น้ำค้างกลางจันทร์
ความลับสำคัญที่เธอไม่อาจบอกใครๆ
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา

แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
Tags: น้ำค้าง กลางจันทร์ รัก โรแมนติต ดราม่า นิยายน่าอ่าน เรื่องดีๆ พิศวาส ซ่อนเร้น

ตอน: บทที่ ๐๒๑

021



เช้าวันนี้อากาศแจ่มใส คุณแวววิไลลงมาเตรียมอาหารสำหรับนำไปถวายเพลแต่เช้า เพราะเป็นวันพระใหญ่ที่ตรงกับวันทำงาน บุตรชายคงไปรับไปส่งไม่สะดวก จึงตั้งใจว่าเตรียมอาหารให้เสร็จเร็วสักหน่อย จะได้ค่อยๆ ขับไปวัดด้วยตัวเอง

ภาควัตเข้ามาโอบมารดาจากด้านหลัง ขณะที่ผู้มากวัยกำลังลวกแผ่นแป้งกลมๆ ขนาดครึ่งฝ่ามือ เพื่อทำขนมถั่วแปป

สติอันมั่นคงไม่ได้ทำให้คุณแวววิไวสะดุ้งตกใจ ค่อยวางมือจากกระชอนสำหรับช้อนแป้งลวกลงแช่ในน้ำเย็น มาปลดแขนของบุตรชายออกจากตัว

“จะมาอ้อนอะไรแม่แต่เช้า ไม่รีบไปทำการทำงานหรือภาค”

“มีประชุมตอนสิบโมงฮะ ไม่ต้องรีบ”

“แล้วยังไง หรือเกิดอยากจะทานมื้อเช้าขึ้นมา แต่แม่กำลังยุ่งๆ”

“ผมแค่อยากกอด...”

เขาทำหน้าเป็น อมยิ้มแถมยังยกคิ้วให้

“เรื่องทางบ้านนั้น คุณแม่คิดว่ายังไงฮะ”

แล้วภาควัตก็วกมาเข้าเรื่องในที่สุด เขาตั้งใจมาบอกมารดาว่าต่อไปนี้จะบุกเต็มที่ อย่างเช่นเที่ยงนี้ จะไปทำเซอร์ไพร์อินทุอรให้ถึงที่ทำงานของเธอ

“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ที่หนูพิมพิกาเขาประกาศออกไปอย่างนั้น เราจะได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องจับคู่ดูตัวอะไรนี่อีก ปล่อยให้เขาไปเคลียร์กันให้จบ แล้วพอถึงตอนนั้น คุณโสภาพรรณก็คงกระดากใจเกินกว่าจะมาทาบทางทางเราอีกแล้วละ”

ถึงสถานการณ์ของผู้คนในบ้านนั้นจะดูแปลกๆ แต่คุณแวววิไลก็โล่งหัวใจไปอีกไม่ใช่น้อย เป็นอันว่าในระยะอันใกล้นี้ จะไม่ต้องเป็นห่วงหรือต้องทนรำคาญกับการเซ้าซี้ทาบทามของคุณโสภาพรรณอีกต่อไป

และทำไมผู้เป็นมารดาจะไม่เห็นว่า บุตรชายของตนก็มีท่าทางปลอดโปร่งขึ้นอีกมาก แววตาที่เคยซึมเซาอยู่นั้น ก็กลับฉายประกายสดใสขึ้นมาได้อีกครั้ง

ส่วนเรื่องของหญิงสาวอีกคน คุณแวววิไลก็เข้าใจความรู้สึกของภาควัตดี แต่เพื่อความเหมาะสมหลายๆ อย่าง ทำให้ต้องทำเป็นเฉยๆ เอาไว้ก่อน

“ภาคเองก็คงโล่งใจ จะได้ไม่ต้องมาพัวพันยุ่งเกี่ยวกับพวกบ้านนี้อีกต่อไป”

“ทำไมล่ะฮะคุณแม่”

คำปรารภของมารดา ทำให้เขาต้องเอ่ยถาม

“ก็อย่างที่แม่พูด ผู้หญิงเขาประกาศชัดว่าไม่สนใจเรา”

“ผมไม่ได้หมายความถึงเธอคนนั้น แต่ผมหมายถึงอีกคน”

ภาควัตต้องพยายามเรียบเรียง ไม่อยากให้มารดาเห็นว่าตัดสินใจอะไรผิดพลาดอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“หนูหลิวน่ะหรือ...”

