ทัณฑ์ดอกรัก
เนิ่นนานกว่าร้อยปี โชคชะตาจึงชักพาเธอมาพบเจอกับเขาอีกครั้ง เธอถูกหว่านล้อมลวงหลอกด้วยเล่ห์กะเท่ห์มารยาของหนุ่มนักเลงกลอนอายุร่วมร้อยปีที่แสนน่ารัก โรคใจอ่อนกำเริบจนอ่อนใจ น่ากลัวว่า เธอจะเผลอตัวเผลอใจยอมตกห้วงรักอันแสนเย้ายวนไปร่วมกับเขาเข้าสักวัน
เพียงแต่คนบางคน หรือจะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น!
“ผมไม่สนใจว่าเขาจะเป็นวิญญาณบรรพบุรุษสายไหนของผม ผมรู้แต่ว่าเขาควรอยู่ส่วนเขา ส่วนคุณ...คุณต้องอยู่กับผม!”
(วิญญาณน่าเจี๊ยะ เจ้านายน่าแซะค่ะ ^^ เชิญเลือกหม่ำตามสบาย)
เพียงแต่คนบางคน หรือจะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น!
“ผมไม่สนใจว่าเขาจะเป็นวิญญาณบรรพบุรุษสายไหนของผม ผมรู้แต่ว่าเขาควรอยู่ส่วนเขา ส่วนคุณ...คุณต้องอยู่กับผม!”
(วิญญาณน่าเจี๊ยะ เจ้านายน่าแซะค่ะ ^^ เชิญเลือกหม่ำตามสบาย)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: เปิดตัว (1/2)
เกสรสีชมพูสดของต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวร่วงหล่นใส่ผ้าที่แผ่กางรอท่าไว้ราวครึ่งค่อนวัน นวลกับบ่าววัยไล่เลี่ยกันนั่งยองๆก้มหน้าก้มตารวบเอาเกสรรสเปรี้ยวใส่ลงในตะกร้าสานถี่ที่ติดมือมากันคนละใบอย่างรีบเร่งเพราะใกล้เวลาอาหารว่างยามบ่ายเต็มที แต่เก็บไปได้ไม่กี่ช่อกะคะเนจากสายตาแล้วไม่พอจะตั้งสำรับที่เรือนใหญ่ด้วยซ้ำ เสียงตะโกนเรียกก็ดังขัดจังหวะมาแต่ไกล
“อีพริ้ง...อีพริ้ง!”
ไม่แค่คนถูกเรียกที่เงยหน้ามองหาต้นเสียง นวลเองก็ละสายตาจากงานที่ทำอยู่เช่นกัน ในกรอบสายตา เธอเห็นร่างกำยำของชายวัยฉกรรจ์นุ่งโจงสีอย่างน้ำตาลไหม้เดินแกมวิ่งกวักมือเรียกอยู่ลิบๆ
“อะไรวะ ไอ้คง เรียกซะข้าตกอกตกใจ” พริ้งหยัดกายยืนขึ้น มือเท้าอยู่ที่สะเอวขณะพยักพเยิดหน้าถามน้ำเสียงเอาเรื่อง
“โถ แม่คุณแม่ทูนหัว ไม่มีเรื่องมีราวข้าจะเรียกรึ” คนเรียกถึงกับยืนหอบน้อยๆ ท่าทางจะวิ่งมาตั้งแต่เรือนยันเรือกสวน
“อะไร๊ ใครเรียกหาข้าอีกละ ใช่ซิ ข้ามันหัวไวใช้คล่องนี่ อะไรๆก็ข้า ข้าคนเดียวเลยนี่” พริ้งถามน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด ถ้อยความแฝงความนัยที่คนที่มักโดนเหน็บแนมค่อนขอดว่าทำอะไรเชื่องช้ายุรยาตรปานผู้ดีเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ด้วยความที่เคยชินฝีปากกันมานาน นวลจึงมั่นใจว่านอกจากพริ้งพยายามยกยอตนเองบ้างเป็นบางโอกาสแล้ว ก็ไม่เคยคิดร้ายอะไร
“ใครมีอะไรรึ คุณละเมียดให้พวกข้ามาเก็บนี่ รอประเดี๋ยวก็เสร็จ จะได้ไปด้วยกันหมดนี่ละ” นวลเอ่ยถึงงานที่ได้รับมอบหมายมาจากคุณละเมียดที่ตั้งใจลงครัวเองเพื่อทำอาหารว่างให้คุณจำเริญน้องร่วมบิดาที่หอบบุตรสาวมาขอพักพิงหลังสามีตนเสียชีวิต
“โอ๊ย รอไม่ได้! ก็คุณละเมียดละให้รีบมาเรียก ขืนชักช้าข้าจะโดนหวาย อีพริ้ง เอ็งมานี่ อย่าพิร่ำพิไล” คงปฏิเสธแล้วคว้าแขนพริ้งเดินแกมวิ่งมุ่งหน้ากลับไปที่เรือนโดยมีเสียงบ่นของพริ้งดังไปตลอดทาง
จนกระทั่งทั้งสองเดินลิ่วลับ นวลค่อยละความสงสัยแล้วหันกลับมาเก็บเกสรสีสวยต่อ กลิ่นหอมสดชื่นของมันชวนให้น้ำลายสอนึกถึงรสชาติยามคลุกเคล้ากับน้ำยำ ทว่า เก็บไปยังไม่ทันเต็มตะกร้า ก็เริ่มสังเกตพบ...ไม่ว่าเธอจะขยับเคลื่อนตัวไปทางไหน ร่มเงาก็ติดตามพาดผ่านจนไอแดดจ้าในยามบ่ายไม่ร้อนจัดนัก
หญิงสาวชักเอะใจตอนกระเถิบตัวเอื้อมไปหยิบเอาเกสรที่ร่วงเลยผืนผ้า แล้วเงานั้นขยับตามบังเกิดเสียงย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบเบาๆจากด้านหลัง
นวลเหลียวหน้าเงยมอง พอประจักษ์ว่าใครคือเจ้าของเงาปริศนา ก็ก้มกลับลงหดหัวงุดๆ รีบเปลี่ยนจากท่านั่งยองๆ เป็นพับเพียบเรียบร้อย มือรวบไว้ที่หน้าตักด้วยความประหม่ากังวล
“ต้องการอันใดหรือเจ้าคะ”
เจ้าของเงานั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคือเอื้อที่รูปร่างสมชายชาตรียิ่งขึ้นไม่เก้งก้างอย่างเด็กรุ่นด้วยวัยที่ใกล้ย่างเข้าเลขสาม ชายหนุ่มยิ้มขัน มือหนึ่งถือร่มไว้ให้ร่มเงาทั้งแก่ตนและอีกฝ่าย ส่วนอีกมือไพล่ไว้ด้านหลัง ทั้งท่วงท่าและหน้าตางามสง่าแต่ติดลักษณะเจ้าสำราญเป็นกันเองชวนให้ผู้คนนึกสนิทชิดใกล้
