สัญญารักพรางใจ
คิมหันต์ไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมบันดาล โชคชะตา ทำบุญร่วมกันมา
เขาเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ
หากไม่มีเหตุการณ์นั้นเขาจะแต่งงานกับมัทนาเพราะเหตุผลอะไร

Tags: ความรัก สัญญา ความลับ

ตอน: ตอนที่ 6 (ลงใหม่)

ตอนที่ 6

เดชาวิ่งไปตามทางเดินซึ่งเป็นสะพานไม้ที่ยื่นออกไปในทะเล ปากก็ตะโกนลั่นด้วยความร้อนใจที่สุด หวังใจว่าเสียงดังสุดกู่ของเขาคงไปถึงคนบนเรือบ้าง ใครก็ได้ ขอให้ได้ยิน
“บอสครับ เดี๋ยวครับบอส”
คนในเรือคงไม่ได้ยินแน่ๆ เรือแล่นออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ก็ไกลสำหรับคนที่ยืนมองจากบนฝั่ง เดชาเดินกลับมาหน้าตาเซ็งโลก เขาลองโทรหามัทนา แต่รอเป็นนานสองนานเธอก็ไม่รับสาย
“คุณขับเรือเป็นไหม”
“ถามทำไมหรือครับ” เขาถามกลับแบบงงๆ
“ฉันจะให้คุณขับเรือของฉันตามเรือลำนั้นไป” นันทินีเริ่มตั้งสติได้ เธอไม่เคยถูกปฏิเสธ คิมหันต์ต้องได้ฟังคำอธิบายจากเธอมากกว่าที่เขาเข้าใจไปเอง
เดชาหน้าเหยเก ขืนขับเรือให้ผู้หญิงคนนี้ไปหาบอส เขาได้ตกงานแบบไม่ต้องถามหาความผิดเลยเชียว
“ถ้างั้นผมขับไม่เป็นแล้วกันครับ”
นันทินีขมวดคิ้วใส่ก่อนจะหันไปทางรหัทที่บอกทันทีว่าขับเรือเป็น แต่ไม่ขับให้ ก่อนจะเดินไปปักหลักรอเจ้านายที่รถ เดชานึกได้รีบขับรถกอล์ฟกลับไปที่สำนักงาน มีเอกสารที่จิรัฐต้องการและเขาเป็นคนรับผิดชอบ เรื่องของมัทนา เดี๋ยวบอกจิรัฐให้ช่วยบอกบอสน่าจะเข้าท่ากว่า

มัทนารู้สึกได้ว่าเรือกำลังโคลงเคลง ไหนเดชาบอกว่าจะซ่อมก่อนแล้วค่อยทดลองเครื่องยนต์ขับเรือออกไปกลางทะเล ด้วยความสงสัยเธอเดินขึ้นบันไดไปยังห้องควบคุม เริ่มคิดว่าอาจจะเป็นพี่บางคนจากฝ่ายซ่อมบำรุงมาช่วยก็ได้ แต่มองจากไกลๆ ชักไม่น่าจะใช่และไม่ใช่เดชาแน่ๆ ใส่ช็อปอยู่ดีๆ คงไม่เปลี่ยนใจมาใส่สูทหรอก
คิมหันต์ได้ยินเสียงเดินจึงเลื่อนมือไปยังสีข้างที่พกปืนไว้ เขาหันหน้าไปมองช้าๆ แล้วพอเห็นว่าเป็นใครความโกรธได้เปลี่ยนเป็นความแปลกใจระคนขบขันในความบังเอิญที่เกิดขึ้นกับเขาบ่อยเกินไปแล้ว ทั้งที่จงใจไม่พบหน้ามาเป็นเดือน บทจะไม่เจอก็เหมือนตายจาก พอจะเจอก็มาให้เห็นแบบไม่ทันตั้งตัว
“เธอ…”
“คุณมาได้ไง”
คิมหันต์ส่ายหัวถอนใจเดินมานั่งมองมัทนา ให้ตายเถอะ เขาเบื่อผู้หญิง คนหนึ่งก็แฟนเก่าที่พยายามมาขอคืนดี ส่วนอีกคนก็มาอยู่ตรงนี้โดยไม่รู้ตัวว่าปู่ของเขาอยากได้เธอมาเป็นสะใภ้
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าเธอมาได้ไง”
“ก็มาซ่อมเรือลำนี้น่ะสิ แล้วคุณน่ะมาได้ยังไง ได้กุญแจมาจากไหน ถืออภิสิทธิ์อะไรมาขับเรือของบอส” เธอหาที่นั่งให้ตัวเองบ้าง เรื่องที่จะไปนั่งเบียดเขาเลิกคิดไปได้ โน่นเลยฝั่งตรงข้ามนั่นแหละเหมาะ
คิมหันต์ถอนใจร้องเฮอะ จนป่านนี้แล้วมัทนายังไม่รู้อีกหรือว่าเขาเป็นใคร ถ้าไม่ใช่เพราะไม่เคยฉุกคิดก็อาจจะไม่เคยสนใจเขาเลยกระมัง
“ยังขี้เกียจอธิบาย ช่วยนั่งเงียบๆ ถ้าฉันไม่บอกให้พูดก็ไม่ต้องพูด เข้าใจตรงกันนะ”
“ตามใจ แล้วคุณจะขับเรือไปอีกนานไหม ถ้านานก็ไปส่งฉันก่อน วันหลังค่อยมาซ่อมแล้วกัน” เธอเหนื่อยจะเถียงกับเขา เมื่อตอนกลางวันทำงานเพลินจนกินแซนด์วิชไปแค่อันเดียว ตอนนี้เริ่มหิวแล้วสิ
“ถ้าพูดอีกคำเดียว ฉัน...” คิมหันต์ถอนใจ “ช่างเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“ฉันก็ไม่ได้อยากอยู่กับคุณนักหรอกน่า”
มัทนาไม่อยากโมโหหิวเลยเดินออกไปรับลมที่หัวเรือแทน คิมหันต์มองเธอผ่านกระจกบางใส เขาไม่ได้รำคาญผู้หญิงคนนั้น เพียงแต่ไม่อยากให้ใครมาเห็นเขาในเวลาไม่เป็นตัวเอง ไม่อยากทำร้ายเธอด้วยคำพูด ทั้งที่คิดว่าไม่ได้รักนันทินีแล้ว แต่หัวใจที่ด้านชากลับหวั่นไหว เรื่องราวต่างๆ ในอดีตราวกับตามหลอกหลอน ขืนเป็นอย่างนี้ เขาจะกลับไปเป็นคนโง่อีกครั้ง มันต้องไม่มีทางเกิดขึ้นอีก

