เมียเก็บ e-book
หล่อนคือหนามยอกยอกน้องสาวที่สมควรกำจัดให้พ้นทาง แต่กลับย้อนมาทิ่มแทงใจเขาให้ปวดร้าว แสนชิงชัง แต่กลับหลงใหลในวังวนเสน่หนา ใต้คำครหาหยามเหยียด...กืนน้ำใต้ศอกเพื่อนสนิท!

**หมายเหตุ**
งานเขียนนี้เคยตีพิมพ์ในนามปากกา ทิตภากร ปัจจุบันเนื้อหาได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อความสมบูร์ของเนือเรื่อง

(เปิดให้อ่านบางส่วนเท่านั้น!!)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3




เมื่อคืนรสาดื่มหนัก หล่อนกลัดกลุ้มเรื่องส่วนตัว เช้านี้ก็เลยตื่นสายซ้ำยังมีอาการเมาค้าง ถึงกระนั้นก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานตามปกติ ไม่อยากมีความผิดเพิ่มขึ้นอีกกระทง เพราะเมื่อวานหล่อนเพิ่งจะปะทะคารมกับภรรยาของกวี ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องดีนัก

“คุณรสาคะ...มีคนฝากโทรศัพท์มาคืนคุณค่ะ”

คนตื่นสายที่เพิ่งก้าวออกจากลิฟต์ชะงักปลายเท้า พลางหันมองเจ้าของเสียงที่เรียกขาน ครั้นเห็นประชาสัมพันธ์สาวที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดียืนคลี่ยิ้มโชว์ฟันขาวอยู่หลังเคาน์เตอร์ก็สาวเท้าเข้าไปหา

“ใครฝากไว้เหรอคะ?”

“ไม่ทราบค่ะ พอดีเขาไม่ได้แจ้งชื่อไว้ แค่เอาโทรศัพท์มาฝากแล้วก็รีบร้อนออกไป”

“อย่างนั้นเหรอคะ...” รสาคลี่ยิ้มบาง แม้จะผิดหวังในคำตอบ แต่ก็ยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์พลางนึกขอบคุณคนที่นำมาคืนอยู่ในใจ ครั้นเปิดเครื่องเช็กข้อมูลต่างๆ แล้วเห็นคำด่าทอหยาบคายนับสิบปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ หล่อนก็โกรธจนควันออกหู ก้าวฉับๆ ออกจากมาโบกแท็กซี่แทนการนั่งรถโดยสารประจำทางอย่างเช่นทุกวัน

ทันทีที่มาถึงโรงแรมหรูระดับห้าดาวอันเป็นสถานที่ทำงาน รสาก็พกความหงุดหงิดลงจากรถตรงไปกดลิฟต์ขึ้นไปพบกวี หล่อนต้องการพูดกับเขาให้รู้เรื่อง พูดให้แตกหักกันไปข้าง ไม่เช่นนั้น...คงไม่มีสมาธิปฏิบัติงาน ด้วยหัวเสียเกินกว่าจะทำเช่นนั้น

“เธอจะเข้าไปเองโดยพลการไม่ได้นะ ฉันบอกว่าเข้าไม่ได้ยังไงล่ะ ไม่ได้ยินหรือไง!”

เลขาสาวเอ็ดตะโรเสียงลั่นถลามาขวางกั้นรสา แต่ไม่ทันเสียแล้ว หล่อนกระชากประตูห้องทำงานของกวีแล้วก้าวเข้าไปด้านในโดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม ครั้นเลขาสาวเห็นดังนั้นก็รีบสาวเท้าตามเข้าไป

“เอ่อ...ขอโทษค่ะ ดิฉันห้ามแล้ว แต่...”

“ไม่เป็นไรครับ คุณออกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” แม้สีหน้าแววตาของกวีจะไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ แต่ทันทีที่เลขาสาวถอยร่นออกไป เขาก็หันมาเอ่ยเสียงเครียดกับรสา

“มีธุระอะไรถึงรอไม่ได้ต้องรีบร้อนเข้ามา”

“ก็เมียคุณน่ะสิ...ตามรังควานฉันไม่เลิก”

“คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”

“ก็ดูเอาเองสิ!” รสากระแทกโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะทำงาน ไม่ได้ฟ้อง แต่ก็เหมือนฟ้อง ด้วยนึกไม่พอใจที่ระรินมาระราน อีกทั้งยังเห็นว่ากวีควรจะทราบเรื่องนี้ เขาจะได้คอยกำหลาบ ไม่ใช่ปล่อยให้ภรรยาส่งข้อความหยาบคายมาด่าทอหล่อนอยู่ทุกวัน

“โธ่...นึกว่าเรื่องอะไร เธอจะต้องไปสนใจทำไม ลบทิ้งซะก็หมดเรื่อง” กวีมองข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วลบทิ้งให้ดูเป็นตัวอย่างพลางไหวไหล่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ระรินระรานผู้หญิงที่อยู่รอบตัวเขา แม้แต่เลขาหน้าห้อง...ภรรยาของเขาก็เคยแผลงฤทธิ์ใส่มาแล้ว

“คุณพูดอย่างนี้ได้ยังไงกัน ทั้งที่ภรรยาคุณ...”

