ดวงใจพรต (ปรับปรุง)
พรต...ลูกชายป๊ะเพลิงแห่งหุบเขาพญา
จากคุกทมิฬมารับมรดกที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน
แต่...ความโชคดีกลับมาพร้อมหายนะ และเธอที่น่าสงสัย
ความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่จึงปรากฏออกมาอย่างไม่ปราณี
บัญชีนี้...ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต หัวใจต้องชดใช้ด้วยหัวใจ
ดวงใจพรต จึงได้มาพร้อมหยาดน้ำตาและร่างกาย


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 5

ตอน 5
พรตนิ่งงันอย่างคาดไม่ถึงและงงไปชั่วขณะ ว่าเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ขณะที่เสียงดีแลนด์ก็ยังดังต่อไปเรื่อยๆ “เบื้องหลังธุรกิจบางอย่างของพวกเขาทำกับพวกนี้ น้อยคนที่จะรู้เพราะคือความลับ แต่ไม่ใช่สำหรับฉันที่เป็นมาเฟีย อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจึงน่าสงสัย ว่าจะเป็นอุบัติเหตุจริงๆอย่างที่คุณคิด หรือใครทำให้มันเกิดขึ้นมา

“คงไม่มีใครโง่ ที่จะทำ เพื่อให้ตัวตาย”

“แต่มีคนฉลาดที่จะทำ เพื่อให้ตัวเองสมหวัง”

ดีแลนด์คิดต่างให้พรตเห็น “เรื่องสกปรกแบบนี้ บางทีคุณอาจจะไม่เคยเจอ หรือเจอก็คงไม่มีอะไรซับซ้อน แต่สำหรับวงการด้านมืดอย่างนี้ มีทุกวิธีที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ไม่ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะอะไร คุณก็ได้แหย่ขาเข้ามาในวงการนี้แล้ว”

“แต่ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้ หรือใครทั้งสิ้น”

“วงการอื่นอาจจะใช่ ที่คุณไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เขาก็จะไม่ข้องเกี่ยว แต่ไม่ใช่วงการมาเฟีย แม้คุณจะไม่เคยออกหน้า แต่นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นหน้าคุณก็เข้าไปอยู่ในบัญชีพวกเขาแล้ว จากนี้ไป มาเฟียที่เกี่ยวข้องกับม็อตต้าทุกคนก็จะพุ่งตรงมาหาคุณ เพราะนอกจากคุณจะอยู่กับคนที่ตายไปเป็นคนสุดท้ายแล้ว คุณยังรับตำแหน่งที่สำคัญต่อจากเขาด้วย”

เสียงเน้นย้ำตอนท้ายคล้ายบอกให้พรตรู้ถึงความน่ากลัวของพวกมาเฟีย เพราะตำแหน่งที่เขาเพิ่งได้มาหมาดๆ คนพวกนี้ยังรู้ แล้วนับประสาอะไรกับอย่างอื่นที่จะไม่รู้ เขาขบกรามเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจ ที่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับคนพวกนี้ ชีวิตที่ง่ายๆสบายๆ กลับต้องมาวุ่นวาย คงหนีไม่พ้น ตั้งแต่เรื่องไอ้พวกคนโกง เลยมาถึงโชคลาภที่ได้มาพร้อมกับทุกข์ลาภอย่างที่เขาเคยคิดไว้จริงๆ

“เราจะให้ไมค์อยู่ช่วยคุณ คุณไว้ใจเขาได้ทุกเรื่องนี้”

พรตตวัดตามองไอ้หัวล้าน ที่รู้ชัดแล้วว่านัยน์ตาวาวๆที่มองเขานั้นเพราะเป็นผู้ชายหัวใจหญิง ก็จะปฏิเสธเพราะคงอยากจะดูตัวเขามากกว่าจะช่วยดูแล แต่สิ่งที่ได้ฟังมาทั้งหมดทำให้เขาต้องยอม จะให้คนที่คุกทมิฬบินมาหาเขาก็ดูจะยุ่งยากเกินไป ที่สำคัญที่นี่ไม่ใช่หุบเขาพญา ที่เขาสามารถแหกกฎบางอย่างได้ แต่เป็นที่ๆจะทำอะไรก็ต้องระวัง ต้องให้คนที่ชำนาญแถมยังเก่งไม่ต่างกันและยังมีปีกของแอ็คส์แน็คทับซ้อนอยู่ ดูแลเขาดีกว่า

“เราอยากให้คุณย้ายที่อยู่”

“ทำไม”

“ไม่ไว้ใจใคร” ดีแลนด์บอกเหตุผลทันที “แม้ก่อนหน้านี้ไมค์จะตรวจดูแล้วว่าที่นี่ไม่มีอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ใดๆ ติดตั้งอยู่เพื่อรู้ความเคลื่อนไหวของคุณ แต่จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นและซ้ำซ้อนด้วยการถูกตีหัว ก็บ่งบอกได้ว่าที่นี่อาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับคุณอีกต่อไป”

พรตรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะอิสรภาพที่บินได้ดังพญาอินทรีกำลังจะหมดไป แต่ก็ต้องจำยอม จึงถอนหายใจให้คลายความอึดอัด แล้วสบตากับทั้งสามคนที่มองเขาอยู่

“ผมเข้าใจ แล้วมีอะไรที่ผมต้องรู้อีก”

“ไม่มี ที่เหลือก็อยู่ที่ว่า ลูกไม้แห่งเพลิงพญาจะหล่นไกลต้นหรือใต้ต้นแค่นั้นเอง แต่หวังว่าจะหล่นใต้ต้น เพราะไม่มีใครที่จะดูแลคุณได้เท่ากับตัวคุณเอง อีกอย่างฉันอยากจะเตือนคุณว่าอย่าได้ไว้ใจใครเพราะจะจนใจเอง”

“ขอบคุณ”