มัทนาออกมานั่งอยู่ไม่นานเริ่มนึกได้ ถ้าให้ใครสักคนขับเรือเร็วมารับก็น่าจะทำได้นี่นา ไม่เห็นต้องง้ออีตาคิมเลย เธอตบกระเป๋ากางเกงแต่กลับไม่เจอโทรศัพท์ หรือว่าหล่นอยู่ข้างล่าง แต่พอไปหาดูกลับไม่พบ ครั้งสุดท้ายที่เธอจับโทรศัพท์น่าจะตอนหลังเที่ยงหลังจากนั้นก็ทำงานที่โต๊ะ ไปเข้าช็อป แล้วกลับมาทำงานที่โต๊ะต่อ
“กรรม แล้วจะโทรหาเดชยังไงล่ะเนี่ย” หญิงสาวบ่นพึม ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้เธอจะได้กลับกี่โมงกี่ยามกัน
เสียงเดินใกล้เข้ามา คิมหันต์เงยหน้ามองมัทนา สีหน้าของเธอบอกชัดว่าอยากกลับเต็มที่
“นี่คุณ ขอรบกวนเวลาชิวๆ ของคุณหน่อยนะ สงสัยฉันลืมโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะทำงาน ตอนนี้ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ ฉันจะโทรบอกให้เพื่อนมารับ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโทรศัพท์อยู่ที่ไหน บนโต๊ะทำงานในออฟฟิศละมั้ง” คิมหันต์ไม่ได้หาโทรศัพท์ด้วยซ้ำ ปกติแล้วเขาไม่ชอบพกของพวกนั้นอยู่แล้ว
“อยากจะบ้าตาย ถ้างั้นก็กลับฝั่งกันเถอะนะ”
“กลัวฉันเหรอถึงได้อยากกลับฝั่งท่าเดียวเลย”
มัทนาไม่ตอบแต่ค้อนใส่ คิมหันต์หัวเราะไม่นึกว่าทอมค้อนแบบผู้หญิงก็เป็นด้วย นานๆ จะได้อยู่เงียบๆ สักที อยู่แบบนี้อีกสักชั่วโมงค่อยกลับคงจะดี แต่เพราะเธอไม่ถามซ้ำ เขาเลยไม่ตอบ เพื่อนร่วมทางแบบไม่ได้เต็มใจนั่งถอนใจมองทะเลก่อนจะเป็นฝ่ายหลับไปด้วยความเพลีย วันนี้วันจันทร์เธอขับรถออกมาจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ ไม่เพลียตาปิดก็ยอดมนุษย์แล้ว

