ดวงใจพรต (ปรับปรุง)
พรต...ลูกชายป๊ะเพลิงแห่งหุบเขาพญา
จากคุกทมิฬมารับมรดกที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน
แต่...ความโชคดีกลับมาพร้อมหายนะ และเธอที่น่าสงสัย
ความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่จึงปรากฏออกมาอย่างไม่ปราณี
บัญชีนี้...ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต หัวใจต้องชดใช้ด้วยหัวใจ
ดวงใจพรต จึงได้มาพร้อมหยาดน้ำตาและร่างกาย


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 8

ตอน 8
คำประกาศก้องของประธานคนใหม่ทำให้ผู้ถือหุ้นทั้งหมด ปรายตามองหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งไม่แน่ใจ สงสัย และดูถูกว่าเขาจะทำได้หรือเปล่า พรตไม่สนใจว่าสายตาใครจะเป็นยังไง เขายังบอกทุกคนอีกว่า “ผมต้องการข้อมูลคู่แข่งทุกบริษัทและข้อมูลของโครงการนี้อย่างละเอียด ขอเร็วที่สุด ลึกที่สุด ไม่ว่าด้านไหนก็หามาให้มากที่สุด หวังว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือ และใครมีคำแนะนำหรือจะเสนออะไรอีกไหม”

ผู้ถือหุ้นทุกคนหันมองหน้ากันอีกแต่ไม่มีใครพูดอะไร พรตก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง โดยมีทนายกัสโซ่และไมค์เดินตามหลังออกไป ขณะที่ด้านหลังผู้ถือหุ้นทุกคนยังนั่งอยู่ที่เดิมและเริ่มจะคุยกันถึงประธานคนใหม่

“ผมได้ข่าวมาว่าเขาสนิทกับคุณอเล็กซ์พอสมควร แล้วคุณอดัมรู้จักเขามากแค่ไหนครับ” หนึ่งในผู้ถือหุ้นถามขึ้น และข้อมูลนี้ก็ทำให้ทุกคนสนใจมองมาที่เขาเป็นตาเดียวกัน

“ก็รู้พอๆกับพวกคุณ” อดัมบอกพลางสบตาที่มองมา “เพราะเขาได้รับการโอนหุ้นมาไม่นาน มาหาอเล็กซ์ก็ไม่กี่ครั้ง และผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเหมือนกัน”

“เขาจะดีแต่ปากหรือจะเก่งเหมือนปู่เขา” มีเสียงกังขาดังขึ้นมาให้หลายคนคิดถึงชีคอิลาอัลล์ ซึ่งเก่งและมีอิทธิพลพอสมควรในดินแดนน้ำมัน

“ก็ต้องดูกันต่อไป แต่ด้วยทรัพย์สมบัติที่เขามี รวมกับความมั่นคงของม็อตต้า เขาอาจจะทำได้ก็ได้”

“ใช่ แต่เขาจะทำยังไงกับอัลโตนิโอที่เกี่ยวข้องกันอยู่ จะเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันเหมือนเดิมหรือจะเปลี่ยนเป็นคู่แข่ง”

คำถามนี้ทำให้ทุกสายตาพุ่งตรงมาที่อดัมอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ไม่มีคำตอบให้เพราะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน สายตาทุกคนจึงเข้าใจและเห็นใจเขา ที่ต้องมาอยู่ตรงกลางระหว่างธุรกิจและหัวใจ และคิดว่าต้องรอดูการติดสินใจของประธานคนใหม่ว่าจะตอบเรื่องนี้กับทุกคนว่ายังไง จากนั้นก็ทยอยกันเดินออกจากห้องประชุมไป

เดวิดเดินตามทุกคนไปเป็นคนสุดท้าย แววตาเขาครุ่นคิดอะไรหลายอย่างแล้วก้าวเร็วๆไปเดินเคียงข้างอดัมพูดให้ได้ยินแค่สองคนว่า “คุณจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นของเขาจริงๆเหรอ”

อดัมหยุดเท้าของตัวเองแล้วหันมาสบตากับเดวิด ก่อนจะถามออกมา “ดูคุณจะสงสัยเกี่ยวกับตัวผมมากเหลือเกิน มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า ผมแค่เสียดายแทนเท่านั้นเอง”
“ไม่จริงมั่ง ผมว่าต้องมีอะไรมากกว่านี้”

อดัมพูดเหมือนจะรู้ทันเดวิด ซึ่งก็ยิ้มให้เหมือนจิ้งจอกที่มีแต่เล่ห์เหลี่ยม เพราะรู้ดีว่าอดัมนั้นถ้าไม่ได้เกิดในตระกูลใหญ่ มีพี่ชายที่เก่ง ก็คงไม่เป็นโล่เป็นพาย ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำอะไรที่โชว์ความสามารถตัวเองเลย นอกจากใช้เงินใช้ชีวิตที่หรูหรา กินเที่ยวอย่างสำราญเท่านั้นเอง