พรตบอกพลางพยักหน้ารับคำเตือน มิลลี่ยิ้มเป็นกำลังใจให้ ส่วนดีแลนด์กับไมค์ก็มองกันด้วยความพอใจ ที่ทายาทแห่งเพลิงพญาตั้งรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดี จากนั้นไม่นานมาเฟียใหญ่ก็พาภรรยาสาวกลับโดยมีไมค์ตามออกมาส่งที่รถ พรตจึงปล่อยลมหายใจออกมาดังๆ แล้วโทรหาคนที่เขาสามารถคุยได้ทุกเรื่อง

“ว่าไงพรต นายเป็นไงบ้าง” เสียงที่ถามมาให้ได้ยิน เต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่พรตที่รู้สึกหงุดหงิดอยู่จึงตอบอย่างหาที่ระบาย

“ประสาทจะแดกอยู่แล้ว”

“พูดให้ดีๆหน่อย”

“ฉันก็อยากจะทำอย่างนั้นนะพี่ชาย แต่รู้อะไรไหม ว่าฉันโดนอะไรมาบ้าง ตอนนี้ฉันเหมือนอยู่กลางสนามรบ รอดมาจากตอปิโดกลับมาเจอเอ็มเจ็ดเก้า แต่โชคดีเป็นบ้าที่ไม่เป็นไร ดีนะที่ไม่ได้เป็นนายไม่งั้นเมียเป็นหม้ายไปแล้ว แต่ยังไงก็ขอบใจ ที่เป็นห่วง”

“นายเจอพวกเขาแล้วเหรอ”

“เจอแล้ว เกือบพร้อมกับแผลที่หัว” พรตบอกแล้วเล่าให้ฟังว่าเขาโดนท่อนเหล็กฟาดหัวและคุยอะไรกับพวกมาเฟียบ้าง พอพูดจบเสียงเครียดๆของพี่ชายก็ดังกลับมา

“นายจะเหินลมชมวิวอยู่เหมือนเดิมไม่ได้แล้วนะพรต ฟังจากที่นายเล่า รอบตัวนายมีอันตรายจริงๆ การตายของคนๆหนึ่งนำพาความเดือดร้อนที่อาจจะหมายถึงชีวิตมาให้นายได้ทุกเวลา นายจะเป็นคนดีอยู่กลางสมรภูมิรบไม่ได้แล้ว นายต้องขุดความดิบ เถื่อน ถ่อย ที่ฝังอยู่ในสายเลือดนายออกมา ไม่งั้นนายรับมือกับพวกมันไม่ไหว ตั้งสติให้ดีแล้วลับให้เฉียบคมดังกรงเล็บพญาอินทรี ผสานกับนายมาเฟียหัวล้าน แล้วนายจะอยู่รอดที่นั้น”

“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ฉันก็ไม่รู้ แต่ไม่อยากให้นายประมาท คิดในทางที่ร้ายไว้เพื่อป้องกันตัวเอง ดีกว่าคิดในทางที่ดีแล้วนายไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ชีวิต”

“ขอบใจที่เป็นห่วง”

“ฉันรักนาย นายก็รู้”

“ฉันก็รักนายพี่ชาย แต่ใครที่ทำร้ายฉัน ฉันจะทำให้มันเห็นว่านรกที่แท้จริงเป็นไง” พรตบอกแล้วเปรียบเทียบตัวเองกับคนเป็นพี่ที่เงียบขรึมแต่ร้ายลึก ขณะที่เขาติดจะขี่เล่น สำราญ แต่เวลาร้ายเขาเลวได้มากกว่านัก

“คุกทมิฬไม่ได้อยู่ที่นั้น และนายก็ไม่ได้เป็นผู้คุมกฎ จะทำอะไรก็ระวังให้ดี แล้วอยากได้ใครไปช่วยหรือเปล่า”

“แค่มาเฟียกับมารร้ายอย่างฉัน ก็น่าจะพอแล้วจริงมั๊ย”

ไม่มีคำตอบจากพี่ชาย พรตจึงวางสายแล้วผ่อนลมหายใจที่หนักอยู่ในอกออกมาอีกยาวๆ ก่อนจะเหลือบมองมาเฟียหัวล้าน ที่เดินมายืนหน้าเคร่งอยู่มุมห้อง ทำให้เขาคิดถึงหญิงสาวที่คุยกันค้างไว้

‘แล้วถ้าเป็นละ’
ความนัยที่ถามนั้นหมายถึงอะไร หรือว่าเธอจะมีส่วนรู้เห็นเรื่องที่เขาถูกตีหัว คิดมาถึงตรงนี้ พรตก็ขบฟันเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจ เพราะถ้าใช่เธอก็จะเป็นนักโทษคนแรกของเขา แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเธอกับเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งสองครั้งก็จะมีเธออยู่ด้วยเสมอ หรือว่าจริงๆแล้วเธอคือ ‘ตัวชี้เป้า’
*********
หญิงสาวที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกคิดถึงในแง่ร้าย นั่งอยู่ในห้องทำงานบนอาคารอัลโตนิโอ ก้มหน้าอ่านเอกสารที่อยู่ในความรับผิดชอบ ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจใดๆ เพราะเป็นเพียงหัวโขนที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาให้นั่งอยู่เท่านั้นเอง แต่ก็ต้องทำเพื่อเงินที่จะใช้เลี้ยงตัวเอง

“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด”

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หญิงสาวตวัดสายตาไปมองแต่ยังไม่คิดจะรับ เพราะงานที่ติดพันอยู่ กระทั่งเสียงสัญญาณหยุดไป เธอก็จมอยู่กับงาน แต่บางขณะก็คิดถึงหนุ่มพเนจร ผู้ชายที่ช่างก่อกวนอารมณ์เธอ จนต้องทิ้งรถแล้วหนีมา หวังว่าคงจะไม่เจอกันอีก

