร์เต็มดวงช่วยให้พอเห็นว่ารถคันนั้นมีลักษณะเช่นไร และเขาคุ้นตามันอย่างประหลาด เพียงแต่ไม่แน่ใจเท่านั้นว่าเจ้าของรถคันนั้นจะมาอยู่ที่บ้านเขาในยามวิกาลเช่นนี้

“บอกที่บ้านหรือยัง ป่านนี้คงเป็นห่วงกันแย่” เมื่อปรับสายตาได้แล้ว ชายหนุ่มจึงเห็นร่างบางนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้ ที่เดิมตรงที่เขาพาเธอมาเมื่อวันก่อน เขาหย่อนตัวลงนั่นด้านข้างโดยไม่คิดจะเปิดไฟ แสงนวลของจันทร์แบบนี้ก็ให้ความรู้สึกที่ดีเหมือนกัน

“โทร. ไปบอกพ่อมาแล้วค่ะ”

“กินข้าวหรือยัง?” คนถามเอนกายพิงพนักเก้าอี้

“ยังค่ะ มาตั้งแต่บ่ายๆ”

“นั่งอยู่ตรงนี้ตลอด?”

“จะงัดบ้านก็ล็อกเสียแน่นหนา เลยนั่งๆ เดินๆ อยู่แถวนี้” กวินภพยิ้มมุมปาก ก่อนจะยิ้มกว้างในความมืด เอื้อมมือไปดึงโทรศัพท์ในมือของปณาลีก่อนจะพิมพ์บางสิ่งลงไป

“ทีหลังโทร. หาตามเบอร์นั้น ไม่ต้องลงทุนงัด ขี้เกียจซ่อม” พร้อมกับส่งโทรศัพท์คืนให้เธอ

“พี่หนึ่งเขาจะย้ายไปอยู่บ้านพักที่โรงพยาบาลแล้ว ฝากน้ำกับที่บ้านช่วยดูแลแฝดให้” ปณาลีโพล่งออกมาดื้อๆ ตั้งแต่บ่ายที่ปะทะคารมกับปวิตรา หญิงสาวยังไม่สามารถทำใจให้สงบลงได้เลย หวังว่าการพูดออกมาจะทำให้เธอดีขึ้น

“ไม่พอใจเขาหรือไง?” คนฟังถามออกมาเหมือนไม่รู้สึกใดๆ กับสิ่งที่เธอเพิ่งบอกออกไป

“ใช่ แต่ทำอะไรไม่ได้เลย” กวินภพรู้ว่ายามนี้ปณาลีกำลังกรุ่นโกรธอย่างมาก และเธอกำลังพยายามระงับมันไว้

“ไม่เข้าใจว่าโตๆ กันขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่มีเหตุผล ทำอะไรไม่คิดไตร่ตรองกันบ้าง เอาแต่ตัวเองรอดกันเท่านั้นแล้วโยนภาระให้คนอื่น”

“พี่เองก็พ่อแม่แยกทางกัน และพ่อก็โยนภาระให้แม่เลี้ยงลูกทั้งสามคน เหตุผลของผู้ใหญ่บางทีเราก็ไม่เข้าใจ แม้ว่าวันหนึ่งเราจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม บางทีมันอาจเป็นแค่เหตุผลของคนคนหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งๆ”

“มันคงไม่น่าโกรธเท่าไรหากมันมาสุดทางแล้ว ด้วยความพยายามของทุกฝ่าย แต่เพราะเรื่องนี้มันเพิ่งแค่เริ่มต้น และไม่เคยมีความพยายามในการแก้ปัญหาเลยต่างหากที่ทำให้น้ำอยากจะฆ่าคนอยู่ตอนนี้” กวินภพหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง เวลาที่ปณาลีโกรธน่าขำไม่ใช่เล่น

“เรื่องผัวเมียมันพูดยาก บางครั้งก็โกรธกันจริงๆ บางครั้งแค่น้อยใจ แต่เพราะไม่ง้อกันเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ยังไงคนนอกก็เข้าไปยุ่งลำบาก พี่ไม่เคยถามวัธน์หรอก ส่วนมากรอให้เขาเล่าก่อนเสมอ แต่ครั้งนี้เขาไม่เล่าอะไรเลย เขาทำตัวปกติมาก มีแค่บางครั้งเท่านั้นที่เขาแสดงออกมาให้รู้ว่าเขากำลังมีปัญหา”

“ทางนี้เขาก็ไม่เล่าเหมือนกันค่ะ ทำตัวมีความลับ แรกๆ น้ำไม่ถามเพราะเกรงว่าจะเป็นการละลาบละล้วง แต่พอเห็นเขาไม่พูดไม่จา พ่อกับแม่ก็ไม่รู้ เอาแต่ไปไหนมาไหนกับอาอู๋ น้ำเลยต้องถามบ้าง...” แม้ในแสงสลัวเพราะอาศัยแสงจันทร์ในการพูดคุย แต่ปณาลีก็เห็นว่ากวินภพมองเธอและกำลังยิ้ม ไหนมารดาบอกว่าเขาจริงจัง ไม่ยิ้ม ไม่พูดเล่นอย่างไรเล่า แต่ทำไมเธอเห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามบ่อยเหลือเกิน