“ไม่ร้อนมั่งรึ” เขาไม่ตอบคำถามเพราะได้แล้วในสิ่งที่ตนต้องการโดยที่เธอไม่รู้
เป็นเขาเองที่เรียกให้คนสนิทมาหลอกดึงพริ้งไปอีกทาง ปล่อยเธอไว้อยู่กับเขาสองคน
“ไม่ร้อนเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวก็เสร็จ”
“แค่นั้นจะพออะไร ฉันช่วยเก็บนะ” เขาว่าพลางลดร่มลงหุบแล้วพิงไว้กับลำต้น ก่อนกระแอมแล้วเรียก “ยืนขึ้นก่อนสิแม่นวล”
“เจ้าคะ” คนถูกเรียกแค่เงยมองพลางกะพริบตาปริบด้วยความสงสัยโดยยังนั่งอยู่ท่าเดิม
“ฉันให้หล่อนยืน ทำหูทวนลมไปได้” เสียงของเขานุ่มนวลชวนฟัง แม้พยายามทำเหมือนดุ แต่ไม่ดุเท่าที่ตัวเขาตั้งใจ แต่กระนั้น นวลยังไม่กล้ากระมิดกระเมี้ยนให้เขาทวนคำสั่งซ้ำอีกรอบ เธอรีบยืนขึ้นไหล่ค้อมลู่ จะมองเขาแต่ละทีก็เหลือบมองเพียงนิดก่อนจะหลุบตาหลบด้วยความยำเกรง จนเขายิ้มขัน
“กลัวอะไรฉันนัก หัดหลบหน้าหลบตาตั้งแต่เมื่อไร สาวน้อยที่ทะเล่อทะล่ามาชวนฉันเล่นหมากเก็บนั่นหายไปไหนเสียแล้วเล่า” เขากล่าวเกลื่อนไปด้วยเสียงหัวเราะในตอนท้าย
“นั่นหลายปีแล้วนะเจ้าคะ” นวลท้วงที่เขาเก็บเรื่องนมนานมาแกล้งแหย่ ผิวหน้านวลแดงซ่านด้วยความขัดเขิน เมื่อนึกถึงวีรกรรมครั้งเก่าของตน
ตอนนั้น เธอเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน เห็นว่าเขาเดินลงจากเรือนสีหน้าเบื่อหน่าย ปราศจากบริวารคู่กายทั้งไอ้คงทั้งไอ้ทองล้อมหน้าล้อมหลังอย่างเคย ตัวเธอก็กำลังเบื่อด้วยยังไม่สนิทกับใครนักผนวกกับที่เขาเคยใจดีมีเมตตาให้ จึงบุ่มบ่ามชวนเขามาเล่นสนุกด้วยกัน ไม่ทันคิดว่าเขาโตกว่าอยู่หลายปี ไอ้การละเล่นแบบเด็กๆประสาผู้หญิงอย่างเธอนั้นอยู่นอกเหนือการสนใจไปไกลโข
“นั่นสินะ ฉันก็คิดอยู่...” เขาลากเสียงนุ่ม พลางส่งมือมาเชยคางเธอขึ้นสบสายตาเนิ่นนาน ก่อนกล่าวต่อเสียงเบาปานกระซิบ “แม่นวลของฉันโตเป็นสาวแล้วจริงๆ”
ความประหม่าขัดเขินต่อเรื่องราวน่าอายกลายเป็นอย่างอื่นที่เธอไม่เข้าใจ คล้ายว่าเขาได้กระตุ้นให้อะไรบางอย่างในใจเธอตื่นขึ้น มันเต้นตึกตักโครมครามจนน่ากลัวว่าเสียงจะดังไปถึงเขา
ทั้งคำพูด สายตาและสัมผัสอันอ่อนโยนชวนฝัน ชักเชิดให้หัวใจไหวสั่นเกินห้ามปราม
แต่เขาคือคนที่อยู่สูงเกินเอื้อม ไม่ควรคิด ไม่ควรแม้ฝัน
นวลรีบขืนศีรษะออกห่าง แม้รู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนจับไข้จนใกล้จะเป็นลมล้มพับลงต่อหน้าเขา
“หนีฉันอีกแล้ว” เขาดุเสียงอ่อนพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปลดผ้าอบกลิ่นหอมกรุ่นที่เขาคล้องคออยู่ออกมาตวัดคลุมลงบนศีรษะของเธอเพื่อบังแดด แต่ในขณะเดียวกัน เขาหวังใช้ผ้าผืนนั้นพันธนาการความรักความฝันของเธอไว้ข้างกายตลอดกาล
“ฉันไม่ยอมให้หล่อนหนีฉันได้ดอก แม่นวล”
วันเวลาของนวลคล้ายหยุดลงไปชั่วขณะ วินาทีที่ตาทั้งสองสบประสาน ช่วงเวลาที่ปลายนิ้วของเขาแตะผ่านผิวแก้มส่งไออุ่นโลมไล้แผ่วเบา หัวใจที่โครมครามดั่งหมดพลังจะเต้นต่อ เธอไม่กล้าผ่อนลมหายใจออก ไม่กล้าสูดหายใจเข้า แม้แข้งขาสั่นเนื้อตัวเย็นเยียบยามอยู่เบื้องหน้าเขาแต่ไม่กล้ารั้งเท้าเลี่ยงหลบ ในหัวเหมือนมีช่องว่างกลวงเปล่า ไร้ความคิดที่จะทำสิ่งใดทั้งสิ้น
ความสามารถที่หลงเหลืออยู่คือคงตนให้สามารถหยัดยืนอยู่ได้แล้วปล่อยให้โชคชะตาและตัวเขาชักพา
ทว่าก่อนที่เรื่องจะดำเนินไปไกลกว่านั้น ภาพทั้งหมดก็เลือนราง เสียงดุจัดของใครคนหนึ่งโพล่งขัดขึ้นในนิมิตอันพร่ามัว ก่อนทุกอย่างจะดับวูบหายอย่างกะทันหัน
“ทำอะไรนั่น พ่อเอื้อ”
ขณะที่นวลสะดุ้งตัวพรวดตื่นจากฝันกลางวันอันแสนสั้น เข่าทรุดฮวบลงค้อมตัวก้มลงหน้าแทบแนบสนิทกับพื้นดิน ปัญญ์ปรียาก็ ‘ตื่น’ ขึ้นที่เปรมบุราณ
การกลับมาของเธอคราวนี้นับว่าดีขึ้นกว่าคราวที่แล้ว อาการวิงเวียนคลื่นไส้ใคร่อาเจียนแทบไม่ปรากฏ เพียงรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย สมองทึบตื้ออย่างกับโดนฤทธิ์ข้างเคียงของยาลดน้ำมูก