คิดมาถึงตรงนี้หน้าของพรีมาดาก็ร้อนผ่าว เพราะความหยาบคายของเขา ก่อนจะปัดคำพูดเขาทิ้งไป เม้มริมฝีปากอย่างไม่ชอบใจ เพราะรถเธอยังจอดทิ้งไว้แถวบ้านเขา “บ้าจริง” เธอบ่นออกมาพร้อมกับคิดว่าจะทำยังไงต่อ ปากกาที่ถืออยู่ในมือเคาะกับกระดาษเบาๆ แล้ววางลง หันไปหยิบกระเป๋าสะพายมาเปิด หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา สายที่ไม่ได้รับปรากฏอยู่หน้าจอ แต่เธอไม่สนใจ กดโทรออกก่อนจะยกขึ้นแนบหู พอได้ยินเสียงอีกฝ่ายทักทายมา ก็ถามไถ่ว่าอยู่ไหน จนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำงานในห้องสุดหรู ก็บอกคล้ายเกรงใจว่า

“พรีมมีเรื่องรบกวนหน่อย”

“ว่ามาได้เลย” เสียงเพื่อนรักที่ตอบกลับมา ทำให้ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นยิ้ม แต่ยังเกรงใจ ก่อนจะบอกเรื่องที่จะไหว้วาน โดยไม่บอกเหตุใดๆ เควินจึงย้อนถามกลับมาอย่างสงสัย “ทำไมถึงไปจอดรถทิ้งไว้แถวนั้น”

“เรื่องมันยาว”

“มีเวลาฟัง”

“แต่ไม่มีเวลาเล่า”

เสียงจิ๊จ้ะคล้ายขัดใจดังมาให้ได้ยินทันที ก่อนจะพึมพำออกมาให้พรีมาดายิ้มขำ แล้วตัดบทจะขอตัวทำงานแต่เพื่อนหนุ่มเรียกไว้เสียก่อน และบอกว่า “ค่ำนี้ดินเนอร์กัน”

“ดินเนอร์กินมื้อค่ำอย่างเดียว หรือกินอย่างอื่นด้วย”

“อย่าทำมาเป็นรู้ทันนางซิน รีบๆทำงาน แล้วคำตอบที่เธออยากรู้ มีรออยู่ที่ปลายทาง”
“ไม่ได้เป็นนางซินเสียหน่อย”

“แล้วไอ้ที่ทำงานงกๆให้เขาอยู่เนี่ย เขาเรียกว่าอะไร หรือยังหวังว่าพอเที่ยงคืนแล้วจะได้เป็นนางฟ้า”

“อย่างพรีมเป็นไม่ได้หรอก เป็นได้แค่คว้าน้ำเหลวเท่านั้นแหละ”

เควินอึ้งไปเพราะเสียงเศร้าๆ ของเพื่อน แล้วบอกว่า “บางเรื่องเท่านั้นแหละ และบางเรื่องอีกเหมือนกันที่เธอจะรู้ว่าใครกันแน่ที่คว้าน้ำเหลว”

สัญญาณถูกตัดไปแล้ว แต่พรีมาดายังไม่ได้เก็บโทรศัพท์ ยังมองอย่างสงสัยว่าที่เพื่อนพูดมานั้นหมายถึงอะไร เมื่อคิดไม่ออกก็ปัดความคิดทิ้งไป ตั้งสมาธิอยู่กับงาน ต่างจากเควิน หลังจากวางสายแล้ว เขาก็วางมือจากงาน กดดูข้อความที่ถูกส่งมาให้ทางโทรศัพท์ แล้วลุกจากโต๊ะทำงานที่นั่งสเกตแบบเสื้อผ้ามานานนับชั่วโมง เดินเข้าห้องนอนตรงไปยังห้องน้ำสุดหรูอาบน้ำแต่งตัวใหม่ให้เหมาะกับดินเนอร์คืนนี้ ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงเขาก็พร้อมออกจากห้องไปเอารถให้เพื่อนสาว
*******
รถยนต์ที่จอดทิ้งไว้ กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับพรต หลังจากนอนพักไปหลายชั่วโมง ตื่นขึ้นมาเขาก็ออกมายืนมองรถของเธอเพราะสิ่งที่คิดไว้ยังค้างคาอยู่ในใจ และปรายตามองนายมาเฟียหัวใจหญิง ที่เดินหิ้วกระเป๋าของใช้ส่วนตัวเขาเพื่อไปอยู่ที่อื่น มาวางไว้บนกระโปรงหน้ารถ เอนตัวพิงรถ ยกมือกอดอก เอียงหน้ามองเข้าไปภายในรถก่อนจะหันกลับมามองหน้าเขา

“ยังไม่เลิกห่วงเจ้าของมันอีกเหรอ”

พรตได้สบตาพร้อมกับบอกว่า “ใช่ แล้วได้ข่าวอะไรบ้างหรือยัง”

“ภายในรัศมีสองกิโล ไม่มีข่าวอาชญากรรม ไม่มีสิ่งปรกติใดๆ เธอคงไม่ได้เป็นอะไร” ไมค์ตอบหลังจากใช้อิทธิพลของมาเฟียสืบหาข่าว

“แล้วถ้าเป็นละ”

ไมค์มองเข้าไปในดวงตาคม เมื่อคำถามที่พูดค้างกันไว้ก่อนหน้านี้กลับมาเป็นคำถามให้เขาตอบ แต่เขาไม่ตอบ กลับถามกลับอย่างอยากรู้ว่าชายหนุ่มคิดยังไง ถึงไม่ยอมลืมเรื่องนี้ไปเสียที “ได้คำตอบหรือยัง”

“ฉันอยากรู้คำตอบของนายมากกว่า”

“ก็ถ้ามองในแง่ดีก็ไม่มีอะไร เธอรอดปลอดภัยกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่ถ้ามองในแง่ร้าย เธออาจจะได้รับอันตรายหรือไม่เรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้น เธอก็น่าสงสัย”

“ตัวชี้เป้า”
ไมค์เลิกคิ้วขึ้นเพราะคำกล่าวหาที่น่าสงสัย หรือทายาทแห่งเพลิงพญาจะคิดเหมือที่เขาพูด จึงถามเพื่อที่จะฟังความคิดที่แน่ชัด “ข้อหาแรงไปหรือเปล่า”

