เงาใจในเปลวเพลิง
“มองทำไม”
ชายหนุ่มยิ้ม ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองเธอด้วยสายตาล้อเลียน “มองทอม”
“หมายความว่าไง”
“อ้าว! ยังต้องแปลอีกรึ เข้าใจอะไรยากแบบนี้จะมาเป็นบอกอได้หรือคุณ”
อาทิตยาเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงด้วยแววตาเป็นประกาย “ฉันคิดว่านายไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไร แต่ถ้าอยากให้อธิบายเพื่อเทสกึ๋น ฉันก็ไม่จำเป็นต้องตอบเพราะรู้ตัวดีว่ากำลังถูกหาเรื่อง”
ณัฐชาติอมยิ้ม “หาเรื่องที่ไหนกัน ก็ดูคุณสิ ผมสั้น สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ นี่มันทอมชัดๆ แล้วไหนจะข่าวฉาวระหว่างคุณกับน้องสาวสุดเลิฟอีกละ จะไม่ให้ผมคิดได้ยังไง”
“คิดไม่คิดก็เรื่องของนาย ฉันไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับนายเลย ฉันจะพยายามแยกงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นหัวหน้าแล้วจะมาละลาบละล้วงเรื่องของคนอื่นได้นะดังนั้นถึงนายจะเป็นเจ้านาย แต่ถ้าส่วนไหนเป็นเรื่องส่วนตัว อย่ามายุ่ง” เธอเน้นคำว่า อย่ามายุ่ง ชัดถ้อยชัดคำนัก
ณัฐชาติยิ้มกว้าง แววตาเขาฉายแววขี้เล่น “โอ้โฮ ดุเสียด้วย รู้สึกจะดุกว่าเก่านะ ไม่เหมือน....”
“พอ...ออกไปจากห้องทำงานฉันได้ละ” ไม่พูดเปล่า อาทิตยาใช้สองแขนดันเขาด้วยหน้าตาเคร่งเครียด
“เฮ้ย!นี่ผมเป็นเจ้านายคุณนะอัย” เขาร้องเสียงหลง
“ใช่ แต่ฉันจะทำงาน นายเองก็ไปทำงานของตัวเองได้ละ”
Tags: หัวใจไต่คาน น้ำฟ้า นิยายรัก ความหลัง
ตอน: บทที่ ๑ การเผชิญหน้า
ก่อนอื่น ขอบอกว่า นิยายเรื่องนี้มีบทนำนะคะ ^^
บทที่ ๑
สำนักพิมพ์เลิฟไลน์บุ๊คส์เป็นสำนักพิมพ์ที่ตั้งอยู่บนอาคารพาณิชย์สูง 7 ชั้น 9 คูหาโดยใช้พื้นที่คูหาสุดท้ายด้านซ้ายมือสุดของตัวอาคารเป็นสำนักงาน ส่วนอีก 8 คูหานั้นเป็นพื้นที่ของบริษัทอนันต์วิศวกรรมซึ่งประเมินจากสายตาแล้ว อาทิตยาคิดว่าสองบริษัทนี้น่าจะมีเจ้าของเดียวกันหรือไม่ก็คงเป็นญาติๆกันจึงมาตั้งบริษัทที่มีลักษณะงานต่างกันอยู่บนอาคารพาณิชย์หลังเดียวกันได้
เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีแดงเข้ม กางเกงยีนขายาวสีดำยืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าอาคารพักใหญ่ รปภ.วัยกลางคนจึงเข้ามาสอบถามและแนะนำให้อาทิตยาขึ้นไปยังชั้น7 เธอจึงเอ่ยขอบคุณแล้วขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นดังกล่าวเพื่อแจ้งกับเลขาฯหน้าห้องว่ามาพบนาถนรี ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะรู้หน้าที่ดีอยู่แล้ว จึงเปิดประตูให้เธอเข้าไปในห้องซึ่งมีกระจกสีทึมโดยไม่ซักถามอะไรเลย
หลังแทรกตัวผ่านกรอบประตูเข้าไป อาทิตยาจึงพบว่า เธอถูกพาเข้ามาในห้องประชุมสีครีมขนาดกลาง หญิงสาวรีบกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว เวลานี้ภายในห้องมีคนนั่งอยู่ราวๆสิบคน แต่ละคนมองมาที่เธอเป็นจุดเดียว แต่อาทิตยาก็ไม่เกิดอาการประหม่าแต่อย่างใด เธอเดินตามเลขาฯเข้าไปแนะนำตัวกับนาถลดาซึ่งนั่งเป็นประธานอยู่ อีกฝ่ายรับไหว้แล้วจึงโอบไหล่พาเธอไปแนะนำตัวกับฝ่ายต่างๆของสำนักพิมพ์บ้าง โดยเริ่มจากผู้ที่นั่งอยู่ไกลสุดก่อน จนมาถึงผู้ที่ทำให้หญิงสาวต้องชะงักงันแค่เพียงได้ยินคำแนะนำว่า “นี่ณัฐชาติ เป็นบรรณาธิการบริหาร”
ใจของเธอเต้นตึกตัก อธิษฐานว่าขออย่าให้เป็นณัฐชาติคนเดียวกับที่เธอเคยรู้จักเลย เพราะหากเป็นเช่นนั้นการทำงานของเธอคงจะไม่ราบรื่นเป็นแน่
จากนั้นอาทิตยาจึงรีบละสายตาจากผู้ช่วยบ.ก.สาวสวยมายังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านในสุดของห้อง ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้างเธอเลยสักนิด เธอจำเขาได้ดี ชายหนุ่มผู้มีดวงตาเรียวใต้คิ้วเข้มเหมาะเจาะกับจมูกโด่งเป็นสัน เหนือริมฝีปากบางคล้ายปากสตรี ระยะเวลาสิบกว่าปีมิได้ทำให้ณัฐชาติเปลี่ยนแปลงไปมากนัก รูปร่างของเขายังคงสูงโปร่ง ไหล่หนาดูผึ่งผาย หากจะมีหนึ่งที่แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด คือ สายตาของเขา ณัฐชาติเคยมีแววตาขี้เล่นและรอยยิ้มสดใสเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ดูโดดเด่นกว่าหนุ่มคนอื่นๆรอบตัว ทว่าวันนี้แววตาที่มองสบมานิ่งสนิท มีเพียงเรียวปากที่ระบายยิ้มน้อยๆดูเป็นมิตร ตรงกันข้ามกับอาทิตยาที่เม้มปากตนเองแน่น แววตาของเธอแข็งกร้าวขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“สวัสดีครับ คุณอาทิตยา”