“แล้วคุณสนใจหรือเปล่าละ”

“คุณก็ลองเสนอมาก่อนซิ”

“ฮะๆๆๆ” เดวิดหัวเราะออกมาอย่างสมใจ เมื่อคำตอบเหมือนจะยอมรับคำท้า แต่ยังไม่พูดอะไรมากไปกว่ายกมือขึ้นตบบ่าอดัมเบาๆ แล้วเดินจากไป ทิ้งให้อดัมขบฟันอย่างไม่พอใจ พลางคิดสงสัยเดวิดเหมือนกันว่าที่พูดออกมานั้นกำลังจะทำอะไร

ทนายกัสโซ่พาประธานคนใหม่มายังห้องทำงานที่ได้สั่งให้คนจัดเตรียมไว้ให้ แต่พรตกลับขอใช้ห้องทำงานเดิมของ อเล็กซ์ เพียงก้าวเข้ามายืนอยู่กลางห้อง ภาพความทรงจำในวันวานก็ผุดขึ้นมาภาพแล้วภาพเล่า ก่อนจะกะพริบตาเมื่อภาพสุดท้ายที่จำได้ คืออุบัติเหตุที่ทำให้ต้องจากไปอยู่คนละโลก และเขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้แทน

พรตผ่อนลมหายใจลดความเศร้าในใจออกมา แล้วหันมามองนายมาเฟียที่ยืนสังเกตทุกอย่างอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนจะหันมามองทนายกัสโซ่ ซึ่งบอกเขาว่า

“คุณต้องการจะเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ ทุกอย่างที่เป็นอยู่ก็ดีแล้ว”

“แต่ถ้าต้องการอะไร คุณแจ้งเลขาหน้าห้องได้เลย หรือจะติดต่อผมโดยตรงก็ได้ ผมยินดีตลอดเวลา”

“ขอบคุณครับ”

ทนายกัสโซ่ก้มหน้าให้เพียงนิด ก็เดินออกจากห้องไป ไมค์ปรายตามองตามหลังไปจนกระทั่งประตูห้องปิดสนิท ก็ก้าวไปล็อกประตูแล้วตรวจเช็กรอบห้อง จนแน่ใจว่าห้องนี้ไม่มีเทคโนโลยีใดๆที่จะรู้ความเคลื่อนไหวของทายาทแห่งเพลิงพญาแล้ว ก็เดินมาหยุดยืนอยู่กลางห้อง ขณะที่พรตก็เดินไปยืนกอดอกพิงโต๊ะทำงานทอดสายตามองมาแล้วถามขึ้น

“คิดว่าไง”

ไมค์ทบทวนเรื่องที่ถามเพียงอึดใจก็รู้ว่าหมายถึงเรื่องที่ได้ทำลงไปในห้องประชุม “คุณเปิดเรื่องเร็วเกินไป”
“แล้วจะช้าอยู่ทำไม การนิ่งเฉยไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น สู้วางเหยื่อให้เสือออกมาตะครุบ ไม่ดีกว่าคาดเดาหรือสุ่มหาไปเรื่อยๆแบบนี้เหรอ”

“มันก็จริง แต่เรายังไม่รู้ว่าคนที่ทำจะเป็นหนึ่งในพวกเขาหรือไม่ อีกอย่างเราจะกลายเป็นเป้าให้พวกเขาเล่นงานทันที”

“นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ เพราะถ้าใครคนใดคนหนึ่งลุกขึ้นมาทำร้ายฉัน แสดงว่ามันต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของอเล็กซ์แน่นอน”

“คุณคิดง่ายอีกแล้ว” เสียงไมค์ติงออกมา “เพราะบางทีการที่มีใครสักคนลุกขึ้นมาหมายหัวคุณ ไม่ได้หมายความว่าจะเกี่ยวกับอุบัติเหตุนั้นเสมอไป แต่อาจจะเกี่ยวกับส้มที่หล่นอยู่บนหัวคุณก็ได้ เพราะความหอมหวานของมันทำให้ใครๆก็อยากกิน จนต้องช่วงชิงและไม่สนใจวิธีการขอให้ได้มาเป็นพอ”