คุณแวววิไลกลับทำเป็นเข้าใจว่า ลูกชายหมายความไปถึงอีกคน

“น่ารักดีนะ สดใสร่าเริง ถึงบรรดาที่พูดออกมานั่นมันจะเท็จบ้างจริงบ้าง ก็ยั่วหัวเราะให้พวกหนุ่มๆ สาวๆ ได้มากอยู่ไม่ใช่หรือ”

“โธ่!... คุณแม่ อย่าล้อผมเล่นสิฮะ แม่ก็รู้ว่าผมหมายถึงใคร”

“เขาเพิ่งถอนหมั้น หนำซ้ำเหตุผลคือยังไม่พร้อมจะมีครอบครัว หรือภาคไม่ได้ยิน”

คุณแวววิไลเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่บุตรชายหน้าเจื่อนลงไปอีกมาก

“ตอนที่หลบไปคุยกันนั่น... ถ้าสาวเจ้าเค้ายินยอม มีหรือที่ลูกชายของแม่จะยืนเป็นเบื้ออยู่อย่างนั้น ถ้าตกลงใจกันได้ แม่คงจะได้เห็นภาพทั้งโอบทั้งกอด”

แล้วผู้มากวัยก็ลดแววจริงจังในน้ำเสียงลง ท้ายคำนั่นยังแกล้งกลั้วหัวเราะ

“ตอนที่คุยกันตรงมุมหนังสือนั่น คุณอินทุ์เขายืนยันว่าจะแต่งงานกับปริยัติ”

“อ้าว!... ถ้าอย่างนั้น ทำไมคุณอิศราถึงประกาศถอนหมั้น”

คุณแวววิไลเริ่มไม่เข้าใจ

“นั่นสิฮะ ยิ่งคนที่แม่เขาจะจับยัดเยียดให้เรา อยากจะสวมรอยแทนทันทีขนาดนั้น”

“อย่าพูดถึงผู้หญิงอย่างนั้นสิภาค ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ มันอาจจะมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนกว่าที่เรารู้ก็ได้”

ภาควัตทำหน้าเบื่อๆ นิดหนึ่ง และเพราะไม่อยากจะพูดถึงพิมพิกาอยู่แล้ว จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ตอนนี้ก็เท่ากับว่าคุณอินทุ์ไม่มีพันธะกับใครๆ อีกแล้ว”

“แต่เขาเพิ่งถอนหมั้นกันมาหยกๆ”

“ผมถึงบอกไม่มีพันธะแล้วไงล่ะฮะแม่”

คำนี้ของบุตรชาย ทำให้มารดาถึงกับต้องตวัดสายตามามองค้อน

“ภาคน่ะ อะไรๆ ก็ดีขึ้น ยกเว้นแต่ความมักง่ายนี่ละ!”

แล้วก็ดุเอาตรงๆ ถึงความใจเร็วของเขา

“ทีกับหลิว คุณแม่กลับสนับสนุนเต็มที่”

ภาควัตอดเถียงไม่ได้

“ในสายตาแม่ หนูหลิวเขาก็น่ารักดี ไม่ได้มีอะไรเสื่อมเสียหรือเสียหาย”

มารดาต้องละมือจากการเตรียมแผ่นแป้ง หันมาคุยกับบุตรชายด้วยท่าทางจริงจัง

“เป็นเพราะคุณแม่ไม่รู้...”

“หรือว่าภาครู้ ถ้ารู้แล้วจะไปยุ่งกับเธอทำไม”

“ผมมารู้ทีหลังนี่ฮะ ไอ้ยุตรู้จักหลิวมาก่อน มันน่ะอกหักจากเธอ ทั้งที่จริงๆ แล้ว...”

“หยุดเลยภาค บอกกี่ครั้งแล้ว แม่ไม่ชอบให้เราเอาใครมาพูดลับหลังแบบนี้...”

