ปริศนาในรอยรัก
คำโปรยเรื่อง
“หยุด หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!” เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับแรงกระชากจากด้านหลัง
“โอ๊ย!!!” ปารณีย์ร้องเสียงหลง เมื่อโดนกระชาก ข้อมือเล็กเจ็บเล็กน้อยจากแรงบีบของคนเสียมารยาท เหมือนเจ้าตัวจะรู้ก็ปล่อยมือของปารณีย์ออก
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำตัวเสียมารยาทกับฉันสักที วันนี้คุณเสียมารยาทกับฉันไปสองครั้งแล้วนะคะคุณภูธเนศ” ปารณีย์มองผู้ชายที่เธอคิดว่าไร้มารยาทที่สุด ปารณีย์เดาได้ว่าผู้ชายคนนี้ดูจะไม่ชอบขี้หน้าเธอมากเสียด้วย ดวงตาคมที่มองมามันมีความไม่พอใจส่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปารณีย์ไม่รู้หรอกว่าผู้ชายคนนี้มีปัญหาอะไรกับเธอมาก่อน แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ จะว่าแค่เรื่องห้อง ก็คงไม่ใช่แล้วล่ะ
“ก็ผมเรียกคุณ แล้วคุณไม่หยุด”
“คุณเรียกปุ๊บ ฉันจำเป็นต้องหันปั๊บเลยหรือไง คุณต้องรอสิคะ ไม่อยากเชื่อคุณจะเป็นเจ้านายใครเขาได้ ไม่อยากจะเชื่อคนอย่างคุณจะเป็นคนดูแลไร่ใหญ่โตอย่างนี้” คำพูดกึ่งสบประหม่าทำให้ภูธเนศเริ่มโกรธ ด้วยความว่าเติบโตมาในไร่แห่งนี้ ทุกคนตามใจ เทิดทูนบูชาดุจเทพเจ้า เขาไม่เคยเจอคนกล้าต่อปากต่อคำหรือกล้าใช้คำสั่งสอนหรือว่าด่าทอ แบบเธอคนนี้ และมันก็ทำให้อารมณ์โกรธที่ค้างอยู่เริ่มปะทุอีกครั้ง แต่เจ้าตัวก็พยายามข่มอารมณ์โกรธให้เบาลง
“เอาล่ะผมไม่อยากต่อปากต่อคำกับคุณ คุณแม่อนุญาตให้คุณอยู่ต่อ เชิญขนกระเป๋าของคุณกลับขึ้นไป คุณปา...ระ...นี” ภูธเนศพยายามข่มอารมณ์อย่างสุดความสามารถ
“แต่ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะเข้าเมืองตอนนี้ และเดี๋ยวนี้” ใบหน้าสวยหวานออกอาการรั้น ปารณีย์ถือกระเป๋าของตัวเองอีกครั้ง จะหันหลังถือกระเป๋าเดินหนี แต่
“หยุด หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!” เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับแรงกระชากจากด้านหลัง
“โอ๊ย!!!” ปารณีย์ร้องเสียงหลง เมื่อโดนกระชาก ข้อมือเล็กเจ็บเล็กน้อยจากแรงบีบของคนเสียมารยาท เหมือนเจ้าตัวจะรู้ก็ปล่อยมือของปารณีย์ออก
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำตัวเสียมารยาทกับฉันสักที วันนี้คุณเสียมารยาทกับฉันไปสองครั้งแล้วนะคะคุณภูธเนศ” ปารณีย์มองผู้ชายที่เธอคิดว่าไร้มารยาทที่สุด ปารณีย์เดาได้ว่าผู้ชายคนนี้ดูจะไม่ชอบขี้หน้าเธอมากเสียด้วย ดวงตาคมที่มองมามันมีความไม่พอใจส่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปารณีย์ไม่รู้หรอกว่าผู้ชายคนนี้มีปัญหาอะไรกับเธอมาก่อน แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ จะว่าแค่เรื่องห้อง ก็คงไม่ใช่แล้วล่ะ
“ก็ผมเรียกคุณ แล้วคุณไม่หยุด”
“คุณเรียกปุ๊บ ฉันจำเป็นต้องหันปั๊บเลยหรือไง คุณต้องรอสิคะ ไม่อยากเชื่อคุณจะเป็นเจ้านายใครเขาได้ ไม่อยากจะเชื่อคนอย่างคุณจะเป็นคนดูแลไร่ใหญ่โตอย่างนี้” คำพูดกึ่งสบประหม่าทำให้ภูธเนศเริ่มโกรธ ด้วยความว่าเติบโตมาในไร่แห่งนี้ ทุกคนตามใจ เทิดทูนบูชาดุจเทพเจ้า เขาไม่เคยเจอคนกล้าต่อปากต่อคำหรือกล้าใช้คำสั่งสอนหรือว่าด่าทอ แบบเธอคนนี้ และมันก็ทำให้อารมณ์โกรธที่ค้างอยู่เริ่มปะทุอีกครั้ง แต่เจ้าตัวก็พยายามข่มอารมณ์โกรธให้เบาลง