“แล้วจะให้คิดยังไง ในเมื่อพอฉันตามเธอไป ก็ถูกตีหัวเลย”

“เรื่องมันอาจจะบังเอิญมาประจวบเหมาะกันก็ได้ อย่าลืมว่าตอนนี้คุณเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับใครอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นฝีมือของพวกมันก็ได้”

“หรืออาจจะไม่ใช่ เช็กข่าวให้แน่ชัด แล้วค่อยมายืนยันกับฉันดีกว่า”

เสียงที่คล้ายจะท้าทายนั้นทำให้ไมค์ยิ้มที่มุมปาก แล้วบอกว่า “พวกมาเฟียก็ไม่ต่างจากคนของคุกทมิฬ ถ้าต้องการจะรู้ข่าวไหน ก็ไม่เคยพลาดและจะแน่ชัดเสมอ แต่ถ้าจะคลาดเคลื่อนนั่นเป็นเพราะการคาดไม่ถึง แต่เรื่องนี้ก็คงต้องดูกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง”

คิ้วเข้มบนใบหน้าพรตเลิกคิ้วขึ้นสูงเพราะคิดไม่ถึงว่านายมาเฟียร่างยักษ์จะรู้ลึกไปคุกทมิฬที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาพญา “ข้อมูลนายแน่นดี”

“ขอบคุณที่ชม แต่ดีเอ็นเอพวกคุณนี่เป็นยังไงนะ พอเจอนางชะนีที่ถูกใจ รูขุมขนก็ร้อนขึ้นมาทันที น่าเบื่อจริงๆ” ประชดแล้วก็สะบัดหน้าให้อย่างขวางๆ จากนั้นก็หิ้วกระเป๋าเดินก้นบิดไปที่รถแลนโรเวอร์ ที่เจ้านายทิ้งไว้ให้ใช้

พรตมองตามไปพร้อมอาการคันบาทาที่อยากยกขึ้นถีบไอ้ก้นบิดๆนั้น สักที จะได้เปลี่ยนจากกระทิงเป็นกระเทยเต็มตัว ไม่ต้องแอบอยู่แบบนี้ และไม่ใช่กระเทยธรรมดา ตัวใหญ่อย่างนี้ต้องเรียกกระเทยควาย คิดแล้วก็ขำ แล้วยกมือขึ้นตบหลังคารถปังๆพูดเสียงดังๆไม่แพ้กันว่า

“ฉันจะใช้รถคันนี้”

ไมค์หันขวับมามองอย่างแปลกใจแล้วบอกว่า “เดี๋ยวก็เจอข้อหาขโมยหรอก”

“นั่นแหละที่ฉันต้องการ”

พูดจบพรตก็เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งทันที ไมค์มองคนหาเรื่องใส่ตัวเพียงอึดใจ ก็หิ้วกระเป๋ากลับมา เปิดประตูหลังเหวี่ยงกระเป๋าเข้าไปเก็บ เรียบร้อยแล้วก็มาเปิดประตูด้านหน้าเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย “ตัดสินใจแน่แล้วใช่ไหม”

“เรื่องอะไรละ”

ไมค์ค้อนประลับประเหลือกเพราะหมั่นไส้คนที่แสร้งทำเป็นไม่รู้ พรตที่มองอยู่จึงหัวเราะเบาๆเพราะนึกถึงคำว่ากระเทยควายแล้วขำ จากนั้นรถก็เคลื่อนออกไป

เพียงสิบนาที รถแท็กซี่คันหนึ่งก็วิ่งมาจอดที่ๆรถเพิ่งวิ่งออกไปเมื่อกี้ คนที่นั่งอยู่ในรถเปิดประตูออกมามองหา แต่ส่ายสายตาไปทางไหนก็ไม่เจอ จึงดึงโทรศัพท์ออกมาโทรไปบอกเจ้าของ ซึ่งปากก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่สมองกลับคิดว่าใครเอารถเธอไป จะใช่เขาหรือเปล่า และถ้าใช่ เขาทำอย่างนั้นทำไม หรือจะให้เธอตามไปเอาคืน

‘ไม่มีทาง’ พรีมาดาตอบตัวเองในใจ เธอจะไม่ยอมเป็นน้ำมันไปให้ไฟอย่างเขาเผาผลาญเด็ดขาด
*******
ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลับลงหลังตึกสูงหลายสิบชั้น ที่ตั้งตระหง่านบอกความเจริญรุ่งเรืองของเมืองได้เป็นอย่างดี เจ้าของอาคารอีชา ยืนคุยโทรศัพท์พลางมองแสงสีทองผ่านกระจกสีทึบ กระทั่งแสงหายไปจากสายตา สัญญาณโทรศัพท์ก็ถูกตัดขาด จึงหมุนตัวกลับมามองลูกน้องคนสนิท ‘ซัลมา’ ที่เข้ามายืนอยู่ข้างหลัง หลังจากที่เขาสั่งให้ไปหาข่าวจากฝั่งตรงข้ามมาให้

“ได้อะไรมาบ้าง ว่ามา”

“ม็อตต้าได้ผู้นำคนใหม่แล้วครับ เป็นชายหนุ่มจากเมืองไทย หลานชายของชีค...” สิ่งที่รู้มาถ่ายทอดให้ฟังไปเรื่อยๆ สีหน้าของคนฟังก็นิ่งสนิท ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแปลกใจ เมื่อประโยคสุดท้ายบอกว่า “ที่สำคัญเขาเป็นคนเดียวกันกับคนที่นั่งอยู่ในรถตอนที่นายอเล็กซ์เกิดอุบัติเหตุ และล่าสุดเขาเพิ่งถูกทำร้าย แต่ยังดวงดี ไม่เป็นอะไรเลย”

“ฝีมือใคร”

ซัลมาไม่มีคำตอบให้คนเป็นนาย อีชา มุตา ฟะรีฮะ ก็ไม่คาดคั้นลูกน้อง แต่เหยียดริมฝีปากออกหยันเพราะความคิดที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในสมอง “เขาจะอันตรายกับโครงการที่เราต้องการแค่ไหน”

