เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 1

เพลิงพญาล่ารัก จุดกำเนิด ของทัณฑ์รักพยัคฆ์ร้าย พิศวาสทาสเหมือง และดวงใจพรต


ตอน 1
“กรี๊ด!!!เอี๊ยด!!!โครม!!!!”

สิ้นเสียงดังเหล่านี้ร่างหนึ่งก็กระเด็นลอยขึ้นสูงก่อนจะตกลงมากระแทกพื้น ร่างกายบิดเบี้ยวตามแรงกระแทก นอนแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักลงมาอย่างหนัก ลมหายใจแผ่วเบารวยรินขาดเป็นห้วงๆ ไม่นานก็ขาดหายไป เลือดสีแดงข้นไหลออกทางจมูกและปาก ถูกชะล้างไปกับสายฝน ส่วนสาเหตุที่ทำให้ร่างนี้หมดลมหายใจ คือรถสิบล้อที่ขับชนแล้วหนีไปอย่างตกใจและกลัวความผิด โดยไม่คิดจะสนใจลงมาดูผู้โชคร้าย ปล่อยให้ร่างนั้นนอนแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางเม็ดฝนที่โปรยลงมาไม่ขาดสาย

เสียงอสุนีบาตฟาดดังไปทั่วท้องนภา แสงสว่างวาบทำให้เห็นร่างที่นอนอยู่บนพื้น และเริ่มมีปฏิกิริยาบางอย่างเกิดขึ้น มวลสารเล็กๆสีขาว ค่อยๆลอยออกมาจากร่างนั้น แล้วลอยขึ้นสูงจนรวมตัวกันเป็นรูปร่างโปร่งแสงลักษณะเหมือนคน ยืนอยู่ข้างร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่กลางสายฝน

ดวงหน้าที่เห็นเลือนรางเพราะความโปร่งแสงสงบนิ่ง ดวงตามองร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่กลางสายฝน มือข้างหนึ่งบิดไพล่ไปอยู่ด้านหลัง ส่วนมืออีกข้างขนาบอยู่กับลำตัว ขาทั้งสองหักงอชี้ไปคนละทิศละทาง แต่ใบหน้าไม่มีร่องรอยบาดแผลนอกจากเลือดสีแดงข้นที่ยังคงไหลออกจากจมูกและปาก

‘หน้านั้น?’ มีคำถามเกิดขึ้นขณะร่างโปร่งแสงก็เริ่มพลิ้วไหวเพราะใบหน้านั้นสะท้อนเป็นคำตอบ “ไม่จริง” มีเสียงเกิดขึ้นพร้อมกับความเศร้าเสียใจที่ถาโถมเข้ามา ‘นี่มันอะไรกัน! มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ?’

ใบหน้าโปร่งแสงสลดลงอย่างเศร้าสร้อย อากาศที่เย็นอยู่จึงกดต่ำให้เย็นยะเยือกลงอีก แล้วก้มลงมองตัวเอง สิ่งที่เห็นก็คือความโปร่งแสง ไม่ว่าจะดูส่วนไหนของร่างกายก็เหมือนกัน ทั้งตัวเป็นละอองเม็ดเล็กๆสีขาว ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเธอ แต่จับต้องหรือสัมผัสไม่ได้เลย มือทั้งสองข้างพยายามที่จะสัมผัสกัน แต่สัมผัสไม่ได้ ไม่รู้สึกถึงการมีเลือดเนื้อหรือชีวิต แล้วร่างนี้คืออะไร หรือว่า..เป็น

‘วิญญาณ’

ความตระหนกเกิดขึ้นมา จนความโปร่งแสงแทบจะเลือนหายไป แต่ไม่นานก็กลับมาแจ่มชัดเหมือนเดิม แล้วก้มตัวลงยื่นมือออกไปสัมผัสร่างที่นอนนิ่งอยู่ แต่สัมผัสไม่ได้ มือจมหายลงไปในร่างนั้น แม้จะลองพยายามอีกครั้งและอีกกี่ครั้งก็เหมือนเดิม จึงมองมือที่จมหายลงไปในร่างครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความสะเทือนใจ เสียใจ ร่างโปร่งแสงพลิ้วไหวและแตกสลายหายไปเมื่อความจริงตอกย้ำคำตอบว่า

‘เธอตายแล้ว’
เสียงสะอื้นดังขึ้นท่ามกลางสายฝนที่เริ่มจะเบาบางลง อากาศโดยรอบเย็นยะเยือก สายลมหวีดหวิวพัดแรงจนต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ ลู่ไปตามแรงลม เสียงพึมพำดังแผ่วท่ามกลางความมืด แต่ไม่มีใครที่สามารถได้ยิน หรือเห็นที่มาของเสียง ก่อนที่มวลสารเล็กๆ สีขาวจะรวมตัวเป็นรูปร่างขึ้นมาอีกครั้งและเสียงสะอื้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

‘มันเกิดอะไรขึ้นทำไมเธอมานอนตายอยู่ตรงนี้’ คำถามดังขึ้นมาแล้วภาพต่างๆก็หมุนวนเข้ามาในความทรงจำ’
**********
ณ ร้านอาหารกึ่งผับ ที่นัดพบสำหรับบัณทิตใหม่ ที่เพิ่งรับใบปริญญามานอนกอดกันหมาดๆ ทุกคนพร้อมใจกันมาฉลองความสำเร็จให้ตัวเอง ต่างมารวมตัวกันพร้อมหน้า กลุ่มของเธอมีทั้งหมดเกือบยี่สิบคน เรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ก่อนจะสอบเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย แล้วแยกย้ายกันไปเรียนในคณะที่ถนัด แต่ก็ยังติดต่อกันเรื่อยมา แม้บางคนจะเรียนต่างมหาวิทยาลัย แต่ความเป็นเพื่อนยังเหนียวแน่น วันนี้จึงนัดร่วมกลุ่มกันมาเพื่อฉลองความสำเร็จ