“เอาล่ะผมไม่อยากต่อปากต่อคำกับคุณ คุณแม่อนุญาตให้คุณอยู่ต่อ เชิญขนกระเป๋าของคุณกลับขึ้นไป คุณปา...ระ...นี” ภูธเนศพยายามข่มอารมณ์อย่างสุดความสามารถ
“แต่ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะเข้าเมืองตอนนี้ และเดี๋ยวนี้” ใบหน้าสวยหวานออกอาการรั้น ปารณีย์ถือกระเป๋าของตัวเองอีกครั้ง จะหันหลังถือกระเป๋าเดินหนี แต่
Tags: ปริศนา ปมฆาตกรรม ความรัก ความลับ
ตอน: ตอนที่ 5 คนเห็นผี
5
คนเห็นผี
ปารณีย์เดินกลับเข้ามาในบ้านท่ามกลางความยินดีปรีดาของทุกคน ทุกคนแยกย้ายกันกลับเข้าห้องนอนของตัวเอง ส่วนปารณีย์ยืนอยู่หน้าห้องนอนห้องเดิม โดยมีภูวดลยืนอยู่ข้าง ๆ นัยน์ตาสวยมองน้องชายที่ยืนจ้องหน้าสาวหน้าหวานอยู่ นัยน์ตาคมกล้าหมั่นไส้หญิงสาวที่มาวันเดียวก็โกยใจของทุกคนไปหมด ไม่ใช่เพราะอิจฉาหรอกนะ เขาคิดแบบนั้นและเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป
“เธอก็พักผ่อนนะปารณีย์ เดินทางมาไกลควรจะพักผ่อนเยอะ ๆ ส่วนเรื่องน้องดาที่จะมาช่วย ไว้ค่อยคุ้ยกันพรุ่งนี้ ตอนนี้แยกย้ายกันได้แล้ว” ปารณีย์มองนพนภาที่เดินกลับเข้าห้องไปพร้อมกับสามี และคนอื่นก็พากันสลายตัวหายไปจากหน้าห้องของปารณีย์ ปารณีย์หันไปมองปาริดาที่มองเธอเธอนิ่ง ๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไปพร้อมกับกานดา ปารณีย์เดินเข้าไปในห้องและลากกระเป๋าไว้ที่มุมห้อง และนัยน์ตาหวานก็มองไปที่ริมระเบียงด้านนอก ความมืดยามค่ำคืนที่โรยตัวทำให้ปารณีย์รู้สึกขนลุก ด้วยคืนนี้เป็นคืนเดือนมืดทำให้บรรยากาศข้างนอกดูมืด ถึงแม้จะมีแสงไฟที่เปิดอยู่ในไร่แต่มันก็เป็นแสงสว่างสลัวๆ นัยน์ตาหวานที่กำลังสำรวจห้องผ่านความมืดเบิกกว้างเมื่อเห็นภาพบางอย่างที่หน้าระเบียง ภาพผู้หญิงชุดขาวพลิ้วไหวตามแรงลม ปารณีย์มองไม่เห็นหน้าของเธอคนนั้นเพราะเธอกำลังยืนหันหลังให้กับปารณีย์ ปารณีย์จะไม่คิดอะไรแน่นอน หากเธอคนนั้นยืนอยู่ที่พื้นชานระเบียง ไม่ใช่นอกชานระเบียงที่มันไม่มีพื้นให้เหยียบ ถ้าไม่มีพื้นให้เหยียบอะไรล่ะที่ลอยได้
พรึ่บ!!!
ปารณีย์ตั้งสติและควานมือเปิดไฟที่ข้างประตู เมื่อไฟในห้องสว่างขึ้น ปารณีย์ก็ไม่เห็นใครยืนอยู่ตรงนั้นแล้วปารณีย์ไม่กล้าเดินไปเปิดประตูชานระเบียงดู ใบหน้าหวานซีดขาวถึงแม้จะไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องลี้ลับมากนัก แต่ก็ไม่มีใครยืนยันกับเธอได้ว่าสิ่งที่เธอเห็นคืออะไร ปารณีย์ทำใจกล้าอีกนิดวิ่งไปปิดม่านที่ระเบียง และพยายามไม่หันหลังไปมองระเบียงห้องนั่นอีก นัยน์ตาหวานสำรวจมองรอบ ๆ ห้อง ห้องนอนห้องนี้จัดว่าเป็นห้องที่สวยมาก ทุกอย่างห้องนี้จัดแบบสไตล์เรียบแต่ก็แฝงความหรูหราเอาไว้เล็กน้อย ปารณีย์ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกลีลาวดี ยามค่ำคืนได้กลิ่นดอกนี้มันชวนให้เธอขนลุกแบบประหลาด ๆ ก่อนที่จินตนาการเธอจะล้ำลึกไปมากกว่านี้
...ครืด ครืด ครืด.... ปารณีย์สะดุ้งเล็กน้อย รีบหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าออกมากดรับ