พรตนิ่งไป เมื่อคิดว่านายมาเฟียพูดถูก เขาไร้ความรอบคอบ ใจร้อน เพราะอยากจะหาสาเหตุของการตายของอเล็กซ์ให้เร็วที่สุด แต่เขาก็ยังมีข้อกังขาอยู่ดี “แล้วนายไม่คิดว่ามันเกี่ยวกันบ้างเหรอ ทั้งคนที่อยากกินส้มและอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นคนๆเดียวกันทำก็ได้”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณอาจจะทำถูก แต่ไม่ฉลาดเลย อย่างที่บอกอันตรายจะพุ่งมาที่คุณมากขึ้น”

“ฉันเชื่อว่านายจะดูแลฉันได้ ฉันมั่นใจในตัวนาย”

“อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ” เสียงไมค์เตือนให้รู้ถึงความเป็นจริงที่พบเจอได้บ่อยๆ “เพราะไม่มีใครจะดูแลเราได้เท่ากับตัวเราเอง”

พรตนิ่งไปก่อนจะยิ้มเมื่อคิดไปถึงนายมาเฟียใหญ่ที่พูดกับเขาไว้ไม่ต่างจากที่ไมค์พูด แล้วยังบรรดาลุงๆ ผู้คุมกฎที่คุกทมิฬอีกทุกคนก็พูดไม่ต่างกัน “ขอบใจที่เตือน แต่ไม่ต้องห่วงเพราะฉันรู้อยู่แล้ว”

“แล้วคุณคิดยังไงกับอีชากรุ๊ป”

“น่าสงสัย”

ไมค์เลิกคิ้วขึ้นถามเพื่อให้ขยายความออกมา แล้วก็ได้ดังใจ เมื่อมีเสียงพูดขึ้น

“ไม่ว่าใครที่ต้องการครอบครองโครงการน้ำมันนั้น ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง เพื่อให้ได้มันมาอยู่ในมือ และคิดง่ายๆจากตรรกะเดิมที่เราเคยคุยกัน เมื่อไม่มีคู่แข่งที่สำคัญแล้วมันจะไปไหนเสีย จริงมั๊ย”

“แสดงว่าอัลโตนิโอก็ไม่พ้นจากข้อหานี้ด้วย”

“ใช่ แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และทายาทของสองตระกูลเกี่ยวดองกันแล้วก็ตาม แต่เงินทองแม้จะเป็นของนอกกายแต่มันทำให้ร่างกายมีความสุข เพราะสามารถเนรมิตอะไรก็ได้ ทุกคนจึงไขว่คว้าให้ได้มา ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี”

“ทั้งที่ความจริงไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว”

“ใช่ เมื่อก่อนวัตถุเป็นทาสของใจ แต่เดี๋ยวนี้ใจเป็นทาสของวัตถุ คนจึงต้องการกันมากเหลือเกิน”

ไมค์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะเห็นมามากมายแล้วเช่นกันนั่นเอง ความจริงทุกคนก็รู้ว่าความสุขที่แท้จริงของคนเรานั้นอยู่ที่ใจ แต่น้อยคนที่จะข่มความอยากมีอยากได้ของตัวเองได้สำเร็จ “ถ้าสมมุติว่าเราสืบจนรู้ว่าอัลโตนิโอเกี่ยวข้องกับการเพื่อนคุณตายจริงๆ คุณจะทำยังไง”

พรตนิ่งไปกับคำถามนี้ เพราะยังไม่ได้คิด อีกอย่างที่เขาไม่คิดไว้ก็เพราะไม่อยากกดดันตัวเองเพื่อให้มีอคติกับอัลโตนิโอเกินไป รอให้เรื่องมันเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา แล้วเขาคงบอกตัวเองได้ว่าจะทำยังไง
*******
ด้านหน้าอาคารเด ม็อตต้า รถยนต์คันหรูวิ่งเข้ามาจอดนิ่งสนิทเทียบบันไดทางเข้า ซาก้าคนขับรถรีบเปิดประตูลงจากรถ มาเปิดประตูให้นายหญิงทั้งสองคน ซึ่งก็ลงมายืนอยู่ข้างรถทันที พรีมาดาปรายตามองแพทิเซีย น้องต่างพ่อที่เธอต้องพามาที่นี่ตามคำสั่งคนเป็นแม่ เพียงแวบเดียวแล้วบอกว่า

“พี่จะไม่เข้าไปนะ จะไปทำงานแล้ว”

“เข้าไปเป็นเพื่อนแพทหน่อยได้ไหมคะ” เธอบอกอย่างไม่ค่อยมั่นใจพลางมองอย่างขอร้อง

“เธอไม่ใช่คนอื่นคนไกลสำหรับเขาแล้ว ทำไมพี่จะต้องเข้าไปเป็นเพื่อนด้วย”

“แต่แพทไม่รู้ว่าจะพูดกับเขายังไง เรื่องที่จะขอมาทำงานที่นี่”

“บอกเขาไปตรงๆก็จบ”

“เขาเป็นคนอย่างนั้นหรือคะ”

พรีมาดามองเข้าไปนัยน์ตาของน้องต่างพ่อ ราวกับจะอ่านให้ออกว่าคิดอะไรอยู่ หรือต้องการอะไรกันแน่ ถึงได้ถาม เพราะคำพูดนั้นทำให้เธอคิดได้หลายอย่าง “ใช่ ไปเถอะ อีกอย่างพี่เจ็บเท้า เดินไม่ค่อยสะดวก เกะกะเธอเปล่าๆ” พูดจบก็จะขึ้นรถ แต่...