มัทนาตื่นมาแบบงงๆ กี่โมงแล้วไม่รู้ รู้แต่ฟ้ามืดมาก เธอขยับขาที่ชาเพราะเป็นเหน็บจนต้องนวดพลางพอมองหาอีตาคิม ไฟสว่าง แต่เขาไม่ได้อยู่ในห้องควบคุม เธอเหลียวมองชักปอดขึ้นมานิดๆ เมื่อมาลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเล พอหันมาอีกทีกลับมีแซนด์วิชยื่นมาตรงหน้า
“เอาไปกินรองท้อง”
คนกลัวผีอุ่นใจวาบ ถึงจะอยู่กับคนไม่ค่อยชอบหน้าย่อมดีกว่าอยู่กับผีที่จินตนาการขึ้นมาเองล่ะน่า เธอรับแซนด์วิชมาปนสงสัยว่าเขาไปได้มาจากตรงไหน
“รู้ทุกซอกทุกมุม ทำอย่างกับเรือตัวเองเลยเนอะ”
คิมหันต์ไม่อยากถือสา ถ้ามัทนาพูดจาหวานใส่เขาคงเสียวสันหลังวาบ ร่างสูงหาที่นั่งไม่ไกลกันขี้เกียจตะโกนคุย ผู้หญิงอะไรทำท่าไม่ไว้ใจเขา แต่หลับจนฟ้ามืด ยังดีที่ไม่กรนใส่
“มีข่าวร้าย เรือสตาร์ทติดแล้วก็ดับ”
“ฉันอยากจะบ้า” แซนด์วิชที่กำลังจะเข้าปากเลยวางแปะลงข้างตัวหมดอารมณ์หิวแล้ว
“กล่องเครื่องมือของเธอยังอยู่หรือเปล่า”
“ยังอยู่ค่ะ”
คิมหันต์ลุกขึ้นมายืนตรงหน้าคนทำหน้าเซ็งเป็นรอบที่สาม “ถ้างั้นอย่าเพิ่งบ้า เราไปช่วยกันซ่อมเรือ ถ้าไม่ซวยไปมากกว่านี้คงได้กลับฝั่งก่อนเช้า หรือไม่ก็อาจจะมีคนหาเราเจอก่อน”
ฟังแล้วค่อยยังชั่ว มัทนาหยิบแซนด์วิชมาแบ่งเป็นสองส่วนเท่าๆ กัน เพิ่งเข้าใจว่า ‘ลงเรือลำเดียวกัน’ มันต้องช่วยกันก็ตอนนี้แหละ
“รับไปสิ กินกันคนละครึ่ง หิวโหยตกยากด้วยกัน เมื่อตอนกลางวันไม่น่ากินไปนิดเดียวเลย”
คิมหันต์รับแซนด์วิชมาถึงจะไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเธอมีน้ำใจว่าแม้ว่าจะไม่ชอบหน้ากัน แซนด์วิชถูกจัดการอย่างเงียบๆ น้ำถูกยื่นมาให้ทั้งขวด มัทนารับมาดื่มจนเกือบหมดขวด เพิ่งรู้ตัวว่านอกจากหิวข้าวแล้วยังหิวน้ำด้วย ว่าแต่ทำไมเขาหาอะไรก็เจอไปหมด สงสัยแอบขึ้นมาบนเรือลำนี้หลายครั้งแน่ๆ เลย

อีกห้านาทีจะหนึ่งทุ่มตรง แต่เรือของบอสที่มีมัทนาอยู่ด้วยยังไม่กลับมาทั้งที่จิรัฐประสานไปทางปวรแล้ว เดชานั่งมองฝั่งแต่ก็ร้อนรนนั่งไม่ติดเดินไปเดินมา จนจิรัฐสั่งให้นั่งเฉยๆ ก่อนที่เขาจะเวียนหัวไปมากกว่านี้
“จนป่านนี้แล้วบอสกับมัทยังไม่กลับมาเลยครับ”
“คนของบอสออกตามหาแล้ว เดชก็กลับที่พักไปเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” จิรัฐยังใจเย็นพอ บอสไม่ได้มีประวัติไม่ดีเรื่องผู้หญิง เดชาช่างไม่เก็บอาการความรู้สึกเลย
“ผมอยากรอมากกว่าครับ” เดชายังคงยืนกราน ส่วนหนึ่งเป็นความผิดของเขา และส่วนที่สำคัญเขาห่วงมัทนา
“โอเค ถ้างั้นก็รออยู่ด้วยกัน”
คนห่วงใยกันย่อมดีกว่าเกลียดชังกันจิรัฐเลยไปอยากจะห้าม บางทีอาจะเกิดคู่รักในฝ่ายวิจัยและพัฒนาเป็นคู่แรกก็ได้ใครจะไปรู้ ตั้งแต่เดชาทำงานมาเขายังไม่เคยเห็นสนใจใครออกหน้าออกตาขนาดนี้