“ฮัลโหลปา” ปารณีย์ยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย และเริ่มอุ่นใจขึ้นเมื่อได้เพื่อนคุยแก้ความกลัวที่กำลังเกิดขึ้นในใจ และคลายความเงียบของบรรยากาศในห้องนี้ให้จางลง
“ว่าไง โทรมาดึกดื่นแบบนี้ เดานะพี่เพชรคงเล่าอะไรให้ฟังใช่ไหมล่ะ” ปารณีย์เอ่ยอย่างรู้ทัน
“ก็นิดหน่อย ไปวันแรกแกก็ทะเลาะกับเจ้าของไร่ แล้วชีวิตแกในไร่จะสงบสุขไหมปา”
“ไหนแกเคยบอกฉันว่าพี่ภูของแกนิสัยดี ฉันไม่เห็นจะดีอย่างที่แกพูดเลย คนอะไรไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษสักนิด ถ้ารู้ว่าต้องมาเจอคนอย่างนี้นะฉันไม่มาหรอก ผู้ชายอะไรปากเสียได้หน้าตบมาก”
“ใจเย็น ๆ สิวะ พี่ภูนี่ไม่เบาแล้วล่ะ สามารถกระชากด้านมืดที่นาน ๆ พวกเราจะมีโอกาสได้เห็นของแกออกมาได้ เอาน่าตอนนี้ก็ใจเย็น ๆ ไปก่อนแล้วมันจะดีเอง”
“เย็นได้ไง เย็นไม่ออกแล้ว มันไม่มีทางดีแน่กิ่ง ไอ้หมอนั่นทำให้ฉันโกรธมาก เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นผู้ชายอย่างนี้เลย แกรู้ไหมอีตาภูเนี่ยมองฉันแทบจะกินฉันไปทั้งหัวอยู่แล้ว นี่ฉันว่าถ้าฆ่าคนไม่ผิดกฎหมาย เขาต้องฆ่าฉันแน่ สายตาของเขามันฟ้องมากว่าเขาอยากฆ่าฉัน”
“บ้าน่า พี่ภูไม่ทำหรอก เขาอาจจะดุ แต่ถ้าอยู่ด้วยแล้วแกจะรู้ว่าเขาเป็นคนดีและใจดีมากคนหนึ่งเลยนะ แกเคยบอกฉันว่าเหรียญมันมีสองด้าน แกเห็นพี่ภูแค่ด้านเดียวอย่าพึ่งตัดสินสิ จะว่าไปพี่ภูเขาก็หล่อนะ”
“หน้ายังกับโจรอย่างนั้นเนี่ยนะหล่อ”
“แกไม่รู้อะไรซะแล้วหน้ายังกับโจรที่แกว่าสาวติดเกรียว แกคงเห็นเขาสภาพรกรุงรังสินะ ช่วงนี้ที่ไร่คงยุ่งพี่ภูก็เลยปล่อยตัว ถ้าแกเห็นเขาตอนถอดรูปแกจะไม่กล้าต่อปากต่อคำกับพี่ภู เพราะพี่แกไม่หล่อแบบธรรมดาด้วย แต่หล่อมาก ยิ่งรู้จักแกจะเห็นความอ่อนโยนของเขา ถ้าแกเห็นเหรียญอีกด้านหนึ่งแกอาจจะชอบเขาก็ได้ ลองเปิดใจดูสิ บางทีแกอาจจะตกหลุมรักเขา แกอาจจะลืมอดีตพวกนั้นได้”
“อี๊!! ไม่เอา ถ้าฉันต้องไปเกี่ยวดองกับคนอย่างนี้ มีหวังชีวิตฉันต้องป่นปี้ ต้องกลายเป็นทาสให้กับผู้ชายชอบสั่ง ฉันนึกภาพอีเย็นในนางทาสออกเลยนะเนี่ย แค่นึกก็ขนลุก” คำพูดของเพื่อนทำให้กิ่งอดหัวเราะไม่ได้ ปกติใครจะได้เห็นผู้หญิงที่สวย คอลัมนิสต์คนดังอย่างปารณีย์บ่นแบบนี้ ภาพลักษณ์แสนดีที่ใครเห็นก็หลงรักหายไปในพริบตา ใครจะไปรู้ว่าเวลานี้ในหัวของปารณีย์ลืมเรื่องของคนรักเก่าไปชั่วขณะ เพราะต้องเอาเวลามานั่งนึกคำด่า คำว่าภูธเนศ
“มันไม่ขนาดนั้นหรอก แกลองมองพี่เขาดูสักหน่อยสิ เชื่อสิ แกต้องเห็นด้านดีของเขาแน่”
“โน!!! พอ ๆ จบเรื่องอีตาภูเขาเขียวนั่นไปดีกว่า ฉันมีเรื่องจะถามแกด้วยกิ่ง” เหมือนได้ระบายอารมณ์ออกมาปารณีย์เริ่มรู้สึกดีขึ้น และก็เริ่มเรื่องใหม่ขึ้นในทันที
“เรื่องอะไร”
“ห้องลีลาวดีนี่ไง” กิ่งฉัตรเงียบไปพักใหญ่ เงียบจนปารณีย์ต้องพูดต่อเพื่อไม่ให้ทั้งในสายและนอกสายเงียบจนน่ากลัว “ทำไมอีตาพี่ภูของแกถึงหวงห้องนี้มากมายขนาดนี้”
“ให้แกทาย” กิ่งฉัตรตอบกลับมา เพื่อนของเธอคนนี้เป็นพวกเซ้นส์แรง เดาเรื่องเก่ง ยิ่งผูกเรื่องนี่ยิ่งเก่ง เธอคิดว่าเพื่อนเธอเหมาะจะเป็นนักเขียนนิยายมากกว่าจะเป็นคอลัมนิสต์ในนิตยสารซะด้วยซ้ำ