ประโยคแรกของณัฐชาติดึงสติของหญิงสาวให้กลับมาสู่ปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว เธอจึงรีบกลบเกลื่อนอาการพลางเอ่ยตอบอย่างรักษามารยาท “เอ่อ สวัสดีคุณณัฐชาติ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เขายังคงยิ้มจางๆ “ยินดีครับ”
“เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาหนูอาทิตยาแนะนำตัวเองบ้างแล้ว” นาถลดาบอกพลางแตะข้อศอกของบ.ก.สาวคนใหม่เบาๆ
อาทิตยาหันไปตอบว่า ค่ะ เบาๆ ก่อนทำตาม “ชื่ออาทิตยา ชื่อเล่นอัย อดีตบอกอประจำสำนักพิมพ์ลูกหว้าค่ะ”
แนะนำตัวเสร็จเธอก็จำต้องนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ระหว่างนาถลดาและณัฐชาติตามคำเชิญ เธอรู้สึกว่าฝ่ายหลังยังจ้องเธออยู่ตลอด จนเธอนั่งลงแล้วนาถลดาพูดต่อนั่นแหละ เขาถึงละสายตาไปมองผู้พูด
“ที่ฉันเรียกประชุมทุกฝ่ายในวันนี้ก็เพื่อจะแนะนำหนูอัย ซึ่งจะมาทำงานในตำแหน่งบอกอคู่กับบอกอเต้ โดยทั้งสองคนจะทำงานขึ้นตรงกับคุณนัท มีอะไรก็ปรึกษาคุณนัทได้เลยนะ” นาถลดาอธิบาย
แม้จะรู้ดีว่าโดยสายงานแล้วเธอเป็นลูกน้องของณัฐชาติ แต่อาทิตยาก็ยิ่งรู้สึกกังวลเมื่อได้ยินประโยคท้ายๆของเจ้าของสำนักพิมพ์ ซึ่งดูจะให้เครดิตชายหนุ่มอย่างเต็มที่ ในเมื่อเธอตัดสินใจมาทำงานที่นี่แล้วก็คงต้องยอมทำงานใต้อาณัติเขาโดยดุษณีสินะ หรืออีกทางหนึ่งก็คือตัดใจลาออกทั้งๆที่ยังไม่เริ่มงาน ซึ่งเธอต้องหางานใหม่ แล้วพ่อกับแม่ของเธอล่ะ คิดมาถึงตรงนี้อาทิตยาก็ต้องข่มใจ เตือนตัวเองว่า เธอจะต้องทำงานอย่างมืออาชีพ ข่มความรู้สึกเอาไว้ในใจให้ได้
“แล้วรินล่ะค่ะคุณดา รินเป็นผู้ช่วยของพี่เต้แล้วต้องมาช่วยคุณอัยด้วยหรือเปล่า” นาริน สาวสวยในชุดสุดเปรี้ยวเอ่ยถาม ประเมินจากสีหน้าของเธอแล้วคงจะไม่พอใจถ้าหากได้งานเพิ่ม
นาถลดาหันมองผู้ถาม และจ้องนิ่งก่อนตอบ “ไม่ต้อง ฉันจะให้เก๋กับวิชเป็นผู้ช่วยของหนูอัยเอง”
คนฟังสะดุดใจกับคำเรียกขานที่เจ้านายใช้กับอาทิตยาซึ่งดูปราณีเหลือเกิน เข้าใจอยู่หรอกว่าอยากได้ตัวอีกฝ่ายมานาน แต่ความสนิทสนมที่เกิดขึ้นรวดเร็วก็ดูขัดกับความไว้ตัวของนาถลดานัก ดูเหมือนเจ้านายจะถูกชะตากับอาทิตยาเป็นพิเศษ แล้วพี่เต้ของเธอล่ะ...
“เก๋กับวิชเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานยังไม่มีความชำนาญ ให้รินเป็นผู้ช่วยคุณอัยไปก่อนก็ได้นะครับคุณดา ยังไงๆคุณอัยก็ต้องทดลองงานตั้งสามเดือน ถ้าไม่มีมืออาชีพช่วยอาจจะไม่ผ่านโปร” พงษ์พจน์เอ่ยอย่างมีน้ำใจ ค้านกับสายตาที่มองอาทิตยาอย่างหมิ่นๆ และน้ำเสียงที่ดูกดอีกฝ่ายหน่อยๆ
“ไม่ต้องห่วงคนอื่น” เจ้าของบริษัทตอบเสียงเข้ม “ทำหน้าที่ของพวกเธอให้ดีเถอะ ส่วนหนูอัยน่ะ ฉันจะให้คุณนัทช่วยดูแลเอง มันเป็นหน้าที่ของเขา”
“ได้ครับ” ณัฐชาติรับคำเบาๆ
อาทิตยาปรายหางตาดูปฏิกิริยาคนพูดแวบหนึ่ง พบว่าท่าทางของณัฐชาติดูไม่ทุกข์ร้อน ใบหน้าของเขาไม่ยินดียินร้าย ทั้งๆที่เขาก็น่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าเธอนั้นตั้งป้อมอคติสักเพียงไหน
“ดีแล้ว ฉันตั้งเป้าเอาไว้ว่าปีนี้เราจะต้องมีนักเขียนในสังกัดมากขึ้น ผลิตหนังสือออกสู่ตลาดได้มากยิ่งขึ้น และสำนักพิมพ์ของเราจะต้องมั่นคงขึ้น ฉันเชื่อว่าทุกคนทำได้ ถ้าเราตั้งใจ” นาถลดาบอกอย่างมาดมั่น แล้วจึงหันไปสั่งงานกับณัฐชาติก่อนลุกขึ้นยืน “นัทช่วยแนะนำงานให้หนูอัยด้วยนะ ตามที่เราคุยกันเอาไว้นั่นแหละ แล้วพอเลิกประชุมก็เรียกเก๋กับวิชเข้ามาแนะนำให้หนูอัยรู้จักด้วย”
“ครับ” ชายหนุ่มยังคงรับคำสั้นๆตามเคย นี่คงเป็นอีกความเปลี่ยนแปลงหนึ่งของณัฐชาติสินะ เมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนนิ่งแบบนี้
“โอเค งั้นปิดประชุมได้”หลังนาถลดากล่าวปิด ทุกคนในที่นั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ทยอยกันเดินออกไปห้อง ขณะที่อาทิตยาซึ่งยังงงๆอยู่ยังนั่งเฉย
