=ตราบสิ้นแสงอัสนี= -
นี่คือเรื่องของนางฟ้า ชื่อมณีเมขลา
คือเรื่องของอสุรา ชื่อรามสูร
แต่นี่... ไม่ใช่เรื่องรักที่จะพาคุณย้อนอดีต
เราจะพาคุณข้ามผ่านกลุ่มเมฆ กาลเวลา และสายฟ้า
"สู่อนาคต"

Tags: เมขลา รามสูร สายฟ้า องค์อินทร์ อินทรชิต

ตอน: บทที่ ๑ (ต่อ...) -น้ำฝน-

-๒- น้ำฝน



พราวพิรุณชอบเวลาได้อยู่คนเดียว กลิ่นของอากาศยามนั้นจะเป็นกลิ่นแห่งความสงบ
เพราะแบบนี้เธอถึงได้ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยเอ่ยปากเสวนายืดยาวกับคนไม่ถูกใจ
แต่สมัยก่อนตอนยังเด็ก นานๆครั้งเธอก็เผลอยินยอมให้พวกแปลกปลอมรุกล้ำ
พื้นที่ส่วนตัวเข้ามาได้บ้าง ตอนนี้เลยต้องมาย้อนคิด... ไม่น่าเลย
ไอ้ที่ยืนยันคำว่าไม่น่าเลยได้เป็นอย่างดี ก็คือสิ่งมีชีวิตที่ขวางดักรออยู่หน้าหอนั่นไง!

หลังเรียนเสร็จต่อด้วยติวหนังสือให้รุ่นน้อง เสร็จสรรพก็ฟ้าเริ่มมืด หญิงสาวขี่จักรยาน
ที่จอดทิ้งไว้คณะตั้งแต่วันก่อนกลับหอ ไม่นึกว่าจะพบ ตาแว่น...อันธพาลตัวสูงใหญ่
เป็นภูเขาขวางหน้า จะเลี่ยงจะหลีกคงยาก ว่าไปแล้วหมอนี่เป็นคู่ปรับที่ตามขนาดตัว
ต้องเรียกว่ามวยคนละรุ่นกระดูกคนละเบอร์กับเธอ ทั้งที่ปกติเขามักทำทีไว้เชิง
จู่ๆโผล่มา คงมีเรื่องต้องคุย

“กลับช้า! ซ้อมเชียร์รึไง คงมัวดูไอ้พวกเด็กปีหนึ่งหนุ่มๆตี๋ๆมันเต้นชักกระตุกเพลิน”

เสียงเรียบเรื่อยระคายหูเกินจะเรียกว่าคำทักทาย หญิงสาวทำเป็นไม่ได้ยินยามพาร่างผอมๆ
แต่มั่นคงของตนจูงจักรยานผ่านหน้าเขาไป ทว่าก่อนจะหาที่จอดได้เหมาะเจาะ ล้อหลังกลับติด

แต่ก่อนเขาใช้วิธีกระตุกหางม้าที่เธอรวบไว้ ตอนนี้ดูเหมือนจะลองวิธีใหม่
...พราวพิรุณส่งเสียงจิ๊จ๊ะ เหลียวไปดูก็จริงดังคาด เท้ามหึมาในผ้าใบยื่นมาขัด
ซี่ล้อหลังจักรยานเธอไว้ไม่ให้หมุน หญิงสาวจึงจอดมันตรงนั้นเลยอย่างเบื่อๆ
ปรายสบตาชายตัวโตผู้มีเชื้อสายครึ่งหนึ่งส่งตรงมาจากทวีปอื่น

ตาเทาเข้มเหมือนเหล็กเย็นใต้คิ้วที่ดูดุท้าทายให้เธอตอบโต้ ผมหยักศกค่อนข้างยาว
ตอนนี้ปล่อยสยายปรกไหล่โดยไม่รวบมัด กับรูปหน้าสมส่วนบึกบึน เห็นเหลี่ยม
สันโหนกแก้มขากรรไกรชัด ประดับด้วยหนวดเคราพอสวยไม่เรียกว่ารก
ที่ละเลยไม่ได้เลยยามมองคือลูกคางหยักเห็นเป็นลอนชัดตรงกลาง เสริมให้
เค้าหน้านั้นคมกริบโดดเด่น ไม่ใช่แค่ตัวเขา คู่แฝดอีกคนก็มีคางสวยๆนี่เหมือนกัน

แต่ปมที่ไม่ควรจะมี หมอนี่ชอบทำกร่างว่าตัวเองเป็นฝรั่งตัวโคร่ง หนุ่มตี๋รูปสำอางทั้งหลาย
ถือเป็นโซนฝั่งตรงข้าม เลยตีเอาว่าเมื่อเธอไม่ชอบหน้าคนอย่างเขา ก็คงชอบหนุ่มๆอีกฟาก
ระบบการคิดรวนหาเรื่องไร้สาระแบบนี้ ช่างไม่สมกับเกรดเฉลี่ย 4.00 ตลอดกาลนั่นเอาเลย

พราวพิรุณจิ้มอกเขาโดยแรงดันให้ถอย แต่เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ร่างนั้นไม่เขยื้อน
เจ้าของดวงตาสีเหล็กหลังกรอบแว่นยังเหลือบมองลงอย่างใจเย็น แม้ตีหน้าเฉย
หน้าเข้มเต็มไปด้วยไรหนวดไรเคราก็ยังดูเอาเรื่อง คิ้วยุ่งๆแต่ได้ทรงอย่างประหลาดขมวดมุ่น
แผ่รังสีคุกรุ่นออกมาอย่างที่ใครๆก็กลัว พวกรุ่นน้องผู้ชายยังถึงกับเรียกตฤณภพ
และแฝดของเขาลับหลังว่าพี่ยักษ์ แต่ยักษ์ตนไหนก็ข่มเธอไม่ได้แล้วกัน!