มัทนากำลังลองแก้ไขจากปั๊มที่เดชาเคยบอกไว้ว่าอาจเป็นส่วนที่มีปัญหา เธอบอกให้คิมไปสตาร์ทเรือเพื่อฟังเสียงเครื่องยนต์ว่าทำงานตามปกติหรือส่วนไหนที่ผิดปกติ เครื่องยนต์ติดแล้วก็ดับ ยังไม่แน่ชัดว่าสาเหตุมาจากปั๊มเพียงอย่างเดียวหรือเปล่า อาจเป็นที่มอเตอร์ หรือไม่ก็เพลาขับด้านในหรือการรั่วทำให้อากาศเข้าไปทำให้ความดันผิดปกติ จนเครื่องทำงานไม่ได้ ถ้าอยากรู้แน่ชัดต้องมีเวลา แต่ตอนนี้ทำอะไรได้ก่อนก็ต้องทำ ถ้าหากไม่อยากค้างอยู่ในเรือด้วยกันทั้งคืน
“ขอไขควงหน่อยสิคุณ”
คิมหันต์ส่งไขควงให้พร้อมกับถุงมือผ้าที่เห็นอยู่ในกล่อง มัทนารับไปใส่เงียบๆ แล้วเริ่มทำงาน สายตาของผู้ช่วยจับตามองมือเล็กๆ ที่ทำงานอย่างคล่องแคล่ว
“ทำไมถึงชอบพวกเครื่องยนต์ ปกติผู้หญิงน่าจะชอบแบบที่เรียนแล้วออกมาทำงานสบายๆ อยู่ในห้องแอร์สวยๆ มากกว่าต้องมาอยู่กับเครื่องยนต์เลอะเทอะมอมแมม”
มัทนาหัวเราะเพราะเขาไม่ใช่คนแรกที่ถามแบบนี้ ทุกคนในบ้านก็ถาม โดยเฉพาะแม่กลัวว่าเธอจะไปยกพวกตีคู่อริกับเพื่อนผู้ชายแทบแย่
“ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกันนี่ ฉันชอบซ่อม ชอบเขียนแบบ ชอบอยู่กับเครื่องยนต์ มากกว่าอยู่หน้าคอม หน้าจักรเย็บผ้า หรือในห้องแลป”
คนฟังพยักหน้าเมื่อเป็นเหตุผลที่น่าสนใจ ความชอบของคนเราไม่เหมือนกัน น่าแปลกเวลาที่เธออยู่ในชุดช็อปกลับดูดีกว่าเวลาใส่เสื้อผ้าแบบที่เคยเห็นเวลาอยู่บ้าน ผมของเธอยาวเกือบถึงไหล่ เขาไม่ได้พบเธอนานมากจริงๆ มีเหงื่อพราวที่หน้าผาก หญิงสาวยกแขนมาปาดเช็ดเร็วๆ ดูเรียบง่าย แต่ตรึงใจคนมองอย่างไม่รู้ตัว
“ฉันว่าเธอขันแบริ่งผิดด้านนะ”
“เออ...จริงด้วย คุณก็รู้เรื่องเครื่องยนต์เหมือนกันนี่นา” เธอถามอย่างสนใจ ไหนๆ ก็ไม่มีใครให้คุยด้วยตอนนี้
“ก็พอรู้”
“โอ๊ะ!”
มัทนาสะบัดข้อมือหน้าเหยเก คิมหันต์คว้ามือบางมาดูอย่างห่วงใย แต่เธอกลับดึงมือกลับแล้วกดเบาๆ ตรงที่เจ็บ เขาเกือบจะโกรธอยู่แล้วถ้าเธอจะไม่บอกเสียงเบาๆ ว่า
“ข้อมือเคล็ดน่ะ ฉันคงใจร้อนไป ไม่เป็นไร ยังไงคืนนี้เราก็ต้องได้กลับเข้าฝั่ง” เธอฝืนจะทำต่อ
“ถ้างั้นฉันทำต่อให้เอง เธอไปนั่งพักแล้วคอยบอกเผื่อว่าฉันทำตรงไหนผิดก็แล้วกัน” คิมหันต์ขยับแล้วดึงให้มัทนาลุกขึ้นแล้วมานั่งตรงที่เขาเพิ่งลุกออกมา
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจสิ”
คิมหันต์เริ่มงานตรงส่วนที่เหลือพอเปิดจนถึงตัวเครื่องก็พบว่าลูกสูบบิ่นทำให้เวลาเดินเครื่องแล้วการทำงานไม่สมูท แต่ยังแก้ไขอะไรไม่ได้มากนอกจากคีบเศษเหล็กที่เสียดสีจนเป็นผงออกมาก่อน แล้วยังเช็ควาล์วต่างๆ พวกปะเก็นยังอยู่ดีไม่สึกกร่อน เขาจัดการเก็บทุกอย่างเข้าที่ ขันน็อตปิดจนแน่น
“มีตรงไหนผิดหรือเปล่า”
มัทนาแทบไม่ได้แนะนำอะไรเขาเลยด้วยซ้ำ ดูก็รู้ว่าเขาทำเป็นและชำนาญด้วย ไม่เหมือนคนเอาแต่จับปืนหรือพวกสำรวยแต่งตัวหรูไปวันๆ อย่างที่เธอเคยคิดสักนิด
“ไม่ผิด ถูกทุกอย่าง คุณทำเป็นนี่ แล้วปล่อยให้ฉันทำอยู่ตั้งเป็นนานสองนาน”
“ฉันเคยทำแบบนี้ แต่มันนานมาแล้ว แต่เธอชำนาญกว่า เถอะน่าถึงเธอไม่ข้อมือเคล็ด ฉันก็จะช่วยอยู่ดีนั่นแหละ” เขาหมายความตามที่พูดจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะลงมาด้วยกันทำไม “ไปลองสตาร์ทเครื่องดูสิว่าติดหรือยัง”
มัทนาเดินขึ้นไปยังห้องควบคุมแล้วสตร์ทเครื่องยนต์ตามที่คิมบอก เครื่องยนต์ติดก็จริง แต่ไม่แน่ว่าจะดับอีกไหม เธอทดลองรอให้เวลาผ่านไปห้านาทีพร้อมๆ กับขับเรือไปด้วย ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ พอจะตะโกนบอก เขาก็ขึ้นมาเหงื่อพราวใบหน้า เราต่างนั่งลงพัก จู่ๆ คิมก็เดินไปหยิบของมาจากช่องเก็บ มัทนาแทบเข้าไปคว้าน้ำอัดลมมากินให้หายเหนื่อย
“ถ้างั้นกินนี่ก่อน นั่งพักสักเดี๋ยว เผื่อเป็นลมกลางทาง ฉันจัดการที่เหลือเอง”
“ก็ใครใช้ให้คุณขับเรือมาเสียไกล ถ้าบอสรู้คุณจะซวยไหมน่ะ เอาอย่างนี้ถ้าบอสเอาเรื่องคุณ ฉันจะเข้าข้างคุณก็แล้วกันนะ แทนคำขอบคุณที่ช่วยฉันซ่อมเรือ” ที่พูดเนี่ยไม่ได้กะหาเรื่อง แต่ชักเป็นห่วงอีตาคิมต่างหาก มีหวังได้ตกงาน ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ เธอจะเป็นพยานว่าเขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีก็แล้วกัน
“คงไม่ แต่ก็ขอบใจนะที่จะช่วย”
มัทนาขอให้เป็นอย่างนั้น คิมหันต์หันหน้ากลับมามองคนเหงื่อพราวช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เขายิ้มออกมาเต็มริมฝีปาก อีกประเดี๋ยวคงได้รู้ความจริง อยากรู้ว่าเธอจะทำยังไง โกรธฟูมฟายเป็นนางเอกในละคร หรือไม่สนใจอยู่ดีว่าเขาจะอยู่ในฐานะอะไร
แสงไฟของเรือลำหนึ่งกำลังสาดมายังเรือที่มัทนานั่งอยู่ เธอเดินไปดูให้แน่ใจและเริ่มมีความหวัง เผื่อว่าเรือลำนี้เกิดน็อคเครื่องดับไป คราวนี้คงมีเรือช่วยลากกลับเข้าฝั่งแล้ว
“เรือลำนั้นขับมาหาเราล่ะ”
“ฉันคงลืมบอกไปว่าตอนที่เธอหลับ ฉันวิทยุไปบอกว่าจอดเรือไว้ที่ไหนแล้ว” ถ้าเขาไม่ทำอะไรเพื่อความปลอดภัยเลยสิแปลก เพียงแต่ที่ไม่บอกอะไรก็แค่อยากเห็นน้ำใจของมัทนาเท่านั้น
“แล้วทำไมคุณไม่บอกฉันตั้งแต่แรก” หญิงสาวกัดฟันกรอด เธอหลงกังวลอยู่ตั้งนาน
“ฉันอยากทดสอบฝีมือของเธอ”
พอกันที! เธอขอยกเลิกความตั้งใจที่ช่วยอีตาคิมถ้าบอสเอาเรื่อง มือบางคลำข้อมือป้อยๆ ไม่ถึงกับปวดหรอก แค่เจ็บแปลบๆ เวลาขยับเท่านั้น
“ยังเจ็บข้อมืออยู่เหรอ” เขาถาม
“ไม่เจ็บแล้ว ขอบใจนะที่ถาม”
คิมหันต์หาน้ำแข็งจากตู้เย็นที่เพิ่งเอาน้ำอัดลมกระป๋องสุดท้ายให้มัทนาไป น้ำแข็งเป็นก้อนๆ ถูกทุบจนละเอียดแล้วห่อด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กที่มีอยู่ในห้องน้ำแล้วยื่นให้มัทนาไปประคบข้อมือ เธอรับมาแล้วยิ้มให้ อีตานี่แปลก ไม่ถึงสองนาทีก่อนยังทำให้โมโหอยู่เลย มาตอนนี้กลับมาทำดีใส่
เรืออีกลำขับมาเทียบ คิมหันต์เป็นคนออกไปคุยก่อนที่เรือสองลำจะขับตามกันไป เขาหันมาบอกว่าเป็นคนที่ติดต่อไว้ มัทนายิ้มให้เขา อย่างน้อยก็ตกทุกข์ได้ยากมาเกือบสี่ชั่วโมงด้วยกัน เธอนั่งมองทะเลในเวลาค่ำคืนไปตลอดทาง ดีใจกับตัวเองไม่น้อยที่ไม่เคยเมาเรือ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงนั่งหมดแรงเพราะอ้วกจนหมดไส้หมดพุง