“หล่อนเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงมนต์ปี่ของเขาหยุดลง ทดแทนด้วยการทอดถามอย่างอาทรแต่ก็ปนเปไปด้วยความเร่งร้อนจนผิดปกติ ปัญญ์ปรียาไม่ทันสังเกต ทั้งยังไม่มีอารมณ์จะสนใจ เธอกดมือลงที่ขมับขยับนวดเบาๆคลายความปวดมึน
“ดีอยู่ค่ะ ดีกว่าคราวก่อนเยอะเลย แค่มึนหัวนิดหน่อย ขอพักเดี๋ยวนะคะ” เธอว่า
“หล่อนควรกลับบ้านแล้ว”
“อ้าว นี่ดึกแล้วเหรอคะ” ปัญญ์ปรียาหยิบโทรศัพท์มือถือบนตักขึ้นดูเวลา เห็นว่าเพิ่งผ่านจากสองทุ่มมาไม่ทันถึงยี่สิบนาทีก็มองเขาด้วยความแปลกใจ “เพิ่งแป๊บเดียวเองนี่คะ”
“เขามา” เขาเฉลยเหตุที่ต้องเร่งเร้า สีหน้าบ่งบอกว่าตัวเขาเองก็ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ลุงขจรน่ะหรือคะ วันนี้มาตามเร็วจริง” หญิงสาวเอี้ยวตัวมองหา พยายามสอดสายตาผ่านช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือแต่ละชั้นไปทางประตูแต่ก็ไม่เห็นใคร
“ฉันไม่อยากให้หล่อนปดใครว่าเผลอหลับอยู่ในนี้อีก หล่อนโกหกไม่เก่งแต่ไหนแต่ไร หลอกใครเขาไม่ได้ดอก”
หญิงสาวค้อนใส่ อยากจะโต้ว่าตนไม่ใช่แม่นวลของเขา เพียงแต่นึกได้เสียก่อนว่ามีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องบอกเขาก่อนจากลา
“อ้อ พรุ่งนี้ฉันหยุดนะคะ”
ปกติเธอหยุดทุกวันพุธ เพิ่งจะมีอาทิตย์นี้ที่ดิพรขอแลกวันกับเธอเพราะติดธุระ เธอจึงมาหยุดวันจันทร์แทน การเปลี่ยนวันหยุดบ้างน่าจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องแจ้งเขา แต่แค่คิดว่าเขาอาจรอเก้อเพราะมั่นใจว่าเธอจะมาทำงานตามปกติ เธอก็เป็นกังวล
แต่แล้วหัวใจเธอพลันตกวูบด้วยความรู้สึกผิด เพราะเห็นสายตาอีกฝ่ายหม่นหมองลงด้วยความผิดหวัง แม้เขาไม่ตัดพ้อ ความเงียบจากเขากดดันจนเธอต้องกล่าวเสริมเอาใจ “เอาไงดีละ จริงๆบ้านฉันก็อยู่แค่นี้เอง เอาเป็นว่าฉันจะแอบแวะมาหาเวลาเดิมแล้วกันนะคะ”
“จริงนะ” เขาถาม รอยยิ้มกลับมากระจ่างกระจายบนใบหน้า
“จริงสิคะ ฉันสัญญา” คำยืนยันออกจากปากอย่างหนักแน่น เพราะปํญญ์ปรียาก็รู้ว่าตนเองคงกระสันอยากรู้เรื่องราวสืบต่อ อันที่จริงอยากรู้เสียวันนี้ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ เรื่องของนวลกับเขาไม่พอ ยังมีผู้หญิงคนที่โพล่งห้ามขึ้นมาอีก บางทีอาจเป็นคนเดียวกับที่กรีดร้องด่าทอนวลด้วยความเกลียดชัง
หญิงสาวคิดไปเองว่าคำสัญญาจะทำให้เขาโล่งใจดีใจ แต่รอยยิ้มดีใจกลับหายไปจากใบหน้าของเขาอีกครั้ง
ความทรงจำบางอย่างหลากย้อนกลับมาสร้างความปวดร้าวขึ้นในอก วิญญาณหนุ่มขบกรามเป็นสันนูน มือที่กำเลาปี่ไว้อย่างหลวมกระชับแน่นขึ้นเพื่อข่มอารมณ์
“อย่าสัญญาเลย แค่มา...ขอแค่หล่อนมาก็พอ” เขาเอ่ยอ้อนก่อนส่งยิ้มแทนคำลา
มันเป็นรอยยิ้มที่แตกต่างไปจากเคย อีกทั้งยามเขาเป่าเพลงคำหวานก่อนจาก เธอยังรู้สึกได้ว่ามันเป็นคำหวานที่เศร้าระทมกว่าครั้งใดๆ
จนกระทั่งภาพร่างสูงใหญ่นั่งหลังหยัดตรงสง่างาม จรดเครื่องดนตรีไทยเก่าเลางามไว้แนบริมฝีปากเลือนจางไปจากสายตา หญิงสาวค่อยหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายมุ่งหน้าออกจากเปรมบุราณตามคำแนะนำของเขา แต่เพิ่งแตะมือทาบประตูยังไม่ผลักเปิดออก พลันสดับแว่วลำนำขับขาน...
หวานวาบแม้หวาดหวั่น
วิมานฝันกำเนิดก่อ
ย่ำค่ำจะย่ำรอ
มิคิดท้อฤพ้อครวญ
หางเสียงที่เอื้อนทิ้งท้ายในแต่ละวรรคตอนคล้ายดังอ้อนอยู่ริมหู หญิงสาวชะงักฝีเท้ามองหา ก่อนพบว่าภาพของเขาปรากฏขึ้นเป็นเงารางเลือนที่พื้นผิวประตูกระจก
โกหก...หญิงสาวเอ็ดอึงเขาอยู่ในใจ
ถ้าไม่คิดท้อไม่พ้อสักคำแล้วทำไมต้องมองเธอด้วยสายตาแบบนั้น
ทำไมต้องทำเสียงเศร้าสร้อยขนาดนั้นใส่เธอด้วย
ปัญญ์ปรียาเกือบจะเปิดปากคุยกับเขา หากไม่พบว่าเงาของเขาลับหาย ทันทีที่ใครคนหนึ่งก้าวพ้นจากกำแพงฟากหนึ่งปรากฏออกมาให้เห็น
เขาชะงักยืนอยู่อึดใจ ก่อนสาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นแล้วเปิดประตูที่ขวางระหว่างเธอกับเขาออก เขาไม่ถึงกับยิ้มแต่ก็ไม่บึ้งตึงเฉยชา สายตาคมที่มองตรงมาทำให้หัวใจของปัญญ์ปรียาสั่นไหวได้อย่างน่าประหลาด
แล้วคราวนี้ไม่ใช่สั่นเพราะกลัวเกรงเสียด้วย...