กว่างานฉลองจะจบลงเวลาก็ล่วงเลยเข้ามาวันใหม่ เพื่อนในกลุ่มขับรถมาส่งเธอ แต่ตลอดทางที่รถวิ่งมามีฝนโปรยปรายลงมาตลอด กว่าจะถึงทางเข้าบ้านสวนฝนที่ตกโปรยปรายกลับตกแรงขึ้น จนเธอต้องบอกให้เพื่อนส่งตรงปากทาง เพราะทางเข้าบ้านสวน ถนนเป็นดินโคลนไปเสียแล้ว

แม้เพื่อนๆจะอาสาเดินเข้าไปส่ง แต่เธอก็ปฏิเสธเสียงแข็ง แล้วบอกว่ามีคนที่บ้านมารอรับ เพื่อนๆจึงโบกมือบายๆ แล้วขับรถจากไป ปล่อยให้เธอยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนเพื่อจะข้ามไปอีกฝั่ง จริงๆ แล้วไม่มีคนมารอรับเธอหรอก แต่เธอเกรงใจเพื่อน และไม่อยากให้เพื่อนลำบากเดินบุกดินโคลนเข้าไปส่งเธอ

หญิงสาวยกมือลูบน้ำฝนออกจากใบหน้า ก่อนจะตัดสินใจวิ่งข้ามถนนเพื่อไปหลบฝนตรงเพิงหยาบๆ อีกฝั่ง แต่แล้วทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอมองไม่เห็นแสงไฟและไม่ได้ยินเสียงรถบรรทุกที่วิ่งผ่านมาอย่างรวดเร็ว สิ่งสุดท้ายที่จำได้ก็คือแสงจ้าๆของไฟหน้ารถที่วิ่งตรงเข้ามาหาเธอและชนตัวเธออย่างจัง

“กรี๊ด” เสียงกรีดร้องดังขึ้นขณะร่างเธอลอยสูงขึ้น แล้วตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง จากนั้นทุกอย่างก็ค่อยๆดับมืดลง

ร่างโปร่งแสงสะอื้นจนร่างแทบจะสลายหายไปอีกครั้ง ก่อนจะหันซ้ายหันแลขวาหวนระลึกถึงบ้านสวนที่อยู่มาตั้งแต่เกิด และเพียงแค่คิดถึงตากับยายที่เลี้ยงดูมา เสียงสะอื้นก็แรงขึ้นเพราะความเศร้าเสียใจ ใบหน้าเศร้าสร้อยยามมองข้ามถนนไปยัง บ้านที่แสนอบอุ่น แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถกลับไปได้แล้ว ไม่มีตากับยาย ไม่มีอ้อมแขนที่อบอุ่น ไม่มีเสียงเรียกที่แสดงถึงความห่วงใย ความรัก ความเมตตา ให้ได้ยินอีกแล้ว หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตก็ไม่มี !

ใบหน้าโปร่งแสงเงยขึ้นมองท้องฟ้า ฟ้าที่ดำมืดเห็นแต่เม็ดฝนที่โปรยปรายลงมา และแสงวาบๆของสายฟ้า กับเสียงอสุนีบาตคำราม เม็ดฝนเม็ดแล้วเม็ดเล่าตกลงมาผ่านร่างโปร่งแสงของเธอ อากาศโดยรอบก็เยือกเย็นและวังเวง ความเย็นของอากาศกดต่ำเย็นลงไปอีก เมื่อร่างโปร่งแสงร้องไห้ออกมาอย่างเศร้าสร้อยเหลือเกิน ใบหน้าก้มหน้าลงต่ำขณะระลึกสิ่งที่ยังจำได้
ยายเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อคนที่ตายไปแล้ว ต้องการที่จะไปยังที่ต้องการ แค่เพียงสงบจิตแล้วระลึกถึงที่ที่จะไป จิตของเราก็จะพาไปยังที่ที่ต้องการ เธอเคยหัวเราะว่ามันตลกเป็นเพียงเรื่องของความเชื่อโบร่ำโบราณที่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้นอกจากคนที่ตายไปแล้ว แต่ตอนนี้เธอต้องพิสูจน์เสียแล้ว

บ้านทรงไทยใต้ถุนสูงแบบสมัยโบราณ ตั้งเป็นเงาตะคุ่มอยู่ในความมืด รอบๆบ้านมืดสนิท เสียงสายฝนที่ตกกระทบหลังคาและพื้นดังอยู่ในความมืด สายลมพัดกิ่งไม้ไหวเอนเสียดสีกันดังเบาๆ เสียงอึ่งอ่าง คางคก ร้องดังระงมไปทั่วบริเวณ อากาศโดยรอบที่เย็นอยู่แล้วก็เย็นยะเยือกลงไปอีก ไอ้ด่างสองตัวที่นอนอยู่ตีนบันไดบ้าน ผงกหัวขึ้นมองไปข้างหน้า หูของมันกระดิก สายตามองผ่านความมืดแล้วลุกขึ้นยืนส่งเสียงร้องครางเบาๆ