“ว่าไง?” ชายหนุ่มเอ่ยห้าวห้วน ก้าวเข้าใกล้ยิ่งขึ้น จับจ้องเธอที่เขามารอเจอ

“ว่าไงอะไร” หญิงสาวทวนคำเสียงเรียบแต่แฝงกระแสยวนอยู่ในที

“ทำไมกลับช้า ค่ำป่านนี้” สุ้มเสียงเรียบเรื่อยเตรียมดักคอเต็มที่
ตาคมราวมีดโกนมองสำรวจเธอจากบนลงล่าง และจากล่างวกขึ้นบนอีกที

“หึ พวกโดดประจำอย่างนายคงไม่รู้ หมดฤดูกิจกรรมแล้ว ก็แค่มีน้องรหัสมาขอให้ติว”

“อ่อ พี่สาวคนเก่ง... น้องรหัสนี่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย?”

“ฉันมันทอม คบผู้ชายจะเสียหายอะไร” เธอหาวตาปรือ

“ทอมงั้นเหรอ” เสียงพูดทั้งเบาและกดต่ำ “รู้อยู่...ว่าเธอไม่ได้เป็น”

แสงไฟนีออนในโรงจอดจักรยานสะท้อนเข้านัยน์ตาชายหนุ่ม คนมองจึงรู้สึกได้อีกครั้ง
แก้วตาเทาเข้มเหมือนเหล็กของเขา เจือสีเขียวเพียงน้อยอย่างที่เวลาปกติมองแทบไม่เห็น
พราวพิรุณเสมองไปทางอื่น ถอนใจ เอ่ยถามเป็นการเป็นงาน
“มาทำไม พูดธุระมา ให้ไว”

“อาจารย์สุจินด์ใช้ให้มากล่อม”

หญิงสาวเลิกคิ้ว เธอเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์ เขาสถาปัตย์ แล้วก็ไม่มีวิชาอะไร
ที่มีกรรมถึงขนาดต้องลงเรียนรวมกัน ดังนั้นอาจารย์คนที่ว่าจึงไม่ใช่อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไหน
แต่เป็นศิลปินอาวุโสชื่อกระฉ่อน ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักเพียงคนเดียวของเธอเอง

“อ้อ ตาใช้มาหรือ รู้เลยเรื่องอะไร” หญิงสาวยกแขนกอดอก

จะอะไรซะอีก ก็คนเป็นตาเล่นขอให้เธอไปล่องเรือสำราญอะไรนั่นด้วยตอนปิดเทอม
มีเหตุผลเสร็จสรรพว่าไม่ค่อยได้อยู่กับหลาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีหลังๆ
ตั้งแต่เธอเข้ามหาวิทยาลัย แต่เหตุผลที่แท้จริงตาเธอก็แค่อยากเป็นกาวใจ
เชื่อมสัมพันธ์ศิษย์รักกับหลานสาวที่ไม่ค่อยจะถูกกันเสียละมาก

“รู้ก็รีบๆรับปากซะ จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนมาถึงบุคคลที่สามอย่างฉัน” ชายหนุ่มไหวไหล่ยั่ว

เล่นส่งเจ้าตัวมาก่อกวนถึงที่ ทางสงบที่สุดคงเป็น... “ก็ได้ นายเลิกพูดมากแล้วรีบแจ้น
ไปบอกตาได้ละ ฉันจะไป” หญิงสาวกอดอกนิ่ง รอให้เขาผละจากเมื่อหมดธุระ
แต่คนหน้ามึนกลับยังยืนขวาง “อะไรอีกล่ะ”

“อาจารย์ฝากของมาให้ แต่ลืมเอามา”

“แล้วไง” เธอนิ่งไปอึดใจ ก่อนพยักพเยิดไปทางจักรยาน “นายไปเอามาสิ ฉันรอนี่”

สายตาเขาจับจ้องยังเสือภูเขาแบบมีเบาะซ้อนคันเก่งของเธอ “รถเธอไม่มีตะกร้า ขี้เกียจถือ”

เออแน่ะ เหตุผลดูเบาๆ แต่ก็ฟังเข้าทีอยู่ครึ่งหนึ่ง “ไปก็ไป” พราวพิรุณตัดสินใจ
“อย่างน้อยเจ้าเสือนี่ก็แมนพอจะรับน้ำหนักของยักษ์ กับนางฟ้าตัวเล็กๆอีกหนึ่ง ละมั้ง...”

“ขี่เองไหม นางฟ้า หึๆแม่ย่านางจักรยาน”

“บ้าเหรอ! สาวบอบบางอย่างฉันขี่ให้ตัวเองนั่งก็เหนื่อยแล้ว ใครจะไปแบกยักษ์ตัวโตๆอย่างนายไหว”

“บอบบาง? ถึงจะผอมเป็นไม้เสียบแต่โย่งเกินมาตรฐานหญิงไทยไปไกลอย่างเธอ ไม่เรียกบอบบาง”

หญิงสาวขบฟัน นึกอยากลงไม้ลงมือกับตฤณภพอยู่รำไร

แต่แล้ว การนั่งซ้อนจักรยานที่กลัวว่าจะคันเล็กไปกลับมั่นคงอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อมีเขาเป็นผู้ขี่
ยังไม่ดึก แต่ซอยทั้งมืด ทั้งเปลี่ยว พราวพิรุณออกจะกลัวผีมากกว่าคน เธอขยับเข้าใกล้เขาอีกนิด
มือยื่นไปขยุ้มเสื้อคนตัวโตไว้แน่น

“กลัวหรือ” สุ้มเสียงรู้ทันดังขึ้น

หญิงสาวกัดริมฝีปาก แม้จะอยู่เรือนไทยของตามาตลอด บนเรือนมีทั้งตุ๊กตา หัวโขน
หลายสิ่งที่คนกลัวรวมอยู่บนนั้น แต่สำหรับเธอนั่นคือบ้าน หุ่นที่สร้างจากความรัก
และความใส่ใจคือครู... ไม่เหมือนในที่เปลี่ยวร้างแบบนี้