“คุณแม่”
เพียงแค่นี้พรีมาดา ก็ต้องข่มความเจ็บเดินแบบขัดๆนำหน้าไป เพราะไม่อยากทะเลาะกับคนเป็นแม่อีก แพทิเซียหน้าเจื่อนเหมือนรู้สึกผิดที่ต้องเอาแม่มาอ้าง แต่เธอไม่รู้จะเริ่มต้นพูดกับคู่หมั้นยังไงจริงๆ แล้วเดินตามคนเป็นพี่เข้าไป
*******
ประชาสัมพันธ์สาวสวยต้อนรับทั้งคู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วรายงานให้เจ้านายทราบ ไม่นานร่างสูงของอดัมก็เดินลงมารับด้วยตัวเอง เขาเปิดยิ้มให้ทั้งสองสาวแต่สายตาคอยมองแต่อดีตคนรัก ให้คู่หมั้นคนปัจจุบันรู้สึกเจ็บปวด

แพทิเซียสอดปลายนิ้วประสานกับมือเขาพร้อมยิ้มให้ อดัมจึงเหมือนจะรู้สึกตัว เขาหันมามองเธอทันที แล้วพาทั้งคู่ไปยังห้องทำงานของตัวเอง แต่ท่าทางการเดินที่ดูจะขัดๆของอดีตคนรัก ทำให้เขาต้องบีบมือคู่หมั้นไว้เพื่อเป็นปราการไม่ให้หันไปสนใจเธอเกินไป

กระทั่งเดินเข้ามานั่งอยู่ในห้องทำงาน พรีมาดาก็พูดเรื่องที่เธอต้องมาเหยียบที่นี่ โดยไม่มีการเกริ่นอะไรทั้งสิ้น “แพท อยากจะมาทำงานกับคุณ ช่วยดูแลหน่อยนะ ขอตัว” พูดจบเธอก็จะลุกขึ้นเดินจากไป เพราะรู้สึกทนไม่ได้กับการหลอกลวงของทั้งคู่ แต่...

“เดี๋ยวซิคะพี่พรีม คืออดัมเขายังไม่...” แพทิเซียอึกอักเพราะเกรงใจ พรีมาดาจึงต้องเป็นฝ่ายจบให้อีก

“คุณจะตกลงหรือเปล่า”

อดัมยิ้มให้ก่อนจะบอกว่า “ตกลงซิครับ คู่หมั้นขอมาทั้งที ผมจะไม่ตกลงได้ยังไง”

“แต่แพทไม่เคยทำงานอื่นเลยนะคะ นอกจากช่วยคุณพ่อกับคุณแม่ด้านงานการกุศลเท่านั้น ส่วนงานบริษัทแพทแทบจะไม่เคยทำเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เป็นคู่หมั้นผมก็มาเป็นผู้ช่วยผมก่อนก็แล้วกัน”

แพทิเซียยิ้มเขินแต่ดวงตาเปิดเปลือยความรู้สึก ที่อยากจะเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนเขาโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงเดี๋ยวเดียวที่คิดได้ว่าไม่ได้อยู่กันตามลำพัง ก็รีบกะพริบตาให้หายไปเพราะกลัวคนเป็นพี่รู้ว่าเธอไวไฟเป็นของเขาไปแล้ว โดยไม่รู้ว่าสิ่งเธอปิดนั้น ไม่ได้เป็นความลับสำหรับพรีมาดาแล้ว และเบือนหน้าหนีอย่างสมเพช และทั้งคู่ก็เหมือนจะลืมเธอไป

“เริ่มวันนี้เลยนะครับ เพราะประธานคนใหม่ก็มารับตำแหน่งวันนี้เหมือนกัน ผมจะพาไปแนะนำให้รู้จัก”

“จะดีเหรอคะ”

“ดีซิ ไปครับ”

“ฉันขอตัวนะคะ” พรีมาดาขัดขึ้น แล้วจะเดินออกมา แต่แพทิเซียรีบเข้าไปกอดแขนพลางบอกว่า

“พี่พรีมไปด้วยกันนะคะ เดี๋ยวเดียวเองคะ นะคะ”