แล้วคุณแวววิไลก็แสดงท่าว่าไม่ปรารถนาจะพูดเรื่องนี้อีกต่อไป ขยับห่างบุตรชายไปทางอีกถาดหนึ่งที่มีแผ่นแป้งกลมๆ ผึ่งลมรอสำหรับห่อไส้

“ถ้าคนเขาไม่ดีอย่างที่ภาคอยากจะว่า ดูกันไปไม่นาน ประเดี๋ยวแววมันก็แสดงออกมาเองนั่นละ ถ้าไม่อยากกินอะไร ก็รีบไปทำงานเถอะไป๊ แม่กำลังยุ่งๆ ดูซิแป้งติดกันหมดแล้ว”

มารดาแกล้งปัดมือไล่บุตรชาย ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งยืนแอบอยู่ข้างประตู

พอฝ่ายนั้นถูกมองเห็นเข้า หล่อนก็รีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีค่ะคุณแม่ พอดีวันนี้วันพระ จำได้ว่าคุณแม่ชอบทำบุญ เลยจะมาชวนไปถวายเพลน่ะค่ะ”

เป็นลลิตานั่นเอง ที่แต่งตัวเรียบร้อยราวเป็นคนละคน กับที่ภาควัตเคยเจอในร้านสุดทางรักเมื่อครั้งแรก




“ไปบอกเขาหรือไงล่ะ ว่าอยากจะอยู่กินเป็นผัวเมียกับยัยอินทุ์”

พันธกานต์ได้ยินคำถามนี้ ขณะกำลังก้าวออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน

“ถ้า... คุณแม่ไม่มีปัญหา”

เขาหันกลับไปตอบด้วยเสียงเย็นๆ

“ชั้นจะไปกล้ามีปัญหาอะไร ในเมื่อแกทำให้พวกเรายังมีบ้านคุ้มกะลาหัว”

คุณโสภาพรรณขยับใกล้เข้ามา พร้อมถ้อยคำประชดประชัน

“ถามจริงๆ เถอะ พันธ์ทำให้คุณพ่อยอมได้ยังไง หรือว่าเขารู้...”

“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย และเราก็อาจจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอะไรเลยด้วยซ้ำ นอกจากว่าคุณพ่อจะยกน้องอินทุ์ให้ผม ถ้า... ถ้าคุณแม่ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน กับ... กับครอบครัวนั้น”

“แต่เขาก็เป็นพ่อ”

“ผมไม่เคยปฏิเสธนี่ครับ คุณพ่อก็ด้วย”

“คนไหน”

“คุณพ่ออิศรา ก็... ยอมรับ ถ้าพ่อจริงๆ ของผมจะกลับมีตัวตนขึ้นมาอีกครั้ง”

“หมายความว่ายังไงกัน มานั่งคุยกับแม่ก่อนได้ไหม”

แล้วคุณโสภาพรรณก็ดึงแขนบุตรชายให้เดินมานั่งลงตรงชุดเก้าอี้เหล็กดัดตรงสุดเฉลียงหน้าบ้าน

พันธกานต์เดินตามมาแต่โดยดี เขาก็อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะที่ฟังจากนายอิศรา กับที่มารดาของตนเล่ามา มันมีบางอย่างที่ยังติดๆ อยู่ในใจ ที่แรกตั้งใจจะกลับมาถึงค่อยพูด แต่เมื่อหล่อนเอ่ยขึ้นมาก่อน เขาก็พร้อมที่จะฟัง

“คุณอิศราเขารู้หรือว่าพ่อของพันธ์ยังอยู่”

ยังไม่ได้นั่งลงสนิทดีด้วยซ้ำ ตอนที่คุณโสภาพรรณเอ่ยถามประโยคนี้

“ท่านไปพบกันมาแล้วด้วย”

“ตายละ...” คนฟังถึงกับต้องยกมือขึ้นทาบอก “...แล้วมันยังไงกัน เรื่องมันยังไงกันแน่ บอกแม่มาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ”

ขณะที่พูดก็จำต้องยกมือขึ้นปาดเหงื่อเจ้ากรรม ที่อยู่ๆ ก็ผุดพราวเต็มใบหน้า ทั้งที่อากาศก็ยังไม่ได้ร้อนอบอ้าวสักนิด

“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ แค่ว่า มีจดหมายจากโรงพยาบาล เป็นใบแจ้งหนี้กับใบเสร็จรับเงิน พร้อมกับมีชื่อคนไข้ ส่งมาถึงคุณพ่อ”

ปฏิกิริยาที่มารดาแสดงออกมานั้น ทำให้พันธกานต์ยิ่งสงสัยเป็นกำลัง

“นึกแล้ว! นึกไว้ไม่ผิด คนอย่างนังนั่น มันไม่มีวันจะรักษาสัจจะ ไป! พันธ์ต้องไปกับแม่ ไปคุยกับนังนั่นให้มันรู้ดีรู้ชั่ว!”