แล้วจู่ๆเสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวนัทพาหนูอัยไปส่งที่ห้องทำงานด้วยนะ”
หลังจากได้ยินประกาศิตจากเจ้าของสำนักพิมพ์ อาทิตยาก็เดินตามณัฐชาติออกมาจากห้องประชุมโดยไม่ปริปากพูดอะไรกับเขาเลย จนมาถึงห้องทำงานซึ่งจัดเอาไว้เป็นสัดส่วน ชายหนุ่มจึงเปิดประตูและเชื้อเชิญด้วยท่าทางที่หญิงสาวมองแล้วขัดหูขัดตาเสียเหลือเกิน
“เชิญฮะ คุณอัย” เสียงที่เรียกชื่อเธอเน้นๆ คล้ายเป็นการล้อเลียนเสียจนจับสังเกตได้
อาทิตยาทำเฉยเสีย แล้วเดินผ่านร่างของเขาและกรอบประตูเข้าไปโดยไม่เอ่ยคำขอบคุณ ก่อนจะหยุดอยู่กลางห้อง กวาดสายตามองห้องสีครีมเล็กๆด้วยใบหน้าเรียบเฉย ห้องน่ะชอบอยู่หรอก แต่ไม่ชอบคนที่เดินมาด้วยนี่เลย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ณัฐชาติปิดประตูแล้วจึงเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับหญิงสาว จ้องเธอตรงๆอยู่อึดใจใหญ่อย่างประเมินท่าที ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาครามครัน
“มองทำไม”
ชายหนุ่มยิ้ม ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองเธอด้วยสายตากึ่งขัน “มองทอม”
“หมายความว่าไง”
“อ้าว! ยังต้องแปลอีกรึ เข้าใจอะไรยากแบบนี้จะมาเป็นบอกอได้หรือคุณ”
อาทิตยาเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงด้วยแววตาเป็นประกาย “ฉันคิดว่านายไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไร แต่ถ้าอยากให้อธิบายเพื่อเทสกึ๋น ฉันก็ไม่จำเป็นต้องตอบเพราะรู้ตัวดีว่ากำลังถูกหาเรื่อง”
ณัฐชาติอมยิ้ม “หาเรื่องที่ไหนกัน ก็ดูคุณสิ ผมสั้น สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ นี่มันทอมชัดๆ แล้วไหนจะข่าวฉาวระหว่างคุณกับน้องสาวสุดเลิฟอีกละ จะไม่ให้ผมคิดได้ยังไง”
“คิดไม่คิดก็เรื่องของนาย ฉันไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับนายเลย ฉันจะพยายามแยกงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นหัวหน้าแล้วจะมาละลาบละล้วงเรื่องของคนอื่นได้นะดังนั้นถึงนายจะเป็นเจ้านาย แต่ถ้าส่วนไหนเป็นเรื่องส่วนตัว อย่ามายุ่ง” เธอเน้นคำว่า อย่ามายุ่ง ชัดถ้อยชัดคำนัก
ณัฐชาติยิ้มกว้าง แววตาเขาฉายแววขี้เล่น “โอ้โฮ ดุเสียด้วย รู้สึกจะดุกว่าเก่านะ ไม่เหมือน....”
“พอ...ออกไปจากห้องทำงานฉันได้ละ” ไม่พูดเปล่า อาทิตยาใช้สองแขนดันร่างของเขาด้วยหน้าตาเคร่งเครียด
“เฮ้ย!นี่ผมเป็นเจ้านายคุณนะอัย” เขาร้องเสียงหลง
“ใช่ แต่ฉันจะทำงาน นายเองก็ไปทำงานของตัวเองได้ละ”
ก๊อกๆ
ขณะที่กำลังชุลมุน เสียงเคาะประตูก็ดังแทรกขึ้น สงครามกลางห้องจึงยุติลง ทั้งฝ่ายแดงและฝ่ายน้ำเงินต่างหันหน้าไปทางอื่น
เมื่อประตูเปิดออก หนุ่มสาวในชุดนักศึกษาจึงก้าวเข้ามาพร้อมกับยกมือไหว้ “ขอนุญาตค่ะ คุณดาสั่งให้เก๋กับวิชเข้ามาแนะนำตัวกับบอกออัยค่ะ”
อาทิตยามองเลยคู่กัดหนุ่มไปยังรุ่นน้องทั้งสองพลางบอกอย่างใจดีว่า “ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ เห็นคุณดาบอกว่าน้องๆจะมาเป็นผู้ช่วยพี่ งั้นเรามาวางแผนงานกันเลยดีกว่า เชิญที่โต๊ะเลยก็แล้วกันนะ”
เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวทำตามต้อยๆ อาทิตยาจึงหันทางณัฐชาติพลางบอกเสียงเข้ม “เชิญคุณนัทกลับไปทำงานได้แล้วนะ พวกเราจะเริ่มงานกันแล้ว”
ชายหนุ่มอมยิ้ม ก่อนจะยักไหล่เดินออกไปด้วยสีหน้าระรื่น
‘เอาเถอะอัย ระหว่างเราสองคนยังมีเวลาอีกยาว’
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ประตูปิดลงเมื่อลับร่างณัฐชาติ หลังจากนั้นอาทิตยาจึงหันมาสนใจสองหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่งพร้อมยิงคำถาม “นาย เอ่อ คุณนัทนี่มาเป็นบอกอได้ยังไง เขาเรียนจบอะไรมา”
จริงๆเธออยากจะถามว่า ‘เขาจบวิศวะมาไม่ใช่หรือ’ต่างหาก
“เท่าที่เก๋รู้ คุณนัทจบเอกบรรณาธิการโดยตรงเลยค่ะ” สิยาพรตอบยิ้มๆ เธอนั้นปลื้มณัฐชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การได้พูดถึงเขาจึงเป็นความรู้สึกดีๆและชื่นชม