เสียงอ้อนนั้นไม่ได้ทำให้พรีมาดาใจอ่อน แต่รู้สึกเบื่อหน่าย อยากจะปลดมือน้องต่างพ่อออก แต่รู้ดีว่าถ้าทำอย่างนั้นเรื่องที่ได้รับคำสั่งมาไม่จบแน่นอน จึงเดินตามคนทั้งคู่มาจนถึงห้องของประธานคนใหม่ อดัมเคาะประตูเป็นเชิงขออนุญาต พอได้ยินเสียงตอบ เขาก็จับข้อศอกคู่หมั้นสาวให้เดินเข้าไปด้วยกัน โดยมีพรีมาดาเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้

เจ้าของห้องกับคนสนิทมองคนที่เดินเข้ามา แต่ใครก็ไม่สามารถเรียกความสนใจจากทั้งคู่ได้เท่ากับหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังคนทั้งสองคน ซึ่งเธอก็ชะงักไปนิด เมื่อเห็นว่าหนุ่มพเนจรที่เคยรู้จักกลายเป็นประธานของบริษัทม็อตต้า ขณะที่พรตก็ปรายตามองหน้าไมค์อย่างรู้กัน แล้วลุกจากเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน เดินออกมาต้อนรับทั้งหมด

“ขอโทษนะครับที่เข้ามารบกวน” เสียงอดัมดังขึ้น พรตยิ้มอย่างไม่เป็นไร และได้รับการแนะนำให้รู้จักหญิงสาวทั้งสองคน “คู่หมั้นผมครับ แพทิเซีย อัลโตนิโอ ส่วนนี่พรีมาดา พี่สาวของเธอ”

“สวัสดีครับ” พรตทักทายเป็นภาษาสากลพร้อมยื่นมือไปทักทาย เหมือนไม่รู้ความเป็นมาของทั้งคู่ แพทิเซียรีบยื่นมือมาจับ พรีมาดาก็ต้องยื่นให้จับตามน้ำ แต่ไม่มีความยินดีในสีหน้าเลย

“สวัสดีค่ะ” แพทิเซียตอบเป็นภาษาไทยเพราะคู่หมั้นหนุ่มเคยบอกว่าเขาเป็นคนไทย “คุณแม่แพทเป็นคนไทยค่ะ” เธอบอกเมื่อเห็นเขาทำหน้าสงสัย

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมคงจะหายเหงาไปได้บ้างเพราะมีคนพูดภาษาเดียวกัน”

แพทิเซียยิ้มอย่างดีใจ แล้วหันมามองคนรักที่บอกว่า “แพทจะมาทำงานที่นี่ เป็นผู้ช่วยผมครับ”

“งั้นเหรอครับ แล้ว...” พรตปรายตามามองหญิงสาวอีกคนที่ยืนนิ่งเหมือนหุ่นยนต์ “คุณสนใจจะทำด้วยหรือเปล่าครับ”

“เธอมีงานประจำทำอยู่แล้วครับ”

อดัมตอบเร็วจนแพทิเซียรู้สึกถึงความหวงในน้ำเสียง ขณะที่พรีมาดาไม่อาจจะทนต่อความสับปลับหลอกลวงของใครได้อีก ก็พูดขึ้นอย่างไม่สนใจใครว่า

“ขอก่อนนะคะ”

“เดี๋ยวซิคะ” แพทิเซียรีบหันไปตะครุบแขนคนเป็นพี่ไว้ เพราะภาพวันก่อนที่เธอเห็นในกระจกผุดขึ้นมาบวกกับความรู้สึกที่คู่หมั้นยังตัดใจจากคนเป็นพี่ไม่ได้ ทำให้เธอบอกว่า “เท้าพี่พรีมยังเจ็บอยู่เลย แพทขอให้พี่พรีมนั่งพักที่นี่ก่อนได้ไหมคะ”

ทุกคนหลุบสายตามองเท้าเธอ แต่พรีมาดามองหน้าน้องต่างพ่ออย่างไม่พอใจ แต่เธอไม่ทันจะพูดอะไร เจ้าของห้องก็เชิญด้วยความเต็มใจ

“ได้ครับ”

“ขอบคุณค่ะ” แพทิเซียยิ้มให้อย่างขอบคุณจริงๆ แล้วขอให้คู่หมั้นพาเธอไปดูห้องทำงาน อดัมจึงต้องพาเธอออกไปจากห้อง ทั้งที่ไม่อยากไปเพราะใจห่วงใยอดีตคนรัก

