แผนลวงรัก
การปรากฏตัวของวราลี หญิงสาวสวยปริศนาที่บังเอิญมีใบหน้าละม้ายคล้ายหญิงคนรักที่ตายจากไป หล่อนมาพร้อมคำถามที่เสียดแทงหัวใจ อชิระ และกระตุ้นเตือนให้เขาต้องหวนระลึกถึงการตายของแฟนสาว ในขณะที ดนวัต อดีตเพื่อนรักก้าวกลับเข้ามาในชีวิต อชิระจึงคิดแผนการทวงคืนความแค้นในอดีต โดยใช้วราลีเป็นเครื่องมือ
Tags: #ดราม่า #ฆาตกรรม #สืบสวน #แก้แค้น

ตอน: ตอนที่1 รอยแค้น

ตอนที่ 1

เธอก้าวเข้ามาในชีวิตเขาเมื่อหลายเดือนก่อน

หญิงสาวสวย งามสง่า ดวงตากลมสุกสกาว ริมฝีปากอิ่มหยัก เส้นผมยาวสยายถึงกลางหลัง ดำสนิทเหมือนสีของรัตติกาล ครั้นเมื่อเธอขยับยิ้มพรายคล้ายแสงไฟส่องสว่างยามเมื่อทุกอย่างมืดดับ เสียงหัวเราะขันของเธอก้องกังวานเฉกเช่นเดียวกับเสียงของระฆัง

อชิระไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงที่เพียบพร้อมเช่นนั้น จะยอมทิ้งอิสระเพื่อเหตุผลนี้

“มาอีกแล้วหรือ ไล่เธอออกไปสิ”

“ฉันให้สาวใช้ไล่แล้วไล่อีกค่ะ คุณกวิน แต่ว่าเธอตื๊อเหลือเกิน มาที่นี่ทุกวัน ฉันก็กลัวว่าสักวันคุณอชิระจะมาเห็น”

“ก็ถ้าคุณเค้ารู้ว่าเรื่องแค่นี้คุณกับผมยังจัดการกันเองไม่ได้ คงได้หางานใหม่กันทั้งคู่นั้นแหละ”

“งั้นฉันจะออกไปจัดการเองค่ะ”

“ทำให้เธอไม่ต้องโผล่มาที่นี่อีกนะ”

กวิน หนุ่มร่างสูงวัยใกล้สามสิบ ลูกน้องคนสนิทที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่เจ้านายหนุ่มอย่างอชิระมานานหลายปีจนเป็นอันรู้นิสัยใจคอ รวมถึงอารมณ์ที่ปรวนแปรไม่มั่นคงของอชิระ รู้ดีว่าหากมีเรื่องน่ารำคาญมากวนใจ เขาจะหงุดหงิดและอารมณ์เสียใส่มากแค่ไหน ดังนั้นจึงไล่หัวหน้าแม่บ้านวัยไล่เลี่ยกันให้ออกไปจัดการก่อนที่คนซึ่งอยู่บนห้องนอนส่วนตัวจะลงมาพบเข้า
“มีเรื่องอะไรกัน”

ทว่าเสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้กวินสะดุ้งไหว ก่อนหันไปมองเจ้าของร่างสูงโปร่ง อกผ่ายไหล่ผึงแน่นตึงในเชิ๊ตสีขาว กลัดกระดุมแค่ถึงกลางอก เผยให้เห็นผิวขาวจัดซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์นั้น

อชิระก้าวอาดๆลงมาตามขั้นบันไดทรงโค้งที่ทอดลงสู่พื้นหินอ่อนสีสว่างของบ้าน หรือจะเรียกให้ถูกว่าคฤหาสน์ เพราะด้วยเนื้อที่กว่าร้อยตารางวา โอบล้อมรอบคฤหาสน์สีขาวที่กลับโดดเด่นด้วยเครื่องประดับสีทองทั้งหลัง ทุกตารางนิ้วของพื้นชั้นล่างสร้างจากหินอ่อนขัดมันวาววับ ส่วนผนังของบ้านถูกตกแต่งด้วยภาพวาดน้ำมันของจิตกรเอก และประดับประดาโถงกลางของคฤหาสน์นั้นด้วยรูปปั้นแกะสลักเนื้อดี โดดเด่นท่ามกลางเครื่องเรือนมีราคาและของเก่าแก่ที่ไม่อาจตีค่าได้ เหนือจากพื้นขึ้นไปหลายฟุตคือเพดานครึ่งทรงกลมที่ห้อยโคมไฟระย้าเรือนใหญ่ เมื่อขึ้นไปตามบันไดโค้งสีทองอร้าอร่ามจะพบซุ้มประตูทรงโค้งที่เชื่อมไปยังห้องต่างๆที่เว้นระยะห่างจากกัน เดินไล่ไปเรื่อยๆผ่านผนังสีขาวสลับทองเป็นทรงกลม ก่อนจะมาบรรจบกันอีกครั้งที่หัวบันได รูปแบบการสร้างราวกับพิพิธภัณท์ขนาดย่อม