“ไม่เอาน่ารสา เธอก็รู้นี่ว่าฉันทำดีที่สุดแล้ว”

“ดีที่สุดแล้วอย่างนั้นเหรอ” รสาย้อนถามเสียงหยัน นัยน์ตาแฝงแววตัดพ้อ

“ก็ใช่น่ะสิ ทุกวันนี้เธอมีชีวิตสุขสบายไม่ต้องลำบากเพราะใคร...ถ้าไม่ใช่ฉัน”

“คุณก็เลยคิดว่าฉันจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้เมียคุณโขกสับอย่างนั้นสิ ขอโทษ...คุณคงลืมไปแล้วกระมังว่าฉันไม่เคยขอร้องหรือต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”

“เรื่องนั้นฉันรู้...”

“ถ้ารู้ก็ไม่ควรจะปล่อยให้เมียคุณมาคุกคามฉันอย่างนี้ แต่ควรจะรีบจัดการเรื่องระหว่างเราให้เสร็จเสียที ทางที่ดีคุณควรจะบอกเธอ บางทีเรื่องอาจจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น”

“ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง เธอก็รู้นี่นาว่าตอนนี้ฉันลำบากใจ ขอเวลาฉันอีกนิดเถอะนะรสา แล้วฉันจะบอกเรื่องของเรากับระริน”

“คุณก็พูดอย่างนี้ทุกครั้ง บอกแต่ว่าให้รอ แล้วต้องรอไปถึงเมื่อไหร่กัน หรือต้องรอให้เมียคุณมาฉีกอกหรือเอาน้ำกรดมาสาดหน้าฉันก่อน คุณถึงจะพอใจ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันก็แค่ต้องการเวลามากกว่านี้อีกสักนิด เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันขอโทษแทนเมียฉันด้วยก็แล้วกัน เธอเองก็ไม่ต้องคิดมากหรอก อะไรปล่อยวางได้บ้างก็ปล่อยๆ ไปบ้างเถอะ...จะได้ไม่มีเรื่องกัน ถือซะว่าฉันขอร้อง” แม้กวีจะหนักใจ แต่เขาก็ลุกไปกุมไหล่บางพลางบีบเบาๆ เชิงปลอบใจ ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าภรรยาผิด แต่จะทำอย่างไรได้ เขาห้ามระรินไม่ได้ก็จำต้องปรามรสา ในจังหวะนั้นเองประตูห้องทำงานของเขาก็เปิดผาง

“คุณกวี!”

“ระริน...” กวีหน้าเจื่อน มือที่วางบนไหล่บางตกลงข้างตัว เมื่อเห็นสายตาเกรี้ยวกราดที่แสดงออกถึงความไม่พอใจของภรรยา ฝ่ายรสานั้นได้แต่หันมอง ไม่ได้สะทกสะท้านหรือตื่นตระหนกกับการเผชิญหน้ากับระรินที่ก้าวเข้ามายืนจังก้าภายในห้อง

“ที่นี่ห้องทำงานนะคะไม่ใช่โรงแรมม่านรูด จะทำอะไรก็อย่าให้ประเจิดประเจ้อมากนัก” ระรินค่อนเชิงประชด เดินเข้าไปกระชากสามีแล้วปรายตามองรสาอย่างเหยียดๆ

“เธอเองก็เหมือนกัน กลางวันแสกๆ ไม่รู้จักอายผีสางเทวดาเสียบ้างเลย หรือว่าทนรอไม่ไหวเลยต้องวิ่งมาเสนอตัวให้ผู้ชายเขาสนองถึงที่ห้อง”

“คุณระริน!”