พรีมาดาข่มความไม่พอใจไว้และจะหมุนตัวจะเดินตามทั้งสองคนออกไป แต่พรตก้าวไปขวางหน้าไว้แล้วจับข้อมือจะดึงตัวเธอให้มานั่งที่โซฟา แต่เธอขืนตัวไว้อย่างไม่ยอม จึงถูกมองอย่างดุๆเสียงก็ห้วนไม่ต่างกัน “อย่าให้ฉันต้องใช้กำลังกับเธอ”

“คุณก็อย่ามาป่าเถื่อนกับฉันซิ”

“ฉันป่าเถื่อนกับเธอตรงไหน แค่จะพาไปนั่งที่โซฟาไม่ได้จะปล้ำมาเป็นเมียเสียหน่อย”

“หยาบคาย”

“หึ” พรตทำเสียงหยันในลำคอ แล้วทำท่าจะอุ้มเธอมานั่งที่โซฟาจริงๆ พรีมาดาจึงรีบดึงแขนออกจากมือเขาแล้วเดินแบบขัดๆมานั่งเอง พรตหมุนตัวมามองใบหน้าที่เชิดขึ้น ก่อนจะหลุบตามองเท้าที่ซ่อนอยู่ในรองเท้า “ยังเจ็บมากหรือเปล่า” เสียงอ่อนลงโดยที่เขาไม่รู้ตัว แต่นายมาเฟียที่ยืนมองอยู่แอบยิ้มออกมาเสียงั้น

“ฉันหายแล้ว”

“แล้วทำไมยังเดินเหมือนเจ็บ หรือว่าสำออย” ท้ายเสียงติดประชด จนพรีมาดามองอย่างเคืองๆ

“ฉันไม่ได้สำออย”

“งั้นก็อ่อยผู้ชาย เมื่อคืนก็คนหนึ่ง แล้ววันนี้ก็คนหนึ่ง แม้จะยากไปนิดเพราะเขามีคู่หมั้นตามประกอบ แต่เขาเคยเป็นคนรักเธอไม่ใช่เหรอ”

พรีมาดามองหน้าคมอย่างตกตลึง คิดไม่ถึงว่านอกจากเขาจะรู้เรื่องที่เธอเกี่ยวข้องกับอัลโตนิโอแล้ว เขายังจะรู้เรื่องนี้ด้วย เขาเป็นใครกันแน่ เธอคิดอย่างสงสัยแต่ปรับสีหน้าให้นิ่งเฉยเพราะไม่จำเป็นที่เธอต้องมาอธิบายอะไรให้เขาฟัง ขณะที่ไมค์ก็รีบหลุบแววตาซ่อนความขำไว้ เพราะคำพูดของทายาทเพลิงพญานั้นจิกกัดยังกับคนที่กำลังหึงหวงคนรักอยู่ และเดินออกจากห้องไปปล่อยให้ทั้งคู่ทะเลาะกันให้สนุก ขณะที่พรตก็รอว่าเธอจะมีคำพูดใดแก้ตัวออกมาหรือไม่ แต่ก็ไม่ จนเขารู้สึกไม่ชอบใจ

“เธอรู้เรื่องการตายของอเล็กซ์แค่ไหน”
“ไม่รู้”

“แน่ใจเหรอ”

เสียงถามเหมือนกำลังสงสัยอะไรอยู่ ทำให้เธอถามออกมาอย่างกังขา เมื่อคืนเขาก็สงสัยเธอเรื่องคนที่มาทำร้ายเขา แล้วเช้านี้ก็มาสงสัยเธอเรื่องนี้อีก มันยังไงกันแน่ “คุณหมายถึงอะไร”

พรตยิ้มเยาะให้เพียงนิด ก็บอกว่า “วันที่เกิดอุบัติเหตุ ฉันเห็นเธออยู่ที่นั้น และวันที่ฝั่งศพเขาเธอก็ไป ทั้งๆที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกัน จะว่าไปในนามอัลโตนิโอก็พอจะฟังได้ แต่หลังจากนั้นเรื่องร้ายๆก็เกิดขึ้นกับฉัน ซึ่งมีเธออยู่ด้วยทุกครั้ง”

“คุณก็เลยจะปรักปรำฉัน คิดว่าฉันเป็นคนทำให้เขาตายอย่างนั้นเหรอ ใช้อะไรคิดไม่ทราบ งี่เง่าที่สุด” เธอว่าสุดโกรธ แต่พรตกลับหยัน

“เปล่า แต่ฉันพูดด้วยเหตุ ที่นำมาซึ่งผล ที่ฉันประมวลได้ ว่าเธอน่าสงสัย”

“แต่ไร้หลักฐาน แล้วมากล่าวหากันลอยๆ แบบนี้เนี๋ยนะ” เธอว่าแล้วยิ้มเยาะกลับไป “การที่ฉันมาเจอคุณฉันก็ซวยมากพอแล้วและต้องมาเจ็บตัวอีก งั้นฉันก็ขอบอกว่าคุณน่าสงสัยที่สุด เพราะตั้งแต่เจอคุณมาก็มีแต่เรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับฉันเหมือนกัน”