ทุกอย่างยังดูใหม่ เอี่ยมอ่อง และไม่บุบสลายหรือคร่ำครึ ทั้งที่คฤหาสน์หลังนี้มีอายุยาวนานหลายสิบปี เป็นมรดกตกทอดที่บิดาทิ้งไว้ให้ก่อนจะลาโลกไปเมื่อหลายปีก่อน ภายหลังอชิระจึงได้ทำการตกแต่งภายในใหม่ด้วยวงเงินหลายสิบล้าน หวังไว้ว่าจะทำให้แล้วเสร็จก่อนพิธีสมรสระหว่างเขากับหญิงคนรักจะได้เริ่ม

เขาเตรียมการไว้สำหรับเป็นเรือนหอ

ทว่าทุกอย่างกลับสูญสลายหายไปราวกับม่านหมอก ครอบครัวในฝันของชายหนุ่มพังลงเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้า

“ทำไมลงมาไวนักละครับ คุณอชิ อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่างานเลี้ยงจะเริ่ม ผมคุณคิดว่าคุณจะนอนพักผ่อนให้เต็มอิ่ม”

“จะให้นอนสันหลังยาวทั้งวันหรือไง” อชิระเอ่ยขัด เดินผ่านหน้าคนตัวเล็กกว่าไปที่ซุ้มประตูโค้งมนซึ่งเชื่อมทางเดินไปสู่ส่วนรับรองที่อยู่ถัดจากโถงส่วนกลาง ภายในนั้นตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์สีทึบ โคมระย้าทำจากคริสตัลสี ส่องแสงสลางสลัวให้บรรยากาศคล้ายบาร์เหล้า อีกทั้งมีตู้ติดผนังสร้างจากวัสดุชั้นดีซึ่งเป็นที่ไว้สำหรับเก็บไวน์หายากและสุราจากต่างประเทศ ไม่ไกลจากบาร์นั้นคือโซฟาหนังแท้ราคาแพงระยับซึ่งล้อมโฮมเธียเตอร์ขนาดใหญ่ อชิระหย่อนตัวลงบนที่นั่งนั้น พาดขายาวๆวางบนโซฟา ก่อนหันหาคู่สนทนาที่เดินตามมารับใช้ถึงที่

“ว่ายังไง ฉันถามว่ามีเรื่องอะไรกัน”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“ไม่มีแล้วปัทมาไปไหน” เขาถาม มองหาหัวหน้าแม่บ้านวัยอ่อนกว่าตนไม่มากนัก ปกติต้องรีบกุลีกุจอหาน้ำท่ามาให้ดื่มล้างคอ “รีบๆบอกมาก่อนที่ฉันจะโมโหดีกว่า ให้ปัทมาออกไปไล่ใคร มีใครมาวุ่นวายที่นี่อย่างนั้นรึ”
เพียงเท่านั้นเป็นอันเข้าใจได้ว่าอชิระได้ยินทุกบทสนทนาระหว่างเขากับปัทมา ดังนั้นกวินจึงไม่บ่ายเบี่ยงให้มากความ รีบชี้แจงความเป็นไปโดยด่วน
“ช่วงที่คุณไปดูงานต่างประเทศ คุณปัทบอกว่ามีผู้หญิงแปลกหน้ามาขอพบคุณติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันติด”
“ผู้หญิงแปลกหน้างั้นหรือ” อชิระทวนคำ เลิกคิ้วเข้มขึ้น “แล้วมาทำไม ถ้าเรื่องงานก็ต้องไปที่บริษัทฉันสิ”
“ครับ ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่ได้ไปขอพบคุณที่นั่น แต่มาดักรอที่นี่หลายวันแล้ว ปัทมาให้สาวใช้ถามแล้วว่าเธอมาพบคุณด้วยธุระอะไร แต่เธอไม่บอกผ่าน บอกแค่ว่าอยากจะเจอคุณน่ะครับ”
“อย่าให้เรื่องพวกนี้มากวนใจฉัน จัดการให้เด็ดขาด”
ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ ก่อนคว้าเอาหนังสือพิมพ์ธุรกิจขึ้นมาเปิดอ่าน เขาไล่สายตามองพาดหัวข่าวสำคัญ และเหลือบแลไปเห็นใบหน้าของตนพร้อมบทสัมภาษณ์ที่นักข่าวเขียนยกยอปอปั้นลงไปในนั้น

‘เปิดใจหนุ่มนักธุรกิจ อชิระ มหัสทรัพย์ ชายผู้มากความสามารถที่เป็นทั้งผู้บริหารและเป็นผู้พัฒนาระบบซอฟแวร์จนหุ้นในบริษัทพุ่งสูงสุดในรอบหลายปี ซีอีโอหนุ่มที่กำลังถูกจับตามองว่าจะสร้างผลกำไรในไตรมาสสุดท้ายนี้เกินพันล้านและคว้าอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในประเทศได้หรือไม่ ฯลฯ’

เขาละสายตาจากบทสัมภาษณ์ที่แสนกระด้างของตัวเอง หันไปสั่งบรั่นดีซึ่งถูกเก็บไว้ในตู้ซึ่งรักษาอุณหภูมิสำหรับสิ่งนี้โดยเฉพาะ ในนั้นมีตู้กระจกล้อมรอบ เครื่องดื่มชั้นดีจากประเทศต่างๆถูกนำไปเก็บรักษาราวของสะสมหายากนับร้อยขวด

