คิวปิด...ตัวกวนป่วนรัก
เมื่อเทพคิวปิดถูกลดหน้าที่ให้เป็นแค่ ‘เทพเบ๊’ คิวปิดสาวจึงเร่งปฎิบัติกอบกู้ศักดิ์ศรี แต่ดันแผลงศรพลาด ทำให้ว่าที่เจ้าบ่าวตกหลุมรัก ‘พี่ชาย’ ของสาวคนรัก เรื่องป่วนๆ จึงเริ่มขึ้น !
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 3
เช้าวันต่อมา หลังจากปรึกษากับหมอนพว่าจะพาคนเจ็บกลับไปดูแลที่บ้าน ซึ่งคุณหมอก็ยินยอมเพราะไว้ใจสองพี่น้องที่รู้จักกันมาเป็นสิบปี ประกอบบาดแผลทางร่างกายของคนเจ็บไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เหลือก็แค่อาการทางสมองซึ่งต้องใช้เวลาเยียวยา รักษิยาก็นำเสื้อผ้าและชุดชั้นในที่เพิ่งไปซื้อมาใหม่ให้เซเลน่าเปลี่ยนแทนชุดของโรงพยาบาล ถึงแม้ชุดใหม่จะเป็นแค่เสื้อยืดพอดีตัวและกางเกงผ้าขายาว แต่เซเลน่าก็สวมไม่เป็น ต้องอาศัยให้รักษิยาช่วยสอนทุกขั้นตอนเข้าไปช่วยสอนให้ทุกขั้นตอน จึงไม่แปลกที่รักษิยาจะเชื่ออย่างสนิทใจว่าหญิงสาวผู้นี้ความจำเสื่อมจริง ไม่ได้เสแสร้ง หรือเป็นสิบแปดมงกุฎอย่างที่พี่ชายคิด
“ขอบคุณท่านมากนะคะ ที่ยอมให้ข้าไปอยู่ด้วย” เซเลน่าเอ่ยจากใจจริงขณะยืนให้รักษิยามัดผมสีน้ำตาลหยักศกรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังให้อยู่ในห้องน้ำ
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ แค่นี้ถือว่านิดหน่อยเองถ้าเทียบกับที่พี่ทำให้น้องเอแคร์ต้องเดือดร้อน”
เซเลน่า หรือ เอแคร์..ชื่อใหม่ที่รักษิยาตั้งให้หลังจากเห็นเซเลน่ากินขนมเอแคร์ฝีมือของหล่อนเข้าไปเกือบสามสิบก้อนยิ้ม มองมนุษย์สาวผู้มีหน้าตาน่ารัก น้ำใจงาม ผ่านเงาสะท้อนจากกระจก เอ่ยว่า “ข้าชอบท่านจัง”
“ขอบใจจ้ะ” คนน่ารักยิ้ม มัดผมเสร็จแล้วก็ผูกโบว์เพิ่มความน่ารักให้ด้วย แล้วแนะนำว่า “น้องเอแคร์คะ พี่ว่าเวลาน้องเอแคร์เปลี่ยนคำว่า ข้า เป็น ฉัน และ คำว่า ท่าน เป็น คุณ จะดูน่ารักกว่าเยอะเลยนะคะ”
“พวกมนุษย์พูดกันอย่างนี้เหรอคะ” คิวปิดสาวหลุดปากถาม พอเห็นคิ้วเรียวของอีกฝ่ายขมวดมุ่นก็รีบกลบเกลื่อนว่า “ข้า...เอ่อ ฉันหมายถึงว่า พวกคุณพูดกันอย่างนี้น่ะเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ เห็นไหมคะฟังน่ารักกว่าเยอะเลย” รักษิยายิ้มอย่างไม่ติดใจสงสัยอะไร
--------------------------
รักษิตขับรถพาน้องสาวและสมาชิกใหม่กลับบ้าน ใจจริงเขาอยากจะเลี้ยวรถเข้าไปในสถานีตำรวจ ให้สาวสิบแปดมงกุฎยอมรับความจริง แต่ด้วยเป็นห่วงว่าน้องสาวของเขาอาจจะถูกจับข้อหาขับรถชนผู้อื่น เขาจึงต้องทำหน้าที่จับผิดแม่สาวสิบแปดมงกุฎด้วยตัวเอง
ดังนั้นขณะขับรถ รักษิตจึงลอบมองเซเลน่าผ่านกระจกส่องหลังเป็นระยะๆ แต่ทุกครั้งเขาก็เห็นหญิงสาวเอาแต่เกาะหน้าต่าง มองสองข้างทางอย่างสนใจ และคอยถามน้องสาวของเขาที่นั่งเบาะข้างคนขับว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร
“นั่นตัวอะไรลอยอยู่บนนั้นคะ!” เซเลน่าถามพลางชี้ไปบนฟ้า
“รถไฟฟ้าค่ะ”
“มันดุไหมคะ ว๊ายๆๆ มีสองตัวเลย!” คิวปิดสาวร้องเมื่อเห็นรถไฟฟ้าสองขบวนวิ่งสวนกัน ยังผลให้รักษิยาหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่
‘ถ้าหล่อนเป็นสิบแปดมงกุฎจริง แสดงว่าหล่อนเป็นระดับมืออาชีพเลยทีเดียว ถึงแสดงได้แนบเนียนขนาดนี้’...รักษิตยอมรับในใจ แต่ก็ยังคอยลอบมองหญิงสาวไปตลอดทางกลับบ้าน
“ตรงนี้ไงคะที่พี่ขับรถชนเอแคร์ น้องเอแคร์พอจะจำอะไรได้บ้างไหมคะ” รักษิยาบอกพลางชี้ออกไปนอกรถเมื่อรถเลี้ยวเข้ามาในซอยบ้าน
เซเลน่ามองออกไปเห็นต้นไม้ใหญ่ จำได้ว่าตรงนี้คือตำแหน่งที่หล่อนประจันหน้ากับมนุษย์ชายขายไอศกรีม...ที่แท้ประตูสู่โลกมนุษย์พาหล่อนลงมาใกล้บ้านของนายรักษิตนี่เอง
แต่ถึงแม้เซเลน่าจะจำได้ หากบอกออกไปว่า “จำไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวค่อยๆ คิดไปก็ได้ ถึงบ้านพี่แล้วค่ะ” ประโยคหลังรักษิยาเอ่ยขึ้นเมื่อรถเคลื่อนมาหยุดหน้าบ้านหลังหนึ่ง