“นายห้ามแกล้งปล่อยฉันลงตรงนี้นะ” อย่างกับชี้โพรงให้กระรอกยักษ์
เธอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องหยุดรถ! “ตาแว่นบ้า! รีบๆขี่ไปเลย อย่ามาแกล้งกัน”

ตฤณภพถูกกำปั้นหนักหน่วงอัดใส่แต่กลับไม่สะเทือนทั้งยังหัวเราะร่วน
“ฉันไม่ได้มีดีแค่ตัวโตนะ วิชาต่อสู้พร้อม อาวุธก็พก หรือว่าเธอกำลังกลัวอะไรที่มัน...ไม่ใช่คน”
ชายหนุ่มทำสุ้มเสียงคล้ายดีเจช่องวิทยุรายการขนหัวลุก

“จะฟ้องตา-า-า” พราวพิรุณโหยหวน

คนขี่จักรยานยิ้มพราย ผีน่ะหรือ เขาไม่กลัว ส่วนคน...ซอยนี้เป็นที่ทางของ
สารวัตรขาใหญ่เจ้าของพื้นที่ ยากจะมีใครกล้ามาก่อเรื่อง
ยกเว้นขี้ยาไร้สติซึ่งคงพอจัดการได้ไม่ยาก
กำปั้นใช้ไม่ได้ผลราวทุบลงบนหินผา พราวพิรุณยิ่งหมั่นเขี้ยว นึกไปถึงไม้ตาย
ที่คราวหนึ่งเคยเห็นฝาแฝดของเขาใช้ ถ้าเธอลองงัดมาใช้บ้างล่ะ... ไวเท่าความคิด
กำปั้นแปรเป็นปลายนิ้วอันพลิ้วไหว หมายจี้จุดคนตัวแข็งให้อ่อนระทวย
ได้ผล! คนตัวโตโวยลั่น แต่เขาไม่ปล่อยให้ชั่วขณะได้เปรียบตกเป็นของคนอ่อนแอกว่า
มือใหญ่สองข้างฉวยข้อมือผอมๆของคนที่ริอ่านโจมตีตนมารวบไว้มั่นด้วยมือเดียวเบื้องหน้า

“ขี้โกง ปล่อยสิ” พราวพิรุณโวยแต่เขาไม่ยอมตาม
“โอย ยอมแพ้แล้ว ปล่อยได้ยัง” หญิงสาวทั้งหอบปนขำ

ตฤณภพคำรามอย่างผู้ชนะ ขี่จักรยานต่อไปโดยใช้มือเดียว
“ไม่ปล่อย” เขายืนกรานไม่ไว้ใจ

“เฮ้อ” เธอทอดถอนปนฉุน รู้สึกเหนื่อยที่ต้องรบรากับเขา หัวใจคล้ายเต้นรัวเร็ว
อย่างผิดประหลาด แบบนี้ไม่ดีแน่แล้ว “เออ จะว่าไปก็อยากดูหอนายเหมือนกัน
ปีสามแล้วยังไม่เคยไปเหยียบ ตาก็นะถามอยู่นั่น ทำไมไม่มาดูเองก็ไม่รู้”


ถึงจนได้ หอเขาเป็นหอรวมชายหญิง ด้วยค่าเช่าที่แพงจึงดูจะปลอดภัยกว่าหอเธอเสียอีก
พราวพิรุณตามมาอย่างไม่คิดมาก เธอไว้ใจอีกฝ่าย คนคนนี้หยิ่งทระนงเกินกว่าจะจับเธอ
กดลงบนเตียงหรืออะไรแบบนั้น แต่พอคิดอีกที ถึงไม่รวมเรื่องหยิ่ง เขาก็คงไม่ต้องการ
อะไรพรรค์อย่างว่าจากคู่ปรับอย่างเธอ

“แล้วพี่ตรีอยู่ห้องไหน” ผู้มาเยือนถึงถิ่นถามถึงคู่แฝดของอีกฝ่ายซึ่งตนเรียกขานว่าพี่มาตลอด
แก่กว่าแค่ปีเดียว แต่ช่วยไม่ได้ นั่นก็เพราะการวางตัวน่ารักน่านับถือต่างออกไป

“เธอเพิ่งเดินผ่านห้องมันมาตะกี้” ตฤณภพตอบห้วนจัดโดยไม่หัน

หญิงสาวพึมพำเป็นคำสบถอยู่ข้างหลัง ถามแค่นี้ก็ต้องหงุดหงิด...
แล้วเธอก็ก้าวตามเข้าห้องผู้ชายตัวโตอย่างไม่พิรี้พิไร ทว่าพอประตูปิดลงเท่านั้น
พราวพิรุณกลับเอาแต่จับจ้องหน้าดุๆไม่คลาดสายตา ตฤณภพไม่เหลือเค้าเด็กหนุ่ม
ที่เธอเคยรู้จักเมื่อหลายปีก่อนแม้เพียงนิด เขาเป็นผู้ชายเต็มตัวจนชวนให้รู้สึก
หวั่นใจยามต้องแย่งอากาศกันหายใจ

ราวกับมีกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อนๆปะทุจากตัวเขา
ทั้งดึงดูดและเป็นสัญญาณเตือนอันตราย





ขณะหญิงสาวกำลังระวังตัวแจ จู่ๆเจ้าของห้องก็พูดขึ้น
“ไม่มีน้ำหวานติดตู้เย็นไว้ต้อนรับ รอเดี๋ยว จะลงไปซื้อ”

เมื่อประตูปิดลงตามหลังเขาพราวพิรุณจึงค่อยหายใจโล่ง
ทั้งเอะใจที่เขายังอุตส่าห์จำได้ว่าเธอติดน้ำอัดลมแค่ไหน