หญิงสาวยังควานหาเสียงตัวเองไม่เจอ ตอนที่เขาคว้าเอากระเป๋าใบเล็กของเธอไปถือ พอตั้งใจจะพูดอะไรสักอย่างยังถูกทำให้ตะลึงไปอีกยกเมื่อมืออุ่นแตะลงเบาๆแถวศอก กระตุ้นให้เธอออกเดิน
“กลับเถอะ” คำสั่งสั้นๆคือคำทักทายจากเขา แต่เธอไม่รู้จะตอบไปว่าอะไร ได้แต่เดินเคียงเขาไปช้าๆ หลายต่อหลายก้าวกว่าจะตั้งสติได้แล้วหยุดเท้ากึก
“ปี่ขอโทษที่กลับดึกอีกแล้ว”
“ผมไม่ได้ว่า” เขาหยุดตามเพื่อคำตอบสั้นๆ นึกหงุดหงิดในใจที่เธอขอโทษเขาอีกแล้วทั้งที่เขาไม่พูดจาดุอะไรเธอเสียหน่อย อันที่จริงเขาพยายามยิ้มทักเธอด้วยซ้ำ เพียงแต่พอคิดว่าเธอชอบขัดคำสั่งเขา ดื้ออยู่กลางค่ำกลางคืนทำอะไรก็ไม่รู้ เขาเลยยิ้มไม่ค่อยออก
“ก็คุณวรทบอกให้ปี่รีบกลับ แต่นี่สองทุ่มแล้วปี่ยังอยู่อีก” ปัญญ์ปรียากล่าวเสียงอ่อย หน้าม่อยเหมือนเด็กโดนครูดุ ถ้าเขาชักสีหน้าอีกนิด สงสัยเธอคงยื่นมือมาให้เขาตีสักแปะสองแปะ
วรทชักละเหี่ยใจ ไม่รู้ว่าเขาหน้าดุเกินไปหรือเธอตื่นตูมกลัวเขาเกินเหตุกันแน่
“แล้วทำไมไม่กลับละ ผมบอกให้คุณเลิกงานแล้วรีบกลับบ้าน เพราะเป็นห่วง” วรทเผยความในใจ แต่คนฟังจับแค่น้ำเสียงดุๆเจือด้วยความหงุดหงิดของเขาจนใจแป้ว เนื้อความสำคัญที่ว่าเขาเป็นห่วงถูกเธอเมินอย่างน่าเสียดาย
ปัญญ์ปรียาตัดสินใจไม่ถูก ครั้นเล่าความจริงให้เขาฟังก็กลัวว่าเขาจะหาว่าบ้าบอไร้สาระ จับไปเช็คประสาท แถมด้วยซองขาวไล่ออก ครั้นจะโกหกตัวเองก็เพิ่งโดนผีปรามาสว่าโกหกไม่เก่ง แต่เมื่อช่างน้ำหนักสองทาง หญิงสาวก็เลือกปั้นเรื่องปั้นราวไปสักอย่างเพื่อเอาตัวรอด
“คือ...ปี่เคลียร์งานเสร็จแล้วอ่านหนังสือติดพันน่ะค่ะ เห็นว่ายังไม่ดึกนัก แล้วกลับบ้านก็ไม่มีอะไรทำ ก็เลยอยู่ต่ออีกแป๊บนึง ที่จริงสองสามทุ่มอย่างนี้มันก็ยังไม่ดึกเท่าไรนะคะ ไฟในซอยยังสว่างโร่ ก่อนถึงที่พักปี่มีร้านจิ้มจุ่มเจ้าอร่อยอยู่ด้วย เขาเปิดถึงสี่ห้าทุ่มแหนะค่ะ คนมากินเยอะแยะ” เธอรัวข้ออ้างน่าฟังมากมายใส่เขา ใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่พยักหน้าแล้วออกเดินต่อ
“คุณวรทไม่ต้องไปส่งปี่ก็ได้นะคะ ปี่กลับได้จริงๆค่ะ ที่พักปี่ใกล้มาก เดินเข้าซอยไปนิดเดียวเองจริงๆ เข้าไปไม่กลางซอยด้วยซ้ำนะคะ ตอนอยู่มหา’ลัย ปี่ก็มาลงป้ายหน้าห้องสมุดแล้วเดินกลับอย่างนี้ประจำ” เมื่อเดินถึงหน้าปากซอย หญิงสาวก็ทำใจกล้าทักท้วงเขาด้วยความเกรงใจ
คนเดินนำยังก้าวช้าๆเอื่อยๆไม่ยอมให้เกิดระยะห่าง ระหว่างก้าวสั้นๆของเธอกับก้าวยาวๆของเขา เขาไม่คิดจัดการความพยายามอันไร้สาระที่จะทวงคืนกระเป๋าถือ ไม่สนใจคำท้วงมากมายที่ค่อยๆพรั่งพรูออกจากปากเล็กๆของเธอด้วย ออกจะนึกสนุกที่เห็นความพยายามแบบกลัวๆกล้าๆพิกล
น่าเสียดายตรงที่เขาเคยเดินสำรวจซอยทางเข้าที่พักของเธอจนรู้ดีว่ามันใกล้มากจริงๆอย่างที่เธอว่า ต่อให้เขาจงใจเดินช้ากว่านี้สักเท่าไร ไม่นานก็ต้องส่งเธอให้พ้นสายตา
ชายหนุ่มหยุดเท้ากึก ตามองไปที่แผงลอยข้างทางที่มีโต๊ะเหล็กสีแดงสดกางวางเรียงเป็นแนว ไอร้อนโชยชายจากหม้อดินใบเล็กที่วางตามโต๊ะต่างๆ
“นี่ไงคะ ร้านจิ้มจุ่มที่ปี่บอก คนเยอะตลอดอย่างนี้แหละค่ะ ปี่ชอบมากเลย”
“นี่เหรอ” เขาทวนคำเสียงเบา พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อกล่าวประโยคที่อยู่ในความคิด ใบหน้าเขาร้อนผ่าวๆจนโมโหตัวเอง อยากจะแก้ตัวว่าไอจากหม้อดินส่งคลื่นความร้อนไกลมาถึงหน้าเขาแต่ก็รู้ว่าไม่ใช่
“งั้น...แวะกินด้วยกันก่อนนะ”
xxx อ๊ากกกก เพิ่งปั่นมาสดๆเมื่อกี้เองค่ะ ใจอ่อนยวบๆ ตอนคิดถึงคุณพี่เอื้อ แล้วมาเต้นรัวๆไปกับคุณวรท หัวใจคนแต่งทำงานหนักมากเลยขอบอก ค่นอ่านเป็นไงมั่งคะ ชอบมั้ยคะชอบมั้ย >_< ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเม้นช่วยตามอ่านกันนะคะ จุ๊บๆๆๆๆ xxx
“อีพริ้ง...อีพริ้ง!”