มวลสารเล็กๆสีขาว กำลังก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างหนึ่งให้เห็นอย่างเลือนรางก่อนจะแจ่มชัดขึ้น และทันทีที่ชัดเจนไอ้ด่างสองตัวก็ส่งเสียงเห่าหอนดังลั่นใต้ถุนบ้าน ขณะที่ร่างโปร่งแสงก็ก้าวเดินแต่ความจริงลอยเข้ามาใกล้ตัวบ้าน แล้วหยุดนิ่งมองไอ้ด่างที่ส่งเสียงเห่าหอนอยู่เพียงเดี๋ยวเดียวก็ละสายตาไปมองแคร่ไม้เนื้อหนา ที่ยายไว้นอนพักผ่อน และนั่งทำขนม หรือวางผลไม้ที่ตาเก็บมาจากสวน และข้างๆมีเปลยวนที่แขวนอยู่กับขื่ออันใหญ่ เปลที่ตาทำไว้ให้เธอนั่งและนอนมาตั้งแต่เด็ก

‘ตาจ๋า ยายจ๋า’

เสียงรำลึกดังอยู่ในใจ แล้วจะก้าวขึ้นบ้าน แต่แสงเรืองๆที่ปรากฏขึ้นรอบๆบ้านทำให้เธอไม่สามารถที่จะก้าวขึ้นไปบนบ้านได้ ได้แต่ยืนมองด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะแหงนหน้ามองห้องที่จำได้ดีว่าเป็นห้องของตากับยาย น้ำตาใสเป็นเกล็ดสีขาวกลิ้งลงมาบนแก้ม เสียงร้องไห้ดังแผ่วๆขึ้นในความมืด สองมือยกขึ้นพนม แล้วย่อตัวลงนั่งที่พื้น ก้มลงกราบแนบพื้นเสมือนว่าได้กราบเท้าตายาย

“ตาจ๋า ยายจ๋า พิมพ์บุญน้อยเหลือเกิน ที่ไม่สามารถอยู่ทดแทนบุญคุณตากับยายได้” เสียงสะอื้นดังแผ่วเบาอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าก้มนิ่งทั้งๆที่มือยังพนมอยู่อย่างนั้น “พิมพ์ขอโทษ พิมพ์มาลาตากับยาย” เสียงรำพึงยังดังต่อเนื่องกระทั่ง

“พิมพ์ลูก”

เสียงเรียกที่อ่อนโยนและอบอุ่น ทำให้ร่างโปร่งแสงที่นั่งก้มหน้าอยู่กับพื้นเงยหน้าขึ้นทันที ร่างท้วมที่เห็นเป็นเงาๆอยู่ในความมืด สวมเสื้อคอกระเซ้ากับผ้าถุงยืนส่งยิ้มให้กับเธอ เธออยากเข้าไปกอดซบอกอุ่นๆ

“ยายจ๋า” เสียงเศร้าสร้อยสะอื้นขึ้นจนแทบจะทนไม่ได้ ร่างโปรงแสงพลิ้วเป็นระลอกเหมือนพร้อมจะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ

“ไม่เป็นไรลูก อย่าร้องไห้ อย่าเสียใจ” เสียงอันอบอุ่นและอ่อนโยนของยาย ทำให้ร่างโปร่งแสงกลับมาสงบนิ่ง “ยายรู้ว่าวันนี้พิมพ์อยู่กับยายเป็นวันสุดท้าย แต่ยายไม่สามารถฝืนชะตาฟ้าลิขิตให้พิมพ์อยู่กับยายได้ อย่าเสียใจเลยลูก อย่าร้องไห้ อย่าเป็นห่วงกังวล ตัดทุกสิ่งทุกอย่างให้หมดเพื่อหนูจะได้ไปอย่างสบาย ยายดีใจที่ได้พิมพ์มาเป็นลูกเป็นหลาน” เสียงของยายแหบปร่า อย่างสกัดกลั้น

“ฟังยายนะลูก ชีวิตของพิมพ์ถูกกำหนดมาแบบนี้ พิมพ์จะมีชีวิตอยู่กับยายเพียงแค่นี้ แล้วร่างของพิมพ์จะหมดสภาพไป แต่จิตและวิญญาณของพิมพ์จะไปอยู่อีกร่างหนึ่ง และจะอยู่ต่อไปจนสิ้นอายุขัย พิมพ์จะมีชีวิตที่ยืนยาว ถึงแม้จะไม่ได้อยู่กับยายแล้ว ยายก็ขออวยพรให้พิมพ์มีความสุข ไม่ว่าพิมพ์จะไปอยู่ที่ไหน บุญที่สร้างไว้ในภพนี้ จะติดตัวพิมพ์ไปทุกที่ ตัดความห่วงความกังวลให้หมดนะลูก ไม่ต้องเป็นห่วงตากับยายแล้วยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น”

เสียงสะอื้นจากร่างโปร่งแสงยังดังแผ่วๆเป็นระยะ แม้จะยังไม่สามารถที่จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เสียงที่ปลอบประโลมของยายทำให้เสียงสะอื้นขาดเป็นห้วงๆ จนเงียบลง แล้วส่งยิ้มน้อยๆให้กับยาย

“ค่ะยาย พิมพ์จะระลึกถึงตากับยาย ถ้าผลบุญที่พิมพ์ทำไว้ยังมีเหลืออยู่ พิมพ์ขอให้บุญทั้งหลายคุ้มครองตากับยายให้มีความสุข เป็นร่มโพธิ์ของพิมพ์ทั้งในภพนี้และภพหน้า และหากพิมพ์ยังมีวาสนาขอให้พิมพ์ได้เกิดเป็นลูกเป็นหลานตากับยายทุกชาติไป”

ยายพุดยิ้มให้กับหลานสาวด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนดุจเดิม น้ำตาซึมลงมาทั้งสองแก้ม มองร่างโปร่งแสงที่ก้มลงกราบแทบเท้าอีกครั้ง ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆเลือนหายไปทีละนิดทีละนิด จนหายไปในที่สุด มือเหี่ยวๆยกขึ้นเช็ดน้ำตา แม้จะรู้ล่วงหน้าแต่ก็ยังยากจะทำใจ แล้วนึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีต

ตั้งแต่หลานคนนี้เกิดมาก็อาภัพตั้งแต่เด็ก เพราะเพียงไม่นานพ่อแม่ต้องมาตายจาก ทิ้งให้ตากับยายเลี้ยง ทั้งสองคนต่างรักและฟูมฟักเด็กน้อยเหมือนเลือดในอก เพราะเป็นเด็กที่น่ารัก ฉลาด แสนซน จนใครเห็นใครก็รัก ยายพุดชอบพาหลานสาวไปวัดด้วยบ่อยๆ จนวันหนึ่งได้เจอพระเจ้าอาวาส ท่านจ้องมองเด็กหญิงตัวเล็กๆที่นั่งแอบยายด้วยความเมตตา แล้วได้ทำนายดวงชะตาของเด็กหญิงให้ฟังว่า...

‘ชีวิตของเด็กคนนี้เหมือนมีสองร่าง พูดง่ายๆ ก็เหมือนมีฝาแฝดที่ต้องแยกจากกันอยู่คนละที่คนละเวลา แต่สุดท้ายพอหมดอายุขัย จากสองร่างสองจิต ก็จะเหลือหนึ่งร่างหนึ่งจิต เมื่อร่างหนึ่งสลายไป ดวงจิตของร่างก็จะไปอยู่กับอีกร่างหนึ่งทันทีที่ร่างนั้นหมดลมหายใจในเวลาเดียวกัน’

ตอนแรกที่ได้ยินทำให้ยายพุดตกใจ ยกมือขึ้นทาบอกด้วยความคาดไม่ถึงว่าหลานสาวจะอาภัพเช่นนี้ และสงสารหลานเหลือเกิน ‘หลวงพ่อมีวิธีแก้ไขหรือไม่เจ้าค่ะ แล้วร่างที่ดวงจิตของยัยพิมพ์ต้องไปอยู่ อยู่ที่ไหน’

พระท่านยิ้มให้อย่างเมตตา ‘อาตมาไม่สามารถที่จะตอบได้ บอกได้แต่ว่าให้สร้างบุญสร้างกุศลไว้ให้มากๆ เพราะไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน ภพใด บุญกุศลที่เราสร้างไว้ก็จะติดตัวเราไปตลอด’

‘แล้วยัยพิมพ์จะจำทุกอย่างได้ไหมเจ้าค่ะ’ ยายพุดลูบผมนุ่มๆของหลานสาวด้วยความสงสาร

ดวงตาที่บอกความเมตตาจ้องเด็กหญิง แล้วส่ายหน้า ‘เมื่อร่างดับ ก็เหมือนจิตดับ ไม่สามารถที่จะจดจำอะไรได้ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่’

ยายพุดกอดร่างเล็กๆไว้แนบอก เด็กหญิงตัวเล็กที่ไม่รู้เรื่องราวที่ผู้ใหญ่คุยกัน ได้แต่ยิ้มและกอดเอวยายไว้แน่นเช่นกัน ยายพุดน้ำตาซึมด้วยความสงสาร แล้วหลังจากนั้นก็พยายามพาหลานสาวไปสร้างบุญสร้างกุศลทุกวันพระ และให้ตักบาตรทุกวัน เพื่อจะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่ผลบุญก็ไม่อาจฉุดรั้งดวงชะตาไว้ได้ ดวงชะตาที่ถูกกำหนดมาแล้ว ว่าต้องอยู่ในร่างนี้แค่นี้ แล้วต้องไปสู่อีกร่างที่ไม่รู้ว่าอยู่ภพไหน เวลาใด แต่ยายพุดก็สบายใจ เพราะวันนั้นก่อนกลับ พระท่านบอกว่าไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง ทุกคนมีกรรมดีและกรรมหนักเหมือนกันทุกคน เด็กคนนี้วาสนาดี จะได้ดี มีความสุข

รอบๆกายที่ยืนอยู่ มีแต่เสียงฟ้าร้อง และฟ้าผ่าดังให้เธอได้ยิน แต่ไม่สามารถมองเห็นยายอีกแล้ว เหมือนตัวเธอจะลอยอยู่ที่ไหนสักแห่งและมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากความว่างเปล่าที่ขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา แต่เพียงไม่นาน ร่างเธอก็เหมือนจะถูกดึงดูดด้วยพลังอะไรสักอย่างที่เธอมองไม่เห็นและไม่รู้ รู้แต่ว่าร่างของเธอลอยละลิ่วไปกับแรงดึงดูด มันหมุนเร็วขึ้น เร็วขึ้น จนเธอไม่สามารถจะต้านทานได้ ต้องหลับตาลงและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิตตามที่ยายบอก
********
แสงสีทองของเช้าวันใหม่สาดส่องไปทั่วบริเวณพื้นป่า ท่ามกลางภูเขาสูง ป่าทึบ ต้นไม้ใหญ่ กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าลอยกระจายไปตามสายลม นกกาเริ่มโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อออกหากิน สัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในป่าต่างส่งเสียงร้องดังเป็นระยะๆ ต้อนรับแสงทองของวันใหม่

ในหุบเขากลางป่า เรือนไม้หลังใหญ่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินสูง มีชื่อเรียกว่าเรือนเชิงผา ทางเดินปูด้วยหินแผ่นใหญ่เป็นขั้นบันไดสู่ตัวเรือน มีต้นโมกเป็นรั้วรอบเรือน ผลิดอกสีขาวเป็นพุ่มเป็นพวงสะพรั่งส่งกลิ่นหอมระเรื่อ แต่ความหอมของดอกไม้ไม่สามารถที่จะช่วยให้เรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นบนเรือนหลังนี้ผ่อนคลายลงได้เลย