“เดาเลยนะ ห้องนี้ต้องเป็นห้องของแฟนอีตาพี่ภูของแกแน่นอน และต้องเป็นแฟนที่รักกันมากแน่ ไม่อย่างนั้นไม่เหวี่ยงฉันกระเด็นจนเท้าพลิกขนาดนี้หรอก แถมมองฉันอาฆาตขนาดนั้น ฉันเดาถูกไหมกิ่ง”
“ถูกส่วนหนึ่ง และก็ไม่ถูกส่วนหนึ่ง”
“ยังไง” ใบหน้าสวยขมวดคิ้ว
“ก็ห้องนั้นเป็นห้องของคนรักพี่ภู คนที่พี่ภูรักมาก แต่ที่ไม่ถูกคือเจ้าของห้องนั้นไม่ใช่แฟนพี่ภูน่ะสิ” ปารณีย์ขมวดคิ้วอีกครั้งและมองรอบๆห้อง ตั้งแต่เมื่อกี๋แล้ว เธอรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองเธออยู่
“แล้วทำไมถึงไม่ใช่แฟนของอีตาภูเขาเขียวนั่นล่ะ” กิ่งฉัตรหัวเราะกับคำเรียกขานของน้องชายแฟนเธอ
“ก็ผู้หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของพี่ภูมิ ลูกพี่ลูกน้องของพี่ภู และเขาสองคนมีพยานรักตัวน้อย ๆ ซึ่งก็คือน้องปาริดา หรือน้องดาไงล่ะ แกเจอแล้วใช่ไหมน้องดา” ปารณีย์เริ่มเข้าใจมากขึ้นอีกนิด
“เจอแล้ว แต่ว่าแล้วเชียว อีตาภูเขาเขียวถึงดูเอ็นดูน้องดามาก ถ้าฉันเป็นผู้หญิงคนนั้น ฉันก็คงไม่เลือกผู้ชายปากเสียแบบเขาเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นชีวิตคงต้องมัวหมองไปตลอดชีวิต เอ่อ...จริงสิแล้วแม่น้องดาเขาไปไหนล่ะ ฉันไม่เห็นเลย หรือเขาไม่ได้มาไร่ด้วย อีตาภูจะหวงห้องไว้ให้คนรักหรือยังไง ขนาดเขาแต่งงานไปแล้วนะเนี่ย”
“เจ้าของห้องน่ะเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นหรอก”
“แล้วเจ้าของห้องเขาไปไหนล่ะ” ปารณีย์ถาม
“ฉันเองก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครได้ข่าวจากพี่ปานวาดมาเกือบสองปีแล้ว จนบางคนในไร่เดาสุ่ม ๆ ไปว่า บางทีพี่ปานวาดเธออาจจะ...ตายแล้วก็ได้” คำว่า...ตายแล้ว... ทำให้ปารณีย์นิ่งเหมือนช็อค กลิ่นหอมจาง ๆ ของลีลาวดีเมื่อครู่เริ่มแรงขึ้น ทันทีที่กิ่งฉัตรพูดคำว่าตาย กลิ่นมันชัดเจน เหมือนวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวของเธอ ใบหน้าขาวหวานเริ่มซีด ปารณีย์มองไปรอบ ๆ ห้อง ตอนนี้ใจเธอเต้นแรง แรงจนมันแทบจะเด้งออกมาแล้ว ปารณีย์กำลังจะอ้าปากพูดกับกิ่งฉัตรต่อ แต่
พรึ่บ!!!
เพล้ง!!!
ปัง!!!!
“กรี๊ด!!!” ปารณีย์ร้องเสียงดังลั่นห้อง เมื่อกรอบรูปกรอบหนึ่งที่วางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือมุมห้องที่ปารณีย์ไม่ได้ทันสังเกตตั้งแต่เข้ามานั้นหล่นลงมาราวกับถูกจับเหวี่ยงลงมาบนพื้นไม้ปาเก้ ไฟสีขาวนวลที่สว่างไสวอยู่ ๆ ก็ดับลงอย่างไม่มีวี่แวว สายลมข้างนอกพัดกรรโชกอย่างแรงจนน่ากลัว นัยน์ตาหวานขยายกว้างขึ้นไปอีก เมื่อประตูระเบียงเหวี่ยงเปิดออกอย่างแรง ทั้งที่เธอมั่นใจว่ามันล็อคลงกลอนแล้ว ไม่มีทางที่มันจะเปิดออกเองได้ แล้วที่ทำเอาช็อคหนักกว่าเดิมก็คือ ผู้หญิงที่ปารณีย์เห็นข้างนอกระเบียงเมื่อไม่กี่นาทีก่อนมาปรากฏตัวอยู่ที่ปลายเตียงของเธอ ปารณีย์มองไปที่เท้าเปลือยเปล่าของหญิงสาว ซึ่งมันก็ไม่ได้ยืนติดพื้น มันลอยอยู่เหนือพื้น ใบหน้าขาวมีผมยาวสลายปกปิดใบหน้าไว้ แต่ก็พอเห็นหน้าขาวซีดลาง ๆ ผีสาวยืนก้มอยู่นาน ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ แต่ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ทันได้เงยหน้าขึ้น
พรึ่บ!!!
ปัง!!!!