“ทำไม...ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ”

แม้ภายในใจรสาจะเดือดปุดๆ อยากจะฝากรอยนิ้วทั้งห้าไว้บนใบหน้าสวยๆ ของเจ้าของรอยยิ้มหยันนั่นสักฉาด แต่หล่อนก็เปลี่ยนความคิด เลือกที่จะยิ้มเย็นแล้วจีบปากจีบคอพูดอย่างมีจริตยั่วโทสะอีกฝ่าย

“ค่ะ คุณระรินพูดถูก ฉันทนรอไม่ไหวจริงๆ แค่ได้ยินคุณกวีบอกว่าเบื่ออาหารที่บ้าน ฉันก็ทนไม่ได้ต้องขึ้นมาเสนอของเผ็ดร้อนน่ากินให้เขา อย่างน้อย...รสชาติก็แปลกใหม่ ไม่ซ้ำซากจำเจเหมือนน้ำพริกถ้วยเก่าที่กะปิใกล้จะเน่า”

“กรี๊ดดด...อีบ้า! นี่แกด่าฉันเหรอ” ระรินถลึงตาพลางปราดเข้าหารสา แต่กวีเข้ามาขัดตาทัพรวบจับตัวหล่อนไว้

“ไม่เอาน่าริน”

“นี่ปล่อยฉันนะ! ไม่เห็นหรือไงว่านังร่านนี่มันปากดีแค่ไหน ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้ตบสั่งสอนมัน ฉันต้องนอนไม่หลับแน่ๆ”

“พอเสียทีเถอะน่า คุณเอะอะโวยวายอย่างนี้แล้วผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

“ก็เรื่องของคุณสิ คุณทำอะไรยังไม่เคยเห็นแก่หน้าฉันแล้วจะมาอายทำไม ผู้ชายเฮงซวย! มักมาก...ทำอะไรไม่รู้จักคิด” ระรินหันมาเล่นงานสามี

รสาเห็นดังนั้นก็สบโอกาสเหมาะคิดจะหลบฉากก็เลยพูดแทรกขึ้น

“คุณกวีขา รสาขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ ถ้ามีอะไรก็โทรตามได้ทุกเวลา อ้อ...แล้วก็อย่าลืมเรื่องที่เราคุยกันไว้นะ รสารอคำตอบอยู่” รสาแสร้งออดอ้อนเสียงหวาน จงใจทิ้งข้อความกำกวมแล้วยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บปลายคางสากๆ ทิ้งรอยลิปสติกจางๆ วางระเบิดลูกย่อมๆ ให้ระรินได้เต้นเร่าๆ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ตฤณเปิดประตูเข้ามาเห็นเหตุการณ์นั้นพอดี

ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้คนที่เพิ่งก้าวเข้ามายืนอึ้งไปชั่วขณะ จากที่ไม่ปักใจเชื่อว่าเพื่อนสนิทริจะมีเมียน้อย เวลานี้ตฤณไม่มั่นใจ วินาทีที่เขาเดินสวนกับผู้หญิงคนนั้น ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาก็ทำให้เขาต้องหันมองแล้วก็นึกขึ้นมาได้...

ยัยเมรีขี้เมาหน้าผับนี่นา!

ถ้าอย่างนั้นไอ้เสี่ยเจ้าบุญทุ่มก็...

ตฤณหันหน้ากลับมามองกวี หลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากถามเพื่อนสนิท อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนอย่างร้อนตัว

“อย่าเพิ่งเข้าใจผิด มันไม่ใช่อย่างที่แกคิดหรอก”

“โกหก! พี่ตฤณอย่าไปฟังคุณกวีนะ พี่ก็เห็นความหน้าด้านหน้าทนของนังนั่นแล้ว พี่ต้องเชื่อรินนะ” ระรินท้วงเสียงดัง พลางสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนสามีแล้วถลาเข้าไปเกาะแขนพี่ชายที่มัวแต่หาที่จอดรถ จึงมาไม่ทันเหตุการณ์ที่หล่อนปะทะคารมกับนังผู้หญิงหน้าด้าน

“แกจะแก้ตัวว่ายังไงกวี”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร” กวีตอบเนือยๆ พลางพ่นลมหายใจออกมา สีหน้าเขาเหนื่อยหน่าย ขณะพาตัวเองไปทิ้งลงบนเก้าอี้หนังหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ รู้ดีว่าเพื่อนสนิทคงไม่จบคำถามอยู่แค่นั้นแน่

“พี่ตฤณ...พี่ตฤณอย่าไปเชื่อคุณกวีนะ เขาก็พูดอย่างนี้ทุกที บอกว่าไม่มีอะไรกับนังนั่น แต่ก็ยังอี๋อ๋อกับมัน!” ระรินเขย่าแขนพี่ชายเร่าๆ กลัวเหลือเกินว่าที่พึ่งสุดท้ายของหล่อนจะเข้าข้างเพื่อนสนิท

กวีเห็นดังนั้นก็พ่นลมหายใจออกมา เหนื่อยใจกึ่งเอือมระอานิสัยไม่รู้จักโตของภรรยาจนต้องปราม