“เหรอ” อาทิตยาตอบได้เพียงเท่านั้น ก็ที่เธอรู้มันไม่ใช่แบบนี้ แต่ครั้นจะย้อนถามกลับไปอีกก็ดูจะจับผิดกันมากเกิน แต่แล้วอีกอึดใจวิชกรจึงเป็นผู้ไขข้อข้องใจของเธอให้แจ่มชัดขึ้น “วิชได้ยินมาว่า ตอนแรกๆคุณนัทจบวิศวะมาฮะ แต่ตอนหลังมาเรียนเอกบรรณาธิการเพิ่มเพราะอยากทำงานเกี่ยวกับหนังสือ”
“อ๋อ เหรอ” เป็นอีกครั้งที่เรื่องราวของเขาทำให้เธอแปลกใจ
เพลบอยคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างณัฐชาติเนี่ยนะ สนใจเรื่องการทำหนังสือจนต้องกลับมาเรียนอะไรที่เขาเคยปรามาสว่าน่าเบื่อ
“บอกออัยสงสัยอะไรหรือเปล่าคะ” สิยาพรถามขึ้น
บอกอสาวจึงส่ายหน้า “เปล่า ไม่ได้สงสัยอะไรหรอก เดี๋ยวต้องร่วมงานกันไง เลยอยากรู้ประวัติเจ้านายบ้าง”
“อ๋อ”สองหนุ่มสาวพูดขึ้นพร้อมกัน
“น้องทั้งสองคนไม่ต้องเรียกพี่ว่าบอกอก็ได้นะ เรียกว่าพี่อัยก็พอ คำว่าบอกอน่ะ เอาไว้ให้คนนอกเรียก เราทำงานร่วมกันเป็นพี่กับน้องดีกว่า”
สิ้นคำ เสียงโทรศัพท์มือถือของอาทิตยาก็ดังขึ้น เธอจึงเดินเลี่ยงไปยืนพิงกรอบหน้าต่างและกดรับสาย
“พี่อัยลาออกจากสำนักพิมพ์ทำไมคะ” เสียงปลายสายแสดงความร้อนรนเด่นชัด
“พี่ได้งานที่ใหม่น่ะแพร” อาทิตยาตอบเสียงเรียบ มันก็จริงครึ่งหนึ่ง เธอได้งานใหม่แล้ว แถมเงินเดือนมากขึ้นกว่าเดิมเกือบเท่าตัว ส่วนเหตุผลที่เธอต้องลาออกจากสำนักพิมพ์เดิมนั้นขอเว้นไว้ก่อนก็แล้วกัน
“ไม่ใช่ว่าคุณแม่ของแพรกดดันให้พี่อัยออกหรือคะ”
“เอ่อ ก็...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
“นั่นไง แพรว่าแล้ว แพรไม่ยอมค่ะ แพรเป็นคนพาพี่อัยมาทำงานด้วยตัวเอง คุณแม่จะมาใช้สิทธิ์เจ้าของสำนักพิมพ์บีบคนออกไม่ได้”
“พี่บอกแล้วไงว่าไม่ถึงขนาดนั้น พี่ไม่สนุกกับงานถึงต้องลาออก ตอนนี้พี่ได้งานใหม่แล้วด้วย แพรไม่ต้องห่วงหรอก”
“ไม่ค่ะ” แพรวาเน้นเสียงเข้ม “พี่อัยจะต้องกลับมาทำงานกับแพร สำนักพิมพ์ใหม่พี่อยู่แถวไหน บอกมาสิคะ แพรจะไปบอกเขาว่าพี่จะกลับมาทำงานสำนักพิมพ์เดิม”
“แพร” อาทิตยาทำเสียงดุ “อย่าทำให้พี่ลำบากใจ พี่ตัดสินใจแล้วก็คือตามนั้น แค่นี้ก่อนนะพี่กำลังจะเข้าประชุม”
“แต่พี่อัย....” ได้ยินเพียงเท่านั้นอาทิตยาก็ตัดสายทิ้ง
เธอกับแพรวาสนิทสนมกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันที่เชียงใหม่ โดยแพรวาเป็นน้องรหัสของเธอ เธอจึงคอยดูแลอีกฝ่ายเป็นอย่างดี จึงทำให้หญิงสาวติดเธอแจ จนทำให้ใครต่อใครคิดว่าทั้งคู่เป็นคู่รักทอมดี้ รวมถึงบิดามารดาของสาวรุ่นน้องด้วย หลังจากนั้นเมื่อเรียนจบมาและเป็นนักเขียนอยู่สองปี แพรวาก็ดึงตัวเธอเข้าทำงานกับสำนักพิมพ์ที่มารดาของเธอเป็นเจ้าของ อาทิตยาจึงเริ่มต้นชีวิตบรรณาธิการและเรียนรู้งานจากที่นั่น จวบจนครึ่งปีที่ผ่านมามีข่าวว่าบิดาและมารดาของแพรวาต้องการให้เธอแต่งงานกับลูกชายรัฐมนตรีท่านหนึ่ง แต่หญิงสาวกลับปฏิเสธ คนจึงพุ่งประเด็นมาที่อาทิตยาว่าเป็นต้นเหตุ ชีวิตการทำงานที่เคยราบรื่นของอาทิตยาจึงเริ่มสะดุด คงเหมือนกับที่แพรวาคาดเดานั่นแหละ เธอถูกบีบให้ออกจากงานจริงๆ
“เดี๋ยวเก๋ช่วยหารายงานประจำปีมาให้พี่ดูหน่อยนะ พี่อยากรู้ว่าเราออกหนังสือไปแล้วกี่เล่ม แล้วรายได้เป็นยังไง ใครเป็นนักเขียนทำเงินบ้าง” อาทิตยาสั่งพลางนั่งลงที่เดิม
“ได้ค่ะ”สาวน้อยรับคำเสียงใส ขณะที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เลขาสาวของณัฐชาตินั่นเองที่เปิดประตูเข้ามา “คุณนัทเชิญบอกออัยที่ห้องตอนนี้ค่ะ”
อาทิตยารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันใด เธอเพิ่งแยกตัวจากเขามาได้เมื่อครู่ เพิ่งจะหายใจหายคอโล่งขึ้น นี่ชายหนุ่มกลับส่งเลขาฯมาเชิญให้ไปพบอีกแล้ว ‘อัยเอ๊ย เจอแบบนี้จะทำงานได้สักกี่วันวะเนี่ย’
“ฉันยังคุยงานกับน้องๆไม่จบเลยนะ” เธอแย้งอย่างไม่ใส่ใจนัก
อีกฝ่ายจึงกล่าวยิ้มๆ “คุณนัทบอกว่าเรื่องด่วนค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงบอกออัยจะต้องไปพบนักเขียนพร้อมคุณนัท อ้อ ส่วนน้องๆเนี่ย คุณดาให้ไปพบที่ห้องด้วยนะคะ”
“โอเค บอกเจ้านายคุณว่า เดี๋ยว...ฉัน...จะไป” อาทิตยาตอบอย่างเซ็งๆ
อีกฝ่ายจึงยิ้มสวยส่งมา “ได้ค่ะ เดี๋ยวพัชเรียนคุณนัทให้”
เมื่อเลขาฯสาวเดินออกไปแล้ว อาทิตยาจึงลอบถอนใจออกมาเบาๆ ‘นี่มันหนีเสือมาปะจระเข้ชัดๆ’
จบตอน....