“ยังไม่รู้ครับท่าน เพราะยังไม่เห็นฝีมือ แต่ตอนนี้ใครๆก็จับตามองเขาอยู่ ว่าจะพาม็อตต้าขึ้นไปสูงเสียดฟ้าหรือจะตกต่ำลงเหว”

“แล้วแกคิดว่าไง” ประธานอีชาถาม เพราะลูกน้องเขาคนนี้ นอกจากจะฝีมือดีแล้ว ปัญญาก็ดีไม่น้อยไปกว่ากัน หลายครั้งที่มีความคิดดีๆให้เขาได้คิดและเตือนสติมาบ้าง

“ถ้ามองจากเรื่องที่เรารู้มา เขาน่ากลัวกว่านายอเล็กซ์มากครับ เพราะสืบสายเลือดมาจากชีคอิลาอัลล์เจ้าของบ่อน้ำมันในทะเลทราย และยังมีธุรกิจอื่นๆอีกมากมายแถมร่ำรวยมหาศาล ประสบการณ์ด้านนี้คงแน่นพอตัว โครงการน้ำที่หลายคนจ้องตะครุบอยู่ อาจจะถูกเขาคว้าไปก็ได้”

“แต่มันอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่แกว่าก็ได้ เพราะลูกไม้ไม่ได้หล่นใต้ต้นเสมอไป อีกอย่างมันเป็นลูกไม้ที่ไปเกิดถิ่นอื่น ไม่ใช่เกิดใต้ต้นที่ยืนอยู่ในทะเลทรายเหมือนฉันและเติบโตขึ้นมาอย่างแท้จริง แต่ที่แกพูดก็น่าคิด ไม่ว่ามันจะเก่งหรือไม่ เราก็ต้องระวังตัว พยายามหาข้อมูลมันมา และตามดูความเคลื่อนไหวของมันให้ดี”

“ครับท่าน”
“แล้วหลังจากเรื่องนี้ถูกประกาศออกมา ไอ้พวกหัวแดงในม็อตต้ามีท่าทียังไงกันบ้าง”

“นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวครับนาย จากที่เช็กข่าวมา ไม่มีใครแสดงท่าทีใดๆออกมา เหมือนยอมรับการตัดสินใจของคนที่ตายไปแล้วโดยดุษฎี”

“ไม่มีทาง” น้ำเสียงประธานอีชาหนักแน่นอย่างมั่นใจ “เพราะลึกๆลงไปไอ้พวกหัวแดงมันถือว่ามันเก่ง มันยิ่งใหญ่กว่าใครในโลก เรื่องที่จะให้พวกมันยอมรับหัวดำๆอย่างเรานั้นยากเต็มที ต้องแสดงให้มันเห็นว่าดีกว่า เก่งกว่ามันจริงๆถึงจะยอมรับได้ ที่สำคัญไอ้พวกอัลโตนิโอ ไอ้ตระกูลเก่าคร่ำครึไม่มีทางอยู่เฉยแน่ๆ แม้พวกมันจะเกี่ยวดองกันอยู่ แต่เงินและผลประโยชน์ไม่เคยเข้าใครออกใคร”

“แล้วท่านจะให้ทำยังไงต่อไป”

“ก็ใช้วิธีเดียวกับพวกมัน นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว รอดูท่าทีของแต่ละฝ่ายว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง และใครจะเผยธาตุแท้ออกมาให้เห็นเป็นคนแรก และที่สำคัญใครจะหลอกใครได้เก่งกว่ากัน”

ซัลมานิ่งคิดตามคำพูดของคนเป็นนาย เพราะตอนนี้ทุกอย่างยังคลุมเครือ การตายของประธานม็อตต้าแม้จะสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ลึกลงไปในใจของหลายคนไม่มีใครเชื่อ และพยายามคิดว่าใครเป็นคนทำ เพื่ออะไร แน่นอนว่าเพื่อผลประโยชน์ แต่จะมีสิ่งใดแอบแฝงอยู่อีกหรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป

“พรุ่งนี้ฉันมีนัดทานข้าวกับคนสำคัญ แกไปกับฉันด้วยแล้วกัน”

“ครับท่าน”

รับปากเรียบร้อยแล้ว ซัลมาก็เดินออกไปจากห้อง ส่วนประธานอีชาก็หมุนตัวไปมองดวงอาทิตย์ที่ลับหายไปจากท้องฟ้าแต่พรุ่งนี้ก็จะขึ้นมาใหม่ เหมือนใครบางคนที่ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว แต่ยังมีเงาของมันขึ้นมาขัดขวางทุกอย่างที่เขาต้องการ!
*******
ดวงไฟหลายสิบหมื่นแสนล้านดวงแข่งกันส่องสว่างขึ้นมาไล่ความมืดที่ปกคลุมไปทั่วเมืองแฟชั่น หญิงสาวที่นั่งจมอยู่กับงานวางปากกาในมือ ยกปลายนิ้วขึ้นกดขมับแล้วขยับมาบีบสันจมูกเพื่อผ่อนคลายสมองและสายตา ที่ใช้มาหลายชั่วโมง ก่อนจะหันไปมองโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ชื่อเพื่อนรักปรากฏให้เห็นบ่งบอกว่ามาถึงแล้ว จึงยิ้มออกมา แล้วเริ่มเก็บงานบนโต๊ะจัดวางให้เรียบร้อย ก็หยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพาย เดินออกจากห้องทำงานมาเจอเพื่อนที่รออยู่ด้านล่างทันที

เควินที่นั่งรออยู่บนโซฟาตรงล็อบบี้ของอาคารอัลโตนิโอ เปิดยิ้มให้เพื่อนสาวทันทีที่เห็น พลางลุกเดินไปหา จนมาหยุดยืนตรงหน้าก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“งานเยอะเหมือนเคยละซิ หน้าถึงได้อิดโรยขนาดนี้”

“ก็ธรรมดา ทิ้งไปหลายวันก็อย่างนี้แหละ”
“ธรรมดาเหรอ”