ห้องตกแต่งไว้ตามประสาผู้ชายหัวศิลป์สักคนจะชอบ ตู้ เตียง ไปถึงกีต้าร์ตัวเก่ง
สีดำเดินลายขาว ทุกอย่างล้วนแล้วไปด้วยขาว เทา ดำ ไม่เว้นกระทั่งภาพลายเส้น
ที่วาดเป็นตัวเจ้าของห้องและพี่ตรีคู่แฝดกอดคอกันหัวเราะ แถมเอาหน้าผากชนกันเสียอีก
พนันได้ สาวๆต่างคณะที่ต่างก็ปลื้มแฝดลูกครึ่งเนื้อหอมจะยอมจ่ายเงิน
ประมูลชิงภาพนี้ไปไว้ในครอบครอง

เธอเองก็ชอบวาดภาพคนแต่ดูเหมือนยังวาดได้ไม่ดีเท่าเขา เรียกว่าวาดเพื่อเข้าใจ
แต่ภาพตรงหน้านี้ เส้นสายของมันแสดงให้เห็นว่าวาดเพราะเข้าใจ เสมือนเห็นไปถึง
วิญญาณ แต่แทบทุกภาพ...เป็นสีขาวดำ

ข้างตู้วางโทรทัศน์ขนาดใหญ่มีพื้นที่เหลือๆ ไว้วางรูปถ่ายขาวดำหรือไม่ก็ซีเปีย
ที่ออกโทนน้ำตาลเหมือนภาพถ่ายเก่าๆได้อารมณ์ไม่น้อย ยังมีอยู่ภาพหนึ่ง
ที่มีเธอและตารวมอยู่ในนั้น ถ่ายบนเรือนไทยโอ่โถง ตรงชานเรือนกว้างขวาง
ซึ่งตาเคยเปิดสอนวาดรูปให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ใครก็ได้ที่รักจะมาเรียน
พราวพิรุณอดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้ ใครจะเชื่อ ห้องเขามีรูปเธอ
แม้เป็นแค่ตัวแถมพ่วงมากับตาซึ่งเขารักสนิทในฐานะครูด้านการวาดผู้อยู่เสมอหิ้ง

ปุบปับประตูก็เปิด ไม่นานแก้วมีน้ำแข็งกรุ๊งกริ๊งถูกยื่นมาจ่อแทบจะถึงปาก
กลิ่นของมันบ่งบอกว่าเขายังใส่ใจ ไม่ใช่แค่น้ำอัดลมสีใส แต่ต้องเป็นเซเว่นอัพเท่านั้น
ดูเหมือนเธอจะอยู่ใกล้ศัตรูผู้รู้ใจเกินไปเสียแล้ว

“รูปพวกนี้ฝีมือนายตรีมันเจ้ากี้เจ้าการเอามาวาง อยู่กับแม่มากๆเลยติดนิสัยผู้หญิง”

หญิงสาวทำปากขมุบขมิบยามคนกวนประสาทเลี่ยงเข้าไปทำอะไรกุกกักในห้องน้ำ
คงล้างหน้ากระมัง แต่ประตูไม่ได้ปิดเพียงแค่งับไว้ ขณะที่เจ้าตัวยังไม่วายส่งเสียงมา

“ของจากอาจารย์สุจินด์... ไอ้ขวดมหึมาที่ชั้นบนสุดในตู้เสื้อผ้า
โสมพันปีหมื่นปีอะไรนั่นน่ะ เห็นให้กินบำรุงมาแต่เด็กแล้ว
ไม่รู้ว่าหลานสาวกินแล้วจะขาวขึ้นหรือยังไง”

คนฟังเบะปากอย่างแค้นเคือง หมอนี่ชอบหาเรื่องว่าเธอดำเป็นประจำ
ยาบำรุงที่ตาอยากให้เธอกินไม่ได้มีแค่โสมหรอก เขาจะไปรู้อะไร...
“พวกเหยียดผิว น่ารังเกียจ” หญิงสาวรำพึงอย่างเคยชินจนขี้เกียจถือสา

ทว่าจังหวะที่เธอเอื้อมขึ้นหยิบขวดซึ่งไม่ได้อยู่เกินเอื้อมสำหรับผู้หญิงตัวสูง
สิ่งที่หล่นตามลงมากลับทำให้ชะงักค้าง มันคือ...ยา

ผู้มาเยือนถลันไปถึงห้องน้ำ ปะหน้ากับคนที่กำลังก้าวสวนออกมาพอดี
“ตาแว่น! ไอ้เม็ดแดงๆนี่อะไร!” ไม่พูดเปล่า เธอกระแทกซองยานั่นใส่อกเขาเต็มรัก

ขณะที่เจ้าของห้องยังมีสีหน้าไม่รู้สำนึก ก่อนจะไหวไหล่
“ยา... แก้เครียด ฉันไม่ได้กินมาตั้งนานแล้ว”

ทำไมเธอจะไม่รู้ว่ายาอะไร เพราะเพิ่งมีเพื่อนในภาควิชาคนหนึ่ง
เสพไอ้ยาผีนรกนี่เข้าไปเกินขนาดจนเสียผู้เสียคน
“ไม่ใช่! นายก็รู้ว่าไม่ใช่” เธอก้มลงหยิบถุงที่หล่นพื้นขึ้นมาใหม่
“ไม่กินแล้วทำไมไม่ทิ้งไป! พี่ตรีไม่รู้ละสิ ที่นายติดยา”

“ไม่ได้ติด หรือถ้าติด... มันเกี่ยวอะไรกับเธอ” คนตอบเลิกคิ้ว เอ่ยกร้าวท้าทาย

พราวพิรุณไม่รอให้เขาพูดจบ เธอฟาดทั้งมือและถุงยาที่ขยุ้มอยู่ตบปากเขาเต็มรัก
ก่อนหยุดหอบหายใจถี่แรง มองคนที่หันสะบัดตามมือและคล้ายจะงันไป