รักษิตลงจากรถไปเปิดประตูรั้วออก ภาพบ้านหลังสีขาวหลังคาสีฟ้าอ่อนขนาดกะทัดรัดตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้นานาพรรณทั้งต้นสูงใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น ซุ่มดอกไม้หลากสีซึ่งรายล้อมอยู่รอบรั้วช่วยเพิ่มความน่ารักให้บ้าน แม้ขนาดของบ้านหลังนี้จะเทียบไม่ได้เลยกับวิหารของเทพคิวปิดบนเทือกเขาโอลิมปัส แต่ที่นี่มีความน่ารักอบอุ่นอย่างที่วิหารใดๆ ไม่มีเช่นกัน
“เชิญเลยค่ะ” รักษิยาเปิดประตูให้สมาชิกคนใหม่ที่มัวแต่ตรึงใจกับบ้านหลังน้อย เลยไม่ทันรู้ตัวว่ารักษิตขับรถเข้ามาจอดในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่
เซเลน่าก้าวลงจากรถ รักษิตก็ขับรถเข้าไปจอดด้านในลานจอดรถ เซเลน่าย่นจมูกเพราะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเตะจมูก “กลิ่นอะไรคะ หอมจัง”
“กลิ่นดอกแก้วค่ะ” รักษิยาชี้ไปที่พุ่มดอกไม้ขนาดใหญ่ ความสูงเกือบเท่าตัวของเซเลน่าซึ่งอยู่ติดกับทางเดินเข้าบ้าน เซเลน่าปราดเข้าไปยื่นหน้าดมดอกสีขาวที่ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ พลันสายตาก็หันไปเห็นต้นดอกแก้วอีกหลายต้นปลูกเป็นแนวยาวชิดกับรั้วปูน
“โห...ต้นดอกแก้วเยอะจัง” สมาชิกใหม่ตาลุกวาว
“คุณแม่ปลูกเอาไว้น่ะค่ะ ท่านเชื่อว่าปลูกดอกแก้วไว้ในบ้านจะทำให้คนในบ้านจิตใจดี ใจสะอาด บริสุทธิ์เบิกบานค่ะ”
เซเลน่าพยักหน้ารับและมองรักษิยาด้วยแววตาชื่นชม...หรือเป็นเพราะเจ้าดอกแก้วนะ ถึงทำให้รักษิยาเป็นมนุษย์ที่น่ารักและจิตใจดีเช่นนี้ ถ้าเกิดว่าหล่อนไม่สามารถทำลายฤทธิ์จากปลายศรในหัวใจร่างของนายภูมิได้ ผู้หญิงแสนดีผู้นี้จะต้องเสียใจ ซึ่งเซเลน่ายอมไม่ได้!
ว่าแต่ตอนนี้นายภูมิอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ลงมาบนโลกมนุษย์ หล่อนยังไม่ได้พบนายภูมิเลย ทั้งๆ ที่คนรักทั้งสองคนของเขาอยู่ตรงนี้
“ที่นี่อยู่กันกี่ท่านหรือคะ” เซเลน่าเอ่ยถาม หวังจะโยงถามถึงนายภูมิ
“สามคนค่ะ มีพี่ พี่รัก แล้วก็รักพงษ์น้องชายคนเล็กค่ะ แต่พงษ์ไม่ค่อยอยู่บ้านหรอกค่ะ เขาอยู่หอที่มหา’ลัย อ่อ แล้วก็มีลักกี้ด้วยค่ะ”
“ลักกี้ ? เป็นพี่หรือน้องคะ”
“เป็นหมาค่ะ”
“หมา ? อะไรคือหมาคะ”
เซเลน่าไม่ต้องรอคอตอบนาน เสียงเห่าโฮ่งก็ดังมาแต่ไกล หล่อนหันไปจึงเห็นสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดวิ่งมาจากข้างบ้าน สี่ขาของมันเสือกบนพื้นหญ้าอย่างเร็วจนหูทั้งสองข้างลู่ไปด้านหลังนำพาร่างสีขาวจุดดำซึ่งแข็งแรงและเต็มไปด้วยมัดกล้ามวิ่งตรงมาทางเซเลน่า ริมฝีปากยาวใต้จมูกดำรูปหัวใจแยกเขี้ยว ยิ่งเพิ่มความน่าสะพรึง จนคิวปิดสาวร้องและหลับตาปี๋
“กรี๊ดดดดด !”
“จะร้องทำไม”
เสียงห้าวทุ้มดังกระทบโสตประสาท เซเลน่าตวาดแว้ดทั้งที่ยังไม่เปิดตา “ก็ฉันตกใจนี่ !”
“ตกใจทำไม บ้าเปล่า”
เซเลน่าเปิดตา ตวาดแว้ดใส่ว่า “ฉันไม่ได้บ้า! ฉันไม่เคยเห็นเจ้าสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดอย่างนี้ก็เลยตกใจ ฉันผิดด้วยเหรอ”
รักษิตนิ่วหน้างง ขณะที่มือลูบหัวเจ้าลักกี้ที่กำลังกระโดดยกขาหน้าเกาะตัวเขา
“คุณไม่ต้องทำไม่รู้เรื่องเลย ฉันได้ยินคุณมาหาว่าฉันบ้า”
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”
“ใช่ค่ะ พี่เป็นพยานได้ว่าพี่รักยังไม่ได้พูดอะไรเลยค่ะ สงสัยน้องเอแคร์คงหูฝาดไปเอง” รักษิยาพยายามเป็นคนกลางไม่ให้ทั้งสองมีปัญหากัน
“ฉันไม่ได้หูฝาด ฉันได้ยินจริงๆ คุณพี่รักพูดว่าฉันจะตกใจทำไม บ้าเปล่า” ก้าวเข้าไปยืนประจันหน้ากับใบหน้าคม
“หา ! นี่คุณผู้หญิงได้ยินที่กระผมพูดด้วยหรือขอรับ” เสียงห้าวดังขึ้นอีก
คราวนี้เซเลน่าเห็นเต็มสองตาว่าริมปีปากหยักสีชมพูบนใบหน้าคมไม่ได้ขยับเลยสักนิด...แล้วเสียงนั้นมาจากไหน
“ใครพูดน่ะ”
ไม่มีคำตอบ นอกจากเสียงห้าวคร่ำครวญ
“ไม่จริง ! กระผมต้องฝันไป จะมีมนุษย์คนไหนได้ยินกระผมพูดได้ยังไง ไม่จริงๆๆๆ” มันบอกตัวเองพลางยกขาตบหน้าตัวเอง
“รู้แล้ว ! ท่านลักกี้นั่นเองที่ว่าข้า !”
