เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทที่ 10 ปกปิดเอาไว้



บิลกีสจึงทรุดกายนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามกับเขาอย่างไม่ขัดขืน…
วางสีหน้าท่าทางอย่างสงบ…รอรับสิ่งที่จะตามมาด้วยสติ…เธอจะต้องตั้งสติให้มั่น

“เธอน่าจะรู้ว่าไม่ควรพาใครเข้ามาในนี้โดยที่ฉันไม่รู้…”
เขาเริ่มด้วยน้ำเสียงราบเรียบขัดกับดวงตาที่ดูดุดัน ชวนให้ขนลุก

“ที่นอนอยู่ในห้องนั่นคือพ่อของฉัน…เธอกำลังทำบ้าอะไรของเธอ
ทำไมไม่คิดบ้าง…อยากปล่อยให้ใครเข้ามาก็ให้เข้ามาง่ายๆอย่างนั้นหรือ…”
เขายังคงเอ่ยตำหนิการกระทำของเธออย่างไม่ลดละ

“แล้วทำไมถึงได้ไว้ใจให้เขาเข้ามา…นั่นน่ะผู้ชายนะ…ถ้าเกิดมันคิดทำอะไรขึ้นมา
ถามหน่อยว่าผู้หญิงตัวผอมๆอย่างเธอมีปัญญาขัดขืนหรือต่อสู้ได้มั้ย…”

บิลกีสนิ่งงัน จนด้วยเหตุผลของเขา...ที่เขาพูดมาถูกทุกข้อ...

ยิ่งคนที่ปกติไม่ค่อยพูดค่อยจา หากเวลาพูดยาวๆขึ้นมากลับทำให้คนฟัง
หน้าหงายหน้าคว่ำเลยทีเดียว...

“ทำไมถึงทำอะไรไม่คิด อย่างน้อยก็น่าจะโทรไปบอกกล่าวกับฉันบ้าง
หรือว่าเห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอ…”

ราวกับโดนฟาดด้วยแส้…ทำเอาคนฟังถึงกับปวดแสบปวดร้อนได้ไม่น้อย

“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น…” เสียงแรกของคนที่เอาแต่นั่งก้มหน้านิ่งมาตลอด

“คุณคีแค่มาดูผลงานกับเอาผลงานไปโชว์ที่แกลอรี่เท่านั้น…
เขาไม่ได้ทำอะไรไม่ดีไม่เหมาะสมเลย…เขาเป็นคนสุภาพ…”

อธิบายไปแล้วก็พบว่าสีหน้าแววตาของคนฟังดูจะไม่ยอมลดความดุดันลงได้เลย…

“อ้อ…ฉันเพิ่งรู้ว่าผลงานของเธอมันสุดยอดจนเจ้าของแกลอรี่
ต้องถ่อสังขารมาดูถึงที่…”

น้ำเสียงเหมือนจะดูถูกปนเหยียดหยันนั่นส่งผลให้คนที่เอาแต่ก้มหน้า
ถึงกับเงยหน้าขึ้นจดจ้องสายตาคมกล้าของเขาอย่างไม่ยอมถอยหนีทันที

เลือดทุกหยดในร่างกายดูจะแล่นในอัตราที่เร็วขึ้นแรงขึ้น
เพราะหัวใจที่ทำหน้าที่สูบฉีดเพิ่มระดับความเร็ว
ในจังหวะที่เธอเองก็ไม่เคยคิดว่ามันจะสามารถทำได้…

“ทำไมคุณต้องพยายามทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย…
ฉันยังไม่พร้อมจะทะเลาะกับคุณหรอกนะ…”

หญิงสาวพยายามข่มอารมณ์คุกรุ่นของตนเองลง…พยายามบอกตัวเองว่า
เขาแค่กลับมาเหนื่อยๆ อารมณ์เลยไม่ดี…อย่าไปถือสาเขาเลย…

“เธอไม่จำเป็นต้องวาดภาพส่งแกลอรีที่ไหนอีก…ไม่จำเป็น!
เพราะว่าฉันมีปัญญาเลี้ยงดูครอบครัวของฉันเองได้…อย่าดูถูกฉันนัก!"


เขาตะคอกเธอเสียงดังฟังชัดจน จนมันสะท้อนกลับไปกลับมาในหัวของเธอ

"หน้าที่เธอก็คือ…ดูแลพ่อสามี ดูแลน้องสามี ดูแลสามี
เป็นแม่บ้านและก็เป็นเมียให้ฉัน…แค่นั้นพอแล้ว…”

น้ำตาคนฟังรื้นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคเสียดแทงหัวใจนั่น
ปากบางสั่นระริก หัวใจรู้สึกปวดหนึบ

“ขอเหตุผลด้วย…” เสียงพยายามข่มไม่ให้สั่นถามขึ้น

“เหตุผลสั้นๆง่ายๆก็คือ…เธอเป็นเมียฉัน…หรือว่าลืม…”

บิลกีสพยักหน้าพร้อมกับลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะหลบไปอยู่ในห้อง…
เพราะถ้าให้เธอพูดอะไรออกไปตอนนี้ แน่นอนว่าทุกอย่างต้องพังครืนลงแน่ๆ…

หัวอกเธอตอนนี้มันเหมือนมีลูกไฟปะทุจนอกร้อนรุ่มไปหมด…

ก่อนที่จะพลั้งปากหรือทำอะไรออกไปด้วยแรงอารมณ์
เธอขอไปทำใจให้สงบก่อนแล้วค่อยกลับมาพูดเรื่องนี้ต่อ…

ทว่า เพียงเธอลุกขึ้นเท่านั้น เขาก็ลุกตาม อีกทั้งยังคว้าข้อมือเธอ
แล้วรั้งให้นั่งลงบนตักของเขา ก่อนจะรวบตัวเธอเอาไว้แน่นหนา…

“โกรธหรือ…อย่าบอกนะว่าเธอโกรธที่ฉันพูดแบบนั้น…”
เขากระซิบถามข้างๆหูของเธอ…

“ถ้าคุณพูดเพราะกำลังหึงฉัน…ฉันจะไม่ถือสาเลย…และคงจะดีอกดีใจ
แต่…แต่ฉันรู้ดีว่ามันไม่ใช่!”

หญิงสาวกัดฟันข่มกลั้นก้อนแข็งๆที่กำลังจุกแน่นในอกเพื่อพูดประโยคนั้นออกไป…

“คุณก็แค่กลัวเสียศักดิ์ศรี…ก็แค่นั้น…”

พูดพลางแกะมือเขาออก…แม้ใจจะชอบให้เขากอด หากเวลานี้อารมณ์เธอ
ไม่ได้พร้อมที่จะมองหน้าเขาหรืออยู่ใกล้ๆเขาแม้แต่นิดเดียว…

ที่สำคัญ…กลิ่นกายเขา กลิ่นตัวเขา และทุกอย่างที่เป็นเขาในตอนนี้
กำลังทำให้อาการของเธอสาหัสกว่าคราวก่อน

เพราะนอกจากจะรู้สึกคลื่นไส้อยากจะอาเจียนแล้ว เธอยังรู้สึกเวียนหัว
ปวดหัวหนึบๆจนสมองจนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ…

มันเข้าจู่โจมพร้อมกันโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว…

“ปล่อยค่ะ…” หญิงสาวพยายามข่มความผะอืดผะอมเอาไว้…

“ทำไม…อย่าบอกนะว่ายังไม่เลิกเหม็นฉันอีก…ก็เห็นเมื่อกี้เธอยัง
นั่งคุยกับไอ้หมอนั่นได้เลยนี่…หรือว่าเลือกเหม็นเฉพาะผัวตัวเอง…”

เขาพูดคำว่า ‘ผัว’ ได้โดยไม่กระดากปากสักนิด ผิดกับคนฟังอย่างเธอ
ที่รู้สึกได้ทันทีว่าคำๆนั้นมันกระดากหูจนเกินจะรับฟังได้เป็นปกติ…