ไฟในห้องสว่างขึ้น พร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออกอย่างแรง ภูธเนศและภูวดลรีบก้าวเข้ามาในห้อง และหันไปมองเจ้าของห้องที่กำลังนั่งนิ่งเหมือนช็อกโดยสายตามองไปที่มุมห้อง เมื่อสิบห้านาทีก่อนอยู่ ๆ ไฟในบ้านก็ดับอย่างไม่ทราบสาเหตุทุกคนไปรวมกันอยู่ชั้นล่าง มีเพียงรุ่นน้องของตนที่ไม่ปรากฏตัวในห้องนั้น จนภูวดลเองเป็นห่วง และเมื่อก้าวมาหยุดอยู่หน้าห้องเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง ทำให้เขาต้องพังประตูเข้ามาดู และสิ่งที่เห็นก็คือ
“ปา” ภูวดลเรียกชื่อรุ่นน้องที่นั่งเหมือนไม่มีสติ แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกก็หันหลังกลับไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นภูวดลใบหน้าขาวซีดของปารณีย์ไม่ได้คลายความกลัวลง แต่ยังฉายแววความกลัวผ่านออกมาจากทางสีหน้าและแววตา ความคิดของปารณีย์เริ่มเลอะเลือน และทุกอย่างก็ดับมืดลง
“พี่เพชร “ ปารณีย์เอ่ยเรียกชื่อรุ่นพี่และสลบไสลไปในทันที
“ปา ภูไปเรียกป้าหอมกับกานดามาเร็ว” ภูธเนศที่ก็กำลังงงรีบวิ่งออกไป โดยลืมความขุ่นมัวในใจไปหมด เพราะห่วงสาวที่กำลังเป็นลมมากกว่า
ปารณีย์ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองนั่งอยู่นั่งอยู่ที่โต๊ะไม้หลังบ้านหลังหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นด้านหน้าเธอคือทุ่งกุหลาบสีขาวสะอาดตาที่กำลังออกดอกเบ่งบานทั่วทุ่ง ปารณีย์ลุกขึ้นยืนและมองภาพตรงหน้าเหมือนโดนมนตร์สะกด ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปในกลุ่มดอกไม้สีขาว กุหลาบสีขาวสะอาดตาทำให้ปารณีย์รู้สึกสดชื่นขึ้น ปารณีย์ลุกขึ้นยืนและหมุนตัวมองไปรอบๆ เธอเหมือนกับเจ้าหญิงในเทพนิยายที่กำลังอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ที่งดงาม ถึงแม้กุหลาบจะไม่ใช่ดอกไม้ดอกโปรดของเธอ แต่เธอก็ยอมรับว่ามันเป็นดอกไม้อีกดอกที่สวยไม่แพ้กัน มันคือราชินี ตัวแทนของความรักของหญิงสาว เป็นความรักที่แสนบริสุทธิ์ไร้มลทิน
“เสียงเพลง” ปารณีย์เอ่ยขึ้นและหันมองไปตามทิศทางของเสียง ไม่ไกลจากบริเวณที่เธออยู่นักคือที่มาของเสียงเพลง ปารณีย์เดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ขัดจังหวะการบรรเลงเพลงของเธอ เมื่อเดินเข้ามาใกล้ภาพก็ยิ่งชัดขึ้น ปารณีย์เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าแกรนด์เปียโนสีขาว ผู้หญิงคนนั้นกำลังบรรเลงเปียโนด้วยบทเพลงที่เพราะมาก แต่ก็เศร้ามากเช่นกัน บทเพลงที่ผู้หญิงคนนั้นเล่นถ่ายทอดอารมณ์ของผู้เล่นได้เป็นอย่างดี ปารณีย์มองผู้หญิงชุดสีขาวคล้ายนางฟ้าที่นั่งหันหลังให้เธออยู่ เรือนผมยาวสีดำสนิทดุจผืนรัตติกาลที่ยาวถึงกลางหลังเป็นสีที่ตัดกับทุกสิ่งที่เป็นสีขาว หุ่นเล็กบอบบางบ่งบอกว่าผู้หญิงคนนี้ต้องสวยและสง่างามมาก เธอเหมือนนางฟ้าที่กำลังบรรเลงเพลงยามเย็นให้แก่ดอกไม้ในทุ่งสีขาวนี้ฟัง
“ฮึก....” ปารณีย์เดินก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น จนได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของเธอชัดเจนขึ้น ความเจ็บปวดของเธอทำให้ปารณีย์รู้สึกได้ว่าเธอกำลังทรมาน ปารณีย์หยุดเท้าลงที่ด้านหลังของเธอคนนั้น โดยเว้นช่วงไว้ประมาณสิบก้าว เพราะปารณีย์ได้กลิ่นบางอย่างชัดเจนขึ้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ เหมือนเคยได้กลิ่นจากที่ไหนสักแห่ง
“กลิ่นดอกไม้” ปารณีย์เอ่ยขึ้น ....ไม่ใช่กลิ่นกุหลาบทั้งที่ยืนอยู่ในสวนกุหลาบ แต่เป็นกลิ่นของ...