คำถามที่พอจะรู้อะไรๆของเควิน ทำให้พรีมาดานิ่งไปนิด ก่อนจะรับคำ “อืม แต่อย่าพูดถึงมันเลย ทำเพื่อเงิน เพื่อเอามาเลี้ยงตัว ไม่ให้อดยาก พรีมชินแล้ว”

เพื่อนหนุ่มยิ้มกับคำว่าชิน แต่ในใจนั้นเป็นห่วงเพื่อนรักไม่น้อย เพราะนอกจากจะเหนื่อยกายกับงานมากมายแล้ว ยังต้องมาหน้าชื่นอกตรมกับเรื่องหัวใจของตัวเองอีก เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจับแขนให้เดินตรงไปที่ประตูทางออก พลางถามถึงหญิงสาวอีกคนที่เขารู้จักแต่ไม่สนิท

“เจ้าหญิงเป็นไงบ้าง หลังงานหมั้น ก็ไม่ได้ค่อยได้เจอ สื่อก็ไม่ค่อยได้ออก”

“สบายดี”

คำตอบสั้น จนเควินต้องปรายตามอง “ยังแสลงใจอยู่เหรอ”

“ถามเหมือนไม่รู้จัก”

“รู้ แต่ไม่แน่ใจไง เพราะเรื่องแบบนี้มันเป็นแผลที่กลัดหนองมองไม่ค่อยเห็น”

“มีแต่แผล ไม่มีหนองแล้วล่ะ”

“เยี่ยม” เควินชมพร้อมกับยกหัวแม่มือให้ ขณะก้าวผ่านประตูอาคารออกมา ก็หยุดชะงักเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินมาหาพร้อมชายหนุ่มที่มีดอกไม้ช่อใหญ่อยู่ในมือ ทั้งสองคนปรายตามองหน้ากันและยืนรอกระทั่งทั้งคู่เดินมาหยุดยืนตรงหน้า แจ้งความประสงค์ให้รู้แล้วเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ขอตัวกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ส่วนคนที่ถือดอกไม้อยู่ในมือ ก็ยื่นมาให้พรีมาดาพร้อมกับบอกว่า

“ดอกไม้ของคุณครับ มีคนให้ทางร้านเราจัดส่งมาให้”

“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่รับ ฝากส่งคืนเจ้าของด้วยค่ะ”

คนส่งดอกไม้ได้แต่ทำหน้าแปลกใจ ขณะที่เควินอมยิ้ม ก่อนจะบอกว่า “ผมรับให้เอง ขอบคุณครับ” เขารับดอกไม้มาถือไว้ เซ็นชื่อรับให้คนส่ง ซึ่งก็ขอตัวกลับทันที

เควินดูโพสการ์ดที่ติดมา แต่ไม่มีชื่อคนส่งนอกจากชื่อเพื่อนสาว “รู้หรือเปล่าว่าใครส่งมาให้” เขาถามพลางมองอย่างสงสัย

“ไม่”

“แล้วไม่สงสัยเหรอว่าดอกไม้ทั้งหอมทั้งสวยแถมแพงขนาดนี้ เป็นของใคร หรือมีใครแอบชอบเธออยู่”

“ไม่”

เควินทำหน้างงๆปนขำๆ เพื่อนรักที่มีท่าทาง ‘ไม่’ อย่างที่บอกจริงๆ เพราะไม่เหลือบมอง ไม่สนใจจริงๆ เดินตัวตรงไปที่รถของเขา ที่ต้องนั่งแท็กซี่กลับไปเอามา หลังจากรถเพื่อนหาย แล้วเลิกสนใจดอกไม้ เดินตามไปที่รถ เปิดประตูด้านคนขับเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยเรียบร้อยแล้วก็วางช่อดอกไม้ไว้ที่เบาะหลัง จากนั้นก็ขับรถออกจากอาคารอัลโตนิโอ

รถวิ่งไปบนถนนที่มีแสงไฟส่องสว่างไปตลอดทาง เสียงเครื่องยนต์ดังแทรกความเงียบภายในรถขึ้นมาเบาๆ บางครั้งคนขับก็ปรายตามองเพื่อนสาวที่นั่งมองริมทางไปเรื่อยๆ ก็ถามขึ้นเบาๆ

“แล้วเรื่องรถที่หายไป จะแจ้งความหรือจะทำยังไงต่อไป”

“ทำทาน”

“โอ แม่แสนดี นางซินเดอเรล่าของฉัน ใจดีไม่เคยเปลี่ยน แล้วรู้หรือเปล่าว่าใครเอาไป”

พรีมาดายิ้มขำคำประชดเบาๆของเพื่อน แต่ไม่ตอบว่าใครขณะที่สมองมีใบหน้าคมของหนุ่มพเนจรผุดขึ้นมาให้ใจนั้นขุ่นมัว จากนั้นก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก กระทั่งเควินขับรถมาถึงโรงแรมหรู จอดรถเรียบร้อย ก็ลงจากรถไปขึ้นลิฟต์ที่พาขึ้นไปยังร้านอาหารสุดแพง เพราะอยู่บนชั้นดาดฟ้าที่สามารถมองเห็นไฟที่ประดับประดาอยู่ทั่วเมืองแฟชั่น

เควินยกมือขึ้นแตะเอวพรีมาดา พาเธอเดินไปยังโต๊ะที่จองไว้ โดยไม่รู้ว่าการกระทำของเขาสะท้อนเข้าไปอยู่ในสายตาของใครหลายคน เพราะมีคนรู้จักดีไซเนอร์คนดังอยู่ไม่น้อย ส่วนคนที่ไม่รู้จักก็มองมาอย่างต่างความคิดกันออกไป ทั้งชื่นชม อิจฉา และเฉยเมย

“เธอชื่อพรีมาดาเป็นลูกเลี้ยงในตระกูลอัลโตนิโอ ที่กุมธุรกิจใหญ่ๆในเมืองนี้ไว้หลายแห่ง”