“จะดื่มเลยหรือครับ” กวินเอ่ยถามอย่างไม่เต็มเสียงนัก ด้วยกลัวว่าการสอดเข้าไปถามจะทำให้เจ้านายหนุ่มอารมณ์เสียได้อีก “เดี๋ยวตอนสองทุ่มคุณต้องไปงานเลี้ยงต้อนรับที่คฤหาสน์ของพวกเดชบดินทร์ เมาเสียแต่ตอนนี้ กระผมเกรงว่า”

“เงียบเถอะ” เขาสั่ง แม้สีหน้าจะยังสงบดุจกระจกใส ทว่าในแววตานั้นกลับไหวระริก “เพราะต้องไปเจอพวกมัน ฉันถึงต้องดื่ม”
กวินทำได้เพียงกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ก่อนค่อยก้าวถอยออกไปตามคำสั่ง แม้ใจจะอยากคัดค้านและปลอบประโลมหัวใจที่บอบช้ำของเจ้านายหนุ่ม แต่ลูกน้องอย่างเขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อสิ่งที่อชิระทนมาตลอดหลายปีนั้น เขาไม่เคยคิดจะสลัดมันทิ้งไป

ซ้ำยังเฝ้ารอวันทวงคืนความรวดร้าวที่ถูกหยิบยื่นให้

อชิระนั่งหน้านิ่ง ทอดสายตามองไปยังความว่างเปล่า แต่ในเส้นสมองกลับเต้นตุบๆ เขาไม่เคยหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา นั่นเพราะตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาเขาพบคนมาแล้วทุกประเภททุกรูปแบบ เขากำพร้าแม่มาตั้งแต่เด็กมีเพียงพ่อเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต ชายที่ทำงานหนักในแวดวงธุรกิจ ประสบปัญหาการถูกทรยศหักหลังจากหุ้นส่วนมาตลอดชีวิตวัยทำงาน กว่าจะแกร่งกล้ามั่นคงจนขยายอาณาเขตความมั่นคงภายใต้นามสกุล มหัสทรัพย์ พ่อผู้อ่อนล้าได้ทิ้งสมบัติมหาศาลไว้ให้ก่อนจบชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง

ชายหนุ่มผ่านชีวิตวัยเด็กและเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่มด้วยความอ้างว้างมาโดยตลอด แม้กระทั่งช่วงวินาทีนี้ เขายังถูกผลักให้จมดิ่งสู่ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไป

อชิระหลับตาลงอย่างไม่อยากคิดถึง เขาเอนหลังพิงพนัก วางหลังคอลงบนนั้นในขณะที่ดวงตาพริ้มหลับ จมจ่อมลงสู่ห้วงแห่งอดีต

เสียงหัวเราะนั้นดังขึ้นในโสตประสาท เสียงใสกังวานราวระฆัง ดวงตาที่ยิบหยีเป็นเส้นโค้งของคนที่กำลังหัวเราะเริงร่ามาทางเขาช่างสดใสยิ่งนัก

ราวดอกไม้บาน ราวแสงสว่างของพระอาทิตย์

“คุณคะ…คุณอชิระ”

ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้ง ใบหน้าเต็มอิ่มที่อ่อนเยาว์ของแม่บ้านสาวกำลังขยับยิ้มแห้งๆ และเอ่ยเรียกเขาอย่างไม่สบายใจนัก

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ต้องการให้ดิฉันไปเอายามาให้หรือเปล่า”

“ไม่ต้อง ฉันแค่พักสายตา”

“แต่ว่า”

“ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

อชิระบอกปัด ทั้งที่ในสมองเต้นตุบๆอย่างกับจะระเบิดได้ เขายกสองมือวางทาบลงบนใบหน้า ขยี้เบาๆราวจะเรียกความสดชื่นให้กลับมา แต่ก็ไร้ผลอันใด

เป็นจังหวะเดียวกับที่สุราสีอำพันถูกนำมาเสริฟ กวินทำหน้าที่รินเครื่องดื่มให้คนแก่กว่าที่นั่งรอโดยไม่ปริปากพูดอะไร ในขณะที่ปัทมาได้แต่แอบส่ายหน้า ทั้งเป็นห่วง กังวล และเห็นใจ

อชิระรับแก้วไปถือ เพียงรวดเดียวเขาก็ดื่มจนหมดแก้ว ราวกับสาดน้ำเปล่าเข้าปาก เขาส่งแก้วคืนให้กวินทำหน้าที่ ขณะที่เจ้าตัวไม่รอช้า รีบจัดการให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“รินแค่นิดหน่อยก็พอนะ อย่าให้เมามาก” ปัทมาทำปากขมุบขมิบบอก ขณะที่กวินพยักหน้ารับอย่างเป็นอันเข้าใจกันดีว่าควรให้ลิมิตเจ้านายได้แค่ไหน

แม้จะไร้คำพูดคุยสรวลเสเฮฮา แต่เหมือนว่ารสสุราจะนำพาอชิระไปสู่ความสุขสมใจบางอย่าง ใบหน้าที่เริ่มก่ำแดงกับดวงตาหยาดเยิ้มระบายอยู่บนดวงหน้าที่เคยเคร่งขรึมนั้น เขาค่อยๆกระตุกยิ้มบางบนมุมปาก เมื่อนึกถึงเสียงเรียกอันแสนหวานจาก ‘มธุริน’