“ไม่ต้องยิ้มค่ะ สิ่งเดียวที่น้ำคิดเกี่ยวกับอาอู๋คือ เขาให้ท้าย ตามใจพี่หนึ่งเท่านั้นเอง มากไปกว่านั้น หรืออะไรที่พี่วินกำลังคิด มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกค่ะ” คราวนี้เขาเลิกคิ้ว แต่รอยยิ้มยังไม่จางหาย

“อะไรล่ะที่พี่คิด ไหนบอกให้ฟังหน่อย”

“พี่วินคิดว่าอาอู๋ยุยงให้พี่หนึ่งเลิกกับพี่วัธน์ อย่างร้ายไปกว่านั้นพี่วินกำลังคิดเรื่องชู้สาว” คราวนี้กวินภพหุบยิ้ม ในความสลัวหญิงสาวไม่แน่ใจว่าแววตาของเขาเป็นแบบไหน แต่เดาว่าเขาไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนเมื่อครู่

“แล้วเราคิดว่าพี่คิดผิดไหม?”

“ไม่ทราบค่ะ แต่น้ำไม่มีทางคิดแบบนั้น” คราวนี้เธอได้ยินเสียง ฮึ ในลำคอของเขา ก่อนที่เขาจะเบือนหน้าไปอีกทาง กวินภพกัดกรามจนเป็นสันแนว

“ระหว่างวัธน์กับหนึ่ง ไม่มีใครรู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนระหว่างหนึ่งกับอาของเรานั่นแหละ แต่ผู้หญิงผู้ชายอยู่ด้วยกันสองต่อสองบ่อยๆ แบบนั้น รับประกันอะไรได้เหรอ?”

“มันไม่มีทางเป็นไปได้ ดูอย่างน้ำกับพี่วิน ยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย แล้วเขาสองคนเป็นอาหลานกัน ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้” ปณาลีเถียงกลับมาเสียงดัง แต่ต้องขยับตัวอย่างรวดเร็วเมื่อกวินภพหันกลับมาและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เท้าแขนคร่อมเก้าอี้ที่หญิงสาวกำลังนั่งอยู่

“พี่วิน!” เรียกให้เขารู้ตัว อย่าล้อเล่นกับเธอเช่นนี้

“แน่ใจเหรอว่าไม่เป็นอะไร ถ้าพี่คิดจะทำขึ้นมา”

“พี่วินถอยออกไปนะ” ไม่มีทางหนีเลยเมื่อชายหนุ่มวางมือทั้งสองข้างลงบนที่พักแขนและโน้มตัวลงมาเช่นนี้

“น้ำหมายถึงว่าไม่มีทางคิดอะไรต่อกันแน่ๆ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วก่อนโน้มตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิม ปณาลีเบือนหน้าหนี ยกเข่าชันขึ้น อย่างน้อยมันก็ช่วยกางกั้นการแนบชิดของเนื้อตัวไปได้บ้าง

“ไม่คิดก็ทำได้ อารมณ์พาไปกับความรู้สึกมันคนละอย่างกัน” คนที่เอาแต่เบือนหน้าหนีหันกลับมาทันควัน และนาทีนั้นเองที่ปณาลีพลาด

“...” หญิงสาวมองมันอย่างไม่เชื่อสายตา ริมฝีปากที่แย้มยิ้ม พูดคุยกับเธออยู่เมื่อครู่เพิ่งจะประทับลงบนริมฝีปากอิ่มของเธอ เมื่อตั้งสติได้ก็เหลือบตาขึ้นมองตาคนใจร้าย

“แค่อยากพิสูจน์คำพูดตัวเอง ถึงกับต้องทำกันขนาดนี้เลยเหรอ เสียแรงที่ไว้ใจ” ไม่ใช่กวินภพจะไม่เจ็บ ปณาลีปากจัดใช้ได้ทีเดียว

“อุตส่าห์นึกถึงตอนที่มีเรื่องไม่สบายใจ อุตส่าห์มารอ มาหา แต่พี่วินมันแย่ที่สุด เกลียดขี้หน้าที่สุด!” พูดจบก็ผลักร่างสูงเต็มแรง ก่อนระบายอารมณ์ด้วยการคว้าแจกันดอกไม้บนโต๊ะปาลงพื้นอีกที

“นึกถึงเพราะมีเรื่องไม่สบายใจ หรือมาเพราะอยากสืบความกันแน่” ชายหนุ่มเท้าเอวมองหญิงสาวอาละวาด

“เออ!”