“ไอ้แว่น ไอ้คนบ้า หน้างัว! ฉันเคยคิดว่านายเป็นคนเข้มแข็ง ที่แท้ก็อ่อนแอเป็นขี้หมา!”
หญิงสาวคำรามดุเดือด รู้สึกคล้ายกำลังจะร้องไห้ด้วยความโกรธหรืออะไรสักสิ่ง
ทำไมเธอจะต้องสนใจเขา คนที่ไม่รักแม้แต่ตัวเอง

เธอไม่รอดูสีหน้าเขาต่อ จึงไม่ได้เห็นว่าคนมองตามมีแววตาอ่อนโยนลงเพียงไหน

หญิงสาวกระชากเก้าอี้มาปีนขึ้นไปกราดสายตายังชั้นบนสุดของตู้
เจอซองที่เหมือนกันอีกสองสามซองก็กวาดมาจนเรียบ
“โง่ๆๆ ไม่มีอะไรเปรียบ พ่อแม่เลี้ยงมาเสียข้าวสุก สมองมีหัดใช้บ้างได้ไหม!”

คนกำลังโกรธผลุนผลันไปเทเม็ดยาเหล่านั้นลงโถ กดชักโครกด้วยแรงอารมณ์
ก่อนจะลงส้นกลับออกมา ปาซองยาเปล่าๆใส่หน้าคนตัวโตที่ยืนนิ่งงัน
เมื่อเห็นเขายังหรี่ตามองอยู่ท่าเดิมพราวพิรุณยิ่งทนไม่ได้ ยื่นมือออกไป
หมายจะทุบทำร้ายเขาโดยแรง ไม่คาดว่าข้อมือสองข้างกลับถูก
ยืดไว้ค้างกลางอากาศ ชนิดที่ดิ้นไม่หลุดกันเลยทีเดียว
“รังแกได้แต่คนอ่อนแอกว่าน่ะนาย!” พราวพิรุณพูดเสียงพร่า ไม่พูดเปล่า
ยังยื่นปากไปแง่บๆจะกัดเขาอีกด้วย

“ฉันน่ะนะรังแกเธอ ฉันแค่ปกป้องตัวเองมากกว่า” ตฤณภพตอบเบาพอกัน
ยอมปล่อยให้คมเขี้ยวเข้าถึงตัวทั้งรอยยิ้ม “อร่อยไหม?”

พราวพิรุณรีบคายเนื้อเขาทิ้ง ครางเสียงอ่อย “นายมันบ้า
ในตัวนายก็มียาบ้าๆนั่นอยู่ ใครจะไปแทะลง”

คนถูกต่อว่าหรี่ตามองหยาดน้ำเล็กๆซึ่งซึมจากหางตาของแม่สาวผิวเข้มในกำมือ
ดูเธอจะโกรธมากที่เห็นเขาแตะต้องของที่ไม่ควรแตะ
ไม่น่าเชื่อ คนที่ปกติไม่สนใจอะไรจะแสดงอารมณ์ออกมาได้ถึงขนาดนี้
อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่หุ่น เขาพอใจ

“ทำเป็นฉลาด นายมัน...ไอ้งั่ง! พอฉันไปแล้วนายก็จะกินมันอีกใช่ไหม ไอ้ยาชั่วนี่น่ะ”

“ไม่ ไม่กินอีกแล้ว”

“ฮะ...” พราวพิรุณเงยมองคนพูดอย่างคาดไม่ถึง
ชั่ววินาทีที่ตาประสานตา เธอก็รู้ว่าเขาพูดจริง “ทำไม?!”

“เพราะเธอห้าม”
แล้วเขาก็กอดเธอ...




หลังจากสถานการณ์บ้าๆที่เกิดขึ้นค่ำวันนั้นพราวพิรุณแอบหวั่นผวา
เธอไม่ชอบความรู้สึกใจเต้นแรงแบบนั้นเลย เป็นเพราะเขาอยากมาทำอะไรแปลกๆ
เธอห่วงเขา แต่ทำไมต้องมากอดกันสนิทชิดเชื้อ จริงอยู่ว่าเขากอดเธอเหมือนเพื่อน
เหมือนพี่น้อง แต่มันก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้... ขณะที่ตฤณภพมีสีหน้าคล้ายพึงใจในทีอยู่ตลอด
ยามบังเอิญมาพบเจอกันเข้า ทว่าอย่างหนึ่ง แววตอบรับเล็กๆในดวงตานั้นทำให้เธอมั่นใจได้
ว่าเขาจะไม่หวนไปแตะยานั่นอีก เขาเป็นคนจริง ข้อนี้ใครก็รู้ ลงบอกว่าไม่ก็คือไม่

ความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินทำให้หญิงสาวคอยหนีหน้าคู่ปรับตนอยู่กลายๆ แต่สุดท้าย
เธอก็ต้องมาปรากฏตัวอยู่บนระเบียงเรือสำราญส่วนตัวของมหาเศรษฐีเพื่อนตาจนได้
ยิ่งพื้นที่แคบ การต้องหลบหน้าใครบางคนยิ่งไม่เป็นผล แทนที่เธอจะได้ไปออกค่าย
สอนเด็กน้อยต่างจังหวัดวาดรูปสบายๆอย่างที่ตั้งใจไว้ทีแรก
...กลับต้องมาลำบากหลบหน้าคน

พราวพิรุณเองนั้นชอบงานเขียนรูปมาก นับตัวเองเป็นลูกศิษย์ของตาคนหนึ่ง
แต่ไม่รู้จะเป็นศิษย์รักที่สุดหรือเปล่า ถ้าเทียบกับคู่ปรับของเธอ