ส่วนอาการเกรี้ยวกราดที่หากเป็นเรื่องอื่น คุณโสภาพรรณคงจะลุกขึ้นโวยวาย แต่กับเรื่องนี้ จำเป็นต้องเก็บเสียงสงบอาการเอาไว้ให้มาก

“ผมนึกว่าเป็นแผนการของคุณแม่เสียอีก”

“แผนกงแผนการอะไรกันล่ะ เขาก็อยู่ส่วนเขา เราก็อยู่ส่วนเรา มันก็ดีอยู่แล้ว”

“ก็คุณพ่อบอกว่า คุณแม่กับเขา... ไม่ได้ต้องการจะพรากจากกัน คุณพ่อยังบอกว่ารู้สึกผิด ที่ไม่ค้นหาให้ละเอียด ก่อนที่จะรับผมกับคุณแม่...”

“มันตั้งเป็นสิบๆ ปีมาแล้วนะพันธ์”

“แม้แต่ชื่อผม คุณพ่อยังบอกว่าเป็นอนุสรณ์ความรักระหว่างคุณแม่กับเขา”

“หยุดพูดเรื่องรักๆ หลงๆ อะไรเสียทีนะพันธ์ แม่ไม่สนหรอกว่าตอนนั้น หรือตอนนี้ ใครจะรู้สึกยังไง ที่สำคัญคือ ไอ้ความสงบสุขที่เราเคยมี มันกำลังจะหายไป”

มาถึงตอนนี้ คุณโสภาพรรณก็ร้อนใจจนนั่งไม่ติด ต้องลุกขึ้นยืน แล้วก็ต้องสะบัดค้อนให้กับบุตรชาย ที่ยังทำเป็นนั่งอ้อยอิ่งพูดคุยอยู่อย่างนั้น

“คุณแม่เพิ่งจะบอกว่า บ้านเราจะดีขึ้น จากที่คุณพ่อยอมให้ผมกับน้องอินทุ์...”

“โธ่! พันธ์ แกยังไม่รู้อะไรอีกมาก นะ... รอแม่เดี๋ยว ขอเปลี่ยนชุดห้านาที”

“จะรีบไปไหนกันแต่เช้าหรือคะ คุณแม่... คุณพี่ชาย”

เสียงหวานหยดของพิมพิกาดังทักทายสวนทางออกมา ซึ่งแค่ฟังผ่านๆ ก็รู้ว่าดัดจริตไว้เต็มที่

“แล้วแกล่ะ จะไปไหน!”

มารดาย้อนถาม ไม่รู้ตัวเลยว่าพักหลังมานี้ ไม่ได้เรียกหาบุตรสาวบุตรชายอย่างอ่อนหวานเหมือนที่เคย

“คุณแม่ก็น่าจะรู้นี่คะ”

“จะไปกกกับไอ้นั่นอีกหรือไง ทำไม... ไอ้ที่ทำบัดสีไว้ในบ้านเมื่อวานนี้ ยังไม่ฉ่ำอีกหรือยังไง”

“ซิคะคุณแม่ รีบๆ ลวกๆ อย่างนั้น จะไปชุ่มไปฉ่ำได้ยังไง”

พิมพิกายังลอยหน้า ไม่สนใจสักนิดว่าพี่ชายแท้ๆ ของตนก็นั่งอยู่ตรงนั้น

“สมใจแกแล้วสิ ที่ได้กะเขาน่ะ”

“สมใจที่พี่ปอนด์เขาไม่ต้องได้กับพี่อินทุ์หรอกค่ะ”

“หมายความว่ายังไงยัยพิมพิ์ หรือว่าแกกะพี่ชายรวมหัวกัน”

มารดาหันขวับกลับมาทางบุตรชาย

“คุณแม่จะมาเดือดร้อนอะไรนักหนาคะเนี่ย นี่ละที่เขาเรียกแก่แล้วแก่เลย แล้วจะมาเข้าใจอะไรชีวิตหนุ่มๆ สาวๆ”

คนฟังแทบเต้น ไม่นึกเลยว่าบุตรสาวของตนจะหยาบคายกับตนได้ถึงเช่นนี้

“แล้วยังไง ที่แกบอกว่าสมใจที่เขาถอนหมั้นกัน หมายความว่าที่ไปเกลือกอยู่กับมันนั่นก็แค่อยากจะเอาชนะยัยอินทุ์”

“ค่ะ... ถ้าจะสรุปง่ายๆ สั้นๆ ก็... แค่นั้น”