เรือเข้ามาจอดที่เดิมอย่างสง่างาม มัทนาลุกขึ้น แต่ดันมีคลื่นเข้ามาทำให้เรือโคลง คิมหันต์เข้ามาจับเอวไว้แล้วช่วยประคองคนมองเขาแบบงงๆ ลงมาจากเรือ เดชายิ้มกว้างเมื่อเห็นมัทนากลับมาในที่สุด แต่ภาพที่เห็นว่าบอสกำลังประคองเธอทำให้หน้าเจื่อนไป แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็กลับมายิ้มได้เพราะเห็นมัทนาดึงตัวเองออกมาจากอกหนาๆ ที่เข้ามาใกล้เกินไป จิรัฐไม่พูดอะไรแค่บอสกับลูกน้องกลับมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว
“หิวหรือเปล่า เราซื้อข้าวมารอ” เดชาเอ่ย พอเห็นสายตาคมๆ มองมาก็รีบพูดต่อ “ของบอสก็มีนะครับ แต่มันเป็นร้านข้างทางแถวๆ นี้”
“ขอบใจมาก”
มัทนาขมวดคิ้ว มองเดชากับอีตาคิม เมื่อกี้เธอไม่ได้เอาหน้าโต้ลมจนหูเฝื่อนใช่ไหม
“เดี๋ยวนะ เดชเรียกใครว่าบอส”
“ก็คุณคิมหันต์ไง” เดชาเหวอแทน “นี่มัทยังไม่รู้อีกเหรอ หายไปด้วยกันตั้งนานสองนาน”
มัทนาร้องเฮอะอยู่ในใจถึงว่าอีตาคิมไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจว่าจะถูกบอสไล่ออก เธอไม่ทันคิดเอง แค่สงสัยแต่ก็คิดว่าไม่น่าใช่ ทำไมในเว็บบริษัทไม่มีรูปของเขาเลย ตอนนี้หายสงสัยแล้ว กลัวถูกเช็คบิลล่ะสิท่าถึงต้องซ่อนหน้าซ่อนตาไม่ให้รู้ว่าเป็นใคร
“ถ้าอยากไล่ฉันออกก็บอกตรงนี้ได้เลยนะคะ”
คิมหันต์เลิกคิ้ว ความผิดของมัทนาคืออะไร ถ้าเขาเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการที่เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาเป็นอารมณ์แล้วไล่ออกคงเป็นผู้บริหารที่แย่ที่สุด จิรัฐขยับปากกำลังจะช่วยลูกน้องแต่ถูกยกมือห้าม
“ไม่มีเหตุผลที่ต้องไล่เธอออกเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้านาย”
“ถ้างั้นฉันขอถาม ทำไมคุณไม่บอกฉันตั้งแต่แรก”
บอสกอดอกใส่พนักงานคงไม่ถูกกล่าวหาว่าบ้าอำนาจใช่ไหม จิรัฐยืนมองไม่พูดอะไรเพราะตอนนี้กลายเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่ควรเข้าไปยุ่ง เดชาตั้งใจฟังเพราะอยากรู้เหมือนกัน
“ก็ทำไมต้องบอก เธอเป็นพนักงานบริษัทของฉัน ย่อมต้องใส่ใจว่าใครเป็นเจ้านาย ซึ่งฉันเห็นแล้วว่าเธอไม่ใส่ใจในส่วนนั้นเลย สบายใจได้ เธอไม่ตกงานเพราะเรื่องแค่นี้หรอก”
มัทนายกมือไหว้คิมหันต์ ไม่ใช่เขาเป็นบอสสามารถไล่เธอออกได้ แต่เธอแฟร์พอจะรู้ตัวว่าที่แล้วมาได้ล่วงเกินเขาทั้งคำพูดและการกระทำไปไม่น้อย ในเมื่อเขาไม่เอามาเป็นอารมณ์ เธอก็จะเริ่มนับศูนย์กับเขาใหม่
“ขอบคุณที่ไม่ถือสา...ค่ะ”
คิมหันต์พยักหน้าแล้วเดินนำรหัทไปที่รถซึ่งปวรรออยู่ วันนี้เขามีนัด โชคดีที่ยังพอมีเวลาเดินทางและน่าจะไปถึงงานทันเวลา จิรัฐตบบ่าลูกน้องเบาๆ ก่อนจะแยกตัวกลับบ้านไป เหลือแต่เดชาที่ยังอยู่เป็นเพื่อนมัทนา
“เป็นยังไงมายังไงน่ะมัท”
“ไม่มีอะไร ทำไมทิ้งฉันฮึ รู้ไหมอีตาบอสสั่งไม่ให้ฉันพูดเป็นนานสองนาน” คิดๆ แล้วก็ขำ แถมเธอยังหลับยาวจนฟ้ามืด ที่กลับมาช้าส่วนหนึ่งก็มาจากเธอเหมือนกัน
“กลับบ้านเถอะ เหนื่อยไหม จะขับรถให้ส่งกุญแจมาสิ”
“ขอบใจ แต่เราต่างคนต่างกลับไปพักดีกว่า เหนื่อยมาก อยากกินแล้วนอนเลย พรุ่งนี้ค่อยขับรถกลับบ้าน” หญิงสาวควานหาโทรศัพท์จากกระเป๋าที่เดชาถือมาให้ ถึงบ้านพักแล้วค่อยโทรหาพี่ไม้แล้วกัน คืนนี้เธอคงขับรถไกลๆ ไม่ไหวแล้ว
“เอางั้นก็ได้”
เดชาเดินมาส่งมัทนาและรอจนเธอขับรถออกไป หัวใจที่เพิ่งหอมหวานด้วยความรู้สึกพิเศษเริ่มหุบแฟบ สายตาที่คิมหันต์มองมัทนาไม่เหมือนเจ้านายมองลูกน้องเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกว่าชอบพอ ดูเหมือนเอ็นดูระคนขบขัน บางทีเขาอาจจะคิดมากไป คนอย่างหลานคุณทีปต์น่ะหรือจะมาสนใจพนักงานธรรมดาๆ