“ปล่อย…ฉันบอกให้ปล่อย…” หญิงสาวชักเริ่มควบคุมตัวเองได้ยากยิ่งขึ้น
เมื่อดูเขาจะรุกรานเธอไม่หยุด…ใบหน้าเขาซุกไซร้ไปตามซอกคอของเธอ
ราวกับจะแกล้ง…แล้วยิ่งหนักขึ้นเมื่อเขาจับเธอให้หันหน้าไปหาเขา
แล้วจรดริมฝีปากลงบนกลีบปากของเธอแนบแน่น
ทำเอาคนถูกจู่โจมร้องประท้วงในลำคอ…

เพราะนั่นเท่ากับเป็นการก่อกวนอาหารในท้องที่เธอกินเข้าไปวันนี้…
ทว่าเขาดูจะไม่ใส่ใจ ผละจากริมฝีปากของเธอได้ เขาก็ปัดป่ายไปตามผิวแก้มของเธอ
ไล่ไปตามติ่งหูก่อนจะไต่ไปตามซอกคอ

บิลกีสที่วางมือบนหน้าอกเขารีบดันกายเขาให้ออกห่าง อยากวิ่งเข้าห้องน้ำ
ทว่า…ไม่ทันแล้ว เมื่อสุดกลั้นหญิงสาวจึงอาเจียนรดหน้าอกเขาเต็มๆ…
ทำเอาอารมณ์วาบหวามของเขากระเจิดกระเจิง บินหายไปในบัดดล…

ขุนพลมีสีหน้าตกใจไม่น้อยก่อนจะก้มมองสภาพตัวเอง
บิลกีสเองเมื่อได้จังหวะก็รีบวิ่งไปยังห้องน้ำแล้วปลดปล่อยสิ่งที่ตัวเองพยายามกักเก็บ
เอาไว้สุดฤทธิ์ลงไปในโถส้วมจนไม่มีอะไรออกมาได้อีกแล้ว
จึงทรุดกายลงนั่งกับพื้นห้องน้ำอย่างหมดเรี่ยวแรง
หัวที่ปวดตุบๆยังไม่ทุเลาลงเบาบางลงแม้แต่น้อยกลับกระหน่ำราวกับกลอง…

หญิงสาวจึงพยายามยันกายเกาะขอบอ่างล้างหน้าพยุงตัวขึ้น
เพื่อวักน้ำเข้าปากแล้วล้างหน้า

ทว่า พอเงยหน้าขึ้นมากลับเห็นเงาของเขาในกระจก เขาที่ยืนเปลือยเปล่าท่อนบน…
กับสีหน้าแววตาที่ดูไม่จืดเลย…

หญิงสาวมองเขาผ่านกระจกแล้วเหมือนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
รู้สึกหนาวราวกับจับไข้ขึ้นมา…

“ฉัน…ฉันเป็นไมเกรน…อาการมันแย่มาหลายวันแล้ว…”

บิลกีสยังไม่วายหาข้อแก้ตัวเพื่อมาปกปิดอาการแพ้ท้องของตัวเอง…
แค่นี้เรื่องมันก็วุ่นวายมากพอแล้ว เธอยังไม่พร้อมที่จะยอมรับความเสี่ยงไปมากกว่านี้

…รออีกหน่อยเถิด…ขอเวลาอีกนิด…
ขอต่อเวลาออกไปอีกนิดแค่นั้น…ขอแค่เวลาตั้งตัวตั้งใจเท่านั้น

“แน่ใจหรือว่าไมเกรน…” เสียงของเขาเยือกเย็นจนทำให้คนที่รู้สึกหนาว
ถึงกับยกมือกอดตัวเอง ก่อนจะพยักหน้า…ยกมือปิดปากตัวเอง
เพื่อกลั้นความผะอืดผะอมที่ยังมีมาไม่ขาดสาย

…ถ้าเป็นไปได้ เธออยากอยู่ให้ห่างเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้…
แม้ลึกๆแล้วอยากจะเห็นหน้าเขาแค่ไหน อยากจะสวมกอดเขาแค่ไหน

แต่…แต่พอใกล้แล้วร่างกายเธอกลับต่อต้านเขาอย่างรุนแรงอย่างน่าเหลือเชื่อ…
ยิ่งเมื่อถูกเขาจับให้หันไปหาเขา ความวิงเวียน ก่อให้เกิดความมืดวูบวาบ…

“ฉันก็เคยมีอาการปวดหัวไมเกรน…แต่ก็ไม่ถึงกับเหม็นกลิ่นกายคนอื่นแบบเธอ…
ไม่เหม็นเข้าขั้นรุนแรงขนาดนี้…”

“ฉันแพ้กลิ่นน้ำหอมจากตัวคุณ…” บิลกีสยังไม่ยอมพ่ายแพ้ง่ายๆ

ให้ยอมรับสารภาพตอนนี้น่ะหรือ ไม่มีทาง เธอทำไม่ได้…
เธอรู้ตัวดีว่ายังไม่เข้มแข็งพอจะยอมรับผลที่ตามมาได้…

“แต่เมื่อคืนนั้นฉันไม่ได้ใส่น้ำหอมแม้แต่หยดเดียว…” เขาตวาดใส่หน้าจอมโกหก

“มาจนขนาดนี้แล้วเธอยังคิดจะปกปิดฉันอีกหรือบิลกีส!”

เขาจับบ่าเธอโยกจนหัวสั่นคลอน…ส่งผลให้น้ำตาที่รื้นอยู่ใหลลงมาเป็นทาง
ราวกับสายน้ำตก…

“ฉัน…ฉัน…” ปากซีดเซียวสั่นระริก…ไร้เสียงสะอึกสะอื้นของคนที่พยายาม
กลั้นเสียงนั้นเอาไว้สุดฤทธิ์ไม่ให้มันเล็ดลอดออกมา…

“ไม่เจอหน้ากันไม่กี่วัน…เธอโกหกเก่งขึ้นเป็นกอง…ใครสั่งใครสอน
ให้เธอหัดโกหกฉัน…บอกฉันมา…บอกมาเดี๋ยวนี้บิลกีส!”

บิลกีสถึงกับปล่อยโฮออกมาทันทีเมื่อไม่อาจสะกัดกั้นมันเอาไว้ได้อีกต่อไป…

“อย่าเอาน้ำตามาบังหน้า…มันช่วยเธอตอนนี้ไม่ได้แน่…”

หญิงสาวเม้มปากสนิท ปิดกั้นเสียงตัวเองทันที ก่อนจะเงยหน้ามองเขานิ่ง…
นิ่งโดยที่ไม่ยอมเปิดปากพูดสิ่งใดออกมา…

"จะพูดหรือไม่พูด..." เขาคำรามเสียงทุ้มต่ำ...ทว่าคนที่กำลังตกอยู่
ในความว้าวุ่น สับสน อีกทั้งยังรู้สึกกลัวกับขุนพลในแบบที่เธอไม่เคยเห็นอีก
ทำให้ปากที่เม้มอยู่แล้วยิ่งเม้มสนิทแน่นราวกับจะปิดกั้นทุกอย่างไม่ให้
หลุดรอดออกมา...

“ปากแข็งนักใช่ม้ัย…กะจะปิดปากสนิทใช่มั้ย…ได้…”

พูดจบเขาก็ก้มลงเปิดปากที่เม้มสนิทนั่นด้วยริมฝีปากของเขา

…ในหัวอกเขาตอนนี้มันร้าวระบมเพราะโดนผู้หญิงตรงหน้าปั่นหัว
…เธอกล้ามากที่คิดจะปั่นหัวเขา!