บทที่ ๑
สำนักพิมพ์เลิฟไลน์บุ๊คส์เป็นสำนักพิมพ์ที่ตั้งอยู่บนอาคารพาณิชย์สูง 7 ชั้น 9 คูหาโดยใช้พื้นที่คูหาสุดท้ายด้านซ้ายมือสุดของตัวอาคารเป็นสำนักงาน ส่วนอีก 8 คูหานั้นเป็นพื้นที่ของบริษัทอนันต์วิศวกรรมซึ่งประเมินจากสายตาแล้ว อาทิตยาคิดว่าสองบริษัทนี้น่าจะมีเจ้าของเดียวกันหรือไม่ก็คงเป็นญาติๆกันจึงมาตั้งบริษัทที่มีลักษณะงานต่างกันอยู่บนอาคารพาณิชย์หลังเดียวกันได้
เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีแดงเข้ม กางเกงยีนขายาวสีดำยืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าอาคารพักใหญ่ รปภ.วัยกลางคนจึงเข้ามาสอบถามและแนะนำให้อาทิตยาขึ้นไปยังชั้น7 เธอจึงเอ่ยขอบคุณแล้วขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นดังกล่าวเพื่อแจ้งกับเลขาฯหน้าห้องว่ามาพบนาถนรี ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะรู้หน้าที่ดีอยู่แล้ว จึงเปิดประตูให้เธอเข้าไปในห้องซึ่งมีกระจกสีทึมโดยไม่ซักถามอะไรเลย
หลังแทรกตัวผ่านกรอบประตูเข้าไป อาทิตยาจึงพบว่า เธอถูกพาเข้ามาในห้องประชุมสีครีมขนาดกลาง หญิงสาวรีบกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว เวลานี้ภายในห้องมีคนนั่งอยู่ราวๆสิบคน แต่ละคนมองมาที่เธอเป็นจุดเดียว แต่อาทิตยาก็ไม่เกิดอาการประหม่าแต่อย่างใด เธอเดินตามเลขาฯเข้าไปแนะนำตัวกับนาถลดาซึ่งนั่งเป็นประธานอยู่ อีกฝ่ายรับไหว้แล้วจึงโอบไหล่พาเธอไปแนะนำตัวกับฝ่ายต่างๆของสำนักพิมพ์บ้าง โดยเริ่มจากผู้ที่นั่งอยู่ไกลสุดก่อน จนมาถึงผู้ที่ทำให้หญิงสาวต้องชะงักงันแค่เพียงได้ยินคำแนะนำว่า “นี่ณัฐชาติ เป็นบรรณาธิการบริหาร”
ใจของเธอเต้นตึกตัก อธิษฐานว่าขออย่าให้เป็นณัฐชาติคนเดียวกับที่เธอเคยรู้จักเลย เพราะหากเป็นเช่นนั้นการทำงานของเธอคงจะไม่ราบรื่นเป็นแน่
จากนั้นอาทิตยาจึงรีบละสายตาจากผู้ช่วยบ.ก.สาวสวยมายังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านในสุดของห้อง ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้างเธอเลยสักนิด เธอจำเขาได้ดี ชายหนุ่มผู้มีดวงตาเรียวใต้คิ้วเข้มเหมาะเจาะกับจมูกโด่งเป็นสัน เหนือริมฝีปากบางคล้ายปากสตรี ระยะเวลาสิบกว่าปีมิได้ทำให้ณัฐชาติเปลี่ยนแปลงไปมากนัก รูปร่างของเขายังคงสูงโปร่ง ไหล่หนาดูผึ่งผาย หากจะมีหนึ่งที่แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด คือ สายตาของเขา ณัฐชาติเคยมีแววตาขี้เล่นและรอยยิ้มสดใสเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ดูโดดเด่นกว่าหนุ่มคนอื่นๆรอบตัว ทว่าวันนี้แววตาที่มองสบมานิ่งสนิท มีเพียงเรียวปากที่ระบายยิ้มน้อยๆดูเป็นมิตร ตรงกันข้ามกับอาทิตยาที่เม้มปากตนเองแน่น แววตาของเธอแข็งกร้าวขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“สวัสดีครับ คุณอาทิตยา”
ประโยคแรกของณัฐชาติดึงสติของหญิงสาวให้กลับมาสู่ปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว เธอจึงรีบกลบเกลื่อนอาการพลางเอ่ยตอบอย่างรักษามารยาท “เอ่อ สวัสดีคุณณัฐชาติ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เขายังคงยิ้มจางๆ “ยินดีครับ”
“เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาหนูอาทิตยาแนะนำตัวเองบ้างแล้ว” นาถลดาบอกพลางแตะข้อศอกของบ.ก.สาวคนใหม่เบาๆ
อาทิตยาหันไปตอบว่า ค่ะ เบาๆ ก่อนทำตาม “ชื่ออาทิตยา ชื่อเล่นอัย อดีตบอกอประจำสำนักพิมพ์ลูกหว้าค่ะ”
แนะนำตัวเสร็จเธอก็จำต้องนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ระหว่างนาถลดาและณัฐชาติตามคำเชิญ เธอรู้สึกว่าฝ่ายหลังยังจ้องเธออยู่ตลอด จนเธอนั่งลงแล้วนาถลดาพูดต่อนั่นแหละ เขาถึงละสายตาไปมองผู้พูด
“ที่ฉันเรียกประชุมทุกฝ่ายในวันนี้ก็เพื่อจะแนะนำหนูอัย ซึ่งจะมาทำงานในตำแหน่งบอกอคู่กับบอกอเต้ โดยทั้งสองคนจะทำงานขึ้นตรงกับคุณนัท มีอะไรก็ปรึกษาคุณนัทได้เลยนะ” นาถลดาอธิบาย