คิมหันต์ไปงานเปิดตัวสินค้าของเพื่อนในวงการธุรกิจและเดินทางกลับกรุงเทพฯในคืนนั้น ห้องของปู่ยังเปิดไฟสว่าง แต่เขาเหนื่อยมากเลยเดินไปที่ห้องนอนของตัวเองทันทีที่มาถึงแล้วรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตาใกล้ปิดเต็มที่ แต่ที่นอนของเขาในยามนี้ไม่ว่างเสียแล้ว ทีปต์มานั่งรอหลานพร้อมรอยยิ้มที่คิมหันต์เห็นแล้วตาสว่างขึ้นมาทันที
“วันนี้ผมเหนื่อยมากแล้วครับปู่ ถ้าจะคุยเรื่องผู้หญิงคนนั้น เอาไว้เป็นวันพรุ่งนี้แล้วกันนะครับ”
ทีปต์หัวเราะไอ้หลานบ้าเขายังไม่ทันขยับปากก็พูดดักคอเสียแล้ว อย่าคิดว่าไม่รู้นะว่าตอนบ่ายจนค่ำไปอยู่ที่ไหนกับใครมา
“ปู่แค่มาบอกว่าเจ้าวัตยังว่าง ปู่ไม่บังคับแกแล้วไอ้คิม หนูมัทน่าจะเหมาะกับเจ้าวัตมากกว่า”
คิมหันต์ชะงักอยู่ในใจ ภาวัตเป็นหลานปู่อีกคนซึ่งเกิดจากน้องสาวบุญธรรม ถึงไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ก็นับถือกันเป็นญาติ แต่มันจะดีหรือ ภาวัตเป็นเสือผู้หญิงตัวพ่อ เป็นพี่ เป็นเพื่อนก็ดี แต่ผู้หญิงคนไหนได้ไปเป็นสามีคงช้ำใจวันเว้นวัน พลันใบหน้าของมัทนาก็วาบเข้ามาในสมอง แล้วมันเรื่องอะไรของเขา
“ถามจริงๆ นะครับ ทำไมปู่ถึงอยากได้มัทนามาเป็นสะใภ้ขนาดนี้”
ทีปต์ก็อยากจะบอก แต่ไม่อยากให้หลานไม่สบายใจ สักวันความจริงย่อมต้องเปิดเผย แต่ต้องหลังจากคิมหันต์กับมัทนารักกันเสียก่อน
“ปู่อยากตอบแทนหนูมัทกับครอบครัว ถ้าไม่ตอบแทนตอนนี้ ปู่คงนอนตายตาไม่หลับ”
“แล้วเจ้าวัตมันโอเคแล้วหรือครับ”
ทีปต์ยิ้มไว้เชิง “ปู่ส่งรูปหนูมัทไปให้ดูแล ยังบอกว่าน่ารักดี เข้าทางปู่ แกนอนเถอะ ปู่มาบอกแค่นี้แหละ”
คิมหันต์เดินมาส่งปู่ที่ห้อง ทีปย์ยิ้มกว้างมั่นใจสุดขีดเมื่อเห็นแววตาไม่แน่ใจของหลานชาย เขาเลี้ยงหลานเหมือนลูกมาเกือบสิบปีมีหรือจะไม่รู้ทัน
...คนอย่างแกไม่ชอบให้บังคับ ยิ่งห้ามก็ยิ่งจะทำ ได้เมียแน่ไอ้คิม
ทีปต์สบายใจพอขึ้นเตียงก็หลับไปทันที ต่างจากคิมหันต์ลิบลับ รายนั้นแทนที่จะหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ตากลับแข็งค้าง คำพูดของปู่ยังวนเวียนในสมอง ไม่ว่ามองจากมุมไหนมัทนาก็ไม่เหมาะสมกับภาวัตเลยสักนิด เอาแล้วไง มันเรื่องอะไรของเขา ไม่ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ

มัทนาหลับเต็มอิ่มมาทั้งคืนเลยตื่นแต่เช้าแล้วขับรถกลับบ้าน ลุงริชาร์ดไม่เกเรอีกเลยหลังจากยกเครื่องรอบใหญ่ไปคราวที่ตายสนิทหน้าบ้านของอังเคิลเค เธอขอจ่ายค่าเช่าบ้าน แต่กลับถูกปฏิเสธ งานนี้เลยมีการขู่นิดหน่อยว่าจะย้ายไปอยู่หอพักที่อื่น อังเคิลเคเลยยอมให้จ่ายค่าเช่า แต่กลับถูกแสนถูกสำหรับบ้านพักที่มีเฟอร์นิเจอร์พร้อม ความปลอดภัยดี จ่ายแค่เดือนละสองพันหาได้ที่ไหน
มีรถจอดใต้ต้นจามจุรีคันนี้เธอจำได้ พิมพ์อรนั่งอยู่ที่แคร่พอดี เธอเข้าไปกอดแล้วนอนเขลงสบายใจได้กลับบ้านก่อนเวลาเพราะวันนี้เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ถึงจะแค่วันเดียวก็ตาม
“หนูมาดมาแน่ะยัยมัท”
พอถูกพูดถึงมาติกาก็มาจุมปุ๊กใกล้ๆ สาวร่างเล็กกะทัดรัด หมวย สวย อึ๋ม แบบที่มัทนาชอบล้ออยู่บ่อยๆ พอล้อบ่อยๆ เข้าเคยงอนก็มี ต้องตามง้อด้วยการพาไปหาอะไรอร่อยๆ กิน
“ไม่ได้เจอกันกี่วันแล้วเนี่ย พอทำงานแล้วหายต๋อมเลยนะ”
เสียงหวานๆ แง้วๆ เหมือนแมวทำให้มัทนายิ้มได้ทุกที
“พอกันแหละน่า ไหนๆ มาแล้ว วันนี้ไปดูหนังกันไหม ไม่ได้เห็นแสงสีมานาน มีหนังที่กำลังอยากดูเข้าโรงพอดี”
“ไปสิ กำลังจะถามอยู่ เรื่องนี้มัทไม่พลาดตลอดเลยนี่”
ตอนเรียนมหา’ลัยมาติกายังจำได้ ขนาดว่าพรุ่งนี้จะสอบยัยเพื่อนยังลากสังขารตัวเองและสังขารของเพื่อนไปดูด้วยกันจนได้ แล้วนี่ก็ภาคสามซึ่งเป็นภาคจบมีหรือจะพลาด
“ถ้างั้นรอเดี๋ยว เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเราไปกันเลย”
คนเพิ่งมาถึงลุกขึ้นแล้ววิ่งขึ้นเรือนไป พิมพ์อรได้แต่ส่ายหน้า มาติกาหัวเราะ ให้ผ่านไปนานแค่ไหนมัทนาไม่เคยเปลี่ยน แต่เห็นกระโดกกระเดกโผงผางแบบนี้ เคยมีหนุ่มตามจีบนะเออ