“งั้นช่วยบอกว่าซิว่า วันนั้นเธอไปที่นั่นทำไม”

“เรื่องส่วนตัวของฉัน”

พรตเหยียดริมฝีปากออกเพราะพอจะคาดเดาคำตอบเธอได้อยู่แล้ว แต่จะให้เขาเชื่อนั้น เห็นจะยังยากอยู่ เพราะหลายอย่างยังคลุมเครือ แล้วเปลี่ยนคำถามใหม่ “เธอรู้จักอเล็กซ์หรือเปล่า”

“ฉันเคยเจอเขาแค่ครั้งเดียว” พรีมาดาตอบเขาไปตามความจริงแต่ไม่ทั้งหมด เพราะบางเรื่องเขาไม่ใช่คนสำคัญ ไม่ใช่คนในครอบครัว พอที่เธอจะบอก

“ทั้งที่เขาเป็นพี่ชายของอดีตคนรักงั้นเหรอ”

“ค่ะ เพราะฉันไม่มีเรื่องต้องคุยกับเขา”

“แต่ฉันเชื่อว่าผู้หญิงทั้งเมืองอยากคุย เพราะเขาไม่ใช่ผู้ชายที่ใครจะมองข้ามไปได้ง่ายๆ ด้วยรูปลักษณ์ ทรัพย์สมบัติที่เขามี ผู้หญิงที่ไหนก็ต้องอยากรู้จักและเข้าหาเขาทั้งนั้น แถมยังเป็นใหญ่เป็นโตในเมืองนี้ เธอจะไม่รู้จักเขาเลยได้ยังไง ฉันไม่เชื่อ”
“เรื่องของคุณ” เธอบอกอย่างหมดความอดทน แล้วลุกขึ้นยืนเดินไปให้พ้นจากการเป็นจำเลยของเขาเสียที แต่ต้องหยุดยืนนิ่งเมื่อเขาเดินมาดักหน้า และไม่สนใจสายตาของเธอที่มองอย่างไม่พอใจ

“นั่งลง ฉันจะดูเท้าหน่อย”

“ไม่จำเป็น ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว”

“ทำตามที่บอกพรีมาดา”

เสียงต่ำลึกอย่างเอาจริงนั้นทำให้เธอเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจ แต่จากประสบการณ์เมื่อคืนและสายตาเขาที่มองอยู่ขณะนี้ บอกเธอว่าอย่าได้คิดลองดีกับเขา จึงถอยไปนั่งทั้งที่ไม่เต็มใจ พรตสืบเท้าเข้าไปนั่งบนส้นเท้า จับข้อเท้ามาถอดรองเท้าออกจนพรีมาดาเกร็งไปทั้งตัว และใจเต้นกับความใกล้ชิดแบบที่เขาทำเป็นครั้งที่สอง

พรตมองเท้าที่มีพลาสเตอร์ยาติดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องให้เดาเขาก็รู้ว่าคงเป็นไอ้คิวแรกทำให้เธอ แววตาฉายความไม่พอใจ “คนที่ลงมารับและทำแผลให้ เขาเป็นใคร”

พรีมาดาทั้งไม่อยากตอบและอยากจะบอกว่าเป็นคนรัก คนพิเศษ หรืออะไรก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ซื่อสัตย์กับตัวเอง บอกไปว่า “เพื่อน”

“กิน นอน หรือเที่ยว”

“ถ้าคุณตีค่าฉันต่ำขนาดนั้น และตัดสินว่าฉันไม่ดีจากสิ่งที่คุณเห็นเพียงฉาบฉวย ก็ไม่จำเป็นต้องถามฉันก็ได้” เธอว่าพลางดึงเท้าออกจากมือเขา ท่าทีที่โกรธๆนั้นทำให้มุมปากของพรตยกขึ้นยิ้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้น แล้วบอกว่า

“โกรธเหรอ” เขาถามแต่เธอเมินหน้าหนีเหมือนไม่อยากมอง ก่อนจะหันกลับมามองด้วยความงงๆ เมื่อเขาบอกว่า “ฉันเชื่อเธอ”

“คนบ้า” เธอว่าเพราะไม่เข้าใจอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขา และนั่งสบตาคมที่ยังไม่ถอยออกไป จนรู้สึกว่าเขามองเธอนานไปแล้ว ก็ขยับตัวเหมือนจะให้เขาถอยออกไป แต่เขายังนั่งเฉย

“จะกลับแล้วใช่ไหม ฉันจะไปส่ง”