สองพี่น้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ส่วนหนึ่งสุนัขผงะตัวไปข้างหลัง
“ยอมรับมาซะดีๆ” เซเลน่ายังไม่หยุดคาดคั้นเจ้าลักกี้ ยังผลให้ ‘ผู้ถูกคาดคั้น’ ถึงกับเห่ากรรโชก แต่เซเลน่าได้ยินเจ้าลักกี้ร้องโวยวายอย่างคุมสติไม่อยู่
“คะ...คะ...คุณผู้หญิง...ได้ยินกระผมพูดจริงๆ คุณผู้หญิงไม่ใช่คนแน่ๆ ไม่ใช่แน่ๆ ช่วยด้วย ! ผีหลอกตอนกลางวัน !” แล้ววิ่งหางจุกตูดหายไปทันที
“ลักกี้เป็นอะไร” รักษิตตะโกนถาม
ส่วนเซเลน่าอึ้ง ก้มมองสำรวจร่างตัวเอง...ปีกก็ไม่ได้งอก คันธนูไม่ได้โผล่ออกมา แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมลักกี้ถึงรู้ว่าเราไม่ใช่คน หรือว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘หมา’ จะมีตาทิพย์มองเห็นร่างที่แท้จริงของหล่อน
‘โอ๊ย ! ตายแล้ว แล้วลักกี้จะบอกความลับนี้กับใครไหมเนี่ย’
ขณะที่เซเลน่ากังวลกับเรื่องเจ้าลักกี้อยู่นั้น รักษิตที่คิดว่าอาการประหลาดที่เกิดขึ้นหญิงสาวคงสร้างขึ้นมาเพื่อให้สมกับบทบาทของสาวสติฟั่นเฟือง จึงแซว
“ตกลงคุณได้ยินเจ้าลักกี้พูดจริงๆ หรือเปล่า ถ้าจริงผมจะได้ฝากถามหน่อยว่าตกลงมันชอบใครกันแน่ระหว่างน้องสายไหม หรือน้องปั๊กกี้”
เซเลน่าไม่ตอบ ตอนนี้ไม่พูดอะไรไว้เป็นดีที่สุด เอาไว้ให้รู้แน่ชัดก่อนดีกว่าว่าทำไมลักกี้ถึงรู้ว่าหล่อนไม่ใช่คน
--------------------------
กว่าเซเลน่าจะหลบออกมานอกบ้านได้ก็หลังจากที่รักษิยาพา ‘สมาชิกใหม่’ ขึ้นไปดูห้องนอนของรักษิยาที่จะใช้นอนด้วยกัน ก่อนจะลงมาชั้นสองของบ้าน
“น้องเอแคร์นั่งดูทีวีไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่จะเข้าไปทำอะไรให้ทาน ใกล้จะเที่ยงแล้ว”
“อะไรคือเที่ยงคะ”
“เป็นคำที่เรียกง่ายๆ แทนเวลาช่วงสิบสองนาฬิกาน่ะค่ะ”
หญิงสาวจากเทือกเขาโอลิมปัสพยักหน้าเข้าใจ ถามใหม่ว่า “แต่เราเพิ่งกินไปเมื่อไม่นานนี้เอง จะกินใหม่อีกแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะ คนเราต้องทานอาหารสามมื้อต่อวัน ร่างกายถึงจะแข็งแรง”
“โห...กินบ่อยจัง วันๆคงไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ เดี๋ยวก็กินเดี๋ยวก็กิน”
รักษิยาหัวเราะอย่างไม่ถือสา “ไม่กินก็หิวจนทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าน้องเอแคร์ตามสบายนะคะ เสร็จแล้วพี่จะเรียก” บอกแล้วก็เดินหายเข้าไปทางครัว
เซเลน่ายิ้มรับ มองตามร่างโปร่งเดินหายเข้าไปในทางเดินสู่ห้องครัว แล้วผุดลุกขึ้นตั้งใจจะไปคุยกับเจ้าลายจุดให้รู้เรื่อง แต่พอกำลังจะออกไป รักษิตก็เปิดประตูออกมาจากห้องทำงานซึ่งอยู่ติดกับบันได
“คุณจะไปไหน”
“เปล่านี่”
“เปล่าอะไร ผมเห็นอยู่ว่าคุณกำลังจะออกไปข้างนอก”
“อ๋อ...” เซเลน่าลากเสียงยาว หวังถ่วงเวลาคิดหาคำตอบ “ฉันจะไปดูดอกแก้ว มันสวยดี หอมด้วย”
ชายหนุ่มมองอย่างไม่เชื่อ หากถามว่า “แล้วยาล่ะ”
“คุณน้องยาไปทำอาหารเที่ยง เธอเดินไปทางโน้นน่ะ คุณไปดูสิ เอ๊...เมื่อตะกี้ได้ยินว่าคุณน้องยาอยากจะเจอคุณอยู่ด้วยนะ” พยายามผลักไสไล่ส่งเขาเต็มที่ หล่อนจะได้ไปหาลักกี้สักที
แต่อีกฝ่ายไม่หลงกล
“ไม่ไป ผมจะไปดูดอกแก้วกับคุณ” บอกแล้วเป็นฝ่ายนำเปิดประตู แต่อีกฝ่ายไม่เดินตาม
“ฉันไม่ไปแล้ว ฉันไปดูคุณน้องยาทำอาหารเที่ยงดีกว่า”
“ดีเหมือนกัน ผมกำลังอยากช่วยยาอยู่พอดี” ชายหนุ่มยิ้มมุมปากอย่างยียวน เซเลน่าเม้มปากแน่นอย่างอดทน...เขาคงจงใจจะตามหล่อนชัดๆ แล้วอย่างนี้หล่อนจะไปหาเจ้าลักกี้ได้ยังไง
ทว่าโชคยังเข้าข้างเซเลน่า เพราะโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของรักษิตดังขึ้น เขาจึงล้วงขึ้นมากดรับสาย
“ฮัลโหลครับ ไฟล์ส่งไปไม่ถึงเหรอครับ ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมส่งไปให้อีกที” ชายหนุ่มละโทรศัพท์ออกจากหู แล้วสั่งหญิงสาวว่า “อย่าไปไหนล่ะ อยู่ตรงนี้ก่อน” แล้วเขาก็คุยโทรศัพท์พร้อมกับเดินเข้าไปในห้องทำงาน
ประตูห้องปิด เซเลน่าก็เป็นฝ่ายกระตุกยิ้ม “เชื่อก็กลัวสิ”
--------------------------
“คุณลักกี้...คุณลักกี้” เซเลน่าเรียกเสียงเบา พลางเดินลัดเลาะผ่านพุ่มไม้มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เห็นลักกี้วิ่งหายไป
“ฮือ...ฮือ...พ่อแก้วแม่แก้ว...ช่วยกระผมด้วย...ฮือ...” เสียงครางดังขึ้นจากหลังอ่างบัว
เซเลน่าก้าวเข้าไปทางเสียงจึงพบร่างลายจุดดำตัวสั่นเทิ้มนอนหมอบอยู่ จึงทัก “อยู่นี่เอง”
หูสองข้างตั้ง ลูกตากลมเล็กเบิกโพลง เมื่อเห็นผู้ที่นั่งย่อตัวอยู่ตรงหน้า
“ผี !!!”