ไม่แค่คนถูกเรียกที่เงยหน้ามองหาต้นเสียง นวลเองก็ละสายตาจากงานที่ทำอยู่เช่นกัน ในกรอบสายตา เธอเห็นร่างกำยำของชายวัยฉกรรจ์นุ่งโจงสีอย่างน้ำตาลไหม้เดินแกมวิ่งกวักมือเรียกอยู่ลิบๆ
“อะไรวะ ไอ้คง เรียกซะข้าตกอกตกใจ” พริ้งหยัดกายยืนขึ้น มือเท้าอยู่ที่สะเอวขณะพยักพเยิดหน้าถามน้ำเสียงเอาเรื่อง
“โถ แม่คุณแม่ทูนหัว ไม่มีเรื่องมีราวข้าจะเรียกรึ” คนเรียกถึงกับยืนหอบน้อยๆ ท่าทางจะวิ่งมาตั้งแต่เรือนยันเรือกสวน
“อะไร๊ ใครเรียกหาข้าอีกละ ใช่ซิ ข้ามันหัวไวใช้คล่องนี่ อะไรๆก็ข้า ข้าคนเดียวเลยนี่” พริ้งถามน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด ถ้อยความแฝงความนัยที่คนที่มักโดนเหน็บแนมค่อนขอดว่าทำอะไรเชื่องช้ายุรยาตรปานผู้ดีเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ด้วยความที่เคยชินฝีปากกันมานาน นวลจึงมั่นใจว่านอกจากพริ้งพยายามยกยอตนเองบ้างเป็นบางโอกาสแล้ว ก็ไม่เคยคิดร้ายอะไร
“ใครมีอะไรรึ คุณละเมียดให้พวกข้ามาเก็บนี่ รอประเดี๋ยวก็เสร็จ จะได้ไปด้วยกันหมดนี่ละ” นวลเอ่ยถึงงานที่ได้รับมอบหมายมาจากคุณละเมียดที่ตั้งใจลงครัวเองเพื่อทำอาหารว่างให้คุณจำเริญน้องร่วมบิดาที่หอบบุตรสาวมาขอพักพิงหลังสามีตนเสียชีวิต
“โอ๊ย รอไม่ได้! ก็คุณละเมียดละให้รีบมาเรียก ขืนชักช้าข้าจะโดนหวาย อีพริ้ง เอ็งมานี่ อย่าพิร่ำพิไล” คงปฏิเสธแล้วคว้าแขนพริ้งเดินแกมวิ่งมุ่งหน้ากลับไปที่เรือนโดยมีเสียงบ่นของพริ้งดังไปตลอดทาง
จนกระทั่งทั้งสองเดินลิ่วลับ นวลค่อยละความสงสัยแล้วหันกลับมาเก็บเกสรสีสวยต่อ กลิ่นหอมสดชื่นของมันชวนให้น้ำลายสอนึกถึงรสชาติยามคลุกเคล้ากับน้ำยำ ทว่า เก็บไปยังไม่ทันเต็มตะกร้า ก็เริ่มสังเกตพบ...ไม่ว่าเธอจะขยับเคลื่อนตัวไปทางไหน ร่มเงาก็ติดตามพาดผ่านจนไอแดดจ้าในยามบ่ายไม่ร้อนจัดนัก
หญิงสาวชักเอะใจตอนกระเถิบตัวเอื้อมไปหยิบเอาเกสรที่ร่วงเลยผืนผ้า แล้วเงานั้นขยับตามบังเกิดเสียงย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบเบาๆจากด้านหลัง
นวลเหลียวหน้าเงยมอง พอประจักษ์ว่าใครคือเจ้าของเงาปริศนา ก็ก้มกลับลงหดหัวงุดๆ รีบเปลี่ยนจากท่านั่งยองๆ เป็นพับเพียบเรียบร้อย มือรวบไว้ที่หน้าตักด้วยความประหม่ากังวล
“ต้องการอันใดหรือเจ้าคะ”
เจ้าของเงานั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคือเอื้อที่รูปร่างสมชายชาตรียิ่งขึ้นไม่เก้งก้างอย่างเด็กรุ่นด้วยวัยที่ใกล้ย่างเข้าเลขสาม ชายหนุ่มยิ้มขัน มือหนึ่งถือร่มไว้ให้ร่มเงาทั้งแก่ตนและอีกฝ่าย ส่วนอีกมือไพล่ไว้ด้านหลัง ทั้งท่วงท่าและหน้าตางามสง่าแต่ติดลักษณะเจ้าสำราญเป็นกันเองชวนให้ผู้คนนึกสนิทชิดใกล้
“ไม่ร้อนมั่งรึ” เขาไม่ตอบคำถามเพราะได้แล้วในสิ่งที่ตนต้องการโดยที่เธอไม่รู้
เป็นเขาเองที่เรียกให้คนสนิทมาหลอกดึงพริ้งไปอีกทาง ปล่อยเธอไว้อยู่กับเขาสองคน
“ไม่ร้อนเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวก็เสร็จ”
“แค่นั้นจะพออะไร ฉันช่วยเก็บนะ” เขาว่าพลางลดร่มลงหุบแล้วพิงไว้กับลำต้น ก่อนกระแอมแล้วเรียก “ยืนขึ้นก่อนสิแม่นวล”
“เจ้าคะ” คนถูกเรียกแค่เงยมองพลางกะพริบตาปริบด้วยความสงสัยโดยยังนั่งอยู่ท่าเดิม
“ฉันให้หล่อนยืน ทำหูทวนลมไปได้” เสียงของเขานุ่มนวลชวนฟัง แม้พยายามทำเหมือนดุ แต่ไม่ดุเท่าที่ตัวเขาตั้งใจ แต่กระนั้น นวลยังไม่กล้ากระมิดกระเมี้ยนให้เขาทวนคำสั่งซ้ำอีกรอบ เธอรีบยืนขึ้นไหล่ค้อมลู่ จะมองเขาแต่ละทีก็เหลือบมองเพียงนิดก่อนจะหลุบตาหลบด้วยความยำเกรง จนเขายิ้มขัน
“กลัวอะไรฉันนัก หัดหลบหน้าหลบตาตั้งแต่เมื่อไร สาวน้อยที่ทะเล่อทะล่ามาชวนฉันเล่นหมากเก็บนั่นหายไปไหนเสียแล้วเล่า” เขากล่าวเกลื่อนไปด้วยเสียงหัวเราะในตอนท้าย
“นั่นหลายปีแล้วนะเจ้าคะ” นวลท้วงที่เขาเก็บเรื่องนมนานมาแกล้งแหย่ ผิวหน้านวลแดงซ่านด้วยความขัดเขิน เมื่อนึกถึงวีรกรรมครั้งเก่าของตน
ตอนนั้น เธอเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน เห็นว่าเขาเดินลงจากเรือนสีหน้าเบื่อหน่าย ปราศจากบริวารคู่กายทั้งไอ้คงทั้งไอ้ทองล้อมหน้าล้อมหลังอย่างเคย ตัวเธอก็กำลังเบื่อด้วยยังไม่สนิทกับใครนักผนวกกับที่เขาเคยใจดีมีเมตตาให้ จึงบุ่มบ่ามชวนเขามาเล่นสนุกด้วยกัน ไม่ทันคิดว่าเขาโตกว่าอยู่หลายปี ไอ้การละเล่นแบบเด็กๆประสาผู้หญิงอย่างเธอนั้นอยู่นอกเหนือการสนใจไปไกลโข
“นั่นสินะ ฉันก็คิดอยู่...” เขาลากเสียงนุ่ม พลางส่งมือมาเชยคางเธอขึ้นสบสายตาเนิ่นนาน ก่อนกล่าวต่อเสียงเบาปานกระซิบ “แม่นวลของฉันโตเป็นสาวแล้วจริงๆ”
ความประหม่าขัดเขินต่อเรื่องราวน่าอายกลายเป็นอย่างอื่นที่เธอไม่เข้าใจ คล้ายว่าเขาได้กระตุ้นให้อะไรบางอย่างในใจเธอตื่นขึ้น มันเต้นตึกตักโครมครามจนน่ากลัวว่าเสียงจะดังไปถึงเขา
ทั้งคำพูด สายตาและสัมผัสอันอ่อนโยนชวนฝัน ชักเชิดให้หัวใจไหวสั่นเกินห้ามปราม
แต่เขาคือคนที่อยู่สูงเกินเอื้อม ไม่ควรคิด ไม่ควรแม้ฝัน