พิมพิกาแกล้งเดินโยกย้ายมานั่งสมทบกับพี่ชาย ทำท่าทางเต็มจริตจะก้าน อย่างที่ทำให้คุณโสภาพรรณแทบไม่อยากจะมอง

“แล้วยังไง แกเป็นลูกผู้หญิง มันมีแต่เสียกับเสีย”

ขณะที่พูดก็พยายามข่มอารมณ์ รู้สึกได้เลยว่าเล็บในมือที่กำไว้นั้น กำลังจิกเข้าไปในเนื้อ

“มีแต่ได้กับได้ต่างหากล่ะคะ”

พอถึงคำนี้ พี่ชายก็สุดที่จะทนฟังต่อไปได้อีก เขาทำท่าจะลุกหนีไปเสียให้พ้น

“รอแม่ก่อนสิพันธ์”

“คุณแม่คุยกับยัยพิมพิ์ให้เสร็จก่อนเถอะครับ ผมจะรีบเข้าไปที่ทำงาน...”

“งั้นก็ได้ ให้แม่จัดการทางนี้ก่อน”

“วุ้ย! คุณแม่จะมาจัดการอะไรกับหนูล่ะคะ ก็บอกแล้วไงว่า พิมพิ์น่ะ มีแต่ได้กับได้”

เมื่อพันธกานต์เดินพ้นไป คุณโสภาพรรณก็จำเป็นต้องนั่งลงแทนที่

“แสดงว่าแกยอมนอนกะเค้าฟรีๆ เพราะอยากเอาชนะ”

ช่วยไม่ได้เลย ที่มารดาจะรู้สึกแห้งระโหยในอก แถมยังรู้สึกผ่าวๆ อยู่ใต้ดวงตา

“เมื่อเย็นวานไม่ได้นอนนะคะ”

“ไร้ยางอาย!”

ทั้งชีวิตของคนพูด ไม่เคยนึกเลยว่าจะได้ใช้คำนี้กับบุตรสาว

“คุณแม่สอนเอง อยากได้อะไรก็ต้องทำให้ได้ อยากชนะก็ต้องฝ่าฟัน ลงทุนลงแรง”

“ก็ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้ว ทำไมถึงไม่คิดจะตบจะแต่งให้มันเป็นเรื่องเป็นราว”

คุณโสภาพรรณต้องพยายามใจเย็นไว้ให้มาก นึกถึงทฤษฎีสารพัด ที่จะใช้เตือนสติของพิมพิกาในยามนี้

“คุณแม่เห็นสายตาของยัยแม่พี่ปอนด์หรือเปล่าล่ะค่ะ”

“ทำไม กลัวจะเกิดคดีแม่ผัวลูกสะใภ้หรือไง”

“จะกลัวทำไมคะ ในเมื่อพิมพิ์ไม่คิดจะอะไรกับเขาอยู่แล้ว ก็บอกแล้ว สรุปง่ายๆ ถึงตอนนี้ พี่อินทุ์ก็แพ้พิมพิ์ราบคาบ”

“แต่ชื่อเสียงล่ะ น้ำนวลที่เราเสียไป ง่ายๆ ฟรีๆ มันจะไม่มีค่าอะไรเลย”

ได้ยินมาถึงตรงนี้ พิมพิกาก็ต้องหลุดขำออกมา ไม่เข้าใจเลยว่า มารดาคิดว่าตนเป็นเด็กใสไร้เดียงสาอยู่ได้ยังไง

“สันดานของคนอย่างพี่ปอนด์ มันมักมาก แม่จะให้พิมพิ์ไปแต่งด้วยงั้นหรือ”

“แต่เราเป็นฝ่ายเสียหาย...”

“เขาสิคะเสียหาย คงทั้งอายทั้งเจ็บ... ถ้าแม่อยากจะเกี่ยวดองกับเขานัก ก็ไปลุ้นเอากับคู่ของพี่พันธ์กับยัยปิ่นปัญญาอ่อนนั่นเถอะค่ะ”

คราวนี้คุณโสภาพรรณต้องสบตากับพิมพิกาตรงๆ นี่แสดงว่าบุตรสาวยังไม่รู้เรื่องที่นายอิศราเตรียมการเอาไว้

“ส่วนพิมพิ์น่ะ ต่อให้เขายกขันหมากร้อยล้านมาขอ ก็ขอบาย”