หากกลับต้องตกใจเมื่ออยู่ๆร่างที่เขากอดไว้ไร้การสนองตอบใดๆ
นิ่งจนน่าใจหาย อ่อนยวบลงฉับพลันพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่หลุดลอยไป

ขุนพลรับร่างนั้นไว้แล้วเรียกหาทันทีด้วยแววตาหวาดหวั่น

“บิลกีส…บิลกีส…” มือหนายกขึ้นจับคางนั้นเขย่า มองใบหน้าซีดเซียว
จนเหมือนกระดาษแล้วใจหายวูบ พยายามเรียกสติของเธอ
หากก็ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆกลับมา…

ชายหนุ่มจึงช้อนตัวหญิงสาวขึ้นแล้วอุ้มไปวางไว้บนเตียงในห้องนอน
รีบยกหูโทรศัพท์เรียกหาหมอทันที…





หลังจากส่งหมอกลับไปแล้ว น้องสาวของเขาก็เดินสวนทางกลับเข้ามาพอดี

“มีอะไรหรือคะพี่ไนค์…พี่กีสล่ะ…” ดุจมณีสอดส่ายสายตามองหาร่างของพี่สะใภ้
หากก็ไม่เจอ…

“พี่กีสล่ะคะ…” เสียงใสเปลี่ยนเป็นขุ่นขึ้น เพราะนึกจินตนาการไปในทางลบเสียแล้ว

“อยู่ในห้อง…ไม่สบายน่ะ…” คำตอบจากปากพี่ชายส่งผลให้หญิงสาว
รีบวิ่งเข้าไปหาพี่สะใภ้ทันที…โดยมีร่างของพ่ีชายเดินตามมา…

“ถึงกับต้องให้น้ำเกลือทางสายเลยหรือคะ…”
ดุจมณีมองสายน้ำเกลือระโยงระยางที่ห้อยอยู่เหนือหัวเตียง…

“พี่กีสเป็นอะไรคะพี่ไนค์…” ผู้เป็นน้องที่นั่งตรงขอบเตียงเงยหน้้าขึ้นมองพี่ชาย
ที่ยืนนิ่งสงบเหมือนเวลาทำความเคารพธงชาติหน้าเสาธง

“อย่าเพิ่งถามอะไรพี่ตอนนี้เลย…” เสียงเนือยๆของพี่ชาย
ทำเอาผู้เป็นน้องสาวถึงกับหน้าหงอ…

“ว่าแต่เราเถอะ…พี่มีอะไรจะถามหน่อย…”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางเป็นงานเป็นการของพี่ชายแล้ว
ดุจมณีจึงลุกจากเตียงของพี่สะใภ้เดินตามร่างพี่ชายออกจากห้องไป
แล้วมาหยุดนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องทำงานของพี่ชาย…

“พี่กีสไม่ได้เป็นอะไรที่น่ากลัวใช่มั้ยคะ…”
น้ำเสียงกังวลกับสีหน้าหวาดหวั่นของน้องสาวทำให้คนเป็นเป็นพี่แค่นยิ้มออกมา
ก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่หรอก…” ดุจมณีจึงพ่นลมหายใจออกมาทันทีเมื่อได้รับการยืนยันเช่นนั้นจากพี่ชาย

“ว่าแต่ช่วงที่พี่ไม่อยู่…พี่กีสเขาทำอะไรบ้างในแต่ละวัน…”
ดุจมณีกระตุกคิ้วนิดนึง เอียงคอสี่สิบห้าองศามองหน้าพี่ชายอย่างพิจารณา
ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา

“ก็…ตื่นมาดูแลเรื่องอาหารเช้า…ให้อาหารคนป่วย ทำความสะอาดบ้าน
ซักเสื้อผ้า แล้วก็กลับมาทำอาหารเที่ยง…เสร็จแล้วก็…”

“พอๆๆ…อันนั้นพี่รู้แล้ว…เอาแบบอย่างอื่นที่นอกเหนือจากนี้สิ…”

ขุนพลยกมือห้ามน้องสาวทันทีที่รู้ว่ากำลังโดนก่อกวนจากน้องสาวเข้าให้แล้ว

“ก็วาดภาพ...ถักไหมพรม…แล้วพอตกดึกหน่อย ไอซ์แอบเห็นนั่งทำอะไรยิกๆ
อยู่หน้าคอมฯก็ไม่รู้ค่ะ…จริงๆแล้วไอซ์ไม่แน่ใจหรอกนะคะว่าพี่กีสนั่งหน้าคอมฯแบบนั้น
ทุกคืนหรือเปล่า แต่คืนที่ไอซ์ลุกขึ้นมาหาน้ำกินตอนดึกๆก็จะแอบได้ยินเสียงแคกๆ
ดังมาจากห้องนี้ทุกที…” ดุจมณีบอกพี่ชายโดยไม่ปิดบัง

“คอมฯตัวนี้หรือ…” ขุนพลชี้มายังคอมพิวเตอร์ตรงหน้าเขา

“ค่ะ…” ขุนพลเลยเปิดคอมพิวเตอร์ตัวนั้นแล้วมองหาสิ่งแปลกปลอม
ที่เพิ่มเติมเข้ามาทันทีโดยไม่ลืมให้น้องสาวเล่าเรื่องราวต่างๆ
ในช่วงที่เขาไม่อยู่ไปด้วย

“ล่าสุด เห็นยุ่งอยู่กับรูปดอกไม้ค่ะ พี่กีสวาดไป 5 รูป สวยๆทั้งนั้น
แล้วเห็นจะชอบนั่งถักไหมพรม ไอซ์ยังเคยถามว่าทำไมต้องถัก…
พี่กีสก็ได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่าว่างๆไม่รู้จะทำอะไร…แต่ไอซ์ว่าพ่ีกีสไม่น่าจะว่าง
อย่างที่พูดหรอกค่ะ…ก็เห็นทำโน่นทำนี่ไม่เคยหยุด…
นอนหลังคนอื่นแต่ตื่นก่อนใคร…ไอซ์ก็เลยไม่รู้ว่าพี่กีสนอนเวลาไหน
แล้วตื่นมาตอนไหน เพราะไม่เคยเห็นพี่กีสในท่านอนสักที…นอกจากวันนี้แหล่ะ…”

ขุนพลมองไฟล์งานในคอมพิวเตอร์นิ่ง
แล้วเหลือบตาขึ้นมองหน้้าน้องสาว

“แล้วมีใครแวะเวียนมาบ้างรึเปล่า…” ดุจมณีโคลงศีรษะ

“ไม่นะคะ…ปกติจะเป็นคนมารับของ…หรือไม่ก็คนส่งของ…
แต่พี่กีสไม่เคยให้ใครเข้ามาหรอกค่ะ…นอกจากเวลามีคนมาขนเอาผลงานของพี่เขา
ออกไปเท่านั้น…วันไหนที่จะมีคนมาขนเอาผลงานพี่กีสจะขอให้ไอซ์อยู่ด้วยตลอด…
ขอไม่ให้ไอซ์ไปไหน…หรือไม่ถ้ามีคนมาส่งของ พี่กีสก็จะขอให้ไอซ์อยู่รอเป็นเพื่อน
ก่อนออกไปบ้านพ่ีปองค่ะ…วันนี้เห็นว่ามีนะคะ...แต่พี่กีสเห็นว่าไอซ์จะได้
ไปเที่ยวสวนรถไฟ ก็เลยไม่อยากให้ไอซ์พลาดโอกาส...เลยยอมให้ไอซ์ไป...”