แม้จะรู้ดีว่าโดยสายงานแล้วเธอเป็นลูกน้องของณัฐชาติ แต่อาทิตยาก็ยิ่งรู้สึกกังวลเมื่อได้ยินประโยคท้ายๆของเจ้าของสำนักพิมพ์ ซึ่งดูจะให้เครดิตชายหนุ่มอย่างเต็มที่ ในเมื่อเธอตัดสินใจมาทำงานที่นี่แล้วก็คงต้องยอมทำงานใต้อาณัติเขาโดยดุษณีสินะ หรืออีกทางหนึ่งก็คือตัดใจลาออกทั้งๆที่ยังไม่เริ่มงาน ซึ่งเธอต้องหางานใหม่ แล้วพ่อกับแม่ของเธอล่ะ คิดมาถึงตรงนี้อาทิตยาก็ต้องข่มใจ เตือนตัวเองว่า เธอจะต้องทำงานอย่างมืออาชีพ ข่มความรู้สึกเอาไว้ในใจให้ได้
“แล้วรินล่ะค่ะคุณดา รินเป็นผู้ช่วยของพี่เต้แล้วต้องมาช่วยคุณอัยด้วยหรือเปล่า” นาริน สาวสวยในชุดสุดเปรี้ยวเอ่ยถาม ประเมินจากสีหน้าของเธอแล้วคงจะไม่พอใจถ้าหากได้งานเพิ่ม
นาถลดาหันมองผู้ถาม และจ้องนิ่งก่อนตอบ “ไม่ต้อง ฉันจะให้เก๋กับวิชเป็นผู้ช่วยของหนูอัยเอง”
คนฟังสะดุดใจกับคำเรียกขานที่เจ้านายใช้กับอาทิตยาซึ่งดูปราณีเหลือเกิน เข้าใจอยู่หรอกว่าอยากได้ตัวอีกฝ่ายมานาน แต่ความสนิทสนมที่เกิดขึ้นรวดเร็วก็ดูขัดกับความไว้ตัวของนาถลดานัก ดูเหมือนเจ้านายจะถูกชะตากับอาทิตยาเป็นพิเศษ แล้วพี่เต้ของเธอล่ะ...
“เก๋กับวิชเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานยังไม่มีความชำนาญ ให้รินเป็นผู้ช่วยคุณอัยไปก่อนก็ได้นะครับคุณดา ยังไงๆคุณอัยก็ต้องทดลองงานตั้งสามเดือน ถ้าไม่มีมืออาชีพช่วยอาจจะไม่ผ่านโปร” พงษ์พจน์เอ่ยอย่างมีน้ำใจ ค้านกับสายตาที่มองอาทิตยาอย่างหมิ่นๆ และน้ำเสียงที่ดูกดอีกฝ่ายหน่อยๆ
“ไม่ต้องห่วงคนอื่น” เจ้าของบริษัทตอบเสียงเข้ม “ทำหน้าที่ของพวกเธอให้ดีเถอะ ส่วนหนูอัยน่ะ ฉันจะให้คุณนัทช่วยดูแลเอง มันเป็นหน้าที่ของเขา”
“ได้ครับ” ณัฐชาติรับคำเบาๆ
อาทิตยาปรายหางตาดูปฏิกิริยาคนพูดแวบหนึ่ง พบว่าท่าทางของณัฐชาติดูไม่ทุกข์ร้อน ใบหน้าของเขาไม่ยินดียินร้าย ทั้งๆที่เขาก็น่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าเธอนั้นตั้งป้อมอคติสักเพียงไหน
“ดีแล้ว ฉันตั้งเป้าเอาไว้ว่าปีนี้เราจะต้องมีนักเขียนในสังกัดมากขึ้น ผลิตหนังสือออกสู่ตลาดได้มากยิ่งขึ้น และสำนักพิมพ์ของเราจะต้องมั่นคงขึ้น ฉันเชื่อว่าทุกคนทำได้ ถ้าเราตั้งใจ” นาถลดาบอกอย่างมาดมั่น แล้วจึงหันไปสั่งงานกับณัฐชาติก่อนลุกขึ้นยืน “นัทช่วยแนะนำงานให้หนูอัยด้วยนะ ตามที่เราคุยกันเอาไว้นั่นแหละ แล้วพอเลิกประชุมก็เรียกเก๋กับวิชเข้ามาแนะนำให้หนูอัยรู้จักด้วย”
“ครับ” ชายหนุ่มยังคงรับคำสั้นๆตามเคย นี่คงเป็นอีกความเปลี่ยนแปลงหนึ่งของณัฐชาติสินะ เมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนนิ่งแบบนี้
“โอเค งั้นปิดประชุมได้”หลังนาถลดากล่าวปิด ทุกคนในที่นั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ทยอยกันเดินออกไปห้อง ขณะที่อาทิตยาซึ่งยังงงๆอยู่ยังนั่งเฉย
แล้วจู่ๆเสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวนัทพาหนูอัยไปส่งที่ห้องทำงานด้วยนะ”
หลังจากได้ยินประกาศิตจากเจ้าของสำนักพิมพ์ อาทิตยาก็เดินตามณัฐชาติออกมาจากห้องประชุมโดยไม่ปริปากพูดอะไรกับเขาเลย จนมาถึงห้องทำงานซึ่งจัดเอาไว้เป็นสัดส่วน ชายหนุ่มจึงเปิดประตูและเชื้อเชิญด้วยท่าทางที่หญิงสาวมองแล้วขัดหูขัดตาเสียเหลือเกิน
“เชิญฮะ คุณอัย” เสียงที่เรียกชื่อเธอเน้นๆ คล้ายเป็นการล้อเลียนเสียจนจับสังเกตได้
อาทิตยาทำเฉยเสีย แล้วเดินผ่านร่างของเขาและกรอบประตูเข้าไปโดยไม่เอ่ยคำขอบคุณ ก่อนจะหยุดอยู่กลางห้อง กวาดสายตามองห้องสีครีมเล็กๆด้วยใบหน้าเรียบเฉย ห้องน่ะชอบอยู่หรอก แต่ไม่ชอบคนที่เดินมาด้วยนี่เลย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ณัฐชาติปิดประตูแล้วจึงเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับหญิงสาว จ้องเธอตรงๆอยู่อึดใจใหญ่อย่างประเมินท่าที ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาครามครัน
“มองทำไม”
ชายหนุ่มยิ้ม ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองเธอด้วยสายตากึ่งขัน “มองทอม”
“หมายความว่าไง”
“อ้าว! ยังต้องแปลอีกรึ เข้าใจอะไรยากแบบนี้จะมาเป็นบอกอได้หรือคุณ”
อาทิตยาเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงด้วยแววตาเป็นประกาย “ฉันคิดว่านายไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไร แต่ถ้าอยากให้อธิบายเพื่อเทสกึ๋น ฉันก็ไม่จำเป็นต้องตอบเพราะรู้ตัวดีว่ากำลังถูกหาเรื่อง”
ณัฐชาติอมยิ้ม “หาเรื่องที่ไหนกัน ก็ดูคุณสิ ผมสั้น สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ นี่มันทอมชัดๆ แล้วไหนจะข่าวฉาวระหว่างคุณกับน้องสาวสุดเลิฟอีกละ จะไม่ให้ผมคิดได้ยังไง”
“คิดไม่คิดก็เรื่องของนาย ฉันไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับนายเลย ฉันจะพยายามแยกงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นหัวหน้าแล้วจะมาละลาบละล้วงเรื่องของคนอื่นได้นะดังนั้นถึงนายจะเป็นเจ้านาย แต่ถ้าส่วนไหนเป็นเรื่องส่วนตัว อย่ามายุ่ง” เธอเน้นคำว่า อย่ามายุ่ง ชัดถ้อยชัดคำนัก
ณัฐชาติยิ้มกว้าง แววตาเขาฉายแววขี้เล่น “โอ้โฮ ดุเสียด้วย รู้สึกจะดุกว่าเก่านะ ไม่เหมือน....”
“พอ...ออกไปจากห้องทำงานฉันได้ละ” ไม่พูดเปล่า อาทิตยาใช้สองแขนดันร่างของเขาด้วยหน้าตาเคร่งเครียด
“เฮ้ย!นี่ผมเป็นเจ้านายคุณนะอัย” เขาร้องเสียงหลง
“ใช่ แต่ฉันจะทำงาน นายเองก็ไปทำงานของตัวเองได้ละ”
ก๊อกๆ
ขณะที่กำลังชุลมุน เสียงเคาะประตูก็ดังแทรกขึ้น สงครามกลางห้องจึงยุติลง ทั้งฝ่ายแดงและฝ่ายน้ำเงินต่างหันหน้าไปทางอื่น
เมื่อประตูเปิดออก หนุ่มสาวในชุดนักศึกษาจึงก้าวเข้ามาพร้อมกับยกมือไหว้ “ขอนุญาตค่ะ คุณดาสั่งให้เก๋กับวิชเข้ามาแนะนำตัวกับบอกออัยค่ะ”
อาทิตยามองเลยคู่กัดหนุ่มไปยังรุ่นน้องทั้งสองพลางบอกอย่างใจดีว่า “ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ เห็นคุณดาบอกว่าน้องๆจะมาเป็นผู้ช่วยพี่ งั้นเรามาวางแผนงานกันเลยดีกว่า เชิญที่โต๊ะเลยก็แล้วกันนะ”
เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวทำตามต้อยๆ อาทิตยาจึงหันทางณัฐชาติพลางบอกเสียงเข้ม “เชิญคุณนัทกลับไปทำงานได้แล้วนะ พวกเราจะเริ่มงานกันแล้ว”
ชายหนุ่มอมยิ้ม ก่อนจะยักไหล่เดินออกไปด้วยสีหน้าระรื่น
‘เอาเถอะอัย ระหว่างเราสองคนยังมีเวลาอีกยาว’
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ประตูปิดลงเมื่อลับร่างณัฐชาติ หลังจากนั้นอาทิตยาจึงหันมาสนใจสองหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่งพร้อมยิงคำถาม “นาย เอ่อ คุณนัทนี่มาเป็นบอกอได้ยังไง เขาเรียนจบอะไรมา”
จริงๆเธออยากจะถามว่า ‘เขาจบวิศวะมาไม่ใช่หรือ’ต่างหาก
“เท่าที่เก๋รู้ คุณนัทจบเอกบรรณาธิการโดยตรงเลยค่ะ” สิยาพรตอบยิ้มๆ เธอนั้นปลื้มณัฐชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การได้พูดถึงเขาจึงเป็นความรู้สึกดีๆและชื่นชม
“เหรอ” อาทิตยาตอบได้เพียงเท่านั้น ก็ที่เธอรู้มันไม่ใช่แบบนี้ แต่ครั้นจะย้อนถามกลับไปอีกก็ดูจะจับผิดกันมากเกิน แต่แล้วอีกอึดใจวิชกรจึงเป็นผู้ไขข้อข้องใจของเธอให้แจ่มชัดขึ้น “วิชได้ยินมาว่า ตอนแรกๆคุณนัทจบวิศวะมาฮะ แต่ตอนหลังมาเรียนเอกบรรณาธิการเพิ่มเพราะอยากทำงานเกี่ยวกับหนังสือ”
“อ๋อ เหรอ” เป็นอีกครั้งที่เรื่องราวของเขาทำให้เธอแปลกใจ
เพลบอยคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างณัฐชาติเนี่ยนะ สนใจเรื่องการทำหนังสือจนต้องกลับมาเรียนอะไรที่เขาเคยปรามาสว่าน่าเบื่อ
“บอกออัยสงสัยอะไรหรือเปล่าคะ” สิยาพรถามขึ้น
บอกอสาวจึงส่ายหน้า “เปล่า ไม่ได้สงสัยอะไรหรอก เดี๋ยวต้องร่วมงานกันไง เลยอยากรู้ประวัติเจ้านายบ้าง”
“อ๋อ”สองหนุ่มสาวพูดขึ้นพร้อมกัน