มันลุกขึ้นยืน ตั้งท่าเตรียมจะวิ่งหนี แต่เซเลน่ากระโดดขวางหน้า “จะไปไหน”
“อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยขอรับ กระผมกลัวแล้ว อยากได้อะไรก็มาเข้าฝันเอาก็แล้วกันนะขอรับ เดี๋ยวจะบอกให้นายรักทำบุญไปให้” มันหลับตาปี๋ ตัวสั่นเทา
“คุณลักกี้ใจเย็นๆ ก่อนนะ ฉันไม่ใช่ผี ฉันไม่ทำอะไรท่านหรอก”
เจ้าลายจุดหยุดสั่น ค่อยๆ เปิดตาพร้อมกับแหงนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ มันก้าวเข้าไปใกล้คิวปิดสาว ใช้จมูกสีดำดมไปรอบๆ ตัวหล่อน
“มีกลิ่นมนุษย์จริงๆ ไม่มีกลิ่นสาปผี” แล้วสรุป “โอเค กระผมเชื่อแล้วว่าท่านไม่ใช่ผี กระผมก็คิดอยู่ว่าผีอะไรจะสวยขนาดนี้ อิอิ” พอหายกลัว ลักกี้ก็เริ่มปล่อยมุขพร้อมกับ ‘ฉีกยิ้ม’
แต่รอยยิ้มนั้นทำเอาอีกฝ่ายผงะตกใจ “ว้าย !”
“ตกใจอะไรขอรับ”
“แยกเขี้ยวใส่ฉันทำไมเล่า”
“โห...พูดงี้เสียเซลฟ์หมด กระผมไม่ได้แยกเขี้ยวขอรับ แต่กระผมกำลังยิ้มขอรับ ทั้งโลกคงมีแต่คุณผู้หญิงคนเดียวล่ะมั๊งขอรับที่กลัวรอยยิ้มกระผม พูดแล้วจะหาว่าคุย น้องๆ หมาทั้งซอยเห็นรอยยิ้มของกระผมไม่ได้เลยนะขอรับ เป็นต้องกรี๊ดดดดสลบกันทุกตัว”
เห็นว่าเจ้าลักกี้ชักจะไปกันใหญ่จึงเริ่มเข้าเรื่อง “คุณลักกี้ ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ”
“ถามเยอะๆ ก็ได้อะไรขอรับ ชอบจริงจริ๊งเวลามีคนเรียกคุณเนี่ย...คิคิ”
“ทำไมคุณถึงรู้ว่าฉันไม่ใช่คน”
“ง่ายๆ ก็คนปกติไม่มีใครฟังกระผมพูดได้หรอกขอรับ ภาษาคนกับภาษาสุนัขคนละภาษากัน แต่นี่คุณผู้หญิงซึ่งเป็นคนฟังกระผมพูดรู้เรื่องทุกถ้อยคำ นั่นแสดงว่าคุณผู้หญิง...หือ !” ปากยาวที่กำลังขยับชะงัก “นั่นสิ แล้วทำไมคุณผู้หญิงคุยกับกระผมได้เนี่ย คุณผู้หญิงเป็นใครหรือเป็นตัวอะไรกันแน่ บอกกระผมมาเดี๋ยวนี้นะขอรับ”
เซเลน่าลังเล...ท่านซีอุสสั่งห้ามไม่ให้หล่อนแพร่งพรายเรื่องความลับของเทือกเขาโอลิมปัสให้มนุษย์รู้ แต่ลักกี้เป็นสุนัขไม่ใช่มนุษย์สักหน่อย งั้นให้เจ้าลักกี้รู้เรื่องของเราเอาไว้เผื่อจะขอความช่วยเหลือก็คงไม่เป็นอะไร
“ถ้าฉันบอกความจริงกับคุณ คุณต้องสัญญานะว่าจะไม่บอกใคร โดยเฉพาะพวกมนุษย์”
“ถึงกระผมอยากบอกก็บอกไม่ได้หรอกขอรับ ก็กระผมบอกแล้วไงว่าไม่มีใครฟังกระผมพูดรู้เรื่องหรอกขอรับ”
แล้วเซเลน่าก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ลักกี้ฟัง ทั้งเรื่องหล่อนมาจากเทือกเขาโอลิมปัส เรื่องหล่อนแผลงศรผิดตัวเลยต้องลงมาแก้ไข หากพอเล่าจบอีกฝ่ายกลับหัวเราะตัวงอ
“ฮ่าๆๆ คุณผู้หญิงบอกว่าคุณผู้หญิงเป็นคิวปิด ไอ้เจ้าเด็กตัวเล็กๆ มีปีก แก้ผ้าเห็นปิ๊กกาจู้ แล้วก็ถือธนูคอยยิงให้คนรักกันน่ะเหรอขอรับ”
“ใช่ๆ นั่นแหละบรรพบุรษของพวกฉันเอง”
“ฮ่าๆๆ” ลักกี้ยิ่งหัวเราะหนัก “คุณผู้หญิงขอร้าบ...ลักกี้เป็นหมานะขอรับไม่ใช่ควาย อย่ามาหลอกกันง่ายๆ เลยขอรับ”
“คุณไม่เชื่อฉันใช่ไหม”
ลักกี้หัวเราะไม่หยุดแทนคำตอบ เซเลน่าจึงมองไปรอบๆ อย่างสำรวจ เมื่อไม่เห็นใครอยู่ในบริเวณนั้น หล่อนก็ก้าวเข้าไปนั่งแอบหลังอ่างบัว ถอดสร้อยปีกนกออกจากลำคอ...เพียงชั่วพริบตาเดียว เซเลน่าก็กลายร่างเป็นคิวปิด
ปากยาวของลักกี้อ้าค้าง ตกตะลึงกับภาพที่เห็น “คะ...คุณ...ผู้หญิง...เป็นคิวปิด..จริงๆ”
เซเลน่าเพิ่มความมั่นใจให้ด้วยการชี้นิ้วไปที่ร่างของลักกี้ ลำแสงสีทองประกายระยิบระยับจากปลายนิ้วทำให้ร่างของลักกี้ลอยขึ้นเหนือพื้น หูสามเหลี่ยมที่เคยพับมาตลอดชีวิตตั้งชัน
“ปะ...ปล่อยกระผมลงเถอะขอรับท่านคิวปิด กระผม...เชื่อแล้ว...ขอรับ”
ขณะที่เซเลน่ากำลังเพลิดเพลินกับการแกล้งเจ้าหมาปากดี ด้วยการเคลื่อนปลายนิ้วไปทางซ้ายทีขวาที ให้ร่างของเจ้าลักกี้ที่ลอยอยู่เคลื่อนไปมาตามนิ้ว เสียงรักษิตก็ดังขึ้น
“คุณทำอะไรน่ะ !”