“ไม่มีใครเข้ามาเกาะแกะพี่สาวเราแน่นะ…”

ขุนพลคาดคั้นน้องสาว ดุจมณีจึงขมวดคิ้วอย่างไม่ใคร่จะเข้าใจนักว่า
ทำไมพี่ชายจึงดูซีเรียสกับเรื่องจุกจิกหยุมหยิมแบบนี้ขึ้นมา

...ปกติไม่เห็นเคยเป็น…

“ก็ไม่นี่คะ…แต่ระหว่างที่ไอซ์ไปข้างนอก ไอซ์ก็ไม่รู้…
แต่พี่กีสเคยบอกว่าไม่ค่อยมีเพื่อน…เพื่อนที่สนิทที่สุดก็แต่งงานไปอยู่กับสามีที่เมืองนอก…

ถ้าพี่ไนค์กลัวว่าพี่กีสจะแอบมีใครหรือให้ใครมาหาตอนที่ไอซ์ไม่อยู่ห้องล่ะก็…
ไอซ์ขอยืนยันว่าไม่มีแน่ๆ เพราะถ้ามีล่ะก็…คุณลุงไม่มีทางชอบพี่กีสแน่ค่ะ

คุณลุงน่ะเห็นนอนอยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้หลับหรอกนะคะ…แถมยังพูดคุยด้วยรู้เรื่อง…
แต่นี่คุณลุงดูจะชอบพี่กีสนะ…ไอซ์รับรู้ได้…”

พูดไปแล้วก็ได้แต่สังเกตมองสีหน้าท่าทางของพี่ชายไปด้วย…

“และอย่างพี่กีสน่ะหรือจะนอกใจพี่ไนค์ได้ ถ้าเป็นพี่ไนค์ล่ะก็น่าเชื่อกว่ากันเยอะ…”

ดุจมณีพูดพลางค้อนพี่ชายไปวงใหญ่ โทษฐานที่คิดระแวงพี่สะใภ้ผู้แสนดีของเธอ…

“พี่ไนค์กำลังสงสัยอะไรพี่กีสหรือคะ…ถึงได้ซักไอซ์อย่างกับจะซักให้สะอาดแน่ะ…”
ไม่วายสงสัย

“เปล่า…พี่ก็แค่อยากรู้ความคืบหน้าและความเป็นไปของคนในครอบครัว
ในระหว่างที่พ่ียุ่งๆกับงานอยู่ข้างนอกบ้างก็เท่านั้น…”

“อย่าแม้แต่จะคิดระแวงพี่กีสก็แล้วกัน ไม่งั้นไอซ์โกรธพี่จริงๆ…
มีอย่างที่ไหน ตัวเองยุ่งแต่กับงาน บ้างาน ทิ้งพี่กีสให้อยู่เฝ้าบ้านคนเดียว
พอกลับมาก็หาเรื่องระแวงชาวบ้านเค้า อย่างนี้เขาเรียกว่ารังแกกันชัดๆ…

ถ้าพี่กีสทิ้งพี่ไปเมื่อไหร่ ไอซ์นี่แหล่ะจะขอตามไปอยู่กับพี่กีสด้วย…
ไม่อยู่กับพี่ไนค์หรอก…” ขุนพลมองสีหน้างอนๆของน้องสาวแล้วได้แต่หัวเราะในลำคอ

“เดี๋ยวนี้เราพูดอะไรมีเหตุมีผลมากกว่าแต่ก่อนนะ ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
หรือว่าเริ่มจำอะไรๆได้บ้างแล้วฮึ…”
ขุนพลอดไม่ได้ที่จะรู้สีกว่าดุจมณีเปลี่ยนไปกว่าแต่เดิม…

“ไม่รู้สิคะ…ตั้งแต่ได้ออกไปเยี่ยมชมโลกภายนอก ไอซ์ก็รู้สึกว่า
ตัวเองคุ้นเคยกับมันยังไงก็ไม่รู้…”

“พี่ปองพาไปเที่ยวไหนบ้างล่ะ…”

“ก็ไปหลายที่นะคะ…พาไปกินข้าวในห้างบ้าง ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าบ้าง
แถมยังเคยพาไปที่บ้านหลังใหญ่ๆเหมือนวังด้วยค่ะ…แล้วถามไอซ์ว่า
ไอซ์เคยเห็นบ้านหลังนั้นบ้างรึเปล่า…ไอซ์เองก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
รู้แต่ว่ามันคุ้นๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าคุ้นยังไง…” ขุนพลกระตุกคิ้วรู้สึกสะดุดใจ
กับเรื่องที่น้องสาวเล่าให้ฟัง…

“บอกพี่ได้มั้ยว่าบ้านหรือวังที่ว่ามีหน้าตายังไง…” เขาซักเสียงนุ่ม

“ก็…ใหญ่มากๆ…สวยมากๆด้วย…แต่เงียบและวังเวงไปหน่อย
ในรั้วนั้นมีสวนรอบๆบ้านที่กินพื้นที่กว้างด้วยแหล่ะค่ะ…
แต่ที่เด่นที่สุดและเตะตาไอซ์ก็คือ…ในสวนมีต้น…อ้อ…พี่ปองบอกว่า
มันคือต้นลีลาวดีค่ะ…ลีลาวดีสีแดงหลายต้นมาก…เป็นพุ่มใหญ่เลย

แล้วที่ตัวบ้านตรงหน้าจั่ว มีรูปดอกลีลาวดีที่แกะสลักไว้อย่างสวยงามด้วย
ไอซ์จำได้ติดตา…และยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงได้ถูกใจบ้านหลังนั้นนัก”

ขุนพลถึงกับลมหายใจสะดุดตั้งแต่น้องสาวพูดถึงต้น ‘ลีลาวดีสีแดง’พุ่มใหญ่แล้ว…

ไม่ต้องคิดนาน เขาก็แน่ใจว่าปองขวัญพาดุจมณีไปยัง
อดีตคฤหาสน์ของตระกูลทวีวรวรรณ ที่ถูกริบเป็นของแผ่นดิน
แล้วปัจจุบันก็ดูเหมือนจะยังไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่อาศัย
เพราะเหตุโศกนาฏกรรมที่เขย่าขวัญผู้คนซึ่งเป็นข่าวดังครั้งน้ัน ทำให้มีคนตาย
ในบ้านหลังนั้นตรงห้องโถงของบ้านถึงสองศพ บาดเจ็บปางตายอีกหนึ่ง
ซ้ำยังเป็นศพของเจ้าของบ้านทั้งสองคน

…ภาพเลือดสีแดงนองเต็มพื้นกระเบื้องยังติดตาเขามาจนบัดนี้…

“มันเคยเป็นบ้านของเธอไงล่ะ…” ขุนพลบอกไปโดยไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป…

หากการบอกเล่าจะช่วยฟื้นความทรงจำให้น้องสาวได้ เขาก็อยากจะทำ
เมื่อก่อนเขาอาจจะขี้ขลาดอีกทั้งยังสงสารน้องสาว
จึงไม่คิดที่จะช่วยรื้อฟื้นความทรงจำของผู้เป็นน้อง กลัวเธอจะเจ็บปวด
กับความรู้สึกที่ได้พบเห็นภาพติดตาครั้งนั้น…

แต่บัดนี้ เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมนักที่จะปล่อยให้สาวสวยตรงหน้าเหี่ยวเฉา
ไปตามกาลเวลาในสภาพของเด็ก…ดุจมณีต้องยืนหยัดต่อไปอย่างเข้มแข็งสิ…

เพราะไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็พร้อมจะพยุงน้องสาวคนนี้ให้ลุกขึ้นเสมอ…

“บ้านไอซ์หรือคะ…”

“ใช่…บ้านที่เธออาศัยมาตั้งแต่เด็ก…แล้วดอกลีลาวดีสีแดงนั่น
ก็เป็นดอกไม้ที่แม่ของเธอชอบเป็นชีวิตจิตใจ…” ขุนพลเฉลย…

“แม่ของไอซ์ชอบหรือคะ…” ขุนพลพยักหน้า

“เธอเองก็หลงใหลมัน…หรือว่าตอนที่ไปเห็นมันเข้า…เราไม่สนใจมันเลย...ฮึ”

ดุจมณีเบิกตาโตมองพี่ชายอย่างค้นคว้า

“ค่ะ…ไอซ์สะดุดตาสะดุดใจกับมันมาก…ยังชอบดอกไม้สีขาวของพี่กีสเลย
โดยเฉพาะดอกลีลาวดี เพียงแต่ของพี่กีสมันมีสีขาว
ไม่ใช่สีแดงที่ไอซ์เห็นที่บ้านหลังนั้น…แสดงว่ามันปลูกมานานแล้วสิคะ
ต้นถึงได้ใหญ่และเป็นพุ่มอย่างนั้น…” ขุนพลพยักหน้า

“ก็ตั้งแต่เริ่มสร้างบ้านหลังนั้นแหล่ะ…ส่วนต้นที่ใหญ่ที่สุดนั่นมีมาก่อนที่จะมีบ้าน…
อายุน่าจะเกือบๆร้อยปีได้แล้วมั้ง…”