“ดอกลีลาวดี” นัยน์ตาหวานสั่นระริกขึ้นมาทันที เท้าเล็กก้าวถอยหลังออกมาช้า ๆ แต่ก้าวได้เพียงสามก้าว ผู้หญิงคนนั้นก็ล้มตัวฟุบลงเหมือนหมดสติลงจากเก้าอี้
“คุณ” ตอนนี้ความดีกับความชั่วกำลังตีกัน ระหว่างเข้าไปช่วยหรือปล่อยไปแล้ววิ่งหนี ปารณีย์มองผู้หญิงคนนั้นอย่างใจเสีย เท้ากำลังจะก้าวเข้าไปหาแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ปลายเท้า
“ละ....เลือด” นัยน์ตาหวานมองเลือดที่ไหลมาหยุดอยู่ที่ปลายเท้า รองเท้าผ้าใบสีขาวของปารณีย์เปื้อนเลือดสีแดงสดที่กระจายไปทั่ว ปารณีย์มองตามตามทิศทางของเลือดที่ไหลมา มันมาจากตัวของผู้หญิงที่สลบอยู่ และเลือดของสาวคนนั้นก็ไหลนองอยู่รอบ ๆ ตัว ชุดสีขาวของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดง และไม่ใช่แค่เลือด เมื่อเงยหน้าจากผู้หญิงคนนั้น ทุ่งกุหลาบสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นทุ่งกุหลาบสีแดง แดงของโลหิต กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ เท้าเล็กค่อย ๆ ถอยหลังออกหนีอย่างหวาดกลัว
“ช่วย...ด้วย” เสียงหวานแต่เย็นเยือก ที่ฟังแล้วชวนเหน็บหนาวดังขึ้น ปารณีย์ก้มกลับไปมอง เมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังคลานมาหาเธอ ผมสีดำที่ปกปิดใบหน้าไว้จนปารณีย์มองไม่เห็น สัญชาติญาณบางอย่างบอกปารณีย์ว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คน เท้าทั้งสองข้างก้าวถอยหนีตามสัญชาตญาณ
“ช่วย...ฉัน....ด้วย....ปา...ร....ณีย์...” ปารณีย์หวีดร้องเมื่อผีสาวมายืนปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอแบบตาต่อตา ชนิดที่ลมหายใจระหน้ากันได้ แต่ผีสาวตนนี้ไม่มีลมหายใจ และถึงแม้ผมยาวสีดำจะคลุมใบหน้าส่วนหนึ่งของเธอเอาไว้ แต่ก็มันก็เป็นเพียงบางๆ เพราะปารณีย์มองเห็นดวงตาที่เศร้าโศกของผู้หญิงคนนี้
“กะ....กรี๊ด” ปารณีย์กรีดร้องลั่น ก่อนร่างจะค่อย ๆ ล้มลง
“ผมว่าตามไอ้หมอทีดีกว่าไหมครับ คืนนี้มันค้างที่ไร่” ภูธเนศเอ่ยขึ้น ปารณีย์หลับนานกว่าสามชั่วโมงแล้ว นี่ก็เกือบตีหนึ่งแล้ว ปารณีย์ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นสักนิด ตัวก็ซีดและเย็นเชียบ ภูวดลเองก็เริ่มใจไม่ดี โชคดีที่เขาให้ปิ่นอนงค์พาน้องดาไปนอนแล้ว รวมถึงพ่อกับแม่ที่มายืนเฝ้าเกือบสองชั่วโมง
“ก็ดี ไม่รู้ไอ้ปามันหัวใจวายหรือเปล่า ตอนเปิดไปเจอหน้าเหมือนมันช็อคกับอะไรก็ไม่รู้”
“เล่นพิเรนทร์อะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมว่าเดี๋ยวผมไปตามไอ้หมอก่อนนะ” ภูธเนศกำลังจะก้าวเดินออกไป
“กรี๊ด!!!” ทั้งภูวดลและภูธเนศพากันหันมามองปารณีย์
“ปา ยัยปา ได้ยินพี่ไหม ปาลืมตาสิ ปา ถ้าไอ้ปัณณ์รู้มันบุกขึ้นมาฆ่าพี่แน่ ปา ปา ปา” ภูธเนศมายืนอยู่อีกฝั่งของเตียงและมองปารณีย์ที่เริ่มขยับตัว และลืมตาขึ้น ร่างบางสะดุ้งเหมือนกำลังหวาดผวา และผลุนตัวลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ นัยน์ตามีร่องรอยของความกลัวจนชายทั้งสองสัมผัสได้
“แค่ฝันเท่านั้นนะปา ปาตั้งสติแล้วมอง นี่พี่เพชร พี่ชายไอ้แพรเจ้านายปาไง ส่วนนั้นภูน้องพี่ สติครบถ้วนแล้วหันมาคุยกัน ว่าไงปา โอเคไหม” ปารณีย์มองสองหนุ่มที่กำลังจ้องเธออยู่ ข้างหลังมีกานดาที่ถือยาและน้ำเข้ามาข้างในห้อง ปารณีย์มองสองหนุ่มที่กำลังยืนจ้องอยู่ สติที่หลุดลอยไปค่อย ๆ กลับคืนมา
“เป็นอะไรไหมปา”
“พี่เพชร...เกิดอะไรขึ้นคะ” ปารณีย์มองภูวดลและภูธเนศที่มองเธออยู่
“ปาสลบไป ปาจำได้ไหมว่าไฟดับ ทุกคนลงไปข้างล่างกันหมดมีปาที่ไมได้ลงไปพี่เลยขึ้นมาตาม ได้ยินเสียงข้าวของแตกแล้วปาก็ร้อง” ปารณีย์ทำหน้านึกก่อนจะเริ่มโวยวายอีกครั้ง
“ผีค่ะ ปาเห็นผี” ภูวดลมองหน้าปารณีย์และหันไปมองภูธเนศที่ใบหน้ากำลังไม่พอใจกับสิ่งที่เธอพูด
“จริง ๆ นะคะ พี่เพชร ปาเห็นผี ผีผู้หญิงผมยาวยืนอยู่ปลายเตียง เธอจ้องหน้าปา ปา...”