*******************
“ขอบคุณท่านมากนะคะ ที่ยอมให้ข้าไปอยู่ด้วย” เซเลน่าเอ่ยจากใจจริงขณะยืนให้รักษิยามัดผมสีน้ำตาลหยักศกรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังให้อยู่ในห้องน้ำ
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ แค่นี้ถือว่านิดหน่อยเองถ้าเทียบกับที่พี่ทำให้น้องเอแคร์ต้องเดือดร้อน”
เซเลน่า หรือ เอแคร์..ชื่อใหม่ที่รักษิยาตั้งให้หลังจากเห็นเซเลน่ากินขนมเอแคร์ฝีมือของหล่อนเข้าไปเกือบสามสิบก้อนยิ้ม มองมนุษย์สาวผู้มีหน้าตาน่ารัก น้ำใจงาม ผ่านเงาสะท้อนจากกระจก เอ่ยว่า “ข้าชอบท่านจัง”
“ขอบใจจ้ะ” คนน่ารักยิ้ม มัดผมเสร็จแล้วก็ผูกโบว์เพิ่มความน่ารักให้ด้วย แล้วแนะนำว่า “น้องเอแคร์คะ พี่ว่าเวลาน้องเอแคร์เปลี่ยนคำว่า ข้า เป็น ฉัน และ คำว่า ท่าน เป็น คุณ จะดูน่ารักกว่าเยอะเลยนะคะ”
“พวกมนุษย์พูดกันอย่างนี้เหรอคะ” คิวปิดสาวหลุดปากถาม พอเห็นคิ้วเรียวของอีกฝ่ายขมวดมุ่นก็รีบกลบเกลื่อนว่า “ข้า...เอ่อ ฉันหมายถึงว่า พวกคุณพูดกันอย่างนี้น่ะเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ เห็นไหมคะฟังน่ารักกว่าเยอะเลย” รักษิยายิ้มอย่างไม่ติดใจสงสัยอะไร
--------------------------
รักษิตขับรถพาน้องสาวและสมาชิกใหม่กลับบ้าน ใจจริงเขาอยากจะเลี้ยวรถเข้าไปในสถานีตำรวจ ให้สาวสิบแปดมงกุฎยอมรับความจริง แต่ด้วยเป็นห่วงว่าน้องสาวของเขาอาจจะถูกจับข้อหาขับรถชนผู้อื่น เขาจึงต้องทำหน้าที่จับผิดแม่สาวสิบแปดมงกุฎด้วยตัวเอง
ดังนั้นขณะขับรถ รักษิตจึงลอบมองเซเลน่าผ่านกระจกส่องหลังเป็นระยะๆ แต่ทุกครั้งเขาก็เห็นหญิงสาวเอาแต่เกาะหน้าต่าง มองสองข้างทางอย่างสนใจ และคอยถามน้องสาวของเขาที่นั่งเบาะข้างคนขับว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร
“นั่นตัวอะไรลอยอยู่บนนั้นคะ!” เซเลน่าถามพลางชี้ไปบนฟ้า
“รถไฟฟ้าค่ะ”
“มันดุไหมคะ ว๊ายๆๆ มีสองตัวเลย!” คิวปิดสาวร้องเมื่อเห็นรถไฟฟ้าสองขบวนวิ่งสวนกัน ยังผลให้รักษิยาหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่
‘ถ้าหล่อนเป็นสิบแปดมงกุฎจริง แสดงว่าหล่อนเป็นระดับมืออาชีพเลยทีเดียว ถึงแสดงได้แนบเนียนขนาดนี้’...รักษิตยอมรับในใจ แต่ก็ยังคอยลอบมองหญิงสาวไปตลอดทางกลับบ้าน
“ตรงนี้ไงคะที่พี่ขับรถชนเอแคร์ น้องเอแคร์พอจะจำอะไรได้บ้างไหมคะ” รักษิยาบอกพลางชี้ออกไปนอกรถเมื่อรถเลี้ยวเข้ามาในซอยบ้าน
เซเลน่ามองออกไปเห็นต้นไม้ใหญ่ จำได้ว่าตรงนี้คือตำแหน่งที่หล่อนประจันหน้ากับมนุษย์ชายขายไอศกรีม...ที่แท้ประตูสู่โลกมนุษย์พาหล่อนลงมาใกล้บ้านของนายรักษิตนี่เอง
แต่ถึงแม้เซเลน่าจะจำได้ หากบอกออกไปว่า “จำไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวค่อยๆ คิดไปก็ได้ ถึงบ้านพี่แล้วค่ะ” ประโยคหลังรักษิยาเอ่ยขึ้นเมื่อรถเคลื่อนมาหยุดหน้าบ้านหลังหนึ่ง
รักษิตลงจากรถไปเปิดประตูรั้วออก ภาพบ้านหลังสีขาวหลังคาสีฟ้าอ่อนขนาดกะทัดรัดตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้นานาพรรณทั้งต้นสูงใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น ซุ่มดอกไม้หลากสีซึ่งรายล้อมอยู่รอบรั้วช่วยเพิ่มความน่ารักให้บ้าน แม้ขนาดของบ้านหลังนี้จะเทียบไม่ได้เลยกับวิหารของเทพคิวปิดบนเทือกเขาโอลิมปัส แต่ที่นี่มีความน่ารักอบอุ่นอย่างที่วิหารใดๆ ไม่มีเช่นกัน
“เชิญเลยค่ะ” รักษิยาเปิดประตูให้สมาชิกคนใหม่ที่มัวแต่ตรึงใจกับบ้านหลังน้อย เลยไม่ทันรู้ตัวว่ารักษิตขับรถเข้ามาจอดในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่
เซเลน่าก้าวลงจากรถ รักษิตก็ขับรถเข้าไปจอดด้านในลานจอดรถ เซเลน่าย่นจมูกเพราะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเตะจมูก “กลิ่นอะไรคะ หอมจัง”
“กลิ่นดอกแก้วค่ะ” รักษิยาชี้ไปที่พุ่มดอกไม้ขนาดใหญ่ ความสูงเกือบเท่าตัวของเซเลน่าซึ่งอยู่ติดกับทางเดินเข้าบ้าน เซเลน่าปราดเข้าไปยื่นหน้าดมดอกสีขาวที่ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ พลันสายตาก็หันไปเห็นต้นดอกแก้วอีกหลายต้นปลูกเป็นแนวยาวชิดกับรั้วปูน
“โห...ต้นดอกแก้วเยอะจัง” สมาชิกใหม่ตาลุกวาว
“คุณแม่ปลูกเอาไว้น่ะค่ะ ท่านเชื่อว่าปลูกดอกแก้วไว้ในบ้านจะทำให้คนในบ้านจิตใจดี ใจสะอาด บริสุทธิ์เบิกบานค่ะ”
เซเลน่าพยักหน้ารับและมองรักษิยาด้วยแววตาชื่นชม...หรือเป็นเพราะเจ้าดอกแก้วนะ ถึงทำให้รักษิยาเป็นมนุษย์ที่น่ารักและจิตใจดีเช่นนี้ ถ้าเกิดว่าหล่อนไม่สามารถทำลายฤทธิ์จากปลายศรในหัวใจร่างของนายภูมิได้ ผู้หญิงแสนดีผู้นี้จะต้องเสียใจ ซึ่งเซเลน่ายอมไม่ได้!