หญิงชราร่างท้วมสวมเสื้อลูกไม้สีครีมกับผ้าถุงสีดำ ยืนชะเง้อคอยืดคอยาวกระวนกระวายอยู่หน้าเรือน สายตามองไปที่ทางเดินด้านหน้าด้วยความร้อนใจ แต่คนที่รอยังไม่มาสักที จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆ กระทั่งคนที่รอโผล่มาให้เห็น ผู้ชายวัยกลางคนสะพายกระเป๋าหนังสีดำ เดินตรงเข้ามาหาอย่างรีบร้อน ใบหน้าดูอบอุ่นดวงตาที่อยู่ใต้สวมแว่นตาดูอ่อนโยน ชุดที่ใส่เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีดำ พอเดินมาถึงก็ยิ้มให้คนที่รออยู่ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร หญิงชราก็จับแขนลากขึ้นไปบนเรือน

“เร็วเข้าเถอะคุณหมอ เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์”

เสียงพูดบอกความร้อนใจขณะพาคนที่เรียกว่าคุณหมอเดินไปยังห้องๆหนึ่ง ตลอดทางที่เดินไปยังห้องนั้น คุณหมอวัยกลางคนรู้สึกถึงความร้อนรนของหญิงชราได้เป็นอย่างดี จึงได้แต่พูดปลอบว่า

“ใจเย็นๆ นมสุก”

“เย็นไม่ไหวหรอกคุณหมอ อันตรายเหลือเกิน อิฉันจับข้อมือกี่ครั้งก็ใจหายทุกครั้งไป”

นมสุกบอกคุณหมอ ก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไป หญิงชราอีกคนที่นั่งอยู่บนเตียงก็หันมามอง แล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินมาหาทั้งสองคน

“ไม่ทันแล้วนางสุก” เสียงหญิงชราอีคนซึ่งก็คือนมสดสั่นเครือออกมา ขณะที่นัยน์ตาก็แดงและเอ่อคลอด้วยน้ำตา

“จริงเหรอ” นางถามพลางมองไปที่หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง มือที่แขนคุณหมอก็ตกลงอย่างอ่อนแรง

“จริง นายหญิงจากเอ็งกับข้าไปแล้ว ชีพจรไม่เต้น ลมหายใจก็ไม่มีแล้ว”

นมสุกถึงกับเข่าอ่อนจนคุณหมอต้องรีบจับแขนพยุงไว้ และหันไปมองหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นอย่างที่นมสดบอก ท่านอน สีหน้าเหมือนคนนอนหลับปกติเกินกว่าจะจากโลกนี้ไป แล้วละสายตามาสบตาทั้งสองนม

“เล่าให้หมอฟังหน่อย ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับนายหญิง”

“เราสองคนไม่รู้หรอกคุณหมอ” เสียงนมสดสั่นเครือ “เมื่อเช้าอิฉันก็เข้ามาปลุกนายหญิงตามปกติ แต่ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ใครจะคิดว่าเธอจะเป็นอะไรไป ก็เห็นอยู่ว่าเธอนอนหลับ แต่พยายามปลุกเท่าไรเธอก็ไม่ยอมตื่นสักที ส่วนลมหายใจก็รวยริน จนกระทั่ง ... ” นมสดยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ซึมลงมาอาบแก้ม “ให้คนไปตามคุณหมอ ให้นางสุกไปรอ อิฉันก็เฝ้าดู จนเมื่อกี้ตัวนายหญิงกระตุก อิฉันจึงวางมือตรงหัวใจ แล้วก็ไม่เต้นเสียแล้ว”

“คุณหมอช่วยนายหญิงด้วยเถอะ บางทีเธออาจจะยังไม่จากเราไป” นมสุกบอกพร้อมจับมือคุณหมอพาเดินไปนั่งที่บนเตียง “ดูนายหญิงซิคุณหมอ เธอเหมือนนอนหลับไม่ได้เป็นอะไรเลย”

คุณหมอพยักหน้า แล้วตบหลังมือนมสุกให้เบาใจ ก็ลงมือตรวจหญิงสาว จับชีพจร เปิดเปลือกตาขึ้นดู แต่ดวงตาที่ไร้แววทำให้สีหน้าคุณหมอเคร่งเครียดขึ้นทันที แล้วหยิบอุปกรณ์ออกจากกระเป๋า ตรวจเช็คไปตามร่างกายยิ่งตรวจความเคร่งเครียดก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะไม่ว่าจะจับชีพจรหรือดูดวงตาอีกครั้ง แม้กระทั่งวัดการเต้นของหัวใจ ผลที่ได้ก็เหมือนกัน ไร้แววของคนมีชีวิต

คุณหมอผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ไหล่ลู่ลง แขนทั้งสองข้างก็เหมือนจะหมดแรง แล้วหันมามองใบหน้าที่รออย่างมีความหวังของแม่นมทั้งสองคนด้วยความหนักใจ เพราะความจริงที่ได้จากการตรวจไม่ได้ผิดไปจากที่นมสดบอกไว้เลย
“หมอเสียใจด้วยครับ”

แม่นมทั้งสองคนนิ่งไปเพราะช็อก ก่อนจะมีเสียงคร่ำครวญออกมา “โธ่ นายหญิงไม่น่าเลย ไม่น่าอายุสั้นเลย” เสียงสั่นเครือปนสะอื้นของนมสดเอ่ยออกมา สองมือยกขึ้นทาบอก “เพิ่งจะแต่งงานได้วันเดียวแท้ๆ ก็มาจากพวกเราไปเสียแล้ว”