เสียงที่ดังขึ้น ทำให้คนที่นั่งตรงโต๊ะที่มีพุ่มไม้บัง และกำลังมองหญิงสาวด้วยความสนใจ ดึงสายตากลับมามองหน้าคนพูด แรกนั้นแปลกใจแล้วหายไป เพราะรู้อยู่ว่าตัวเองกำลังอยู่กับใคร

“มันเป็นเรื่องที่ไม่เปิดเผยของคนในสังคม แต่ไม่ใช่วงการมาเฟีย เธอเป็นลูกติดของคุณนายอัลโตนิโอ ก่อนจะมาแต่งงานกับนายริคาร์โด ที่สำคัญแม่ของเธอเป็นคุณนายนอกทะเบียน อีกอย่างเธอเป็นคนไทย และเพิ่งมีความสัมพันธ์กับม็อตต้า”

พรตปรายตาไปมองหญิงสาวที่ถูกพูดถึงอีกครั้ง และไม่ยอมบอกนายมาเฟียว่าก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเธอคือตัวชี้เป้า “หมายความว่าไง”

“น้องสาวต่างพ่อของเธอ ชื่อแพทิเซีย เพิ่งหมั้นกับอดัม เด ม็อตต้า ก่อนวันที่เพื่อนคุณจะตายไป แต่ที่ตลกร้ายคือนายอดัมนั้นเคยเป็นคนรักของเธอมาก่อน”

พรตนิ่งไปเพราะเป็นเรื่องใหม่ที่เขาเพิ่งรู้และอเล็กซ์ก็ไม่เคยพูดถึง แล้วนึกถึงคืนที่เขาเจอเธอริมทะสาบ มุมปากเขายกขึ้นหยันเมื่อพอจะเดาสาเหตุที่ทำให้เธอเมา และครั้งสุดท้ายที่เขาเจอเธอที่สุสาน ก็คงไปงานศพอเล็กซ์ในฐานะคนในตระกูลของเธอ “แล้วตอนนี้ละ เธอเป็นคู่ควงใคร ใครเป็นคู่ควงเธอ”

“เท่าที่รู้ สถานะตอนนี้โสด แต่คงไม่นานเพราะมีหนุ่มมารอคิวเพียบ แถวนี้ก็มีคนหนึ่งแล้ว มองไม่วางตาเชียว” เสียงตอนท้ายสะบัดใส่ จนพรตคันบาทาอยากจะแตะไอ้กระเทยควายให้มาดแมนอีกสักที แต่รู้ดีว่าแตะให้ตายก็เปลี่ยนใจกระเทยไม่ได้แล้ว

“แล้วผู้ชายที่นั่งอยู่ด้วยกันละ”

“ไม่รู้สถานะ แต่ถ้าไม่ใช่ไม้ประดับก็คงเป็นไม้กันหมา เพราะเขาเด่นดังในวงการดีไซเนอร์และวงสังคมไม่น้อย”

“แล้วทำไมไม่คิดว่าเป็นคิวแรกของเธอละ”

ไมค์ยักไหล่อย่างไม่รู้ แล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มสีสวยมาดื่ม แต่สายตามองไปที่ชายหนุ่มที่นั่งยิ้มแย้มอยู่กับหญิงสาว เพราะมีความไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง พรตเองก็เช่นกัน สายตาเขายังแวะเวียนไปมองใบหน้างามอยู่บ่อยๆ และไม่แปลกใจที่นายมาเฟียจะรู้เรื่องของเธอ เพราะตอนนี้ใครที่เกี่ยวข้องกับเขาและตระกูลม็อตต้า คงตรวจสอบข้อมูลมาหมดแล้ว

เขามองแก้วเหล้าในมือ พลางคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หลังจากย้ายไปอยู่เซฟเฮาส์ของพวกมาเฟีย เขาถูกแนะนำให้รู้จักกับทุกคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้น แต่ละคนดูนิ่งและร้ายลึกสมอาชีพ จากนั้นไมค์ก็พาเขาออกมาทานอาหารที่นี่ ทั้งๆที่เขายังเจ็บตัวอยู่

‘เลี้ยงปลอบใจ’

นั่นคือประโยคที่นายมาเฟียบอก แต่จริงๆแล้วเขาคิดว่ากำลังถูกทดสอบความอดทนมากกว่า ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้เขาอ่อนแอลงหรือเข้มแข็งขึ้น พรตคิดและนั่งดื่มไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง

“เธอจะไปแล้ว”

“ช่าง”

“ปากกับใจช่วยตรงกันหน่อย”
เสียงเปรยขึ้นเพราะคำพูดกับสายตานั้นไปคนละทาง พรตจึงต้องเก็บบัญชีหมั่นไส้กระเทยไว้อีกดอก แล้วมองผ่านพุ่มไม้ที่เขานั่งอยู่เห็นร่างอรชรยืนเคียงข้างชายหนุ่มชัดเจน ภาพลักษณ์ภายนอกดูเหมาะสมกันมาก แต่ภายในใจช่างเกะกะสายตาเขาเหลือเกิน เขามองกระทั่งทั้งสองคนเดินออกไปจากร้าน ก็ลุกขึ้นเดินตามไป โดยที่ไมค์ทักท้วงไว้ไม่ทัน จึงรีบจ่ายค่าอาหารก่อนจะตามออกไป
*******
เควินพาพรีมาดาเดินลงบันไดไปข้างล่างที่เปิดเป็นผับ เพื่อฟังเพลงให้ผ่อนคลายและทักทายเพื่อนนิดหน่อยก็จะพากลับ ภายในผับบรรยากาศดูเรียบหรูและน่านั่ง แสงไฟสีส้มทำให้โรแมนติกเข้ากับเพลงเพราะๆที่เปิดให้เคลิ้ม คนมีคู่ก็ดูกระนุ้งกระนิ่ง คนไร้คู่ก็ห่อเหี่ยวและเหลียวหากันไป ส่วนคนอื่นๆก็แล้วแต่อารมณ์จะพาไป