ว่าแต่ตอนนี้นายภูมิอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ลงมาบนโลกมนุษย์ หล่อนยังไม่ได้พบนายภูมิเลย ทั้งๆ ที่คนรักทั้งสองคนของเขาอยู่ตรงนี้
“ที่นี่อยู่กันกี่ท่านหรือคะ” เซเลน่าเอ่ยถาม หวังจะโยงถามถึงนายภูมิ
“สามคนค่ะ มีพี่ พี่รัก แล้วก็รักพงษ์น้องชายคนเล็กค่ะ แต่พงษ์ไม่ค่อยอยู่บ้านหรอกค่ะ เขาอยู่หอที่มหา’ลัย อ่อ แล้วก็มีลักกี้ด้วยค่ะ”
“ลักกี้ ? เป็นพี่หรือน้องคะ”
“เป็นหมาค่ะ”
“หมา ? อะไรคือหมาคะ”
เซเลน่าไม่ต้องรอคอตอบนาน เสียงเห่าโฮ่งก็ดังมาแต่ไกล หล่อนหันไปจึงเห็นสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดวิ่งมาจากข้างบ้าน สี่ขาของมันเสือกบนพื้นหญ้าอย่างเร็วจนหูทั้งสองข้างลู่ไปด้านหลังนำพาร่างสีขาวจุดดำซึ่งแข็งแรงและเต็มไปด้วยมัดกล้ามวิ่งตรงมาทางเซเลน่า ริมฝีปากยาวใต้จมูกดำรูปหัวใจแยกเขี้ยว ยิ่งเพิ่มความน่าสะพรึง จนคิวปิดสาวร้องและหลับตาปี๋
“กรี๊ดดดดด !”
“จะร้องทำไม”
เสียงห้าวทุ้มดังกระทบโสตประสาท เซเลน่าตวาดแว้ดทั้งที่ยังไม่เปิดตา “ก็ฉันตกใจนี่ !”
“ตกใจทำไม บ้าเปล่า”
เซเลน่าเปิดตา ตวาดแว้ดใส่ว่า “ฉันไม่ได้บ้า! ฉันไม่เคยเห็นเจ้าสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดอย่างนี้ก็เลยตกใจ ฉันผิดด้วยเหรอ”
รักษิตนิ่วหน้างง ขณะที่มือลูบหัวเจ้าลักกี้ที่กำลังกระโดดยกขาหน้าเกาะตัวเขา
“คุณไม่ต้องทำไม่รู้เรื่องเลย ฉันได้ยินคุณมาหาว่าฉันบ้า”
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”
“ใช่ค่ะ พี่เป็นพยานได้ว่าพี่รักยังไม่ได้พูดอะไรเลยค่ะ สงสัยน้องเอแคร์คงหูฝาดไปเอง” รักษิยาพยายามเป็นคนกลางไม่ให้ทั้งสองมีปัญหากัน
“ฉันไม่ได้หูฝาด ฉันได้ยินจริงๆ คุณพี่รักพูดว่าฉันจะตกใจทำไม บ้าเปล่า” ก้าวเข้าไปยืนประจันหน้ากับใบหน้าคม
“หา ! นี่คุณผู้หญิงได้ยินที่กระผมพูดด้วยหรือขอรับ” เสียงห้าวดังขึ้นอีก
คราวนี้เซเลน่าเห็นเต็มสองตาว่าริมปีปากหยักสีชมพูบนใบหน้าคมไม่ได้ขยับเลยสักนิด...แล้วเสียงนั้นมาจากไหน
“ใครพูดน่ะ”
ไม่มีคำตอบ นอกจากเสียงห้าวคร่ำครวญ
“ไม่จริง ! กระผมต้องฝันไป จะมีมนุษย์คนไหนได้ยินกระผมพูดได้ยังไง ไม่จริงๆๆๆ” มันบอกตัวเองพลางยกขาตบหน้าตัวเอง
“รู้แล้ว ! ท่านลักกี้นั่นเองที่ว่าข้า !”