“อชิ คุณเมาแล้วนะคะ อย่าดื่มมากเลยเดี๋ยวลุกไปทำงานไม่ไหวหรอก” ใบหน้าสวยหวานบึ้งตึงเล็กน้อยเมื่อคนถูกห้ามไม่ยอมหยุดฟัง ซ้ำยังหันมายิ้มกริ่มใส่

“ผมไม่เมาสักหน่อย”

“คุณนั่นแหละ เมา หากขับรถกลับไม่ไหว รินจะทิ้งคุณไว้ที่นี่นะคะ”

“คุณไม่ทิ้งผมหรอก” เขาบอก สวมกอดหลวมๆที่เอวของหญิงสาวข้างกาย “คุณรักผมจะตาย ใช่มั้ยริน คุณรักผมใช่มั้ย”

“ไม่รักจะยอมแต่งงานด้วยหรือคะ คุณนี่ถามอะไรก็ไม่รู้” หญิงสาวตอบด้วยใบหน้าเขิน ก่อนตีแปะลงไปบนท่อนแขนแข็งแรงที่โอบรัดรอบตัวเธอ

“ผมรักคุณนะ” เขายังคงพร่ำบอก แม้จะเมาจนตาปรือ แต่ก็ยังประคองตัวเองไหว “คุณคือลมหายใจ คือชีวิตของผม ขาดคุณไปผมคงอยู่ไม่ได้ ผมต้องตายแน่ๆ”

“คุณอชิ… คุณอชิระ” เสียงเรียกนั้นส่งผลให้ชายหนุ่มงัวเงียลืมตาตื่นขึ้นมา เขามองออกไปยังด้านนอกที่เย็นย่ำ แสงสีส้มหม่นฉาบไล้ไปทั่วแผ่นฟ้า บอกเวลาว่าล่วงเลยไปมากแค่ไหน

เขาดื่มตั้งแต่บ่าย แล้วก็ฟุบหลับไปเจอกับฝันหวานนั้น

ยิ่งตอกย้ำให้ภาพในอดีตฉายชัด แม้มันจะผ่านมานานหลายปี แต่ราวกับเรื่องทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า
อชิระทำได้เพียงซ่อนความเจ็บปวดรวดร้าวไว้ในใจที่ไหวระริก ภายใต้ดวงหน้าเข้มที่สงบนิ่ง เขากลับจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้แม่นยำ ทุกการกระทำ ทุกขั้นตอน

“หากคุณไม่ไหว ผมจะโทรไปยกเลิกงานเลี้ยงคืนนี้ คุณพักผ่อนเถอะนะครับ”

กวินบอกพร้อมหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา วางนิ้วมือลงบนนั้น แต่อชิระยกมือขึ้นห้าม ส่ายหัวเล็กน้อยเป็นเชิงปฏิเสธ

“ฉันจะขึ้นไปเตรียมตัว แกเองก็รีบไปจัดแจงตัวเองให้พร้อมเถอะ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน” เขาบอก แล้วค่อยขยับลุกขึ้น ทั้งที่ระดับแอลกอฮอล์ยังมีอยู่ในร่างกายพอสมควร และนั่นส่งผลให้เขาเซเบาๆ

แม้จะเป็นห่วงเจ้านายมากแค่ไหน แต่กวินรู้ดีว่าพูดไปก็คงเปล่าประโยชน์ คนดื้อรั้นอย่างอชิระนอกจากจะไม่ฟังแล้วยังจะอาละวาดใส่เสียด้วย ดังนั้นเขาจึงแค่เบี่ยงตัวหลบให้อชิระเดินข้ามห้อง โซซัดโซเซไปที่เชิงบันได ก่อนก้าวขยับเดินตามอย่างคอยระแวดระวังหลังให้



เสียงดนตรีคลาสสิคจากไวโอลินและเชลโลถูกบรรเลงขับกล่อมคนในงานด้วยนักดนตรีมืออาชีพหลายชีวิต ซึ่งต่างบรรเลงเพลงหวานซึ้งชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลอยู่บนเวทียกพื้นสูงใจกลางลานเอนกประสงค์ของสถานที่จัดงาน ซึ่งเป็นอาณาบริเวณสวนสนามที่รายล้อมด้วยพฤกษชาติและพันธ์ไม้นานาชนิด รอบๆนั้นคือบ่อน้ำพุที่กำลังพ่นน้ำออกมาเป็นสาย และมีแสงสีสลับเปลี่ยนละลานตา อันเป็นส่วนประกอบหนึ่งของเจ้าบ้านตระกูลเดชบดินทร์ นามสกุลชื่อดังของวงการธุรกิจโทรคมนาคมในเมืองไทย หนึ่งในผู้ที่ได้รับสัมปทานคลื่นความถี่และเป็นหุ้นส่วนสำคัญของธุรกิจอีกหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ สยามไอทีอินเตอร์เนชั่น บริษัทคู่ค้าที่มีงานสัมพันธ์กัน และมีอชิระ เป็นผู้ก่อตั้งรวมถึงควบตำแหน่งประธานบริหารผู้ทำหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่