ขุนพลเล่าพลางนึกภาพต้นลีลาวดีสีแดงเพลิงต้นใหญ่ในรั้วคฤหาสน์หลังงาม
เขารู้เพราะพ่อของเขาเป็นผู้เลือกที่จะสร้างเคหะสถานแห่งนั้น
ไว้ตรงพื้นที่ของต้นลีลาวดีต้นนั้น เพราะมารดาของดุจมณีชอบต้นไม้ชนิดนั้น…

และคฤหาสน์หลังนั้นก็เหมือนจะถูกสร้างขึ้นเพื่อผู้หญิงคนนั้น
คนที่เป็นแม่เลี้ยงของเขาโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ลับของทั้งสองเลย…

ที่ผ่านมาพ่อเขาไม่เคยรักแม่ของเขาเลย…ไม่เคยเลย
แม่ของเขาตายไปโดยปราศจากหัวใจรักของผู้เป็นสามี…

ส่วนเขา...ก็เป็นได้แค่เพียงลูกชายของผู้หญิงที่พ่อไม่ได้รักไม่ได้มีใจให้…

ทุกอย่างที่พ่อทำที่พ่อบากบั่นก็เพื่อผู้หญิงคนนั้น
คนที่เป็นแม่ของขุนศึกกับดุจมณีเท่านั้นเอง…

ส่วนแม่ของเขาก็แค่สะพานเงินสะพานทอง
แค่หญิงสาวที่มีหัวใจรักกับทรัพย์สมบัติให้พ่อของเขาใช้เป็นทุนรอน
เป็นฐานขึ้นไปสู่ชื่อเสียง อำนาจ เงินทอง และเกียรติยศ…

ขนาดแม่ของเขาตายไปด้วยน้ำมือของผู้หญิงที่พ่อของเขารัก
พ่อของเขาก็ไม่เคยโกรธเกลียดผู้หญิงคนนั้น ซ้ำยังรักยังหลงใหล
ปักใจมั่นคงไม่เสื่อมคลาย…ภักดีจนวันสุดท้ายของผู้หญิงคนนั้น

พ่อยอมเอาร่างกายของตัวเองไปบังกระสุน…ยอมให้น้องชายที่ตัวเองรัก
ตราหน้าว่าเป็นชายชู้แย่งเมียน้อง…ยอมทนอยู่ในสถานะอันน่ารังเกียจเช่นนั้นมาตลอดชีวิต

เพราะความหลงงมงายกับความรักที่มีต่อผู้หญิงคนเดียวแบบผิดๆ…
ผู้หญิงที่แทบหาค่าไม่ได้…ผู้หญิงที่จิตใจเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา อาฆาตมาดร้้าย…

...หากพ่อก็คือพ่อที่ยังคงรักผู้หญิงคนนั้น…

และวันที่ความจริงปรากฏขึ้น ขุนศึก ดุจมณี
ทั้งสองที่ไม่เคยรู้ว่ามีพ่อคนเดียวกันกับเขาก็ถึงกับกระอักเลือด
ต้องมารองรับความเจ็บปวดจากการกระทำของพ่อของเขากับผู้หญิงคนนั้น

คนเป็นน้องก็ต้องมาขาดสติจนปลิดชีพเมียรักกับตัวเอง
เมื่อรู้ความจริงว่าลูกทั้งสองที่ฟูมฟักมาตลอดและเชื่อมาตลอดว่าเป็นลูกของตน
ลูกที่เขาภาคภูมิใจกลายกลับเป็นเพียงแค่หลาน

หลานที่เกิดจากพี่ชายที่ลอบมีสัมพันธ์กับเมียรัก…
เพียงเพราะความมักง่ายของผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น
ผู้หญิงที่กล้าประกาศก่อนตายว่ารักพ่อเขายิ่งกว่าสามีของตนเอง
เพราะพ่อคือรักแรกและรักเดียว…เขาไม่คิดว่านั่นคือรักแท้หรอก
ในเมื่อมันนำมาซึ่งหายนะ...สร้างแต่ความผิดบาป สร้างแต่แผลเน่าเฟะให้ลูกหลาน
ซ้ำยังสร้างโศกนาฏกรรมที่เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วบ้านทั่วเมือง...

ความทรงจำแบบนี้…เขาไม่คิดว่าดุจมณีจะยอมรับได้ง่ายๆ
มิเช่นนั้นคงไม่ทำให้เธอสติหลุดจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แน่…

และหากความทรงจำนี้กลับมา เขาก็ไม่แน่ใจว่าดุจมณีจะตกอยู่ในสภาพไหน
จะสดใสเช่นนี้ได้อีกไหม

แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็พร้อมจะประคับประคองน้องสาวคนนี้ให้ดีที่สุด
เท่าที่พ่ีชายอย่างเขาจะทำได้…

“พี่ไนค์นิ่งไปแบบนี้…อย่าบอกนะคะว่า…บ้านหลังนั้นเป็นบ้านผีสิง
เพราะมีคนตาย…แม่ของไอซ์ตายที่นั่นใช่มั้ยคะ…แล้วที่พี่ไนค์
เคยบอกว่า…บ้านเราถูกไฟไหม้ก็ไม่ใช่ความจริงใช่มั้ยคะ…”

คำถามนั้นก่อให้เกิดความเงียบอีกครั้ง…ก่อนขุนพลจะตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมด
ออกไปให้น้องสาวฟัง…เขาคิดว่ามันถึงเวลาที่เขาจะต้องเปิดหูเปิดตาน้องสาว
ให้ออกมาเผชิญหน้ากับความจริงเสียที

แต่ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อน้องสาวของเขาดูจะไม่ได้ตกอกตกใจหรือเสียขวัญ
หากกลับยิ้มออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

“ขอบคุณค่ะที่เล่าให้ไอซ์ฟัง…ไอซ์เข้าใจแล้วว่าทำไมเราถึงต้องมาอยู่กันที่นี่…
แล้วทำไมพี่ไลท์ถึงได้ไม่อยู่กับเรา…งั้นไอซ์ก็ต้องเรียกคุณลุงว่าพ่อถึงจะถูกใช่มั้ยคะ
เพราะพี่ไนค์กับไอซ์มีพ่อคนเดียวกัน…เราเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้อง”

ขุนพลลุกขึ้นมายืนข้างๆน้องสาวแล้วจับบ่ารั้งให้ลุกขึ้นแล้วกอดเอาไว้

“จริงๆแล้วไอซ์จำบ้านของเราได้ค่ะ…จำได้…จำต้นลีลาวดีนั่นได้ด้วย
ตอนที่พี่ปองพาไปดู…ไอซ์จำได้…และยังสงสัยว่าทำไมพี่ไนค์ถึงบอกไอซ์ว่า
บ้านเราไฟไหม้ไปแล้วพร้อมกับคนอื่นๆ…ทั้งๆที่มันก็ยังอยู่แม้สภาพจะไม่เหมือนเดิม

แต่ไอซ์จำได้นะคะ…แม้จะยังจำอย่างอื่นไม่ได้ แต่บ้านเรา ทำไมไอซ์จะจำไม่ได้…”

ขุนพลกดศีรษะน้องสาวแนบอกพร้อมกับยกมือขึ้นลูบผมนุ่มนิ่มนั่นอย่างอ่อนโยน

“เราสามคนพี่น้องเคยวิ่งเล่นด้วยกันใต้ต้นลั่นทมนั่น…ไอซ์ก็จำได้
เวลาไอซ์ร้องไห้แล้วแอบไปหลบทุกคนตรงพุ่มลั่นทมต้นใหญ่นั่น
แล้วพี่ไนค์เข้ามาหาเข้ามาปลอบ ไอซ์ก็จำได้…เวลาโดนพี่ไลท์รังแก…
พี่ไนค์ก็เข้ามาช่วย จนโดนคุณลุง เอ่อ…พ่อตี…ไอซ์ก็จำได้