“ฉันมีคนขับรถมา”

“ก็บอกให้กลับไปซิ” พูดจบเขาก็ยืดตัวขึ้นพร้อมจับแขนเรียวดึงตัวให้ลุกตาม โอบเอวเหมือนประคองเธอให้เดินไป พรีมาดาเบี่ยงตัวออกเมื่อรู้สึกว่าเขาใกล้ชิดเธอเกินไปแล้ว แต่ก็แค่นั้น เมื่อเขายังเป็นเขาไม่สนใจว่าเธอจะพอใจหรือไม่ ขอแค่ตัวเองพอใจก็พอ เธอเม้มริมฝีปากอย่างขัดใจ แต่ยังไม่ทันจะเดินออกไปจากห้อง ก็ได้ยินเขาถามว่า
“ทำใจได้หรือยัง” เธอกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจว่าเขาถามถึงอะไรและไม่ตอบเพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับเขา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม พรตจึงหยุดเดินหมุนตัวมายืนตรงหน้า และถามเพื่อให้รู้คำตอบให้ได้ “รักเขามากหรือเปล่า”

ประโยคนี้ทำให้พรีมาดารู้ได้ทันทีว่าเขาถามถึงใคร และไม่เข้าใจว่าเขาจะยุ่งวุ่นวายกับทุกเรื่องของเธอไปทำไม “ที่ไม่ตอบเพราะแสลงใจจนรับไม่ได้เหรอ” เสียงเข้มดังออกมาอีกเมื่อเธอเอาแต่นิ่ง

“ค่ะ แต่ไม่ใช่เรื่องของเขา แต่เป็นคุณที่ก้าวก่ายเรื่องของฉันมากเกินไป” เธอบอกและรู้สึกโกรธเขาขึ้นมาอีก

“งั้นก็ยอมรับออกมาเสียซิ ฉันจะได้เลิกยุ่ง”

“จะให้ฉันยอมรับอะไร ในเมื่อฉันตอบคุณไปหมดแล้ว”

“แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่ฉันพอใจ”

พรีมาดาต้องขบฟันข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ แล้วถามเสียงเย็นๆ “คุณต้องการอะไร”

“ความจริง”

“ฉันไม่มีจะให้”

“ไม่ยอมพูดมากกว่า รักเขามากจนไม่คิดจะมองคนอื่นบ้างเหรอ” เสียงเยาะหยันทำให้พรีมาดากำมือแน่นเข้าไปอีก และบอกให้เขาพอใจเพื่อจะได้จบๆกันไปเสียที

“ฉันไม่มีใคร”

เสียงที่เน้นย้ำออกมาสร้างความพอใจให้พรตจริงๆ แต่เขาเก็บไว้ภายใต้สีหน้านิ่งเฉยและบอกว่า “ฉันถือว่าคือคำเชิญ”

พรีมาดานิ่งงั้นไปกับคำพูดที่เหมือนเขากำลังขอจีบเธอ แต่หน้าแดงขึ้นอย่างไม่รู้ตัวและรีบหลบตา จึงไม่เห็นว่าเบื้องหลังเธอมีใครบางคนกำลังเปิดประตูจะเข้ามา แต่พรตเห็นและดึงร่างอรชรเข้ามากอดโดยไม่สนใจว่าคนที่เห็นจะคิดยังไง และพอเธอเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ ความร้ายแต่เลวของเขาก็แสดงออกมาทันที

ริมฝีปากอิ่มถูกครอบครองด้วยเรียวปากหนา และฉวยโอกาสที่เธอตกใจลุกล้ำเข้าไปสัมผัสความหวานภายใน แม้เจ้าของจะเริ่มดิ้นบ่ายเบี่ยง แต่เขาก็ยังบังคับ จนประตูห้องค่อยๆปิดลง เขาก็ปล่อยตัวเธอ

“คราวนี้เธอคงไม่มีใครจริงๆเสียที”

พรีมาดาไม่สนใจคำพูดเขา เพราะตอนนี้ในสายตาเธอมีแต่คำว่าเกลียดที่ใช้มองเขาเท่านั้น แล้วเดินออกไปจากห้อง พรตก็ไม่ตามนอกจากมองตามอย่างร้ายๆ และก็สมใจ เมื่อเธอเปิดประตูออกไปเจอกับน้องต่างพ่อ ที่แย่งคนรักไป
*************
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2558, 17:10:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2558, 17:10:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1832





<< ตอน 7   ตอน 9 >>
แว่นใส 13 ก.พ. 2558, 20:56:21 น.
หมาหวงก้างจริง


Zephyr 18 ก.พ. 2558, 21:22:29 น.
ร้ายแบบแพทนี่น่ากลัว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account