“น้องทั้งสองคนไม่ต้องเรียกพี่ว่าบอกอก็ได้นะ เรียกว่าพี่อัยก็พอ คำว่าบอกอน่ะ เอาไว้ให้คนนอกเรียก เราทำงานร่วมกันเป็นพี่กับน้องดีกว่า”
สิ้นคำ เสียงโทรศัพท์มือถือของอาทิตยาก็ดังขึ้น เธอจึงเดินเลี่ยงไปยืนพิงกรอบหน้าต่างและกดรับสาย
“พี่อัยลาออกจากสำนักพิมพ์ทำไมคะ” เสียงปลายสายแสดงความร้อนรนเด่นชัด
“พี่ได้งานที่ใหม่น่ะแพร” อาทิตยาตอบเสียงเรียบ มันก็จริงครึ่งหนึ่ง เธอได้งานใหม่แล้ว แถมเงินเดือนมากขึ้นกว่าเดิมเกือบเท่าตัว ส่วนเหตุผลที่เธอต้องลาออกจากสำนักพิมพ์เดิมนั้นขอเว้นไว้ก่อนก็แล้วกัน
“ไม่ใช่ว่าคุณแม่ของแพรกดดันให้พี่อัยออกหรือคะ”
“เอ่อ ก็...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
“นั่นไง แพรว่าแล้ว แพรไม่ยอมค่ะ แพรเป็นคนพาพี่อัยมาทำงานด้วยตัวเอง คุณแม่จะมาใช้สิทธิ์เจ้าของสำนักพิมพ์บีบคนออกไม่ได้”
“พี่บอกแล้วไงว่าไม่ถึงขนาดนั้น พี่ไม่สนุกกับงานถึงต้องลาออก ตอนนี้พี่ได้งานใหม่แล้วด้วย แพรไม่ต้องห่วงหรอก”
“ไม่ค่ะ” แพรวาเน้นเสียงเข้ม “พี่อัยจะต้องกลับมาทำงานกับแพร สำนักพิมพ์ใหม่พี่อยู่แถวไหน บอกมาสิคะ แพรจะไปบอกเขาว่าพี่จะกลับมาทำงานสำนักพิมพ์เดิม”
“แพร” อาทิตยาทำเสียงดุ “อย่าทำให้พี่ลำบากใจ พี่ตัดสินใจแล้วก็คือตามนั้น แค่นี้ก่อนนะพี่กำลังจะเข้าประชุม”
“แต่พี่อัย....” ได้ยินเพียงเท่านั้นอาทิตยาก็ตัดสายทิ้ง
เธอกับแพรวาสนิทสนมกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันที่เชียงใหม่ โดยแพรวาเป็นน้องรหัสของเธอ เธอจึงคอยดูแลอีกฝ่ายเป็นอย่างดี จึงทำให้หญิงสาวติดเธอแจ จนทำให้ใครต่อใครคิดว่าทั้งคู่เป็นคู่รักทอมดี้ รวมถึงบิดามารดาของสาวรุ่นน้องด้วย หลังจากนั้นเมื่อเรียนจบมาและเป็นนักเขียนอยู่สองปี แพรวาก็ดึงตัวเธอเข้าทำงานกับสำนักพิมพ์ที่มารดาของเธอเป็นเจ้าของ อาทิตยาจึงเริ่มต้นชีวิตบรรณาธิการและเรียนรู้งานจากที่นั่น จวบจนครึ่งปีที่ผ่านมามีข่าวว่าบิดาและมารดาของแพรวาต้องการให้เธอแต่งงานกับลูกชายรัฐมนตรีท่านหนึ่ง แต่หญิงสาวกลับปฏิเสธ คนจึงพุ่งประเด็นมาที่อาทิตยาว่าเป็นต้นเหตุ ชีวิตการทำงานที่เคยราบรื่นของอาทิตยาจึงเริ่มสะดุด คงเหมือนกับที่แพรวาคาดเดานั่นแหละ เธอถูกบีบให้ออกจากงานจริงๆ
“เดี๋ยวเก๋ช่วยหารายงานประจำปีมาให้พี่ดูหน่อยนะ พี่อยากรู้ว่าเราออกหนังสือไปแล้วกี่เล่ม แล้วรายได้เป็นยังไง ใครเป็นนักเขียนทำเงินบ้าง” อาทิตยาสั่งพลางนั่งลงที่เดิม
“ได้ค่ะ”สาวน้อยรับคำเสียงใส ขณะที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เลขาสาวของณัฐชาตินั่นเองที่เปิดประตูเข้ามา “คุณนัทเชิญบอกออัยที่ห้องตอนนี้ค่ะ”
อาทิตยารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันใด เธอเพิ่งแยกตัวจากเขามาได้เมื่อครู่ เพิ่งจะหายใจหายคอโล่งขึ้น นี่ชายหนุ่มกลับส่งเลขาฯมาเชิญให้ไปพบอีกแล้ว ‘อัยเอ๊ย เจอแบบนี้จะทำงานได้สักกี่วันวะเนี่ย’
“ฉันยังคุยงานกับน้องๆไม่จบเลยนะ” เธอแย้งอย่างไม่ใส่ใจนัก
อีกฝ่ายจึงกล่าวยิ้มๆ “คุณนัทบอกว่าเรื่องด่วนค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงบอกออัยจะต้องไปพบนักเขียนพร้อมคุณนัท อ้อ ส่วนน้องๆเนี่ย คุณดาให้ไปพบที่ห้องด้วยนะคะ”
“โอเค บอกเจ้านายคุณว่า เดี๋ยว...ฉัน...จะไป” อาทิตยาตอบอย่างเซ็งๆ
อีกฝ่ายจึงยิ้มสวยส่งมา “ได้ค่ะ เดี๋ยวพัชเรียนคุณนัทให้”
เมื่อเลขาฯสาวเดินออกไปแล้ว อาทิตยาจึงลอบถอนใจออกมาเบาๆ ‘นี่มันหนีเสือมาปะจระเข้ชัดๆ’
จบตอน....
ณฤดี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มี.ค. 2558, 06:21:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มี.ค. 2558, 17:45:36 น.
จำนวนการเข้าชม : 969
<< สู่ฝัน(บทนำ) |
Zephyr 13 มี.ค. 2558, 01:33:34 น.
นัทนี่ แฟนเก่าป้ะนะ
นัทนี่ แฟนเก่าป้ะนะ
ณฤดี 14 มี.ค. 2558, 19:58:51 น.
เดี๋ยวค่อยๆเล่าเนาะ ^^
เดี๋ยวค่อยๆเล่าเนาะ ^^