มาติกาขอขับรถตัวเองไป ไม่ใช่ว่ากลัวลุงริชาร์ตจะตายกลางทาง แต่อยากให้มัทนาได้พัก เธอทำงานออฟฟิศใกล้บ้านไม่เหนื่อยอะไร แต่เพื่อนเดินทางไกลน่าจะเหนื่อยกว่า เสียงโทรศัพท์ดังมัทนากดรับสายทั้งที่ตายังหลับ คุยไม่กี่คำก็วางสาย มาติกาหันมามองเริ่มสนใจ หรือว่าเนื้อคู่ของเพื่อนจะมาแล้ว
“ใครโทรมาเหรอ”
“เพื่อนน่ะ ทำงานด้วยกัน บ้านอยู่ใกล้ๆ ห้างที่เรากำลังจะไปพอดี ถ้างั้นก็ดูหนังสามคนเลยแล้วกัน” มัทนาสรุปง่ายๆ เธอก็เพิ่งรู้ว่าบ้านของเดชาอยู่ตัวเมืองชลบุรี ก่อนหน้านี้ไม่เคยถามเรื่องส่วนตัว
มาติกาเหล่เพื่อนแล้วยิ้มกริ่ม “มาจีบเหรอ”
“เปล่า ในใจมัทมีมาดคนเดียว” ไม่พูดเปล่า คนช่างแกล้งยังดึงมือเพื่อนมากอดอีกด้วย แต่ยังไม่ทันได้หอมสักฟอดมาติกาก็ดึงมือกลับ เบื่อคนรู้ทันจริงๆ
“เยอะไปแล้ว เนี่ยแหละเหตุผลที่มาดยังไม่มีแฟน ใครๆ ก็คิดว่าเป็นแฟนกับมัทกันหมด”
มัทนาหัวเราะมันก็สถานการณ์เดียวกันไม่ใช่เหรอ หนุ่มในมหา’ลัยคิดว่าเธอเป็นทอมเพราะดันมาสนิทกับสาวหวานเจี๊ยบอย่างมาติกา พอมีคนมาจีบอยู่ๆ ก็หายต๋อมไปเอง ทำให้ต่างแห้งเหี่ยวอยู่บนคานกันทั้งคู่ แต่มาติกาอาจจะมีหวังกว่าเพราะแว่วๆ มาว่ามีหนุ่มในที่ทำงานมาขายขนมจีบตั้งสองคน แต่เจ้าตัวยังไม่สนใจมีแฟนจริงจังต่างหาก



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.พ. 2558, 13:16:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2558, 19:58:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1142





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7 >>
omelate 13 ก.พ. 2558, 13:24:03 น.
ไรเตอร์ค่า ตอน 6 กับตอน 5 เนื้อหาไม่ต่อกันค่า ลงสลับไหม รออ่านค่า ลุ้นๆๆๆ


บรรพตี 13 ก.พ. 2558, 19:59:22 น.
ลงใหม่แล้วนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account