นวลรีบขืนศีรษะออกห่าง แม้รู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนจับไข้จนใกล้จะเป็นลมล้มพับลงต่อหน้าเขา
“หนีฉันอีกแล้ว” เขาดุเสียงอ่อนพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปลดผ้าอบกลิ่นหอมกรุ่นที่เขาคล้องคออยู่ออกมาตวัดคลุมลงบนศีรษะของเธอเพื่อบังแดด แต่ในขณะเดียวกัน เขาหวังใช้ผ้าผืนนั้นพันธนาการความรักความฝันของเธอไว้ข้างกายตลอดกาล
“ฉันไม่ยอมให้หล่อนหนีฉันได้ดอก แม่นวล”
วันเวลาของนวลคล้ายหยุดลงไปชั่วขณะ วินาทีที่ตาทั้งสองสบประสาน ช่วงเวลาที่ปลายนิ้วของเขาแตะผ่านผิวแก้มส่งไออุ่นโลมไล้แผ่วเบา หัวใจที่โครมครามดั่งหมดพลังจะเต้นต่อ เธอไม่กล้าผ่อนลมหายใจออก ไม่กล้าสูดหายใจเข้า แม้แข้งขาสั่นเนื้อตัวเย็นเยียบยามอยู่เบื้องหน้าเขาแต่ไม่กล้ารั้งเท้าเลี่ยงหลบ ในหัวเหมือนมีช่องว่างกลวงเปล่า ไร้ความคิดที่จะทำสิ่งใดทั้งสิ้น
ความสามารถที่หลงเหลืออยู่คือคงตนให้สามารถหยัดยืนอยู่ได้แล้วปล่อยให้โชคชะตาและตัวเขาชักพา
ทว่าก่อนที่เรื่องจะดำเนินไปไกลกว่านั้น ภาพทั้งหมดก็เลือนราง เสียงดุจัดของใครคนหนึ่งโพล่งขัดขึ้นในนิมิตอันพร่ามัว ก่อนทุกอย่างจะดับวูบหายอย่างกะทันหัน
“ทำอะไรนั่น พ่อเอื้อ”
ขณะที่นวลสะดุ้งตัวพรวดตื่นจากฝันกลางวันอันแสนสั้น เข่าทรุดฮวบลงค้อมตัวก้มลงหน้าแทบแนบสนิทกับพื้นดิน ปัญญ์ปรียาก็ ‘ตื่น’ ขึ้นที่เปรมบุราณ
การกลับมาของเธอคราวนี้นับว่าดีขึ้นกว่าคราวที่แล้ว อาการวิงเวียนคลื่นไส้ใคร่อาเจียนแทบไม่ปรากฏ เพียงรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย สมองทึบตื้ออย่างกับโดนฤทธิ์ข้างเคียงของยาลดน้ำมูก
“หล่อนเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงมนต์ปี่ของเขาหยุดลง ทดแทนด้วยการทอดถามอย่างอาทรแต่ก็ปนเปไปด้วยความเร่งร้อนจนผิดปกติ ปัญญ์ปรียาไม่ทันสังเกต ทั้งยังไม่มีอารมณ์จะสนใจ เธอกดมือลงที่ขมับขยับนวดเบาๆคลายความปวดมึน
“ดีอยู่ค่ะ ดีกว่าคราวก่อนเยอะเลย แค่มึนหัวนิดหน่อย ขอพักเดี๋ยวนะคะ” เธอว่า
“หล่อนควรกลับบ้านแล้ว”
“อ้าว นี่ดึกแล้วเหรอคะ” ปัญญ์ปรียาหยิบโทรศัพท์มือถือบนตักขึ้นดูเวลา เห็นว่าเพิ่งผ่านจากสองทุ่มมาไม่ทันถึงยี่สิบนาทีก็มองเขาด้วยความแปลกใจ “เพิ่งแป๊บเดียวเองนี่คะ”
“เขามา” เขาเฉลยเหตุที่ต้องเร่งเร้า สีหน้าบ่งบอกว่าตัวเขาเองก็ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ลุงขจรน่ะหรือคะ วันนี้มาตามเร็วจริง” หญิงสาวเอี้ยวตัวมองหา พยายามสอดสายตาผ่านช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือแต่ละชั้นไปทางประตูแต่ก็ไม่เห็นใคร
“ฉันไม่อยากให้หล่อนปดใครว่าเผลอหลับอยู่ในนี้อีก หล่อนโกหกไม่เก่งแต่ไหนแต่ไร หลอกใครเขาไม่ได้ดอก”
หญิงสาวค้อนใส่ อยากจะโต้ว่าตนไม่ใช่แม่นวลของเขา เพียงแต่นึกได้เสียก่อนว่ามีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องบอกเขาก่อนจากลา
“อ้อ พรุ่งนี้ฉันหยุดนะคะ”
ปกติเธอหยุดทุกวันพุธ เพิ่งจะมีอาทิตย์นี้ที่ดิพรขอแลกวันกับเธอเพราะติดธุระ เธอจึงมาหยุดวันจันทร์แทน การเปลี่ยนวันหยุดบ้างน่าจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องแจ้งเขา แต่แค่คิดว่าเขาอาจรอเก้อเพราะมั่นใจว่าเธอจะมาทำงานตามปกติ เธอก็เป็นกังวล
แต่แล้วหัวใจเธอพลันตกวูบด้วยความรู้สึกผิด เพราะเห็นสายตาอีกฝ่ายหม่นหมองลงด้วยความผิดหวัง แม้เขาไม่ตัดพ้อ ความเงียบจากเขากดดันจนเธอต้องกล่าวเสริมเอาใจ “เอาไงดีละ จริงๆบ้านฉันก็อยู่แค่นี้เอง เอาเป็นว่าฉันจะแอบแวะมาหาเวลาเดิมแล้วกันนะคะ”
“จริงนะ” เขาถาม รอยยิ้มกลับมากระจ่างกระจายบนใบหน้า
“จริงสิคะ ฉันสัญญา” คำยืนยันออกจากปากอย่างหนักแน่น เพราะปํญญ์ปรียาก็รู้ว่าตนเองคงกระสันอยากรู้เรื่องราวสืบต่อ อันที่จริงอยากรู้เสียวันนี้ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ เรื่องของนวลกับเขาไม่พอ ยังมีผู้หญิงคนที่โพล่งห้ามขึ้นมาอีก บางทีอาจเป็นคนเดียวกับที่กรีดร้องด่าทอนวลด้วยความเกลียดชัง
หญิงสาวคิดไปเองว่าคำสัญญาจะทำให้เขาโล่งใจดีใจ แต่รอยยิ้มดีใจกลับหายไปจากใบหน้าของเขาอีกครั้ง
ความทรงจำบางอย่างหลากย้อนกลับมาสร้างความปวดร้าวขึ้นในอก วิญญาณหนุ่มขบกรามเป็นสันนูน มือที่กำเลาปี่ไว้อย่างหลวมกระชับแน่นขึ้นเพื่อข่มอารมณ์
“อย่าสัญญาเลย แค่มา...ขอแค่หล่อนมาก็พอ” เขาเอ่ยอ้อนก่อนส่งยิ้มแทนคำลา
มันเป็นรอยยิ้มที่แตกต่างไปจากเคย อีกทั้งยามเขาเป่าเพลงคำหวานก่อนจาก เธอยังรู้สึกได้ว่ามันเป็นคำหวานที่เศร้าระทมกว่าครั้งใดๆ
จนกระทั่งภาพร่างสูงใหญ่นั่งหลังหยัดตรงสง่างาม จรดเครื่องดนตรีไทยเก่าเลางามไว้แนบริมฝีปากเลือนจางไปจากสายตา หญิงสาวค่อยหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายมุ่งหน้าออกจากเปรมบุราณตามคำแนะนำของเขา แต่เพิ่งแตะมือทาบประตูยังไม่ผลักเปิดออก พลันสดับแว่วลำนำขับขาน...