ใบหน้าของหล่อนยังอมยิ้ม ในใจยังคิดอยู่เลยว่า มื้อเย็นเมื่อวาน หากเหตุการณ์มันไม่กลับตาลปัตรไปอย่างนั้นเสียก่อน หล่อนเองนั่นละที่จะเป็นคนประกาศ ว่าได้เสียเป็นเมียผัวกับปริยัติมานานนัก แล้วก็เพิ่งแอบไปเล่นรักกันมาเสียด้วย หลักฐานก็มีให้เห็น ถ้าใครอยากจะดู ก็จะให้เขาเปิดเสื้อโชว์ เพราะหล่อนจงใจเน้นประทับรอยลิปสติกไว้หลายรอยบนแผงอก

“คนเรามันต้องค่อยๆ คิด คิดหน้าคิดหลังให้ดี เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าหากเขาก็ยอมรับว่ามีอะไรกับเรา แต่งกันเสีย มันก็จะหมดจดไปทุกฝ่าย”

“อย่ามาเสียเวลาหว่านล้อมพิมพิ์เลยค่ะ บอกแล้วไง ไปลุ้นพี่พันธ์กับน้องสาวเขาดีกว่า นี่พิมพิ์ขัดใจอยู่นิดเดียว ตรงที่ดูพี่อินทุ์ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย เรื่องที่ถอนหมั้น หรือเขาไปคุยกับคุณพ่อก่อนแล้วก็ไม่รู้ พิมพิ์ต้องรู้เหตุผลให้ได้ อ้อ!... คุณแม่เห็นคนที่พี่หลิวควงมาด้วยหรือเปล่าล่ะค่ะ ที่จริงตานั่นเขามาติดพันอยู่กับพี่อินทุ์ หรือว่าพี่อินทุ์ริจะกินเด็ก สมัยนี้เขายิ่งฮิตๆ กันอยู่ด้วย นายนั่นก็... จะว่าไปก็หล่อใส รูปร่างท่าทางดีกว่าพี่ปอนด์เสียอีก”

พิมพิกาพูดถึงผู้ชายอย่างไม่กระดากปากเลยสักนิด จนคุณโสภาพรรณต้องทอดถอนใจอย่างปลงๆ

“เรื่องของยัยอินทุ์ ขอแค่ให้มันพ้นๆ ไปจากบ้านนี้ก็พอ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”

คุณโสภาพรรณยังตั้งใจจะเก็บงำเรื่องการตัดสินใจของคุณอิศราเอาไว้ก่อน แต่ความลับอีกเรื่องที่สำคัญกว่านั้น ใจอยากจะพูดออกไปเสียเดี๋ยวนี้

แล้วก็นิ่งไปอีกอึดใจใหญ่ กว่าจะตกลงใจได้ว่า อีกเรื่องทำสำคัญกว่านั่น นิสัยอย่างพิมพิกา ถ้าอยู่ๆ มาบอกกะทันหัน คงเป็นอันจะต้องโวยวาย ดีไม่ดีเรื่องราวอื่นๆ จะพลอยเสียหาย คงได้แต่เพียงค่อยๆ หว่านล้อมไป น่าจะเป็นการดีที่สุด

“อย่างที่เขาว่า ลูกน่ะ พ่อแม่เลี้ยงได้แต่ตัว พอปีกกล้าขาแข็งแล้วก็บินจากไป แต่แม่อยากจะเตือนเอาไว้ อนาคตข้างหน้าของคนเรามันไม่แน่นอน คนขับสามล้อ คนขอทานยังเคยถูกหวยกลายเป็นเศรษฐี แล้วมีหรือที่คนมีอันจะกิน จะไม่มีวันตกอับลงไปได้ แกจะรักดีรักชั่ว อยากจะหามจั่วหรือหามเสา ก็ขอให้คิดถึงวันข้างหน้าเอาไว้ให้มาก”




หลังจากที่คุณโสภาพรรณบอกว่าจะกลับขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อจะออกไปทำธุระกับพันธกานต์ พิมพิกาก็ยังนั่งเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ตรงชุดเก้าอี้เหล็กดัดที่เฉลียงหน้าบ้านนี้อีกครู่ใหญ่ หล่อนนึกครึ้มใจจนสั่งให้เอาของเช้ามาละเลียดเล็ม ทอดอารมณ์อยู่กับบรรยากาศสดใสของยามเช้า

อินทุอรลงมาเป็นคนหลังสุด เพราะเวลาเข้างานสายกว่าคนอื่นเป็นชั่วโมง

เธอเบิกบานพอจะทักทายน้องสาวต่างมารดา

“วันนี้มีธุระที่ไหนหรือพิมพิ์ ทำไมลงมาหาอะไรทานแต่เช้า”