เรือหรูหราลอยลำมาตามเส้นทางไกลถึงมหาสมุทรอินเดีย สภาพแวดล้อมรอบกาย
ดูขัดกับกางเกงยีนปอนๆขาดๆและเสื้อยืดลายพร้อยที่เธอสวมอย่างถึงที่สุด
แต่คนที่มาด้วยกันไม่มีใครกล้าดูถูก เพราะเธอคือหลานสาวเพียงคนเดียว
ของอาจารย์สุจินด์ อัจฉริยะศิลป์ ศิลปินร้อยล้านผู้ฝากผลงานมากมาย
ไว้ให้วงการศิลปะตะลึง แต่ตัวท่านเองก็ยังกินอยู่อย่างสมถะ แต่งตัวเก่าปอนไม่แพ้หลาน

ทว่าตอนนี้สิ่งที่ผู้ชราทำ กลับเป็นการพยายามทิ้งหลานสาว
ไว้ในความดูแลของศิษย์โปรดชื่อตฤณภพ
‘ฝากปลาย่างไว้กับแมว...ก็ใช่ รออยู่ ว่าเมื่อไหร่ไอ้เหมียวบางตัวมันจะหิวสักกะที
สงสัยปลาเราไม่ค่อยน่ากิน’ ผู้อาวุโสว่าก่อนจะเดินตีพุงจากไป คนเป็นตาเธอนี่ก็แปลก
จะชอบหมอนั่นก็ชอบไป ทำไมต้องมาคอยอยากให้เขากับเธอดีกันถึงขั้นเกี่ยวก้อยก็ไม่รู้

เรื่องที่ตฤณภพร่วมขบวนมาท่องเที่ยวด้วยไม่เกี่ยวกับอำนาจบารมีของคนเป็นอาจารย์
เขามาเพราะคุณอาที่เป็นคู่ธุรกิจของมารดาตนเชื้อเชิญ เจ้าตัวเองก็เห็นว่าทริปนี้น่าสนใจ
ไม่ว่าอย่างไรตาคงคาดไม่ถึง วาระจับคู่หลานกับศิษย์รักกลับมีตัวแปรพิเศษ
เมื่อคู่แฝดของลูกศิษย์เกิดจะแพ็คคู่แถมพ่วงมาด้วย

“สงสัยอยู่อย่าง เวลาสองคนนี้เขานิ่งๆไม่พูด ตาแยกออกได้ยังไงน่ะว่าใครเป็นใคร
หนูก็ว่าตัวเองสายตาดีแล้วนะ...คนอื่นก็ไม่มีใครแยกออกสักคนเวลาเขาจงใจ
ถอดแว่นหรือแสดงไม่ให้ใครรู้ อย่าว่าแต่บางทีพี่ตรีก็ใส่แว่นอ่านหนังสือ”

พราวพิรุณแอบกระซิบในเวลาอาหารค่ำซึ่งมีมุมที่จัดเป็นบุฟเฟ่ต์ค็อกเทล
อาหารทะเลเลิศรส ไว้ให้คนที่ไม่อยากจะกินจริงจังนักเลือกชิมตามอัธยาศัย

“มันแสดงได้เหมือน เพราะหัวดี สังเกตเห็นกันถี่ถ้วนเกินไป...
แต่ตาก็ยังดูออกอยู่ดีละยายฝน สายตาคนปูนนี้กับศิลปินฝึกหัด
จะให้มองทะลุเท่ากันได้ยังไง”
ผู้อาวุโสกระเซ้าก่อนทำตายิบหยีหัวเราะพรืดผ่านเครา ทิ้งเธอไว้อีกครา

...พราวพิรุณเห็นจากหางตา ร่างสูงของใครบางคนกำลังตรงเข้ามาหาเธอ ไม่ต้องเดาก็รู้
ว่าคือพี่ตรีเมฆ เพราะอย่างคู่แฝดของพี่เขาน่ะหรือ ไม่มีวันเข้ามาหาเธอแบบไม่ลีลาแน่

“กุ้งอบชีสนี่อร่อยอย่าบอกใครเลยฝน”

นั่นไง ถ้าเป็นตาบ้านั่นไม่มีวันเรียกชื่อกันดีๆ อย่างมากก็เธออย่างงั้นเธออย่างงี้
“กินมากระวังอ้วนนะพี่ตรี สาวจะไม่แล”

ตรีเมฆยิ้ม ถึงประโยคที่ได้ยินจะเป็นการแซว แต่เมื่อเอ่ยผ่านปากเธอ มันกลับฟังดู
ทั้งง่วงทั้งยวนอย่างเห็นได้ชัด บวกกับสายตาของสาวผู้มักทำตาปรือคล้ายเบื่อโลกอยู่เสมอ
ทำให้เขาถูกใจจนต้องป้อนกุ้งตัวอวบให้ด้วยกิริยาเหมือนตกเหยื่อ ซึ่งอีกฝ่ายก็ฮุบฮวบ
เข้าไปอย่างเถื่อนๆ ไร้จริตแง่งอน

คู่สนทนาที่คุยกันออกรสหาไม่ได้ง่ายๆสำหรับคนอย่างพราวพิรุณ
อันที่จริงเธอไม่ได้เพิ่งรู้จักตรีเมฆ บังเอิญเจอกันมาก่อนแล้วตั้งแต่ก่อน
เข้าเรียนปีหนึ่ง...ช่วงใหญ่ๆที่พี่ตรีไปทำงานพิเศษในร้านไอศกรีม
ตอนแรกเธอตะลึงไป ยังคิดว่านายตฤณจอมกวนประสาทมาทำอะไรแถวนี้
เขาไม่ได้ใส่แว่น แถมรอยยิ้มก็ซุกซนมีอารมณ์ขันน่าคบกว่า
ลองถามดูก็เลยรู้ว่าเป็นคนละคน

อยากบอกตาเธอเหลือเกิน ว่าที่เธอถูกใจกว่าคือคนนี้... ไม่ใช่ตาแว่นปากจัด
ไม่แน่ว่าถ้าตาช่วยเปลี่ยนมาจับคู่เธอกับแฝดของศิษย์เอกแทน อย่างน้อยก็อาจค่อยยังชั่ว