รถยุโรปราคาแพงระยับสีดำสนิทกำลังแล่นผ่านประตูเหล็กบานโค้งขนาดมหึมาของคฤหาสน์หลังดังกล่าวอันเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่จัดงาน ก่อนแล่นผ่านสนามหญ้าที่มีอาณาเขตกว้างขวาง ผ่านกลุ่มไม้สวนที่ได้รับการตัดแต่งอย่างพิถีพิถัน กระทั่งตัวรถแล่นมาจอดในบริเวณที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับยวดยานพาหนะของผู้มาร่วมงาน จากคะเนด้วยสายตา นับว่ามีรถหรูราคาแพงไม่น้อยจากบรรดาแขกผู้มีเกียตริที่มาร่วมงานเปิดตัวทายาทอันดับหนึ่งของตระกูล ที่กำลังจะขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในคณะบอร์ดผู้บริหารในฐานะทายาทของเดชบดินทร์

รถจอดสนิทที่บริเวณหน้างาน ในขณะที่บริกรหนุ่มแต่งตัวดีรีบขยับมาทำหน้าที่บริการแขกคนสำคัญ บานประตูถูกเปิดออกอย่างนุ่มนวล ก่อนที่เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำที่ด้านหน้ากลัดกระดุมแถวเดียว เน้นให้เห็นร่างกายที่สมส่วนงามสง่า ภายในสวมเชิ๊ตสีขาวสะอาดตา บนปกเสื้อผูกหูกระต่ายสีดำด้านดูเข้ากันอย่างเหมาะสมกับเจ้าของร่างสูง ที่กำลังก้าวอาดๆเข้าไปในบริเวณงาน

แม้ในใจจะคุกรุ่นไปด้วยแรงแห่งอารมณ์ที่ไม่เคยมอดดับ ทว่าด้วยผลประโยชน์และบรรดาแขกเหรื่อมากหน้าหลายตาผู้เป็นบุคคลสำคัญที่มาร่วมงาน ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกันในทางธุรกิจ ทำให้อชิระข่มความรุ่มร้อนในอกให้บางลง ขณะสาวเท้าก้าวตรงไปยังคนกลุ่มนั้น เจ้าของงานที่ยืนยิ้มละไมแก่แขกเหรื่อ

ภาวิณีกำลังคล้องแขนกับสามีผู้สูงวัย ปรเมศ เดชบดินทร์ แม้วัยจะล่วงเลยไปมากประกอบกับอาการหลงๆลืมๆ แต่ก็ยังแข็งแรงพอจะลงมาพบปะคนสำคัญที่เชื้อเชิญมา รวมไปถึงกล่าวเปิดตัวและฝากฝังบุตรชายทายาทเพียงคนเดียวของเขา
อชิระฝืนยิ้มเมื่อสองสามีภรรยารีบก้าวผ่านคนอื่นๆมาทักทาย ปรเมศยื่นมือมาเพื่อจับกระชับกับชายหนุ่ม เขายิ้ม แล้วจับมือแห่งเหี่ยวนั้น ก่อนจะประสานสายตากับธีทัต หลานชายของภาวิณีที่รับบทบาทสำคัญในบริษัทไม่แพ้กัน

“ยินดีที่คุณมาร่วมงานของเรานะ คุณอชิระ” ปรเมศบอกเสียงแหบแห้ง กระนั้นก็ยังแย้มยิ้มอย่างมีไมตรีจิต

“ครับ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะปฏิเสธการมาที่นี่ไม่ใช่หรือครับ” เขาตอบกลับ ทำรอยยิ้มของธีทัตและภาวินีสะดุดลง ตรงกันข้ามที่ประมุขของบ้านไม่ได้ติดใจคิดถึงความหมายของคำพูดนั้น

“คุณเป็นคนเก่ง ผมหวังว่าลูกชายของเราจะได้รับคำแนะนำจากคุณบ้าง ถ้าไม่ใช่ในฐานะคู่หูทางธุรกิจ ก็หวังว่าจะในฐานะที่พวกคุณเป็นเพื่อนรักกัน”

“แน่นอนครับ” อชิระยกยิ้ม แต่สีหน้ากลับนิ่ง “แล้วเขาอยู่ที่ไหนละครับ เจ้าของงานของเรา” เขาถามต่อ ขณะเหลือบตามอง แล้วพบว่าคนที่ถูกถามถึงกำลังเดินตีหน้าเครียดตรงดิ่งมาทางพวกเขา

ชยพล เดชบดินทร์ ชายหนุ่มร่างผอม สูง ผิวขาวจัด ดวงตาเรียวสีน้ำตาลเป็นประกายกล้า และริมฝีปากหยักสีระเรื่อ แม้มองเพียงผิวเผินก็เข้าใจได้ว่าเขามีสายเลือดของคนจีนเจืออยู่อย่างแน่นอน

คิ้วคมเข้มของชายหนุ่มวัยเดียวกันเลิกขึ้นสูงขณะมองประสานสายตากับเขา ชยพลคาดไม่ถึงว่าอชิระจะกล้ามาที่นี่ในวันนี้ ทั้งที่เรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองคนนั้น บาดหมางรุนแรงเกินกว่าจะต่อกันติด