ยังนึกอยู่เลยว่าทำไมพี่ไนค์ไม่บอกคุณลุง เอ่อ พ่อไปตรงๆว่า
พี่ไลท์นิสัยไม่ดี…ชอบรังแกคนอื่นแล้วป้ายความผิดให้คนอื่นเค้้า…”

ในความทรงจำของดุจมณีแล้ว เธอไม่ใคร่รักหรือชอบพอพี่ชายแท้ๆ
อย่างขุนศึกนัก เพราะมันถูกบรรจุไว้ด้วยความร้ายกาจ เอาแต่ใจ
และเห็นแก่ตัวของพี่ชายเต็มไปหมด…

แตกต่างจากพี่ชายที่กำลังกอดและปลอบเธออยู่ในขณะนี้อย่างสิ้นเชิง…

“แล้วตอนนี้พี่ไลท์หายไปไหนคะ…” ไม่วายถามถึงพี่ชายแท้ๆขึ้นมา
ขุนพลจึงดันร่างบางออกห่างแล้วบอกไปตามตรงว่า

“อยู่เมืองนอก…เราอยากเจอพี่ไลท์ของเรารึเปล่าล่ะ…”
ดุจมณีส่ายหน้าหวือ

“ไม่อยากเจอหรอก…พี่ชายร้ายกาจแบบนั้นน่ะ…”
ขุนพลโยกหัวน้องสาวยิ้มอย่างเอ็นดู

“แต่เขาก็เป็นพี่ชายเรานะ…เป็นพี่ชายแท้ๆซะด้วย…”

“ใครอยากได้พี่ชายแบบนั้นกัน…ร้ายกาจแถมไม่เคยคิดถึงใจใครแบบนั้น
รังแกได้แม้แต่น้องแท้ๆ…ไอซ์ไม่สนใจหรอก…ไม่เห็นจะอยากพบอยากเจอ…”

ขุนพลมองน้องสาวแล้วได้แต่ส่ายหน้า

“ถ้าพี่ไลท์ของเรามาได้ยินเข้า คงน้อยใจแย่…”

“โอ้ย…ไม่มีทางหรอก…พี่ไลท์เคยสนใจซะที่ไหน…”
ไม่วายแขวะพี่ชายที่อยู่อีกซีกโลก…

“ยังไงเลือดก็ข้นกว่าน้ำอยู่วันยังค่ำ…”

“ใครจะสนเลือดอย่างพี่ไลท์…ถ้ายังมีน้ำให้กิน…ไม่มีน้ำกินสิเดือดร้อน”

ดุจมณีโต้หน้้าตาย ทำเอาคนฟังถึงกับหัวเราะฮึๆในลำคอ

“แต่พ่อเราสนใจ…และพี่ก็อยากให้เราลืมๆความบาดหมางไปบ้าง
พี่ชายเราเขาก็ไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น…”

“น้อยไปสิ…พี่ไลท์น่ะหรือไม่ร้าย…ตั้งแต่จำความได้ ไอซ์โดนแกล้ง
แถมยังโดนป้ายสี พี่ไนค์เองโดนหนักที่สุดไม่ใช่หรือ…

นี่ขนาดว่าไอซ์ยังจำตอนพี่ไลท์โตมายังไม่ได้เท่าไหร่นะ
แต่ก็เหมือนๆจะรู้สึกกรุ่นๆทุกทีที่นึกถึงพี่ไลท์…”

ว่าพลางก็ซุกหน้าลงกับอกกว้างขวางของพี่ชายต่างมารดา…

“แค่มีพี่ไนค์อยู่ด้วย ก็เพียงพอแล้วค่ะ ไอซ์ไม่ได้ต้องการไปมากกว่านี้”

ผู้เป็นพี่ยิ้มบางขณะยกมือลูบผมน้องสาวด้วยความรักใคร่

“แล้วเราไม่สงสารพี่ไลท์เขาบ้างหรือ เขาต้องหนีหัวซุกหัวซุน
ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง…แถมยังต้องหลบหน้าผู้คนที่รู้จัก…”

“ไม่ค่ะ…พี่ไลท์ทำตัวเองทั้งนั้น…ไอซ์เชื่อนะว่าเพราะพี่ไลท์ทำตัวเอง
เพราะคนอย่่างพี่ไลท์ไม่มีทางโดนใส่ร้ายป้ายสีแน่ๆ…พี่ไลท์ฉลาดเป็นกรดจะตายไป…
ยิ่งกว่าตัวร้ายในละครซะอีก…”

ดุจมณีเอ่ยถึงพี่ชายแท้ๆของตนด้วยน้ำเสียงดุเดือด…เพราะไม่เคยเลยสักครั้ง
ที่จะปลื้มพี่ชายแท้ๆของตน…สายใยสายสัมพันธ์ระหว่างความเป็นพี่เป็นน้อง
ก็ไม่ค่อยได้รับการเชื่อมโยงมาแต่ไหนแต่ไร…

เวลาทุกข์เวลาสุขก็ไม่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน…
เวลากินข้าวก็แทบจะไม่ค่อยได้กินด้วยกัน
การแบ่งปันกันและกันในความทรงจำก็แทบจะไม่มี

แต่ถ้าเป็นพี่ชายที่กำลังโอบกอดเธอไว้คนนี้ล่ะก็…เธอยอมรับเต็มหัวใจ
ว่ารักพ่ีชายคนนี้ยิ่งกว่าพี่ชายแท้ๆเสียอีก รักกว่่าหลายเท่านัก…

เพราะเขาคือคนเดียวในชีวิตที่เธอสามารถแบ่งปันทั้งทุกข์และสุขให้ได้
ขนาดพ่อแม่ก็ไม่เคยทำได้ดั่งพี่ชายคนนี้…

“อย่าบอกนะคะว่าพี่ไนค์จะให้พี่ไลท์มาอยู่กับเราด้วยน่ะ…”

ดุจมณีอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้…เพราะเท่าที่ฟังๆมาดูเหมือนว่า
สิ่งที่เธอกำลังกังวลจะเป็นจริง

“ทำไมล่ะ…เราไม่อยากให้พี่ไลท์มาอยู่ด้วยหรือ…”

“ไม่ใช่ไม่อยากนะพี่ไนค์ แต่เชื่อไอซ์สิ พี่ไลท์น่ะตัวยุ่งเลยล่ะ…
พี่ไนค์นั่นแหล่ะจะเดือดร้อนหนัก…” คนเป็นน้องสาวไม่วายเตือนพี่ชาย

เพราะรู้ดีว่า พี่ชายทั้งสองคนไม่ค่อยจะลงรอยกันมาตั้งแต่ไหนแล้ว
โดยเฉพาะพี่ชายแท้ๆของเธอนั่น ดูจะไม่ปลื้มพี่ไนค์ของเธอนักหรอก

“แล้วจะมาอยู่ยังไง…ห้องแค่นี้…พี่กีสอีกล่ะคะ…” ขุนพลยิ้มกว้าง
เมื่อเห็นความเอื้ออาทรที่น้องสาวมีต่อหญิงสาวอีกคน

“ไม่ใช่ตอนนี้หรอก…กว่าจะถึงวันนั้น…เราคงมีบ้านเป็นของเราแล้ว
แต่ในขั้นต้น พี่อยากพาพี่ชายเรามาให้พ่อเราหายคิดถึงน่ะ…”

ดุจมณีดันแผ่นอกพี่ชายออกทันที มองหน้าเขาด้วยแววตาตกใจ

“พามาหาพ่อหรือคะ…” ขุนพลพยักหน้านิดๆ ก่อนจะยิ้มออกมา
เมื่อเห็นว่าน้องสาวเริ่มเรียกพ่อว่า 'พ่อ' ได้เต็มปากเต็มคำมากขึ้นแล้ว

“เมื่อไหร่คะ…”

“อีกไม่นานนี่แหล่ะ…” เขาว่าก่อนจะย้ำ

“แต่ห้ามเราหลุดปากเรื่องนี้ไปกับใครนะ ไม่ง้ันคนที่เดือดร้อนก็คือพี่นี่แหล่ะ…”
ดุจมณีพยักหน้า