รอยยิ้มของพี่ตรีในร้านไอศกรีมนั่นน่ะ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอหวั่นไหวเลยก็ว่าได้...
เมื่อแรกเห็นเธอเอาแต่จ้อง เขาเลยหน้าแดงอย่างน่ารัก วางแก้วผิดๆถูกๆตอนเอาน้ำ
มาเสิร์ฟถึงโต๊ะ แต่พราวพิรุณยังสับสนว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาคืออะไร
บางทีมันก็ลอยๆ เหมือนฝัน เหมือนคนที่เธอชอบไม่มีตัวตนอยู่จริง
เลยตั้งใจจะรอดูท่าทีต่อไปก่อน

ไม่ว่าอย่างไร ความประทับใจนั้นทำให้นึกอยากมีร้านไอศกรีมน่ารักๆ
สักร้านเป็นของตัวเองอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน

และถึงแม้สาวๆที่เรียนด้วยกันจะยอมปล่อยผ่านความสัมพันธ์ของเธอกับฝาแฝด
แต่พวกสาวร้ายๆลูกหลานคนมีเงินบางคนไม่ได้คิดอย่างนั้น เห็นได้ชัดก็ตอน
แบ่งกลุ่มเล่นวอลเล่ย์บอลชายหาดบนเกาะที่เรือแวะเมื่อวันก่อน

ตรีเมฆสวมเสื้อกล้ามพอดีตัว ในขณะที่ตฤณภพถอดเสื้อ
แต่รูปร่างที่คงจะทรมานใจสาวเกินไปนั้นกลับทำให้พราวพิรุณซึ่งเล่นป้อแป้อยู่แล้ว
โดนลูกวอลเล่ย์อัดใส่ไปหลายคำรบ แทนค่าความหมั่นไส้ที่เธอได้ใกล้ชิดคนหล่อ
เธอคงจะน่วมไปแล้ว ถ้าไม่ได้ตรีเมฆที่อยู่ฝั่งเดียวกันคอยกันให้ ดูเหมือนตฤณภพ
ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็รู้กันกับแฝด พวกเขาร่วมมือกันเชือดนิ่มๆสาววายร้ายพวกนั้น
ด้วยการแกล้งให้ไล่ตามลูกสุดตัว ล้มลุกคลุกคลานหัวทิ่มทราย
ไม่มีเวลาว่างพอจะโจมตีพราวพิรุณ เธอรู้สึกดีที่มีคนอยู่เคียงข้าง
แต่ตอนนั้นที่มองเห็น กลับมีเพียงแววตาของคู่ปรับที่อยู่ห่างออกไปเพียงตาข่ายกั้น

เธอปลอดภัยเมื่ออยู่ตรงนี้ ตาสีเหล็กนั้นคล้ายจะบอกออกมาเป็นคำพูด
เขาเองก็อยู่ข้างเธอ



ไม่ว่าอย่างไร พราวพิรุณตั้งใจจะอาศัยเกาะติดอยู่ใกล้พี่ตรีตลอด
เขาคือที่พึ่งช่วยให้ผ่อนคลายบนเรือสำราญนี้ นี่คือสถานการณ์พึงประสงค์...
ทว่า สถานการณ์ไม่พึงประสงค์ทำให้ใจตุ้มๆต่อมๆที่เธอพยายามเลี่ยงกลับเกิดขึ้นจนได้

ยามหนุ่มสาวพากันลงเรือเล็กไปเที่ยวถ้ำเรืองแสงแห่งใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบ
และรู้จักกันในวงแคบ ใครจะไปรู้ว่าน้ำจะดันขึ้นเร็วขนาดนั้น
พราวพิรุณติดอยู่ในถ้ำเพียงลำพัง แม้ไม่ได้หวาดหวั่นอะไรนัก
แต่ก็กังวลว่าตาและคนอื่นๆอาจเป็นห่วง หญิงสาวสวมชุดว่ายน้ำแบบสปอร์ตรัดกุม
แต่ขอโทษเถอะ ทักษะการว่ายน้ำของเธอมันป้อแป้เต็มทน ไหนเลยจะกล้า
ว่ายฝ่าออกไป ทำได้เพียงรอเวลาให้น้ำลง

เธอไม่ค่อยชอบความมืด แม้ในนี้จะยังมีแสงสวยๆ แต่พออยู่คนเดียว
มันกลับมืดลงอย่างประหลาดจนไม่สบายใจ ขณะกำลังเหลียวไปรอบๆ
รอแล้วรอเล่า ไม่คาดว่าใครคนหนึ่งกลับโผล่มา

ในความสงบอันอ่อนไหวซึ่งมีเพียงเสียงน้ำกระเพื่อม ท่ามกลางแสงสีน้ำเงิน
งามล้ำ ร่างคุ้นตาผุดขึ้นมาอย่างกับภาพลวง จากแววตาที่เขาแสดง ...ตฤณภพ

“นี่นาย มาจากทางไหน อย่าบอกนะว่าว่ายน้ำเข้ามา” เธอถามงงงัน
ในนี้มีเกาะเล็กแก่งน้อยอยู่มาก เขาอาจไปติดอยู่มุมอื่นแล้วเพิ่งมาเจอเธอเข้า
หรือจะเป็นไปได้ไหม หมอนี่เข้ามาช่วยเธอ

“หึ ใครจะบ้าลงทะเลคลื่นแรงๆแถมมุดเข้ามาในถ้ำจมน้ำ ขนาดคนท้องที่เขายังไม่กล้า”

สุ้มเสียงนั้นดูจะหงุดหงิดที่ต้องตอบคำถามไม่เข้าท่า... เขาอายุยี่สิบ
โตกว่าพราวพิรุณแค่ปีเดียว แต่แววตาดุที่ซ่อนอะไรไว้มากมายนั้น
เหมือนสายตาของผู้ใหญ่โตๆมากกว่าคนวัยเดียวกัน ยิ่งตอนนี้เขามองมา
พาให้ใจเธอเต้นตึ้กๆรุนแรง ใจเต้นแรงแบบนี้ไม่ดีแน่ ไม่ดีกับตัวเธอเอง