อชิระก็คิดเช่นเดียวไม่ต่างกัน แม้มิตรสหายทั้งสองที่เคยร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาก่อนในฐานะเพื่อนสนิทจะสะบั้นลงเมื่อสามปีก่อน แต่เพราะความที่เคยคุ้นกันมานาน ทำให้เพียงแค่มองหน้า พวกเขาก็ราวกับจะอ่านใจฝ่ายตรงข้ามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สีหน้าและแววตาที่ต่างสะท้อนถึงกันคู่นั้น บ่งบอกชัดว่าพวกเขายังจำชัด ต่างไม่มีใครหลงลืมเรื่องราวในอดีต

หากแต่อชิระกลับควบคุมอารมณ์บนสีหน้าได้ดีกว่า เพราะเพียงครู่เดียวริมฝีปากของชยพลก็เหยียดเป็นเส้นตรง ก่อนหัวคิ้วจะขยับเข้าหากัน

เขาอ้าปาก ไม่ลังเลที่จะพ่นคำพูดกัดกร่อนหัวใจคนตรงข้าม ทว่าธีทัตที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักรีบขยับไปวางมือบนไหล่กว้าง เป็นเชิงปรามญาติผู้น้องให้สงบปาก ก่อนที่งานจะล่มเพราะอารมณ์ของเขา

ชยพลจึงทำได้เพียงกล้ำกลืนถ้อยคำแสลงลงคอ ในขณะที่อชิระแค่ส่งเสียงหึเบาๆ ยังคงรักษาอาการให้สงบ ขณะเปิดปากบอกเจ้าของงานว่า

“ยินดีที่นายกลับมา หวังว่าเราจะแสร้งลืมเรื่องทุกอย่าง แล้วร่วมงานกันได้ ในฐานะนักธุรกิจ”

ชยพลขมวดคิ้วหนักขึ้น เขาเบือนหน้าไปทางอื่น ในขณะที่ธีทัตต้องสะกิดอีกครั้ง หากแต่ชายหนุ่มไม่สนใจ เดือดร้อนถึงภาวิณีผู้เป็นมารดา

“ตาพล” เรียกเพียงเบาๆก็ช่วยให้ชยพลคืนสีหน้าได้บ้าง แม้จะไม่อยาก แต่เขาก็จำต้องฝืนใจ

“แน่นอน ฉันมาเพราะต้องสานต่อธุรกิจ มีอีกหลายเรื่องในวงการนี้ที่ฉันไม่รู้ หวังว่านายจะช่วยขี้แนะฉันได้ รวมไปถึงเรื่องเสแสร้งแกล้งทำ นายถนัดนักนี่”

“ใช่ ฉันถนัด” อชิระไม่ปฏิเสธ ตอบกลับด้วยสีหน้าและแววตาที่อวดดีไม่แพ้คนฟัง “มนุษย์เราต้องรู้จักยับยั้งอารมณ์ ต่อให้ต้องเสแสร้ง แต่หากมันเป็นการซ่อนสันดานดิบเยี่ยงเดรัจฉาน มันก็สมควรต้องควบคุมไว้ภายใต้หน้ากากของความเสแสร้งไม่ใช่เหรอ”

“ไอ้อชิ!” ชยพลคำรามคำสบถในลำคอ กำหมัดแน่น

“ทำไม มีตรงถ้อยคำไหนที่แทงใจนายงั้นหรือ” อชิระแสร้งยกยิ้ม ทว่าดวงตากลับฉายแววแห่งความเกลียดชัง

“เอ่อ เดี๋ยวเราไปลองเครื่องดื่มตรงนั้นหน่อยนะคะ คุณอชิ”

ภาวิณีรีบแก้สถานการณ์ ปล่อยมือที่คล้องแขนสามีแล้วเดินมาเคียงข้างอชิระ หล่อนยิ้มหวาน ผายมือไปทางลานน้ำพุ ส่งผลให้อชิระยอมปล่อยชยพลไว้ เขาก้าวเดินไปกับภาวิณี ในขณะที่หล่อนรีบหันมาพยักพเยิดให้หลานชายอย่างธีทัตทำหน้าที่ประคองปรเมศ แล้วก้าวตามไปด้วยกัน

ชยพลทำได้เพียงยืนมองตามหลัง ข่มอารมณ์เดือดดาลซึ่งพลุ่งพล่านเต็มที บริกรหนุ่มเดินยกถาดเครื่องดื่มผ่านหน้า เขาเรียกไว้แล้วรับแก้วมา ก่อนจะยกขึ้นดื่ม

เพียงครู่เดียวก็เหลือแต่แก้วเปล่า ชยพลยังไม่อาจสงบลงได้ เขาขบกราม สบถถ้อยคำคับแค้นออกมา

“สารเลว! คนเลือดเย็นอย่างแกไม่สมควรมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ”