“ก็ดีเหมือนกันนะคะพี่อินทุ์ ที่คุณพ่อตกลงใจถอนหมั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด พิมพิ์ว่าคนอย่างเขา ไม่เหมาะกับพี่อินทร์หรอกค่ะ”

แต่คนตอบกลับพูดไปอีกเรื่อง ในใจนั้นกลับมานึกเคือง ที่ดูท่าทางของอินทุอรดูจะสดชื่นขึ้น หลังจากเหตุกาณ์เมื่อวาน

“ก็... ก็ดีนั่นละ พี่ว่าพี่เองก็ยังไม่พร้อม”

ยังเหลือเวลาอีกนาน กว่าจะถึงเวลาต้องออกจากบ้าน อินทุอรเลยลงนั่งร่วมโต๊ะกับพิมพิกา

“แล้วไปรับหมั้นกับเขาทำไมล่ะค่ะ”

คนถาม ถามเรื่อยๆ ทำเหมือนว่าไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ

“ไม่รู้สิ ตอนนั้น... คุณน้าโสภาจัดการให้ทุกอย่าง”

ส่วนคนตอบ ก็ต้องทำเป็นตอบไปเรื่อยๆ เช่นกัน ทั้งที่จริง เธอไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

“ช่างเถอะค่ะ มันแล้วไปแล้ว พี่อินทุ์ก็เห็น ขนาดมีคู่หมั้นแล้ว พี่ปอนด์ยังไม่วายมาเกาะแกะกับพิมพิ์ พี่อินทุ์โชคดีแล้วละ ที่พ้นจากนายนั่นมาได้”

พิมพิกาพูดราวกับว่ายืนอยู่ข้างเดียวกับพี่สาวต่างมารดาเต็มที่

“แต่เมื่อวาน ที่พิมพิ์บอกว่า...”

“ที่ว่าพร้อมน่ะหรือคะ แล้วไงล่ะคะ ถ้าไม่พูดไปอย่างนั้น นายนั่นคงยังอ้อยอิ่งอ้อนวอนไม่ยอมไปง่ายๆ พอพิมพิ์พูดไปอย่างนั้นปุ๊บ คุณแม่เขาก็ลากตัวลูกชายลูกสาวกลับไปปั๊บเลย ก็หวังแต่ว่าพี่อินทุ์จะไม่โกรธพิมพิ์ ที่พูดออกไปอย่างนั้น เพราะเจตนาหรอกนะคะนั่นน่ะ”

พอเห็นว่าอินทุอรตกอยู่ในสถานะที่ไร้จุดหมาย ไร้ว่าที่คู่ชีวิต พิมพิกาก็แทบจะหมดเรื่องที่จะต้องมาแข่งดีเด่นกับหล่อน แต่ใจหนึ่งก็ยังอดอิจฉาลึกๆ ไม่ได้ว่า ทำไมยังมีคนหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางสุภาพเรียบร้อยอย่างศรันย์ มาถูกอกถูกใจผู้หญิงชืดๆ อย่างที่นั่งอยู่ตรงหน้าหล่อนนี้ได้

“แล้วหนุ่มคนเมื่อวาน ที่พี่หลิวควงมานั่น...”

พิมพิกาเริ่มตั้งประเด็นใหม่หลังจากจิบกาแฟเข้าไปอีกอึกหนึ่ง

“ศน... ศรันย์ รุ่นน้องที่ทำงานน่ะ”

“หล่อดีนะคะ ทั้งสูงทั้งล่ำ ทั้งขาวทั้งคม เขามาจีบใครกันแน่คะ พี่หลิวหรือพี่อินทุ์”

เป็นคำถามที่อินทุอรตอบไม่ถูก ได้แต่นั่งอมยิ้มนิ่งอยู่

“ดูสิ ถามแค่นี้ก็ทำเป็นเขิน สมัยนี้คนที่เขาคบๆ กัน ผู้ชายอ่อนกว่าผู้หญิงก็ถมเถไป ดูดารานักร้องสมัยนี้สิคะ บางคู่ผู้ชายอายุอ่อนกว่าเป็นสิบปี”

“เขาก็ดี ทำงานที่เดียวกัน พูดจากันไว้บางก็ไม่น่าจะเสียหาย เผื่อจะได้ช่วยเหลืออะไรกันได้ในวันข้างหน้า”