สองพี่น้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ส่วนหนึ่งสุนัขผงะตัวไปข้างหลัง
“ยอมรับมาซะดีๆ” เซเลน่ายังไม่หยุดคาดคั้นเจ้าลักกี้ ยังผลให้ ‘ผู้ถูกคาดคั้น’ ถึงกับเห่ากรรโชก แต่เซเลน่าได้ยินเจ้าลักกี้ร้องโวยวายอย่างคุมสติไม่อยู่
“คะ...คะ...คุณผู้หญิง...ได้ยินกระผมพูดจริงๆ คุณผู้หญิงไม่ใช่คนแน่ๆ ไม่ใช่แน่ๆ ช่วยด้วย ! ผีหลอกตอนกลางวัน !” แล้ววิ่งหางจุกตูดหายไปทันที
“ลักกี้เป็นอะไร” รักษิตตะโกนถาม
ส่วนเซเลน่าอึ้ง ก้มมองสำรวจร่างตัวเอง...ปีกก็ไม่ได้งอก คันธนูไม่ได้โผล่ออกมา แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมลักกี้ถึงรู้ว่าเราไม่ใช่คน หรือว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘หมา’ จะมีตาทิพย์มองเห็นร่างที่แท้จริงของหล่อน
‘โอ๊ย ! ตายแล้ว แล้วลักกี้จะบอกความลับนี้กับใครไหมเนี่ย’
ขณะที่เซเลน่ากังวลกับเรื่องเจ้าลักกี้อยู่นั้น รักษิตที่คิดว่าอาการประหลาดที่เกิดขึ้นหญิงสาวคงสร้างขึ้นมาเพื่อให้สมกับบทบาทของสาวสติฟั่นเฟือง จึงแซว
“ตกลงคุณได้ยินเจ้าลักกี้พูดจริงๆ หรือเปล่า ถ้าจริงผมจะได้ฝากถามหน่อยว่าตกลงมันชอบใครกันแน่ระหว่างน้องสายไหม หรือน้องปั๊กกี้”
เซเลน่าไม่ตอบ ตอนนี้ไม่พูดอะไรไว้เป็นดีที่สุด เอาไว้ให้รู้แน่ชัดก่อนดีกว่าว่าทำไมลักกี้ถึงรู้ว่าหล่อนไม่ใช่คน
--------------------------
กว่าเซเลน่าจะหลบออกมานอกบ้านได้ก็หลังจากที่รักษิยาพา ‘สมาชิกใหม่’ ขึ้นไปดูห้องนอนของรักษิยาที่จะใช้นอนด้วยกัน ก่อนจะลงมาชั้นสองของบ้าน
“น้องเอแคร์นั่งดูทีวีไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่จะเข้าไปทำอะไรให้ทาน ใกล้จะเที่ยงแล้ว”
“อะไรคือเที่ยงคะ”
“เป็นคำที่เรียกง่ายๆ แทนเวลาช่วงสิบสองนาฬิกาน่ะค่ะ”
หญิงสาวจากเทือกเขาโอลิมปัสพยักหน้าเข้าใจ ถามใหม่ว่า “แต่เราเพิ่งกินไปเมื่อไม่นานนี้เอง จะกินใหม่อีกแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะ คนเราต้องทานอาหารสามมื้อต่อวัน ร่างกายถึงจะแข็งแรง”
“โห...กินบ่อยจัง วันๆคงไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ เดี๋ยวก็กินเดี๋ยวก็กิน”
รักษิยาหัวเราะอย่างไม่ถือสา “ไม่กินก็หิวจนทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าน้องเอแคร์ตามสบายนะคะ เสร็จแล้วพี่จะเรียก” บอกแล้วก็เดินหายเข้าไปทางครัว
เซเลน่ายิ้มรับ มองตามร่างโปร่งเดินหายเข้าไปในทางเดินสู่ห้องครัว แล้วผุดลุกขึ้นตั้งใจจะไปคุยกับเจ้าลายจุดให้รู้เรื่อง แต่พอกำลังจะออกไป รักษิตก็เปิดประตูออกมาจากห้องทำงานซึ่งอยู่ติดกับบันได
“คุณจะไปไหน”
“เปล่านี่”
“เปล่าอะไร ผมเห็นอยู่ว่าคุณกำลังจะออกไปข้างนอก”
“อ๋อ...” เซเลน่าลากเสียงยาว หวังถ่วงเวลาคิดหาคำตอบ “ฉันจะไปดูดอกแก้ว มันสวยดี หอมด้วย”
ชายหนุ่มมองอย่างไม่เชื่อ หากถามว่า “แล้วยาล่ะ”
“คุณน้องยาไปทำอาหารเที่ยง เธอเดินไปทางโน้นน่ะ คุณไปดูสิ เอ๊...เมื่อตะกี้ได้ยินว่าคุณน้องยาอยากจะเจอคุณอยู่ด้วยนะ” พยายามผลักไสไล่ส่งเขาเต็มที่ หล่อนจะได้ไปหาลักกี้สักที
แต่อีกฝ่ายไม่หลงกล
“ไม่ไป ผมจะไปดูดอกแก้วกับคุณ” บอกแล้วเป็นฝ่ายนำเปิดประตู แต่อีกฝ่ายไม่เดินตาม
“ฉันไม่ไปแล้ว ฉันไปดูคุณน้องยาทำอาหารเที่ยงดีกว่า”
“ดีเหมือนกัน ผมกำลังอยากช่วยยาอยู่พอดี” ชายหนุ่มยิ้มมุมปากอย่างยียวน เซเลน่าเม้มปากแน่นอย่างอดทน...เขาคงจงใจจะตามหล่อนชัดๆ แล้วอย่างนี้หล่อนจะไปหาเจ้าลักกี้ได้ยังไง
ทว่าโชคยังเข้าข้างเซเลน่า เพราะโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของรักษิตดังขึ้น เขาจึงล้วงขึ้นมากดรับสาย
“ฮัลโหลครับ ไฟล์ส่งไปไม่ถึงเหรอครับ ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมส่งไปให้อีกที” ชายหนุ่มละโทรศัพท์ออกจากหู แล้วสั่งหญิงสาวว่า “อย่าไปไหนล่ะ อยู่ตรงนี้ก่อน” แล้วเขาก็คุยโทรศัพท์พร้อมกับเดินเข้าไปในห้องทำงาน
ประตูห้องปิด เซเลน่าก็เป็นฝ่ายกระตุกยิ้ม “เชื่อก็กลัวสิ”
--------------------------
“คุณลักกี้...คุณลักกี้” เซเลน่าเรียกเสียงเบา พลางเดินลัดเลาะผ่านพุ่มไม้มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เห็นลักกี้วิ่งหายไป
“ฮือ...ฮือ...พ่อแก้วแม่แก้ว...ช่วยกระผมด้วย...ฮือ...” เสียงครางดังขึ้นจากหลังอ่างบัว
เซเลน่าก้าวเข้าไปทางเสียงจึงพบร่างลายจุดดำตัวสั่นเทิ้มนอนหมอบอยู่ จึงทัก “อยู่นี่เอง”
หูสองข้างตั้ง ลูกตากลมเล็กเบิกโพลง เมื่อเห็นผู้ที่นั่งย่อตัวอยู่ตรงหน้า
“ผี !!!”
มันลุกขึ้นยืน ตั้งท่าเตรียมจะวิ่งหนี แต่เซเลน่ากระโดดขวางหน้า “จะไปไหน”
“อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยขอรับ กระผมกลัวแล้ว อยากได้อะไรก็มาเข้าฝันเอาก็แล้วกันนะขอรับ เดี๋ยวจะบอกให้นายรักทำบุญไปให้” มันหลับตาปี๋ ตัวสั่นเทา
“คุณลักกี้ใจเย็นๆ ก่อนนะ ฉันไม่ใช่ผี ฉันไม่ทำอะไรท่านหรอก”
เจ้าลายจุดหยุดสั่น ค่อยๆ เปิดตาพร้อมกับแหงนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ มันก้าวเข้าไปใกล้คิวปิดสาว ใช้จมูกสีดำดมไปรอบๆ ตัวหล่อน
“มีกลิ่นมนุษย์จริงๆ ไม่มีกลิ่นสาปผี” แล้วสรุป “โอเค กระผมเชื่อแล้วว่าท่านไม่ใช่ผี กระผมก็คิดอยู่ว่าผีอะไรจะสวยขนาดนี้ อิอิ” พอหายกลัว ลักกี้ก็เริ่มปล่อยมุขพร้อมกับ ‘ฉีกยิ้ม’
แต่รอยยิ้มนั้นทำเอาอีกฝ่ายผงะตกใจ “ว้าย !”