เสียงเพลงที่บรรเลงขับขานไม่อาจซึมแทรกเข้าไปปลอบประโลมหัวใจที่รวดร้าวทุกขณะของชายหนุ่ม อชิระรับเครื่องดื่มมาลองลิ้มชิมรสอยู่หลายต่อหลายแก้วจนกวินนึกเป็นกังวล เหตุเพราะสีหน้าที่เคยเรียบเฉยของเจ้านายหนุ่มเริ่มตึงเขม็ง คิ้วเข้มกระตุกเข้าหากันถี่กระชั้นขึ้น ตามแรงอารมณ์ที่ปะทุด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ และด้วยแรงขับจากห้วงแห่งความคิด อีกทั้งของเก่าที่ดื่มเข้าไปเมื่อช่วงบ่ายก็ยังไม่ทันเจือจาง อชิระก็กระหน่ำดื่มเข้าไปอีกไม่ยั้งหลายต่อหลายแก้ว

“ฉันอยากจะฆ่ามัน!” จู่ๆเขาก็สบถ สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไปจากเดิม “ฆ่ามันเหมือนกับที่มันทำ… เหมือนกับที่มันฆ่าเธอทั้งเป็น”

“หยุดดื่มเถอะครับ คุณอชิ คุณเมาแล้วนะครับ”

“ฉันไม่ได้เมา”

“โธ่” กวินโอดเสียงสูง ไม่อาจซ่อนสีหน้าและน้ำเสียงแห่งความกังวล “ไม่เมาได้อย่างไรครับ ดื่มเข้าไปมากมายเสียขนาดนั้น”

“ก็บอกว่าไม่เมาไงละวะ!” อชิระขึ้นเสียง ตวัดสายตาดุดันมาที่ลูกน้องคนสนิท ทำเอากวินหัวหด ก่อนลดเสียงพูดลงมา

“เรากลับกันก่อนดีมั้ยครับ คุณอชิ ประเดี๋ยวผมจะไปเอารถ”

“ไม่!” เขาตอบ ไม่มีลังเลแม้แต่นิด

“จะอยู่ต่อไปทำไมละครับ ไปหาร้านนั่งดื่มต่อกันดีกว่า เดี๋ยววันนี้ผมจะเลี้ยงคุณเอง” กวินพยายามเต็มที่ที่จะโน้มน้าวเจ้านาย แต่อชิระยังยืนกรานกระต่ายขาเดียวว่า

“ฉันบอกว่าไม่ หูแกหนวกหรือไง! วันนี้ฉันจะไม่กลับไปไหน จนกว่าจะได้ความจริงจากปากไอ้บ้านั่น!”

“โธ่คุณ เรื่องมันผ่านมาตั้งหลายปีแล้วนะครับ แล้วตำรวจก็!”

“ตำรวจมันจะไปรู้อะไรวะ!” ชายหนุ่มหันมาตวาด ดังขนาดที่ทำให้แขกคนอื่นๆเริ่มหันมาให้ความสนใจ

กวินหน้าซีดเผือด ตัวลีบเล็กลงจนไหล่ห่อ กระนั้นก็ยังทันได้คิดหาวิธีพาเจ้านายออกไปจากสถานการณ์ตึงเครียดนี้

“ถ้าคุณอชิอยากเคลียร์ งั้นผมจะพาไปหาคุณชยพลก็ได้”

“แกรู้หรือว่ามันอยู่ตรงไหน”

“ตามผมมาเถอะครับ” ไม่พูดเปล่า แต่ยังโอบประคองอชิระที่เริ่มโซเซออกมา กวินกวักมือเรียกบริกรหนุ่มน้อยคนหนึ่งมาหาเขา ยื่นกุญแจรถส่งให้ขณะกระซิบบอกไปว่า

“ขับรถเป็นมั้ยไอ้หนุ่ม”

“เป็นครับคุณ”

“งั้นช่วยไปเอาเมอร์ซิเดสเบ๊นท์ สีดำที่จอดอยู่ด้านโน้นมาให้ฉันหน่อย บอกยามตรงนั้นนะว่ารถของคุณอชิระ แล้วรีบไปรีบมานะ เข้าใจมั้ย”

“ครับ”

รับกุญแจแล้วก็รีบวิ่งออกไปตามคำสั่ง ในขณะที่กวินต้องกึ่งประคอง กึ่งลากอชิระที่เวลานี้หน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ออกมา

กว่าจะทุลักทุเลผ่านแขกเหรื่อในงานคนอื่นๆมาจนถึงทางเดินเล็กๆที่ทอดยาวระหว่างทางเข้าไปสู่คฤหาสน์กลับประตูรั้วเหล็กหน้าบ้าน กวินก็แหบแฮ่ก เหงื่อชุ่มทั่วทั้งแผ่นหลัง หากเดินออกมาลำพังเขาคงไม่เหนื่อยหอบแบบนี้ แต่เพราะต้องเคี่ยวเข็ญลากเอาคนหัวดื้อที่ไม่ยอมก้าวขาเดินตามดีๆมาด้วยตลอดทาง

“ไหนแกว่าจะพาฉันมาหาไอ้พลไง! แล้วไหน มันอยู่ไหน!” อชิระเริ่มออกลวดลาย ป่ายมือสะเปะสะปะไปทั่วอย่างอยากจะอาละวาด กวินทำได้เพียงพ่นลมหายใจเหนื่อยหน่าย เขารู้ว่าดีว่าอาจต้องถูกทุบสักตุ๊บสองตุ๊บก็คงไม่เป็นไร

“คุณชยพลแกกลับเข้างานไปแล้วมั้งครับ”

“กลับหรือ? แกกลายเป็นคนโป้ปดตั้งแต่เมื่อไหร่” อชิระชี้หน้าด่า จู่ๆก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า “ฉันเกลียดที่สุดคือคำโกหก แกไม่รู้หรือไง!”