“ค่ะ…ไอซ์จะไม่พูด…”

“งั้นเราไปช่วยกันเข้าครัวทำอะไรกินกันเถอะ…เพราะตอนนี้แม่ครัวของเรา
เขานอนป่วยซะแล้วนี่…” ว่าพลางชวนน้องสาวด้วยน้ำเสียงสดชื่นขึ้น

“แม่ครัวของเราหรือคะ…แหม...ฟังแล้วรู้สึกดีจัง…” ดุจมณีอดแหย่พี่ชายไม่ได้

“พรุ่งนี้ห้ามพ่ีไนค์ไปไหนอีกนะคะ…พี่ต้องอยู่ดูแลพี่กีสทั้งวัน…
ไม่งั้น…เราได้เห็นดีกัน…” ดุจมณีขู่พี่ชายเสียงเข้ม ส่งผลให้ขุนพลถึงกับหัวเราะในลำคอ…
ก่อนจะจูงมือน้องสาวไปยังห้องครัว






“ว่าไงปราย…”


“ปรายเอาเอกสารมาให้พี่ไนค์เซ็นค่ะ…”

“อ้าว…แล้วเจ้าทักษ์ล่ะ…”

“พี่ทักษ์ไม่ว่างค่ะ ปลีกตัวมาไม่ได้ เลยให้ปรายมาแทน…”

“ว่าแต่…เมียพี่ไนค์เป็นไงบ้างคะ…”

“ก็…ยังดูเพลียๆอยู่เลย…”

“น่าจะพาไปโรงพยาบาลนะคะ…”

“ไม่ละ…อยู่ที่นี่ดูแลง่ายดี…”

เสียงสนทนาที่ลอดเข้ามาในห้องทำให้บิลกีสปรือตาขึ้น พยายามมองไปรอบๆตัว
สิ่งแรกที่พบคือสายน้ำเกลือ หญิงสาวจึงยกแขนข้างที่โดนเจาะขึ้นมาดู
ก่อนจะค่อยๆพยุงกายให้ลุกขึ้น…

“อ้าว…พี่กีส…ตื่นแล้วหรือคะ…” เสียงงัวเงียของดุจมณีที่ดังขึ้นข้างๆ
ส่งผลให้หญิงสาวหันไปมอง ก็พบว่าสาวเจ้ากำลังนอนคุดคู้อยู่ข้างๆ

“พ่ีนอนไปนานรึเปล่าน่ะไอซ์…ทำไมรู้สึกเหมือน…”

“เหมือนอะไรคะ…”

“มึนๆน่ะ…” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นกุมศีรษะก่อนจะสะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความมึนงง…

“เดี๋ยวอาบน้ำคงจะสบายตัวขึ้นค่ะ…พี่กีสหลับไปตั้งแต่เย็นวานแน่ะ
นี่ก็เกือบจะครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วล่ะค่ะ…”

“นี่เย็นแล้วหรือ…” หญิงสาวผวายันกายเหยียดตรง

“ตายแล้ว น้องไอซ์ พี่ยังไม่ได้ทำคุ้กกี้เลย…”

“คุ้กกี้อะไรคะ…”

“ก็…พี่ตกลงทำคุ้กกี้ส่งให้ทางแกลอรีคุณคีเขาไปแล้ว
บอกให้เขามารับพรุ่งนี้เช้า…พี่ไม่อยากผิดสัญญา น้องไอซ์ช่วยพี่หน่อยได้มั้ย…”
บิลกีสหันไปยิ้มอ้อนหญิงสาวข้างกาย

“ช่วยยังไงคะ…”

“ก็…ช่วยไปซื้อวัตถุดิบให้พี่หน่อยได้มั้ย…เหมือนที่เราเคยไปซื้อด้วยกัน
เดี๋ยวพี่จดรายการให้…นะน้องไอซ์นะ…”

“ไม่ได้!”

นั่นไม่ใช่เสียงปฏิเสธจากหญิงสาวข้างกาย แต่เป็นเสียงที่ดังมาจากประตูห้องนอน
สองสาวหันไปมองคนที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกัน…

“ไม่ว่าใครก็ออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น…โดยเฉพาะเธอ…”

น้ำเสียงราวกับเผด็จการของเขา ทำเอาคนที่เพิ่งตื่นถึงกับสะอึก…

“หรือที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้…เธอลืมไปแล้ว…”

“อะไรคะ…” บิลกีสกลอกตาไปมาเมื่ออยู่ๆเขาก็สาดเอาสาดเอาแบบนี้
ทำเอาคนที่เพิ่งตื่นอย่างเธอแอบงง

“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น…ไม่ว่าวาดรูปหรืออะไรทั้งสิ้น…
แล้วฉันขอห้ามเธอทำอะไรกับคอมฯของฉันอีก…
ไม่ต้องขีดเขียนอะไรของเธออีกแล้ว…ได้ยินมั้ย…”

“ให้ตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลยใช่มั้ยคะ…”

คนเพิ่งตื่นชักอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเมื่อได้ยินน้ำเสียงและแววตาดุดันของเขา…

เรื่องหวานๆน่ะไม่คิดว่าจะได้จากคนอย่างเขาหรอก
แต่ขอแค่ธรรมดาๆมิได้หรือไง…

“ไม่ต้องพบไม่ต้องคุย ไม่ต้องสังคมกับใครเลยยิ่งดีใช่มั้ยคะ…”

หญิงสาวประชดเข้าให้ ทั้งๆที่ปกติเธอไม่คิดจะทำมันเลย…
แต่อารมณ์นี้มันหยุดเอาไว้ไม่อยู่…

“จะเอาอย่างนี้เลยก็บอกมาตรงๆ…จะได้ไม่ต้องติดต่อคบค้าสมาคม
กับใครหน้าไหนอีกต่อไป…”

ชายหนุ่มกัดฟันมองหญิงสาวที่กล้าตีฝีปากกับเขานิ่ง…ช่างยอกย้อนเหลือเกิน

“อย่ามายั่วโมโหฉันนะบิลกีส…”

“พี่ไนค์คะ…เอ่อ…” ดุจมณีที่เห็นท่าไม่ดีจึงแทรกขึ้นทันที

“เอ่อ…ไอซ์ว่า…เราเอาสายน้ำเกลือออกให้พี่กีสดีกว่าค่ะ
พี่กีสจะได้ไปอาบน้ำ…จะได้สดชื่นเนอะ…” พูดพลางพยักพเยิด
ให้พี่ชายช่วยแกะสายน้ำเกลือให้พี่สะใภ้…

“ไม่ต้องค่ะ…ฉันทำเองได้…”

คนป่วยเริ่มปีกกล้าขาแข็งขึ้นมา หนำซ้ำยังไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้แม้แต่คืบเดียว…

หญิงสาวถอดสายน้ำเกลือออกอย่างง่ายดาย แล้วลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัว
พร้อมชุดสำหรับเปลี่ยนเดินเข้าห้องน้ำทันที…โดยไม่สนใจสายตาใครทั้งนั้น

“พูดหวานๆไม่เป็นบ้างรึไงนะพี่ชายเรา…ผู้หญิงเขาไม่ชอบหรอกนะคะ
เสียงกระโชกโฮกฮากแบบที่พี่ไนค์พูดเมื่อตะกี้น่ะ…”

ดุจมณีไม่วายดุพี่ชายที่ได้แต่ยืนจ้องมองประตูห้องน้ำนิ่งไม่ได้…



แล้วไม่นาน…เสียงตึงตังในห้องน้ำก็ทำให้ขุนพลถึงกับสะดุ้งตกใจ
รีบรุดไปยังห้องน้ำทันที…เคาะประตูรัวเร็ว

ทว่า…กลับไร้เสียงอะไรเล็ดลอดออกมาอีกนอกจากเสียงน้ำใหล
ชายหนุ่มจึงพยายามจะพังประตูห้องน้ำเข้าไป

ซึ่งกว่าจะเข้าไปได้ก็พบว่าหญิงสาวนอนสลบพับอยู่บนพื้นห้องน้ำ
ในสภาพเปลือยเปล่า สายน้ำยังราดรดร่างกายที่ดูนิ่งราวกับท่อนไม้

แล้วอยู่ๆก็เหมือนมีภาพของมารดาของเขาท่ีถูกลากขึ้นมาจากน้ำตกเข้ามาซ้อนทับ
ภาพใบหน้าที่ซีดเผือดไร้สีเลือด หยดน้ำเกาะพราวบนใบหน้าที่เคยอิ่มเอิบน่ามอง…
ร่างของท่านนิ่ง นิ่งเหมือนขอนไม้ที่ถูกระแสน้ำซัดเข้าหาฝั่ง

...นิ่งสงบและซีดจนน่าใจหาย…

ตอนนั้น มารดาของเขาอายุประมาณเธอ…ท่านจากไปตั้งแต่ยังสาว
ทิ้งเขาไว้ให้อยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่…บนโลกกว้างๆใบนี้
โดยไม่มีท่านอยู่เคียงข้างอีกต่อไป...

ขุนพลใจหายวาบกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า…เหมือนเลือดทุกหยดในร่างกายแข็งตัว
และเป็นอีกครั้งที่เสียงร้องดังจากนอกห้องน้ำของดุจมณีเรียกสติของเขากลับมา…

ชายหนุ่มรีบปิดน้ำแล้วคว้าชุดคลุมสวมให้หญิงสาว
แล้วอุ้มขึ้นมารีบพาไปวางไว้บนเตียงนอน…

“พี่กีสเป็นอะไรไปคะพี่ไนค์…” ดุจมณียืนเนื้อตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก

“พี่ไม่รู้…” เสียงของเขาสั่นน้อยๆด้วยความหวาดกลัว ละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน…
ก่อนจะยกมืออังที่จมูกของเธอแล้วพบว่าเธอยังหายใจอยู่
จากนั้นเขาก็รีบต่อสายด่วนหาคุณหมอคนสนิททันที…

ก่อนจะขึ้นไปบนเตียงเข้าไปหาคนป่วยที่นอนหน้าซีดไร้สีเลือด มันดูซีดจนน่ากลัว
กว่าครั้งไหนๆ...แล้วคว้าร่างบางที่ดูซูบผอมจนน่าใจหายขึ้นมากอดเอาไว้แนบอก…
ใช้มือลูบไปตามลำแขนที่ทั้งซีดทั้งซูบให้เลือดใหลเวียน...พยายามอุ่นร่างกาย
ให้กับเธอ...กุมมือที่เย็นเฉียบขึ้นมา...ยกขึ้นแนบแก้มของเขา...แล้วจูบเบาๆ...

ทั้งๆที่หมอก็เตือนเขาแล้วว่าให้ดูแลอย่างใกล้ชิด
เพราะคนไข้เพลีย ร่างกายอ่อนแอ ขาดเกลือแร่…
อาจมีอาการวูบๆวาบๆ หน้ามืดเป็นลมหรือช็อคได้ง่ายในระยะนี้…

“อย่าเป็นอะไรไปนะกีส…เธอต้องไม่เป็นอะไรไปนะ…ได้โปรด...”




...........โปรดติดตามตอนต่อไป..............

คนเรานั้น...เวลาอยู่ด้วยกันก็อยู่กันแบบชินชา ให้วันเวลาผ่านๆพ้นไป
เมื่อหันไปยังเจอเขา เราก็ยังมั่นใจว่า ไม่เป็นไร...เขายังอยู่นี่นา...
ยังมีเวลาให้ดูแลกันอีกมากมาย..

ทั้งที่จริงๆแล้ว...ของแบบนี้มันไม่แน่ไม่นอนเลย...

ดราม่าค่ะดราม่า...ขมปี๋ล่ะงานนี้...ยาดำ บอระเพ็ด ดีเกลือ
ผสมกันเรียบร้อย ต้มน้ำ รินใส่ถ้วย ยกขึ้นซด...อี๋...555


...คุยกับนักอ่านจากตอนที่แล้วจ๊ะ...

1.คุณตุ๊งแช่...หึงไม่หึงไม่รู้ละงานนี้...
แต่ที่แน่ๆความแตกแล้วจริงๆนั่นแหล่ะค่ะ...
แตกมันท้ังสองอย่างเลยนะเนี่ย...
ไม่น่าจะปกปิดไว้มิดชิดอีกแล้วนะคะ...เหอๆๆ

2.คุณโอชิน...มาคุค่ะ...เข้าขั้นขมระดับสามสเต็ป
เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของยาดำ บอระเพ็ดและดีเกลือ
ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าโยเคยกินสูตรยาที่มีส่วนผสมของสามสิ่งนี้มาแล้ว
ลืมความหวานไปได้เลยค่ะ...ม่ายมีสักนิดเดียว...อิอิอิ
แต่หายจากโรคที่เป็นหลังจากกินมันจนหายขม...เฮะๆๆ

3.คุณแว่นใส...นั่นสิ...น่าแกล้งชะมัดเลย...
แต่ตอนนี้ดูๆไปก็ไม่ค่อยอยากจะแกล้งเลย...อิอิอิ

4.คุณ...ตอนนี้เมียน้อยต้องวิ่งมาหาถึงที่บ้านค่ะ...
ยอมอยู่บ้านดูแลเมียหลวงแล้ว แต่ก็ยังอาลัยอาวรณ์เมียน้อยอยู่...อิอิ


...สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทุกไลค์ ทุกๆกำลังใจมากๆนะคะ...


...รักษาสุขภาพนะคะ....

"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ม.ค. 2558, 00:32:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ม.ค. 2558, 00:33:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 2401





<< บทที่ 9 ดอกไม้กลางคืน (2)   บทที่ 11 ข้องใจ >>
ปรางขวัญ 15 ม.ค. 2558, 02:58:57 น.
เพิ่งเริ่มอ่าน ก็ติดใจเลยค่ะ


saralun 15 ม.ค. 2558, 07:00:07 น.
กินมาม่าอิ่มเลย..สองตอนติด..น้ำตาซึมตลอด


Pat 15 ม.ค. 2558, 07:26:44 น.
สงสารบิลกีสจัง


ใบบัวน่ารัก 15 ม.ค. 2558, 08:25:50 น.
หึงซะ หน้ามืดเลยนะ
อาการแพ้ท้องเหม็น ขนาดนี้ ผอมลง
แล้วยังต้องมานั่งหาเงินค่าจิปาถะเข้าบ้านแพมยังท้องด้วย
ดูแลคนในบ้านยังไงเนี่ย ยอมเสียเงินเอาลูกชายมาให้พ่อ
ไงก็ดูแลเมียหลวงบ้างลูกในท้องบ้าง น่าจะรู้ตัวได้แล้วนะจะได้ไปฝากท้องกัน
หรือจะพาเมียน้อยไปฝากท้องพร้อมเมียหลวงกันหละ อุตะ!!!!


ตุ๊งแช่ 15 ม.ค. 2558, 08:28:32 น.
ตอนหน้าเอาน้ำผึ้งมาแก้ขมด้วยซี๊๊...
เอิ่ม ไนท์ออกแนว หน้ามืด ชิมิ..
ไหวไหมเนี่ยนางเอกเรา..กำลังสงสัยอายุครรภ์ ล้มลงไม่เป็นอะไรเหรอ..


โอชิน 15 ม.ค. 2558, 09:13:49 น.
อึดอัดแทนบิลกีส..พี่ไนค์ก็นะ..อย่าอะไรกับคนท้องนักเลย..!


napt 15 ม.ค. 2558, 14:18:55 น.
ตอนหน้าขอบอระเพ็ดแช่อิ่มบ้างเถอะค่าา


แว่นใส 15 ม.ค. 2558, 15:33:18 น.
ชีวิตยังเศร้าไม่พอ


RightHand 15 ม.ค. 2558, 23:05:30 น.
ว้าาา ระยะนี้นี่หมายถึง ระยะแรกของการท้องหรือเปล่าน้าาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account