“พี่ว่าปาอาจจะเหนื่อยก็ได้ พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ภูวดลเอ่ย
“ปาไม่ได้โกหกนะคะ ปาเห็นจริง ๆ แล้วปาก็...ฝัน ใช่ปาฝันด้วยค่ะ ฝันน่ากลัวมาก”
“พี่เพชรผมกลับห้องก่อนนะ เสียเวลาจริง ๆ” ภูธเนศเอ่ยขณะที่กำลังจะเดินออกไป
“ปาฝันเห็นผีในทุ่งกุหลาบขาว ปาเห็น...”
“หุบปาก!!!” ปารณีย์สะดุ้งตกใจกับเสียงตวาดดังลั่นบ้านของเขา เขามองเธอด้วยแววตาโกรธสุด ๆ เหมือนเธอเอ่ยคำที่ไม่ควรเอ่ยออกมา
“เอ่อ...ใจเย็นสิวะไอ้ภู”
“พี่เพชรปาฝันเห็นผีผู้หญิงในทุ่งกุหลาบขาวนั่น เป็นผีตัวเดียวกับที่ยืนอยู่ปลายเตียงแน่ ๆ ถ้าปาจำไม่ผิด มันน่ากลัวมากเลยนะคะพี่เพชร ปา...”
“พี่ว่าปาอาจจะเหนื่อยแล้วก็...”
“เรื่องฝันนั่นไม่เท่าไหร่ แต่ปาเห็นจริง ๆ นะพี่เพชร ปาว่าที่นี่มันต้องมีฝีแน่ ๆ”
“ผมบอกให้คุณหยุดพูดไงปารณีย์”
“ฉันไม่หยุด ก็ฉันเห็นจริง ๆ ฉันรู้สึกได้ตั้งแต่เข้ามาเหยียบในไร่ว่ามีคนมองฉันอยู่ คุณอยู่ที่นี่คุณไม่เคยเจอหรือไง บางทีเธออาจเป็นผีเรร่อน ที่ตายในไร่ หรือ...”
“พี่เพชร สั่งแขกพี่เพชรให้หุบปาก แล้วเลิกพูดเรื่องผีสางนี่สักที ก่อนที่คนงานจะเอาไปลือกันมั่ว ๆ และถ้าผมได้ยินเธอพูดอีกผมจะจัดการปิดปากผู้หญิงคนนี้เอง” แล้วเขาก็เดินออกไป ปารณีย์มองหน้าภูวดล
“ไอ้ภูมันทำจริงนะปา พี่ไม่อยู่สองสามวัน ปาห้ามพูดเรื่องนี้อีก พี่ไม่รู้หรอกว่าปาเห็นจริงหรือเปล่า แต่อย่าเอาเรื่องนี้ไปพูด คืนนี้นอนซะ”
“ปานอนไม่หลับหรอก ปาพึ่งเจอ...”
“ปา” น้ำเสียงภูวดลดูจริงจังขึ้นมาก ปารณีย์จึงยอมเงียบเสียงและล้มตัวนอนลง
“กานดาอยู่เป็นเพื่อนคุณปาจนกว่าเธอจะหลับ แล้วเรื่องคืนนี้ก็อย่าเอาไปพูดล่ะ คนงานในไร่จะพากันแตกตื่นขึ้นมาอีก”
“ค่ะคุณเพชร” และภูวดลก็เดินออกไป กานดาเดินออกไปหยิบหมอนและผ้าห่มกลับเข้ามาในห้อง
“มีอะไรเรียกดิฉันนะคะ”
“กานดา...” ปารณีย์เอ่ยเรียก
“คะ”
“ที่นี่มีผีไหม”
“เอ่อ...ไม่มีค่ะ คุณปานอนเถอะค่ะ แล้วอย่าพูดเรื่องนี้อีก คุณภูเธอจะโกรธมาก เธอไม่ชอบให้ใครพูดเรื่องพวกนี้ในไร่ คืนนี้คุณนอนเถอะค่ะ พรุ่งนี้เช้าตื่นมาค่อยไปทำบุญ”
“เธอก็เชื่อใช่ไหมว่า...” กานดามองหน้าเธอเหมือนขอร้องว่าอย่าพูดอีกเลย ปารณีย์พยักหน้าและยอมหลับตา แต่ภาพในฝันและภาพผียังติดตามเธออยู่ กว่าเธอจะหลับก็ปาไปเกือบเช้า และเธอรู้สึกว่ามีใครบางคนมายืนจ้องเธออยู่ข้างเตียง และกระซิบข้างหูเธอว่า
...มาหาฉัน...