พรีมาดาเดินตามเพื่อนเข้ามานั่งที่โซฟานุ่มมุมด้านใน ซึ่งก็เทคแคร์ดูแลเธอด้วยการสั่งเครื่องดื่มมาให้ ก่อนจะบอกใบ้ว่าขอตัวไปทักทายเพื่อน เธอพยักหน้าว่าตามสบาย เควินจึงผละไป ระหว่างรอเครื่องดื่มเธอก็กวาดตามองไปรอบร้าน บรรยากาศที่สบายๆทำให้ผ่อนคลายได้จริงๆ แต่แล้วลมหายใจก็สะดุดหยุดหายไปเสี้ยววินาที เมื่อเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งยืนคลอเคลียกันอยู่หน้าร้าน แค่นั้นยังไม่พอทั้งคู่ยังจูบกันอย่างดูดดื่มด้วย

ริมฝีปากแย้มออกหยันตัวเองที่บอกว่าไม่เป็นไรแต่ใจรู้สึกเจ็บกับภาพที่เห็น เขาเป็นคู่หมั้นกัน จะกอดจูบกันก็ไม่เห็นแปลก ที่แปลกก็คือเธอที่ยังไปรู้สึกกับคนที่ทำร้ายใจเธออยู่ได้ แล้วสูดลมหายใจให้ความเจ็บผ่อนคลายลง

“เห็นแล้วใช่ไหม”

เสียงที่ดังขึ้น ทำให้พรีมาดากะพริบตาเรียกสติกลับมา แล้วดึงสายตามามองเพื่อนหนุ่มที่เดินกลับมายืนอยู่ข้างเธอเมื่อไรไม่รู้ ก็ถามขึ้นด้วยเสียงเรียบๆว่า “นี่คือคำตอบใช่ไหม”

“ใช่ คำตอบของคำถามที่เคยค้างคาอยู่ในใจไง ว่าพวกเขาหมั้นกันได้ยังไง”

“แค่นี้เหรอ”

“ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ ต้องตามไปดู” พรีมาดาเมินหน้าหนีเหมือนไม่สนใจ แต่เควินไม่ยอม เขาจับหน้าเธอให้หันไปมองพร้อมกับบอกว่า

“มองเสียให้เต็มตา แผลที่เป็นอยู่จะได้หายเสียที”

“ไม่มีประโยชน์”

“ใครบอก ของอย่างนี้หนามหยอกต้องเอาหนามบ่ง และนั้นพวกเขาพากันเดินไปแล้ว ตามไปเถอะ ถึงแผลจะไม่หายทันทีแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยไว้โดยไม่รักษา”
พรีมาดาเม้มริมฝีปากคล้ายจะดื้อดึง แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้นเดินตามคู่รักที่เดินโอบกอดกันไป โดยไม่สนใจจะมองใคร ใครที่คอยตามเธออยู่เหมือนกัน!

เควินมองตามไปแต่ไม่ตามไปด้วย เพราะรู้ว่าเพื่อนรักเข้มแข็งพอ และอยากให้เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอมากกว่า แล้วเดินกลับไปหาเพื่อนอีกคนที่หาข่าวนี้มาให้เขา แต่จังหวะที่หมุนตัวก็ชนกับร่างสูงของใครคนหนึ่ง ที่ทำให้ใจเขาเต้นแรงขึ้นมา
********
แพทิเซียเดินตามคู่หมั้นหนุ่มเข้ามายืนในลิฟต์ที่ไม่มีใคร สีหน้าติดจะกังวลเพราะรู้ว่าเขาจะพาเธอไปที่ไหน ทั้งๆที่วันนี้ก็อยู่กับเขาแล้วทั้งวัน ใจหนึ่งเธอก็อยากจะปฏิเสธ แต่อีกใจก็ไม่อยากปฏิเสธ เพราะกว่าเธอจะได้เขามาเป็นคู่หมั้น เธอต้องอดทนรอคอยมานาน การขัดใจเขาจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เธอคิดหนัก

“เป็นอะไร หรือไม่อยากอยู่กับผม” อดัมถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเธอจะเงียบไป

“เปล่าค่ะ เพียงแต่แพทรู้สึกว่าดึกแล้ว กลัวคุณแม่เป็นห่วง” เธอบอกแต่ไม่กล้าสบตาชายหนุ่มมากนัก เพราะกลัวเขาจะเห็นความอึดอัดของเธอ แต่อดัมก็ยังเห็น จึงกระชับอ้อมแขนที่กอดเธอไว้ พลางปลอบเพื่อความต้องการของตัวเองว่า

“คุณไม่ใช่เด็กแล้วนะ โตแล้ว อีกอย่างท่านรู้ว่าอยู่กับผม คงไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าคุณไม่สบายใจ ผมโทร...” อดัมลองหยั่งเชิงเพราะยังอยากมีเธอไว้คลายเหงาและคลายความเจ็บปวดที่เก็บงำไว้ในใจ และก็ได้ผล เมื่อเธอรีบบอกว่า

“ไม่ต้องหรอกค่ะ แพท อยากอยู่กับคุณ” พูดจบเธอก็ยิ้มให้ขณะปัดความรู้สึกที่ต่อต้านอยู่ออกไป

อดัมจึงก้มหน้าลงจูบที่ขมับบอกความดีใจ แต่แววตาไม่ได้มีความรู้สึกดีใจเหมือนดังภาษากายที่แสดงออก เพราะใจเขานั้นยังไม่เคยลืมอดีตคนรัก ยังมีเงาของเธออยู่ในใจเขา ที่สำคัญช่างน่าเสียดายที่เขาไม่รู้อนาคต ถ้าเขาหยั่งรู้สักนิดว่าอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง วันนั้นเขาจะไม่ยอมหมั้นกับผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด
********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2558, 16:49:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2558, 16:49:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 2424





<< ตอน 4   ตอน 6 >>
แว่นใส 13 ก.พ. 2558, 20:23:19 น.
ผู้ชายใจโลเล


Zephyr 18 ก.พ. 2558, 18:46:14 น.
อย่าเสียใจกะคนแบบนี้เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account