หวานวาบแม้หวาดหวั่น
วิมานฝันกำเนิดก่อ
ย่ำค่ำจะย่ำรอ
มิคิดท้อฤพ้อครวญ
หางเสียงที่เอื้อนทิ้งท้ายในแต่ละวรรคตอนคล้ายดังอ้อนอยู่ริมหู หญิงสาวชะงักฝีเท้ามองหา ก่อนพบว่าภาพของเขาปรากฏขึ้นเป็นเงารางเลือนที่พื้นผิวประตูกระจก
โกหก...หญิงสาวเอ็ดอึงเขาอยู่ในใจ
ถ้าไม่คิดท้อไม่พ้อสักคำแล้วทำไมต้องมองเธอด้วยสายตาแบบนั้น
ทำไมต้องทำเสียงเศร้าสร้อยขนาดนั้นใส่เธอด้วย
ปัญญ์ปรียาเกือบจะเปิดปากคุยกับเขา หากไม่พบว่าเงาของเขาลับหาย ทันทีที่ใครคนหนึ่งก้าวพ้นจากกำแพงฟากหนึ่งปรากฏออกมาให้เห็น
เขาชะงักยืนอยู่อึดใจ ก่อนสาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นแล้วเปิดประตูที่ขวางระหว่างเธอกับเขาออก เขาไม่ถึงกับยิ้มแต่ก็ไม่บึ้งตึงเฉยชา สายตาคมที่มองตรงมาทำให้หัวใจของปัญญ์ปรียาสั่นไหวได้อย่างน่าประหลาด
แล้วคราวนี้ไม่ใช่สั่นเพราะกลัวเกรงเสียด้วย...
หญิงสาวยังควานหาเสียงตัวเองไม่เจอ ตอนที่เขาคว้าเอากระเป๋าใบเล็กของเธอไปถือ พอตั้งใจจะพูดอะไรสักอย่างยังถูกทำให้ตะลึงไปอีกยกเมื่อมืออุ่นแตะลงเบาๆแถวศอก กระตุ้นให้เธอออกเดิน
“กลับเถอะ” คำสั่งสั้นๆคือคำทักทายจากเขา แต่เธอไม่รู้จะตอบไปว่าอะไร ได้แต่เดินเคียงเขาไปช้าๆ หลายต่อหลายก้าวกว่าจะตั้งสติได้แล้วหยุดเท้ากึก
“ปี่ขอโทษที่กลับดึกอีกแล้ว”
“ผมไม่ได้ว่า” เขาหยุดตามเพื่อคำตอบสั้นๆ นึกหงุดหงิดในใจที่เธอขอโทษเขาอีกแล้วทั้งที่เขาไม่พูดจาดุอะไรเธอเสียหน่อย อันที่จริงเขาพยายามยิ้มทักเธอด้วยซ้ำ เพียงแต่พอคิดว่าเธอชอบขัดคำสั่งเขา ดื้ออยู่กลางค่ำกลางคืนทำอะไรก็ไม่รู้ เขาเลยยิ้มไม่ค่อยออก
“ก็คุณวรทบอกให้ปี่รีบกลับ แต่นี่สองทุ่มแล้วปี่ยังอยู่อีก” ปัญญ์ปรียากล่าวเสียงอ่อย หน้าม่อยเหมือนเด็กโดนครูดุ ถ้าเขาชักสีหน้าอีกนิด สงสัยเธอคงยื่นมือมาให้เขาตีสักแปะสองแปะ
วรทชักละเหี่ยใจ ไม่รู้ว่าเขาหน้าดุเกินไปหรือเธอตื่นตูมกลัวเขาเกินเหตุกันแน่
“แล้วทำไมไม่กลับละ ผมบอกให้คุณเลิกงานแล้วรีบกลับบ้าน เพราะเป็นห่วง” วรทเผยความในใจ แต่คนฟังจับแค่น้ำเสียงดุๆเจือด้วยความหงุดหงิดของเขาจนใจแป้ว เนื้อความสำคัญที่ว่าเขาเป็นห่วงถูกเธอเมินอย่างน่าเสียดาย
ปัญญ์ปรียาตัดสินใจไม่ถูก ครั้นเล่าความจริงให้เขาฟังก็กลัวว่าเขาจะหาว่าบ้าบอไร้สาระ จับไปเช็คประสาท แถมด้วยซองขาวไล่ออก ครั้นจะโกหกตัวเองก็เพิ่งโดนผีปรามาสว่าโกหกไม่เก่ง แต่เมื่อช่างน้ำหนักสองทาง หญิงสาวก็เลือกปั้นเรื่องปั้นราวไปสักอย่างเพื่อเอาตัวรอด
“คือ...ปี่เคลียร์งานเสร็จแล้วอ่านหนังสือติดพันน่ะค่ะ เห็นว่ายังไม่ดึกนัก แล้วกลับบ้านก็ไม่มีอะไรทำ ก็เลยอยู่ต่ออีกแป๊บนึง ที่จริงสองสามทุ่มอย่างนี้มันก็ยังไม่ดึกเท่าไรนะคะ ไฟในซอยยังสว่างโร่ ก่อนถึงที่พักปี่มีร้านจิ้มจุ่มเจ้าอร่อยอยู่ด้วย เขาเปิดถึงสี่ห้าทุ่มแหนะค่ะ คนมากินเยอะแยะ” เธอรัวข้ออ้างน่าฟังมากมายใส่เขา ใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่พยักหน้าแล้วออกเดินต่อ
“คุณวรทไม่ต้องไปส่งปี่ก็ได้นะคะ ปี่กลับได้จริงๆค่ะ ที่พักปี่ใกล้มาก เดินเข้าซอยไปนิดเดียวเองจริงๆ เข้าไปไม่กลางซอยด้วยซ้ำนะคะ ตอนอยู่มหา’ลัย ปี่ก็มาลงป้ายหน้าห้องสมุดแล้วเดินกลับอย่างนี้ประจำ” เมื่อเดินถึงหน้าปากซอย หญิงสาวก็ทำใจกล้าทักท้วงเขาด้วยความเกรงใจ
คนเดินนำยังก้าวช้าๆเอื่อยๆไม่ยอมให้เกิดระยะห่าง ระหว่างก้าวสั้นๆของเธอกับก้าวยาวๆของเขา เขาไม่คิดจัดการความพยายามอันไร้สาระที่จะทวงคืนกระเป๋าถือ ไม่สนใจคำท้วงมากมายที่ค่อยๆพรั่งพรูออกจากปากเล็กๆของเธอด้วย ออกจะนึกสนุกที่เห็นความพยายามแบบกลัวๆกล้าๆพิกล
น่าเสียดายตรงที่เขาเคยเดินสำรวจซอยทางเข้าที่พักของเธอจนรู้ดีว่ามันใกล้มากจริงๆอย่างที่เธอว่า ต่อให้เขาจงใจเดินช้ากว่านี้สักเท่าไร ไม่นานก็ต้องส่งเธอให้พ้นสายตา
ชายหนุ่มหยุดเท้ากึก ตามองไปที่แผงลอยข้างทางที่มีโต๊ะเหล็กสีแดงสดกางวางเรียงเป็นแนว ไอร้อนโชยชายจากหม้อดินใบเล็กที่วางตามโต๊ะต่างๆ