“ผม ผมขอโทษครับ…” กวินก้มหน้าอย่างยอมรับผิด และนั่นทำให้อชิระนิ่งชะงัก จู่ๆก็เปลี่ยนสีหน้าสลดลง

“ฉันเจ็บปวดกับคำโกหกมามากพอแล้ว…แกอย่าโกหกฉันเหมือนคนพวกนั้นก็พอ”

“คุณท่านครับ”

อชิระเบือนหน้า รู้สึกถึงบางอย่างที่ล้นทะลักในดวงตา เขาพยายามซ่อนมันไว้ ทว่าในดวงตาที่พร่าเลือนด้วยหยดน้ำ เขาเห็นเงาที่ค่อยๆกระจ่างชัดของบุคคลซึ่งกำลังก้าวเข้ามา

“ไอ้…!” อชิระสบถ ดวงตาเขม่นมองชยพลที่ค่อยๆขยับเท้าเข้ามาใกล้

“แกเมาไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่งเลย” ชยพลเอ่ยปากไม่อ้อมค้อม ในขณะที่คนถูกด่าส่งเสียงหึในลำคอ สีหน้าไม่ข่มซ่อนอารมณ์เช่นเมื่อก่อนหน้า

“แกก็ไม่ต่างจากหมาลอบกัดเหมือนกัน… ไม่สิ แกแย่กว่าหมา เพราะว่าแกไม่มีแม้แต่ความซื่อสัตย์”

คำด่านั้นทำชยพลนิ่งงัน ดวงตาเรียวเล็กมองคนซึ่งสูงกว่าตรงหน้า ในดวงหน้าที่ไม่เปลี่ยนสีนั้น คาดเดาได้ยากว่าเขาคิดและรู้สึกเช่นไร

ต่างจากอชิระที่ระบายความเจ็บแค้นไว้ไม่ปกปิด เขาพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่และสั่งสอนอดีตเพื่อนรักที่เคยทรยศหักหลังไว้อย่างเจ็บแสบจนสุดจะทน

ซึ่งอาการนั้นของเจ้านายทำกวินตีหน้าเครียด เป็นกังวล หากคนทั้งสองแลกหมัดใส่กันจริงๆเป็นไปได้สูงมากว่าคนที่เมาหยำเปจนแทบยืนไม่อยู่อย่างอชิระย่อมเสียเปรียบ อีกทั้งลำพังเขาคนเดียวคงสู้เรี่ยวแรงที่มาจากความคับแค้นในอดีตของคนทั้งสองไม่ได้

“เอ่อ คุณชยพลครับ” กวินเอ่ยปาก อยากจะขอร้องให้คนทั้งสองผละออกจากกันเสีย แต่ชยพลกลับพูดแทรกขึ้น ไม่ได้สนใจสีหน้าเครียดของเขาเลยว่า

“แกคงจะเกลียดฉันมากเลยสินะ อชิ”

อชิระไม่อยากเชื่อหูว่าจะได้ยินคำถามนั้น เขาแค่นหัวเราะ แต่สีหน้าและแววตาเจ็บปวดจนไม่อาจข่มซ่อนมัน

“มากกว่าคำว่าเกลียด ฉันอยากจะฆ่าแกด้วยซ้ำ… แกเป็นคนทำลายมัน ทั้งความไว้วางใจ ความเชื่อใจ และมิตรภาพ แกทำลายทุกอย่าง!” เขาเค้นคำบอกด้วยสีหน้าเจ็บปวด

“ใช่ ฉันเป็นคนทำลายมัน” ชยพลยอมรับความผิดนั้นโดยไม่โต้แย้ง ในแววตาที่หลุบต่ำลงนั้นซ่อนความรวดร้าวไว้จนมองไม่เห็น

“แกทำลายเธอด้วย ชยพล” อชิระกล่าวย้ำออกมาอีกครั้ง ดวงตาพร่าเลือนถูกกลบด้วยหยดน้ำ “ความรักของฉัน ลมหายใจของฉัน…แกพรากมันไปทุกอย่าง เพราะฉะนั้น…ฉันดีใจจริงๆที่วันนี้แกกลับมา” เขาปล่อยให้หยดน้ำร่วงหล่นจากดวงตาที่บัดนี้ฉายแววอาฆาตแทนที่ทุกสิ่ง

“ฉันจะทำให้แกรู้สึกเหมือนกับที่ฉันรู้สึก แกจะต้องตกลงไปในนรกเช่นเดียวกับที่ทำกับฉัน ชยพล”




ฝากติดตามนิยายรักแนวดราม่า ฆาตกรรมเรื่องนี้ด้วยนะคะ
พูดคุยติชมได้เต็มที่เลยจ้า^^

ฝากแฟนเพจศิตาด้วยนะคะ https://www.facebook.com/sitatip



ศิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ธ.ค. 2557, 18:40:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ธ.ค. 2557, 18:51:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 717





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account