“ไม่เอาน่าริน ก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำไมชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่เรื่อย แล้วนี่คุณตามไอ้ตฤณขึ้นมาทำไม คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าตอนนี้ไอ้ตฤณกำลังยุ่งอยู่กับโรงแรมทางใต้ของมัน”

“ที่ฉันต้องเรียกพี่ตฤณขึ้นมาก็เพราะคุณนั่นแหละ คุณทำให้ฉันต้องอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน แล้วยังจะบอกว่าเป็นเรื่องเล็กอีกเหรอ ถ้าคุณแค่เล่นๆ กับนังนั่น ฉันก็จะไม่ว่าหรอก แต่นี่รับเข้ามาทำงานแล้วยังให้ท้ายสารพัด ปล่อยให้มันมาเดินลอยหน้าลอยตาหยามฉัน ทำอย่างนี้ความหมายว่ายังไง!”

“ผมก็แค่สงสารก็เลยรับรสาเข้ามาทำงาน ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น”

“โกหก! ถ้าคุณไม่มีอะไรกับนังนั่น ทำไมไม่ไล่ออก ทั้งที่มันเป็นต้นเหตุให้เราทะเลาะกัน”

“ผมทำไม่ได้!” กวีเอ่ยเสียงเครียด สีหน้าแววตาจริงจังคู่นั้นทำให้ระรินต้องหันไปหาพี่ชายแล้วปล่อยโฮออกมา

“พี่ตฤณได้ยินแล้วใช่ไหมคะ เขาไม่ไล่นังร่านนั่นออก เขารักมัน...รักมันมากกว่าริน เขาเห็นมันดีกว่าริน พี่ได้ยินไหม...ได้ยินหรือเปล่า เขาเห็นนังนั่นดีกว่าริน!”

ถ้อยคำตัดพ้อกับหยาดน้ำตาเปียกชื้นบนแผงอกทำให้ตฤณอยากจะหันไปตะบันหน้าเพื่อนรัก แต่กำปั้นที่กำแน่นกลับคลายออกยกขึ้นลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจระริน หล่อนเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา ใครมาทำให้น้องเขาเจ็บ เขาก็เจ็บปวดใจไม่แพ้กัน

“ใจเย็นๆ ริน พี่ขอคุยกับไอ้กวีตามลำพังสักครู่...ออกไปรอข้างนอกก่อนไป”

“แต่...”

“พี่บอกให้ออกไปก่อนไง” แม้เวลานี้สีหน้าแววตาของตฤณจะไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ แต่น้ำเสียงที่เข้มขึ้นก็ทำให้ระรินจำต้องผละออกห่างและถอยร่นแต่โดยดี ทันทีที่คล้อยหลังหล่อนคำถามก็ดังขึ้น

“ฉันต้องการคำอธิบาย”

แม้คำถามที่หลุดจากปากตฤณจะเรียบง่าย แต่สำหรับกวีแล้ว...ไม่ใช่เลย เวลานี้เขารู้สึกไม่ต่างไปจากการตกเป็นจำเลย สีหน้าแลเคร่งเครียด คิดหนักทีเดียว ทั้งที่อยากพูด...อยากอธิบาย แต่ติดเรื่องศักดิ์ศรีและสัญญาที่ให้ไว้กับคนตาย ถึงแม้ว่าความลับจะไม่มีในโลก แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาเปิดเผย ไม่สิ...เขาไม่คิดจะทำอย่างนั้นเสียด้วยซ้ำ ไม่...แม้แต่จะรื้อฟื้น และถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะฝังความลับนั้นไปพร้อมกับร่างของคนที่ไร้ลมหายใจ

“ฉันไม่มีคำอธิบาย รู้แค่ว่าฉันรักระริน...รักน้องสาวแกก็พอ”

ตฤณหรี่ตามองราวกับจะประเมินความคิด ถึงเขาจะคบหากับกวีมานานจนรู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี แต่เวลานี้เขาไม่มั่นใจ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ซักถามอะไรอีก นอกจากคิดในใจว่าคงต้องทำอะไรสักอย่าง เขาจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำลายชีวิตสมรสของน้องสาวได้เป็นอันขาด



โหลดอ่านได้แล้วที่....
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNTE5MzI4IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjA4NDciO30








กันต์ระพี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ม.ค. 2558, 10:09:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ม.ค. 2558, 10:09:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1251





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
โอชิน 11 ม.ค. 2558, 16:46:57 น.
สนุกจัง อยากอ่านอีก มาอัพไวๆนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account