“นั่นนะซิ บุญน้อยจริงๆ เลยแม่คุณ”

นมสุกที่มีอาการเสียใจไม่ต่างจากนมสดเอ่ยออกมา ทั้งสองคนจับมือกันแน่น น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความเสียใจและสงสารหญิงสาว ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง แล้วพากันเดินไปนั่งข้างเตียง ยื่นมือไปจับมือนุ่มที่ยังอุ่นอยู่ บีบเบาๆ ก่อนจะลูบแขนเรียวด้วยความเวทนาที่ต้องมาตายจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย แม้จะไม่ได้รักใคร่มากมาย แต่ได้ดูแลมาร่วมเดือนก็ผูกพันอยู่ไม่น้อย

“เวรกรรมจริง ๆ ต้องให้คนแกมารดน้ำคนหนุ่มคนสาว”

“นั่นนะซิ ใครจะคิดว่านายหญิงจะอายุสั้นขนาดนี้ เพิ่งจะมาอยู่ด้วยกันแท้ๆ ก็ต้องจากไปเสียแล้ว”

แม่นมสองคนต่างรำพึงออกมา คุณหมอเองก็ได้แต่ทำใจ พลางมองคนที่ยังอยู่และคนที่จากไปด้วยความสงสาร แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรมากไปกว่าพูดปลอบใจทั้งสองคน ให้ยอมรับในการเกิดแก่เจ็บตาย

“ทุกชีวิต ไม่มีใครหนีการตายพ้น อย่าเสียใจไปเลยนมสุกนมสด คิดเสียว่านายหญิงมีบุญอยู่กับเราแค่นี้ แล้วให้ใครไปบอกป๊ะเพลิงหรือยังครับ”

“ป๊ะเพลิงไปหลังเขา ก่อนหน้านี้อิฉันก็สั่งให้คนของคุกทมิฬไปบอกตั้งแต่เช้าแล้ว” เสียงนมสดเอ่ยออกมาอย่างกระท่อนกระแท่นเพราะยังเสียใจอยู่ แล้วยกชายเสื้อคอกระเช้าซับน้ำตาที่เปื้อนแก้ม

“แล้วคุณพ่อของนายหญิงละ ให้ใครไปบอกข่าวหรือยัง”

“ยังไม่ส่งใครไป รอป๊ะเพลิงก่อน”

คุณหมอพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วหันกลับไปมองร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าสวยหวาน วงหน้าเป็นรูปไข่ คิ้วโก่งสวยรับกับจมูกโด่งและดวงตาที่เคยกลมโต พวงแก้มอิ่มเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาด ริมฝีปากบางรูปกระจับเหมือนแย้มยิ้มอยู่ตลอดเวลา ผิวขาวอมชมพู นวลลออไปทั้งตัว ไม่ว่าจะมองมุมไหนเธอก็...สวย

หญิงสาวที่เข้ามาอยู่ในหุบเขาพญาในฐานะนายหญิงแห่งหุบเขา ได้ตายจากไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เธอเหมือนคนนอนหลับ ร่างกายภายนอกดูแข็งแรง เหมือนไม่ได้ป่วย แต่หัวใจเธอหยุดเต้น ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะผ่านพิธีแต่งงานมาได้คืนเดียว คุณหมอถอนหายใจออกมายาวเหยียด

“เธออาจจะเป็นโรคหัวใจล้มเหลวชนิดเฉียบพลันโดยที่ไม่ทันรู้ตัว”

คุณหมอสรุปการจากไปของเธอให้แม่นมทั้งสองคนฟัง ซึ่งทั้งสองคนก็ได้แต่พยักหน้า พูดอะไรไม่ออก มีแต่น้ำตาที่ซึมออกมาอีก คุณหมอจึงลุกขึ้นจากเตียงพลางบอกทั้งสองคนว่า

“ไปรอข้างนอกเถอะ เราคงทำอะไรไม่ได้ จนกว่าป๊ะเพลิงจะกลับมา”

แม่นมทั้งสองคนพยักหน้าแล้วลุกขึ้นจากเตียง พลางมองร่างของนายหญิงที่จากไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ ว่าเธอนั้นได้สิ้นบุญจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ ทั้งสองคนเดินตามคุณหมอออกไปจากห้องนอนแล้วปิดประตูห้องไว้ โดยไม่เห็นว่าทันทีที่ประตูปิดลงร่างของหญิงสาวที่นอนแน่นิ่งอยู่ เริ่มมีปฏิกิริยาบางอย่างเกิดขึ้น ดวงตาที่ปิดสนิทเริ่มขยับเหมือนจะลืมตาขึ้นมา นิ้วเรียวที่วางอยู่บนหน้าท้องก็กระดิก แต่เพียงครั้งสองครั้งก็นิ่งสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา!
********
บนภูผาสูง ร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งยืนอยู่ รูปลักษณ์นั้นสง่างาม ทระนง และแข็งแกร่ง อาภรณ์ที่สวมใส่เป็นสีดำทั้งชุด ใบหน้ามีผ้าสีดำคาดไว้ครึ่งหน้า เห็นแค่ดวงตาดำขลับที่ขนานกับคิ้วเข้มรับกับสันจมูกโด่ง สายตานั้นมองลงไปยังพื้นดินเบื้องล่าง เห็นกลุ่มคนเท่าแมลงสาบกำลังใช้เครื่องมือทุนแรงค้นหาบางสิ่งที่ต้องการอยู่ สิ่งที่มีค่า มีราคา เพราะถ้าหาเจอจะพลิกชีวิตพวกมัน จากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว

สายลมพัดแรงมาปะทะตัว แต่ไม่สามารถทำให้ตัวนั้นสั่นไหว ขณะที่เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ไร้เมฆ จุดสีดำเล็กๆที่เห็นไกลๆ กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ ให้เห็นปีกอันโตของสิ่งที่กำลังต้านแรงลม เพื่อที่จะบินโฉบลงมาเกาะบนกิ่งไม้ พญานกอินทรีตัวใหญ่ ผงกหัวไปมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของมันมองมายังร่างสูงที่ยืนอยู่ พอร่างสูงยกมือขึ้นเหมือนให้สัญลักษณ์บางอย่าง มันก็กางปีกออกบินมาเกาะบนไหล่หนา คายสิ่งที่คาบอยู่ในปากออกมาใส่ฝ่ามือ แล้วกางปีกขึ้นบินหายไปบนท้องฟ้าดุจเดิม

เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นข้างหลังไม่ได้ทำให้ร่างสูงหันไปมอง ดวงตาคมกริบมองแค่เศษกระดาษที่อยู่ในมือ แล้วเปิดออกอ่านข้อความสั้นๆที่ปรากฏอยู่ในกระดาษ ทำให้ริมฝีปากใต้ผ้าสีดำกระตุกขึ้น ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว แล้วเก็บเศษกระดาษไว้ในกระเป๋าเสื้อ เรียบร้อยแล้วก็หันมามองคนที่มายืนอยู่ข้างหลัง

เพียงเขาหันหน้ามา คนที่ยืนอยู่ก็คุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้าต่ำ เป็นการแสดงความเคารพเจ้าแห่งหุบเขาพญา ลักษณะของคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าไม่ต่างจากร่างสูงเท่าไร ใบหน้าคาดด้วยผ้าสีดำและอยู่ในชุดสีดำเหมือนกัน และเมื่อเห็นสัญลักษณ์มือบอกให้ลุก ก็ลุกขึ้นยืนเคียงข้างร่างสูง ซึ่งวัยและความสูงนั้นไม่ห่างกันเลย
“ข่าวจากหน้าหุบเขา”

เสียงทุ้มกระด้างดังขึ้น พร้อมกับล่วงมือเข้าไปในเสื้อ หยิบใบไม้สีน้ำตาลไหม้ส่งให้ มือคร้ามสีน้ำตาลแดงยื่นออกไปรับใบไม้ ที่เป็นสัญลักษณ์ของการจากไป พลางมองกลุ่มคนที่กำลังขุดเจาะดินกันอยู่ แล้วกำใบไม้ที่แห้งกรอบจนแหลกละเอียดคามือ ก็ปล่อยให้มันปลิวไปกับกระแสลม

“พวกมันซินะ” ถามพลางมองกลุ่มคนที่ยังเห็นอยู่ไกล

“ใช่ ทั้งหมดหกคน”

“ได้ของไปบ้างหรือเปล่า”

“ไม่ได้ เพราะแถบนั้น ไม่มีของอยู่แล้ว”

“อย่าประมาท” เสียงพูดนั้นกระด้างขึ้นเล็กน้อย แล้วขยับตัวจะเดินจากไป แต่...

“มีข่าวจากเรือนเชิงผา” พูดออกไปแล้ว คนพูดก็รอฟังว่าจะมีคำพูดใดออกมาบ้าง แต่เมื่อไม่มีก็บอกอีกต่อว่า “ไม้ประดับบนเรือนใกล้จะร่วงลงสู่พื้นดินแล้ว คนที่รดน้ำพรวนดินอยู่อยากให้กลับไปดู”

นัยน์ตาบนใบหน้าคมนิ่งลึกลง เพราะรู้ความหมายที่บอกดี แต่ไม่มีความเห็นใด และก่อนจะเดินจากไปก็ทิ้งคำพูดไว้ว่า “จัดการผู้บุกรุกให้เรียบร้อย”

คนที่ยืนอยู่ก้มหน้ารับคำสั่ง แล้วมองตามตามร่างสูงที่เดินจากไปเงียบๆ ไม่กี่อึดใจก็ตวัดสายตาไปมองกลุ่มชายฉกรรจ์ห้าคนที่เดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ ทุกคนอยู่ในชุดสีดำ มีผ้าสีดำคาดหน้าไว้ไม่ต่างจากคนที่เพิ่งเดินจากไป ด้วยบุคลิกที่น่าเกรงขาม สมดังตำแห่งนายแห่งหุบเขาพญา...ป๊ะเพลิง
********
ณ เรือนเชิงผา ภายในห้องนอน ร่างอรชรที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง เริ่มขยับตัวบ่งบอกถึงการมีชีวิต ใบหน้าสวยหวานพลิกไปมา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันขณะที่ริมฝีปากก็เม้มแน่นเหมือนกำลังฝันร้าย เหงื่อเริ่มซึมขึ้นมาที่หน้าผาก แล้วดวงตาที่ปิดสนิทก็กะพริบปริบก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมา แต่ต้องหลับตาลงอีกครั้งเพราะแสงสว่างที่ส่องวาบเข้านัยน์ตา จากนั้นก็ค่อยๆลืมขึ้นมาใหม่

ดวงตากลมโตมองฝ้าไม้สูง แล้วไล่สายตาลงมามองไปรอบห้อง ลักษณะของห้องเป็นไม้ขัดขึ้นเงาสวย มีผ้าม่านสีขาวลายฉลุตรงหน้าต่าง เข้าชุดกับเตียงไม้ที่เธอนอน ผนังด้านหนึ่งมีตู้เสือผ้ากับโต๊ะกระจกที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอาง อีกสามด้านว่างเปล่าไม่มีของตกแต่งอะไร ร่างอรชรขยับตัวจะลุกขึ้น แต่แล้วต้องนอนลงอย่างเดิมเมื่อรู้สึกปวดไปทั่วตัวเหมือนตัวจะฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ

“โอ๊ย”

เสียงหวานดังออกมาพร้อมใบหน้าที่นิ่วเพราะความเจ็บ ขบเม้มริมฝีปากสกัดกลั้นไว้แล้วค่อยๆกวาดตามองหาบาดแผลบนตัว แต่ไม่เห็นรอยใดๆหรือบาดแผลอะไรเลย แล้วทำไมเธอรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้ คำถามดังขึ้นในสมองก่อนจะครุ่นคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ แต่ไม่มีความทรงจำอะไรเลย แม้จะพยายามจะขบคิดแต่ก็เหมือนเดิม นอกจากจะจำอะไรไม่ได้ ก็ยังรู้สึกปวดหัวมากขึ้นอีกต่างหาก

“แล้วที่นี่ที่ไหน ทำไมถึงจำอะไรไม่ได้” เสียงเธอพึมพำออกมา ก่อนจะพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ครั้งนี้ความรู้สึกเจ็บปวดหายไปจนเธออดแปลกใจไม่ได้ ไม่ว่าจะลองขยับตัวยังไง ก็ไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว “แปลก เกิดอะไรขึ้น” เธอถามตัวเองอีกครั้งพร้อมมองไปรอบๆห้องที่ไม่มีความคุ้นเคยว่าเคยอยู่เลย

หญิงสาวก้มลงมองดูตัวเอง ชุดที่ใส่อยู่เป็นชุดนอนผ้าซาตินสีขาวเรียบลื่นแนบลำตัว มีเสื้อคลุมลูกไม้เข้าชุดกัน เธอจับชายผ้าขึ้นมาดู ไม่มีความคุ้นเคยว่าเคยใส่หรือชอบแม้แต่น้อย จึงถอนหายใจออกมาอย่างอึดอัด เพราะรู้สึกสับสนไปหมด แล้วสะบัดผ้าห่มสีขาวที่คลุมตัวอยู่ออกมาพับวางไว้ปลายเตียงเรียบร้อย ก็เหวี่ยงขาลงจากเตียงเดินไปที่ประตู มือเรียวยกขึ้นจะดึงบานประตูให้เปิดออก แต่ประตูเปิดออกเสียก่อนและต้องยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่ง

นัยน์ตาคมฉายแววแปลกใจแต่เพียงนิดก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็วพลางก้าวเข้ามาในห้อง ขณะที่หญิงสาวก็ถอยร้นเพราะชุดสีดำกับใบหน้าที่ถูกปกปิดไว้นั้น เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...โจร

เธอถลาไปที่โต๊ะกำกระปุกครีมมาปาใส่ร่างสูงทันที ซึ่งก็ยกมือขึ้นรับแล้วปากลับมาเฉียดตัวเธอไปกระแทกกระจกแตกเสียงดัง “เคล้ง” ร่างอรชรสะดุ้งสุดตัวและหัวใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเขาเคลื่อนตัวมากระชากเธอไปปะทะอกอย่างรวดเร็ว “โอย” เสียงเธอดังออกมาเพราะแรงกระแทกนั้นไม่เบาเลย แค่นั้นยังไม่พอสายตาที่มองก็ทำให้เธอกลัวจนตัวแทบสั่น ถึงอย่างนั้นเธอก็ดิ้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนแกร่ง

“ถ้าดิ้นอีก ฉันจะหักคอให้ตาย” เสียงห้วนห้าวดังออกมา มันน่ากลัวจนตัวเธอไม่กล้าขยับอีก ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาคม ซึ่งตวัดมองตัวเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “หายแล้วเหรอ”

เสียงถามนั้นทำให้ความกลัวหายไปครึ่งหนึ่ง และกะพริบตาอย่างงงๆ เพราะคำถามเขาเหมือนคนที่รู้จักกันอย่างดี

“ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

“แน่ใจ”

“ค่ะ แล้ว..แล้วคุณเป็นใคร”

เมื่อเสียงพูดมาดีคำตอบกลับก็ดีด้วย แต่นัยน์ตาคมนิ่งลึกลงอย่างกับค้นหาอะไรบางอย่าง แล้วปล่อยมือจากหญิงสาว ถอยห่างเพียงก้าวเดียวพลางมองนัยน์ตาที่มองอยู่ราวกับจะให้แน่ใจบางอย่าง แต่เสียงพูดกลับเป็นอีกอย่าง “ถามเพราะไม่รู้ หรือว่ารู้แต่ไม่แน่ใจ”

“ไม่รู้ค่ะ เพราะฉันไม่รู้จักคุณ”

ความแปลกใจปรากฏขึ้นในดวงตาก่อนจะเปลี่ยนเป็นการเยาะหยัน และทำให้เธอร้อนผ่าวไปกับคำพูดที่เหยียดหยามไม่ต่างกัน “งั้นเหรอ แต่ฉันรู้จักเธอทุกซอก ทุกมุม เพราะเธอ เป็น เมีย ฉัน”
********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.พ. 2558, 16:43:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.พ. 2558, 16:43:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 4094





   ตอน 2 >>
แว่นใส 19 ก.พ. 2558, 22:03:37 น.
คิดถึงจังเลย


Zephyr 20 ก.พ. 2558, 00:24:48 น.
อ้าว ตื่นมาจำอะไรไม่ได้ แต่มีสามีเลยนะ อิอิ


tan 20 ก.พ. 2558, 01:45:39 น.
อยากอ่านมากๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account