“น้ำ!” กวินภพชักฉุนขาดขึ้นมาจริงๆ

“อย่าหยาบคายนะ ไม่งั้นจะโดน”

“ทีพี่วินยังหยาบคายกับน้ำได้เลย ชักจะเชื่อขึ้นมาแล้วสิว่าพี่วัธน์ลงไม้ลงมือกับพี่หนึ่งจริงๆ” คราวนี้กวินภพโกรธจริง เขากำหมัดแน่น

“อย่าโยงมั่วถ้าไม่รู้อะไร อย่าดีแต่โยนความผิดให้คนอื่น” บอกเสียงต่ำ

“กลับไปบ้านเลยไป๊! ไม่อยากเห็นหน้า เด็กไม่มีเหตุผล” คนโดนไล่ถึงกับตัวสั่น เธอมาหาเขาเพราะมีเรื่องไม่สบายใจ อยากพูด อยากปรับทุกข์ นั่งทนรอทั้งที่ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร แล้วดูเขาทำกับเธอ หนำซ้ำยังไล่เธอเหมือนตัวอะไรสักอย่าง ปณาลีเชิดหน้าสบตาเขา

“ไม่อยากอยู่หรอก ไม่อยากทนพูดกับคนหยาบคายไม่ให้เกียรติคนอื่นอย่างพี่เลยสักนิด” ร่างบางหมุนตัวอย่างรวดเร็วก่อนเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ไม่นานรถยนต์คันเล็กก็แล่นจากไป

กวินภพทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้กับที่ปณาลีนั่งเมื่อครู่ เด็กบ้าอะไรไม่ฟังเอาเสียเลย ในหัวเอาแต่คิดเรื่องของพี่สาวจนไม่ได้ทบทวนสักนิดว่าทำไมเขาจึงทำแบบนั้น ถ้าเธอจะใจเย็นและฟังเขาสักหน่อย มันคงไม่จบแย่ๆ แบบนี้
------------------------------------------------------------

สวัสดีค่ะ ตอนใหม่มาแล้วนะคะ ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจจากตอนที่แล้ว

ใบบัวรัก --- งงวิธีการเล่าเรื่องหรืองงเนื้อหาคะ
คิมหันต์ --- ขอบคุณมากค่ะ อยากให้ผ่านเหมือนกัน
konhin --- รอดูต่อไปค่ะ ใบ้ว่าจะแย่ไปอีก
ribbin --- พยายามจะเล่าเรื่องอยู่ค่ะ ไม่รู้ว่าจะโอเคมั้ย คืออยากลองเขียนแนวนี้ดู แบบอึนๆ ไม่เปิดทั้งหมด
Zephyr --- ไม่ได้เมาอะค่ะ ตอนนี้แพลมมานิดนึงว่าไม่ได้ลงมือรุนแรงอะไร แต่ยัยหนึ่งดราม่าเอง
RdoucleC --- ขอบคุณจ้า

เจอกันตอนหน้านะคะ




น้ำแอปเปิ้ล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ย. 2557, 19:36:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ย. 2557, 19:36:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 2144





<< ---- (2) ----   ---- (4) ---- >>
kaelek 29 พ.ย. 2557, 20:04:38 น.
แรงทั้งคู่จริงๆ แล้วจะรักกันตอนไหนเนี่ย.. จะหวานให้ดูมั้ยน้าาา


ribbin 29 พ.ย. 2557, 20:07:05 น.
กรี๊ด ว่าแล้วว่าพี่วินต้องชอบหนูน้ำแน่ๆ
รอลุ้นค่ะว่าอะไรเป็นปัญหาที่แท้จริง


Jiab 29 พ.ย. 2557, 23:58:00 น.
เครียดเรื่องพี่สาวหนูน้ำอ่ะ
น่าสงสัยอาหลานคู่นี้จริง ๆ


konhin 30 พ.ย. 2557, 04:34:07 น.
แรงจริงๆคู่นี้ คู่โน้นเย็นเป็นน้ำแข็งขั้วโลกใส่กัน คู่นี้เป็นน้ำมันกับไฟ จุดติดปุ๊บไหม้ปั้บ

สงสัยเพื่อนผู้หวังดี(ประสงค์ร้าย)จริงๆ อยากจะฮุบร้านหรือไง?


Pat 30 พ.ย. 2557, 08:17:46 น.
อึมครึมจริงๆ


Zephyr 30 พ.ย. 2557, 16:37:42 น.
อาหลานนั่นก็ประหลาดจริงๆ
ไม่มนคู่นั้นละ สนพี่วินกะน้ำว่าจะรักกันยังไงหนิ


goldensun 3 ธ.ค. 2557, 19:57:44 น.
อึดอัดไปกับน้ำซะจริง ปัญหาที่ไม่รู้สาเหตุ พาลเอายุ่งไปด้วย
แล้วพี่วินทำแบบนั้น ทั้งที่รู้ว่าน้ำอารมณ์ร้อน ยังจะว่าน้ำไม่รู้จักฟังซะอีก
พี่วินล่ะ คิดอะไรอยู่ สงสารน้ำ หวังมาพึ่งแท้ๆ ทั้งที่โมโหกลับไปทุกคร้ง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account