“นี่ไงคะ ร้านจิ้มจุ่มที่ปี่บอก คนเยอะตลอดอย่างนี้แหละค่ะ ปี่ชอบมากเลย”
“นี่เหรอ” เขาทวนคำเสียงเบา พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อกล่าวประโยคที่อยู่ในความคิด ใบหน้าเขาร้อนผ่าวๆจนโมโหตัวเอง อยากจะแก้ตัวว่าไอจากหม้อดินส่งคลื่นความร้อนไกลมาถึงหน้าเขาแต่ก็รู้ว่าไม่ใช่
“งั้น...แวะกินด้วยกันก่อนนะ”
xxx อ๊ากกกก เพิ่งปั่นมาสดๆเมื่อกี้เองค่ะ ใจอ่อนยวบๆ ตอนคิดถึงคุณพี่เอื้อ แล้วมาเต้นรัวๆไปกับคุณวรท หัวใจคนแต่งทำงานหนักมากเลยขอบอก ค่นอ่านเป็นไงมั่งคะ ชอบมั้ยคะชอบมั้ย >_< ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเม้นช่วยตามอ่านกันนะคะ จุ๊บๆๆๆๆ xxx
นณกร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ม.ค. 2558, 19:29:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ม.ค. 2558, 19:34:25 น.
จำนวนการเข้าชม : 1244
<< เปิดใจ (2/2) | เปิดตัว (2/2) >> |
ดังปัณณ์ 11 ม.ค. 2558, 20:34:03 น.
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด อยากเป็นหนูปี่ โอ๊ยเลือกไม่ถูกเจ้าคะ ขุ่นผีพี่เอื้อก็โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย คุณวรทก็โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย อิชั้นอยากจะเก็บเธอไว้ทั้งสองคน กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด
คุณผีอ่ะมาทำหน้าสงสาร เนี่ยมันตะเตือนไตอยากเข้าไปปลอบเลยนะเออ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด อยากเป็นหนูปี่ โอ๊ยเลือกไม่ถูกเจ้าคะ ขุ่นผีพี่เอื้อก็โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย คุณวรทก็โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย อิชั้นอยากจะเก็บเธอไว้ทั้งสองคน กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด
คุณผีอ่ะมาทำหน้าสงสาร เนี่ยมันตะเตือนไตอยากเข้าไปปลอบเลยนะเออ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
โอชิน 11 ม.ค. 2558, 21:10:35 น.
เขินผีพี่เอื้อ..อยากชวนไปเล่นหมากเก็บที่บ้านบ้าง..ใจเต้นตูมตามกับคุณวรท..ชายสูงวัยกว่า(มาก)มันดีอย่างนี้นี่เอง
เฮ้อ..ให้เป็นหมอนข้างซ้ายขวาเสียเลยดีมั้ยหนูปี่..?
เขินผีพี่เอื้อ..อยากชวนไปเล่นหมากเก็บที่บ้านบ้าง..ใจเต้นตูมตามกับคุณวรท..ชายสูงวัยกว่า(มาก)มันดีอย่างนี้นี่เอง
เฮ้อ..ให้เป็นหมอนข้างซ้ายขวาเสียเลยดีมั้ยหนูปี่..?
พันธุ์แตงกวา 12 ม.ค. 2558, 06:15:02 น.
ใจน้องจวนขาดแล้วพี่ยา เสียงปี่คำวอนกลอนของพี่นั้นช่างจับจิต ถ้าน้องเป็นหนูปี่ เห็นทีจิกลางมุ้งนอนหน้าตู้หนังสือนั้นเลยเจ้าค่ะ น้องจะปักหลักไม่ไปไหนเลย ไม่ไป ไม่ไป
ถ้าแบบนั้นก็อดกินจิ้มจุ่มจุ๋มจิ๋มจู๋จี๋กับพี่วรทสิ โอ๊ยยย ทำใจลำบาก เป็นนางเอกก็ลำบากอย่างนี้แหละน้า
กอกดปั่นสดๆมาลงอีกเบย เจ้จิรอ
ใจน้องจวนขาดแล้วพี่ยา เสียงปี่คำวอนกลอนของพี่นั้นช่างจับจิต ถ้าน้องเป็นหนูปี่ เห็นทีจิกลางมุ้งนอนหน้าตู้หนังสือนั้นเลยเจ้าค่ะ น้องจะปักหลักไม่ไปไหนเลย ไม่ไป ไม่ไป
ถ้าแบบนั้นก็อดกินจิ้มจุ่มจุ๋มจิ๋มจู๋จี๋กับพี่วรทสิ โอ๊ยยย ทำใจลำบาก เป็นนางเอกก็ลำบากอย่างนี้แหละน้า
กอกดปั่นสดๆมาลงอีกเบย เจ้จิรอ
ใบบัวน่ารัก 12 ม.ค. 2558, 07:22:59 น.
คุณเอื้ออายุเข้าเลข3 ชาติที่แล้วยังม่ายมีเมียอีกหรือ
รอหลอกกินตับนวลอะดิ แล้วก็ไม่ได้กิน ได้ไร่แห้วไปแทน
หรือเกิดอารายขึ้น
จิ้มจุ่มก็น่ากินปี่ก็กินๆๆให้อิ่มๆนะ ผู้ใหญ่เค้าเลี้ยง
เพื่อจีบเด็ก
คุณเอื้ออายุเข้าเลข3 ชาติที่แล้วยังม่ายมีเมียอีกหรือ
รอหลอกกินตับนวลอะดิ แล้วก็ไม่ได้กิน ได้ไร่แห้วไปแทน
หรือเกิดอารายขึ้น
จิ้มจุ่มก็น่ากินปี่ก็กินๆๆให้อิ่มๆนะ ผู้ใหญ่เค้าเลี้ยง
เพื่อจีบเด็ก
mhengjhy 12 ม.ค. 2558, 21:57:15 น.
กรี้ดดดด มุกจีบเด็กไม่ค่อยเนียนนะคะ
กรี้ดดดด มุกจีบเด็กไม่ค่อยเนียนนะคะ