เธอคิดว่าเธออาจจะหูฝาด พยายามไม่เก็บมันมาใส่ใจและหลับต่อ จนตอนเช้าเมื่อตื่นมา เธอก็พบดอกลีลาวดีโปรยอยู่ข้างเตียง ห้องของเธอไม่ได้อยู่ใกล้กับต้นไม้ แถมแถวนี้ก็ไม่มีต้นลีลาวดี มันจะมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงถ้าไม่มีคนนำมันมา แต่คงไมมีใครเอามันมาโปรยเล่น ๆ แน่ กลิ่นดอกลีลาวดีที่ติดอยู่ปลายจมูกเมื่อคืนทำให้เธอนึกมาได้ และนั่นทำเอาขนแขกลุกขึ้นมาทันที กานดาดูเหมือนจะตื่นและออกไปนอนแล้ว ปารณีย์ที่ไม่ใช่คนเชื่อเรื่องนี้มากนัก เพราะไม่เคยเจอกับตัว แต่เมื่อมาเจอกับตัว เห็นกับตาเธอเชื่อโดนดุษฎีเลยล่ะ ปารณีย์กดโทรศัพท์หาคน ๆ หนึ่งที่ไม่ใช่หมอผีแต่เธอคิดว่าเธอคนนี้ต้องช่วยเธอได้
“โทรหาเราแต่เช้ามีอะไรปา”
“แป้งเราเจอผี” ปารณีย์เอ่ย
“ปาว่าไงนะ เราไม่ได้ยิน” น้ำเสียงของปัญจารีย์ หรือแป้ง เพื่อนสาวที่เรียนมัธยมมาด้วยกันหกปีจนซี้กัน กลุ่มของเธอจึงมีสามคนคือกิ่งฉัตร ปัญจารีย์ และเธอ ซึ่งปัญจารีย์กลับไปทำงานที่สมุทรปราการ ขึงไม่ค่อยได้เจอกัน
“เราบอกว่าเราเจอผี”
“ปาโทรมาผิดเบอร์หรือเปล่า เราไม่ใช่หมอผีนะปา แล้วมั่นใจว่าเห็นจริง ๆ ไม่ได้ฟุ้งซ่าน หรือฝันไป ปกติปาไม่ค่อยเจอเรื่องพวกนี้นี่”
“ไม่ได้ฝัน เกิดมาจนอายุเท่านี้ ใครจะไปคิดว่าจะเจอผีกับตาตัวเอง เราเห็นจริง ๆ นะแป้ง ทำไงดีแป้ง เมื่อคืนผีตัวนั้นยังตามเราอยู่เลย ตื่นมาเราเจอดอกไม้หล่นอยู่ข้างเตียง เราต้องอยู่ที่นี่อีกสองเดือน ถ้าเกิดเราต้องเจอทุกวันมันก็ไม่ไหวนะแป้ง”
“เอ่อ...ปกติปาก็ไม่ค่อยเจอเรื่องพวกนี้เราว่าบางที อาจจะเป็นสัมภเวสีมาขอส่วนบุญ ที่เขามาให้ปาเห็นก็เพราะเขาต้องการให้ปาทำบุญไปให้เขา เอาอย่างนี้ปาไปทำบุญให้กับผีตัวนั้นก่อนแล้วกัน”
“แค่นี้เองหรอ”
“เอ้า ก็บอกอยู่ว่าเราไม่ใช่หมอผี วิธีธรรมดาสามัญนี่แหละง่ายแล้ว แล้วก็นอนสวดมนตร์บ้างไหม เราเตือนหลายครั้งแล้วว่านอนต่างที่อย่าลืมสวดมนตร์”
“แป้ง...”
“โอเคไม่บ่นก็ได้ เรามีลูกค้าตอนสาย แค่นี้ก่อนนะ ยังไงโทรมาบอกผลด้วย บายจ๊ะ” แล้วปัญจารีย์ก็ตัดสายทิ้ง สาเหตุที่เธอโทรหาปัญจารีย์ เพราะเพื่อนเธอคนนี้ไม่ปกติ ไม่ใช่ผิดปกติทางร่างกายหรือสมอง แต่เพื่อนเธอคนนี้มีสัมผัสที่หก ปัญจารีย์มักจะมองเห็นวิญญาณเสมอ ตัวของเธอดูเหมือนจะไม่กลัว จิตแข็ง แต่ไม่มีใครรู้หรอกภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเงียบแบบนี้ เธอจิตตกกับเรื่องพวกนี้แค่ไหน เธอจะไม่แสดงท่าทีกลัว ๆ ออกมาจนชัด เกิดมาจนอายุเท่านี้นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นปีกับตา แถมพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อด้วย เธอไม่รู้ว่าผีตัวนี้มีจุดประสงค์อะไร ถ้าแค่มาขอส่วนบุญอย่างที่ปัญจารีย์ว่าก็คงไม่มีอะไร แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ ความคิดที่จะมาพักผ่อนช่วงสองเดือนต้องพลังทลายลงเพราะผีตนนี้แน่ ๆ
...ติดตามตอนต่อไป...
ฝากกันอ่าน ฝากกันติดตาม ฝากกันคอมเม้นส์
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
จะมาลงตอนอีกครั้งอาจจะเป็นช่วงปีใหม่เลย
สามารถติดตามกันได้ในเว็บเด็กดีที่อาจจะลงเร็วกว่าอยู่แล้ว
พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ธ.ค. 2557, 11:17:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ธ.ค. 2557, 12:17:12 น.
จำนวนการเข้าชม : 894
<< ตอนที่ 4 ดั่งสวรรค์แกล้ง |