เธอได้แต่อ้อมแอ้มตอบไปไม่เต็มเสียง

“แล้วถ้าเขาคิดจะจีบพี่อินทุ์ขึ้นมาจริงๆ จังๆ พี่อินทุ์จะว่ายังไงคะ”

คำถามนี้ถึงกับทำให้อินทุอรรู้สึกร้อนวูบๆ ขึ้นที่ใบหน้า

“แน้! ดูสิ ถามแค่นี้ก็ทำเป็นหน้าแดงขึ้นมาเลย”

“จะให้พี่ตอบยังไงดีล่ะ ก็อย่างที่บอก คงต้องดูๆ กันไป พี่อายุมากกว่าเขา...”

“แสดงว่าถ้าเขาจริงใจ พี่ก็โอเค อย่างนั้นหรือเปล่าคะ”

“พี่ยังไม่อยากคิดอะไรให้มากไปหรอกพิมพิ์ อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็สบายดี”

“พิมพิ์บอกตรงๆ ว่าพิมพิ์เองไม่มีปัญหา ดีเสียอีกอยู่เป็นเพื่อนกัน ช่วยกันดูแลคุณพ่อ แต่คุณแม่สิคะ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ จะหาทางให้พี่อินทุ์แต่งออกไปท่าเดียว”

“เราอย่าพูดเรื่องนี้กันดีกว่า ที่แล้วก็ให้มันแล้วไป พี่ยังไม่อยากคิดอะไร”

“แต่พิมพิ์เห็นนะคะ ที่พี่คุยอยู่กับคุณภาควัต ตรงมุมหนังสือ”

“คนเคยรู้จักกันน่ะ”

อินทุอรขยับตัว รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันทีเมื่อเอ่ยถึงเขา

“ได้ยินแว่วๆ เหมือนว่าเขากำลังขอความรักจากพี่อินทุ์”

พิมพิกายังรุกต่อไป

“ถ้าพิมพิ์ได้ยิน ก็คงได้ยินที่พี่ปฏิเสธเขาไปแล้ว ที่จริง... เขากำลังคบหากันอยู่กับพี่หลิว”

“เหรอคะ... งั้นก็แสดงว่าเขาร้ายไม่ใช่เล่น ที่ยังกล้ามาขอโอกาสจากพี่อินทุ์ นึกไปนึกมาก็ดีเหมือนกันนะคะ ที่พิมพิ์แกล้งพูดไปว่า พร้อมจะยอมแต่งกับพี่ปอนด์ แหม!... โชคดีเป็นบ้า เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว คือช่วยพี่อินทุ์ไว้ได้ แถมยังช่วยเหลือตัวเองได้ด้วย”

“แต่พี่เข็ดเสียแล้วละ กับผู้ชายเจ้าชู้พวกนี้”

พูดจบอินทุอรก็ระบายลมหายใจยาวออกมา

“นายศรันย์นั่นล่ะค่ะ เขามาจีบพี่ แต่ยังกล้าควงมากับพี่หลิว”

พิมพิกาวกกลับไปที่ศรันย์อีกจนได้

“เขาถูกหลิวหลอกมาน่ะ คงเอามาควงให้คุณภาคเขาเห็น”

คนพูดอดไม่ได้ที่จะต้องแก้ต่างให้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับเรื่องยุ่งๆ เหล่านี้

“งั้นก็คงเพราะอยากเจอหน้าพี่อินทุ์ เขาเลยยอมมาด้วย”

“อันนั้นพี่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเขาก็ลำบากใจอยู่มาก ที่แรกหลิวไปบอกว่าจะมาชวนกันไปหาอะไรกินข้างนอก เขาไม่นึกว่า...”

“ถึงว่าสิคะ พอเห็นท่าจะไม่ชอบมาพากล ยังจะรีบขอตัวกลับ ดูไปก็ซื่อๆ น่ารักดีนะคะ”

เพราะพิมพิกาเสทอดสายตาให้ไกลออกไปในสนามหญ้าหน้าบ้าน อินทุอรจึงไม่ได้เห็นว่า ระหว่างคำพูดประโยคนี้ แววตาของพิมพิกาส่งประกายมาดหมายออกมาถึงเพียงไหน



***************




นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ค. 2554, 15:56:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ค. 2554, 15:56:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1834





<< บทที่ ๐๒๐   บทที่ ๐๒๒ >>
แพม 12 ก.ค. 2554, 22:25:31 น.
ยัยนี่!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account