“ตกใจอะไรขอรับ”
“แยกเขี้ยวใส่ฉันทำไมเล่า”
“โห...พูดงี้เสียเซลฟ์หมด กระผมไม่ได้แยกเขี้ยวขอรับ แต่กระผมกำลังยิ้มขอรับ ทั้งโลกคงมีแต่คุณผู้หญิงคนเดียวล่ะมั๊งขอรับที่กลัวรอยยิ้มกระผม พูดแล้วจะหาว่าคุย น้องๆ หมาทั้งซอยเห็นรอยยิ้มของกระผมไม่ได้เลยนะขอรับ เป็นต้องกรี๊ดดดดสลบกันทุกตัว”
เห็นว่าเจ้าลักกี้ชักจะไปกันใหญ่จึงเริ่มเข้าเรื่อง “คุณลักกี้ ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ”
“ถามเยอะๆ ก็ได้อะไรขอรับ ชอบจริงจริ๊งเวลามีคนเรียกคุณเนี่ย...คิคิ”
“ทำไมคุณถึงรู้ว่าฉันไม่ใช่คน”
“ง่ายๆ ก็คนปกติไม่มีใครฟังกระผมพูดได้หรอกขอรับ ภาษาคนกับภาษาสุนัขคนละภาษากัน แต่นี่คุณผู้หญิงซึ่งเป็นคนฟังกระผมพูดรู้เรื่องทุกถ้อยคำ นั่นแสดงว่าคุณผู้หญิง...หือ !” ปากยาวที่กำลังขยับชะงัก “นั่นสิ แล้วทำไมคุณผู้หญิงคุยกับกระผมได้เนี่ย คุณผู้หญิงเป็นใครหรือเป็นตัวอะไรกันแน่ บอกกระผมมาเดี๋ยวนี้นะขอรับ”
เซเลน่าลังเล...ท่านซีอุสสั่งห้ามไม่ให้หล่อนแพร่งพรายเรื่องความลับของเทือกเขาโอลิมปัสให้มนุษย์รู้ แต่ลักกี้เป็นสุนัขไม่ใช่มนุษย์สักหน่อย งั้นให้เจ้าลักกี้รู้เรื่องของเราเอาไว้เผื่อจะขอความช่วยเหลือก็คงไม่เป็นอะไร
“ถ้าฉันบอกความจริงกับคุณ คุณต้องสัญญานะว่าจะไม่บอกใคร โดยเฉพาะพวกมนุษย์”
“ถึงกระผมอยากบอกก็บอกไม่ได้หรอกขอรับ ก็กระผมบอกแล้วไงว่าไม่มีใครฟังกระผมพูดรู้เรื่องหรอกขอรับ”
แล้วเซเลน่าก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ลักกี้ฟัง ทั้งเรื่องหล่อนมาจากเทือกเขาโอลิมปัส เรื่องหล่อนแผลงศรผิดตัวเลยต้องลงมาแก้ไข หากพอเล่าจบอีกฝ่ายกลับหัวเราะตัวงอ
“ฮ่าๆๆ คุณผู้หญิงบอกว่าคุณผู้หญิงเป็นคิวปิด ไอ้เจ้าเด็กตัวเล็กๆ มีปีก แก้ผ้าเห็นปิ๊กกาจู้ แล้วก็ถือธนูคอยยิงให้คนรักกันน่ะเหรอขอรับ”
“ใช่ๆ นั่นแหละบรรพบุรษของพวกฉันเอง”
“ฮ่าๆๆ” ลักกี้ยิ่งหัวเราะหนัก “คุณผู้หญิงขอร้าบ...ลักกี้เป็นหมานะขอรับไม่ใช่ควาย อย่ามาหลอกกันง่ายๆ เลยขอรับ”
“คุณไม่เชื่อฉันใช่ไหม”
ลักกี้หัวเราะไม่หยุดแทนคำตอบ เซเลน่าจึงมองไปรอบๆ อย่างสำรวจ เมื่อไม่เห็นใครอยู่ในบริเวณนั้น หล่อนก็ก้าวเข้าไปนั่งแอบหลังอ่างบัว ถอดสร้อยปีกนกออกจากลำคอ...เพียงชั่วพริบตาเดียว เซเลน่าก็กลายร่างเป็นคิวปิด
ปากยาวของลักกี้อ้าค้าง ตกตะลึงกับภาพที่เห็น “คะ...คุณ...ผู้หญิง...เป็นคิวปิด..จริงๆ”
เซเลน่าเพิ่มความมั่นใจให้ด้วยการชี้นิ้วไปที่ร่างของลักกี้ ลำแสงสีทองประกายระยิบระยับจากปลายนิ้วทำให้ร่างของลักกี้ลอยขึ้นเหนือพื้น หูสามเหลี่ยมที่เคยพับมาตลอดชีวิตตั้งชัน
“ปะ...ปล่อยกระผมลงเถอะขอรับท่านคิวปิด กระผม...เชื่อแล้ว...ขอรับ”
ขณะที่เซเลน่ากำลังเพลิดเพลินกับการแกล้งเจ้าหมาปากดี ด้วยการเคลื่อนปลายนิ้วไปทางซ้ายทีขวาที ให้ร่างของเจ้าลักกี้ที่ลอยอยู่เคลื่อนไปมาตามนิ้ว เสียงรักษิตก็ดังขึ้น
“คุณทำอะไรน่ะ !”
*******************
สาธิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ค. 2554, 13:24:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ค. 2554, 13:24:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 1492
<< ตอน 2 | ตอน 4 >> |
Pat 10 ก.ค. 2554, 13:38:34 น.
ถูกเห็นซะแล้ว จะแก้ตัวไงล่ะเนี่ย
ถูกเห็นซะแล้ว จะแก้ตัวไงล่ะเนี่ย
เบญจามินทร์ 10 ก.ค. 2554, 16:02:25 น.
ลักกี้ ฮาใช้ได้เลย ^^
ลักกี้ ฮาใช้ได้เลย ^^