“ฉันลื่นล้ม มีแผลที่เข่า” เจ้าของเสียงเข้มเปรย

“อืม” พราวพิรุณยังเฉย เบนสายตามองตาม ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรจึงจะเหมาะ

“คนเจ็บอยู่นะ” ตฤณภพพูดห้วน “ยังเฉยอยู่อีก... มาช่วยดูอาการซี!”
น้ำเสียงชักเริ่มวางอำนาจ

หญิงสาวนิ่วหน้ากับความเอาแต่ใจ พึมพำอุบอิบ ยอมเข้าไปตามคำขอ

“เบาหน่อย...” คนตัวโตเดาะปลายลิ้นดุ

“แล้วฉันจะช่วยอะไรได้ นอกจากดู” หญิงสาวช้อนตามองเขาอย่างเก้อกระดาก
เค้าหน้าของตฤณภพเห็นเป็นเงาสลัวในแสงเรืองของถ้ำ แต่ดวงตาเจิดจ้านั้น
รับแสงน้ำเงินที่สาดจับ สะท้อนให้เห็นแววตาเป็นปริศนาของเขาได้ชัดเจน

“ก็ยังดีกว่าทำไม่สนใจไม่ใช่รึ มีน้ำใจหน่อย ทีตอนเธอจักรยานล้มคราวนู้น
ฉันยังต้องแบกขึ้นหลัง ตัวก็ไม่ใช่เบาๆ”

คนฟังส่งเสียง ชึ ออกมาคำหนึ่งแต่ไม่ต่อล้อต่อเถียง


กลางน้ำทะเลรายล้อม บนเกาะน้อยในถ้ำที่เรืองไปด้วยแสงสีน้ำเงินอมฟ้า
บรรยากาศเหมือนเงาฝันค่อยๆเชื่อมโยงคนสองคนที่พยายามคุมเชิง
ให้เข้าใกล้กันอย่างไม่รู้ตัว
...ทั้งสองนั่งลง เอ่ยปากคุยไม่กี่คำ แต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เอนหลังมาชนกัน
ดูเหมือนเขาจะยอมให้เธอพิงมากกว่า ก็ตัวใหญ่แบบนั้น
ขืนพิงมาตัวผอมๆอย่างเธอคงรับแรงไม่ไหว

สถานการณ์ไม่พึงประสงค์ในทีแรก กลับกลายเป็นความทรงจำที่เรืองรองอยู่ในความมืด
เมื่อคนสองคนต้องมาอยู่ชิดติดกัน ด้วยกาวที่ชื่อว่า พรหมลิขิต... ความรู้สึกมากมาย
ถ่ายทอดผ่านความมืดและความเงียบ แสงสีในถ้ำคล้ายเชื่อมทั้งคู่เข้าหากัน

แต่หลังกลับจากเที่ยวคราวนั้น เรื่องราวไม่ได้สวยงามนัก ความสัมพันธ์ที่ไปไม่ถึงไหน
ยิ่งทำให้ยากจะเข้าหน้า ชีวิตคล้ายถูกคลื่นแห่งชะตาซัดห่าง
แต่เหมือนเธอจะรู้ รู้ว่าวันหนึ่งพายุจะพัดให้ตฤณภพหวนมา
และหวนมาอีกครั้ง

เขาไม่มีวันไกลห่างจากเธอ



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 มี.ค. 2558, 06:39:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 มี.ค. 2558, 06:39:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1099





<< บทที่ ๑ (ต่อ...) -ต้นหญ้า-   บทที่ ๑ (ต่อ...) -น้ำฝนบนยอดหญ้า- >>
อสิตา 28 มี.ค. 2558, 06:49:57 น.
ดันไปตอบเม้นต์ผิดที่ไว้ในตอนก่อนซะงั้นค่ะ


คุณเลิฟหมวย – ไม่ผิดค่า ตรีต้องมีอะไรแปลกๆซ่อนอยู่เหมือนกัน ไม่น้อยหน้าตฤณ อิอิ
คุณพันธุ์แตง – ปู่มีบทพูด 1 ประโยค 5555 ถ้าเจ๊เป็นฝนเจ๊จะเลือกใคร คิดได้ยังงิ

คุณหนอนน้อย – อัลไล ขุ่นแม่ออกจะเอาอกเอาใจหนอน ตอนน้ำฝนนี่อะ
ตอนลงในเว็บนู้นแบ่งลงหลายที วันนี้คงพอตีตื้นได้บ้าง(นิดหน่อย55)

คุณเกดนุ่มศรี – เลือกได้ยังว่าจะจองใคร คำตอบคงเป็นเหมาหมดสินะ
คุณเฟอร์หางกิ่ว – ใครร้ายกันนนน ฮ้าๆๆ แต่มะม้าเขียนตัวละครดีไม่เป็นหรอกกระมัง
ขนาดพี่ครามก็ยังมีมุม


Pat 28 มี.ค. 2558, 10:36:17 น.
เห็นแววพระเอกเลาๆ


Zephyr 28 มี.ค. 2558, 11:14:33 น.
พี่ตฤณขาาาาาาา พี่ดาร์กได้ใจมากเลยอ่า
มะม้า เฟอร์จะเอาคนนี้!!!!!!
อีกคนขี้เล่นไปไม่ดาร์กเท่าไร ไม่ดีๆๆๆ
สอนขี้เล่นให้ดาร์กมันทำยาก สอนดาร์กให้ขี้เล่นง่ายกว่า ฮะฮ่า


lovemuay 28 มี.ค. 2558, 12:39:04 น.
ดูเหมือนว่าตฤนภพ จะมีสาวอยู่ในดวงใจอยู่แล้วสิ TT^TT


ดังปัณณ์ 28 มี.ค. 2558, 21:31:49 น.
อี๊ย์ อ่านแล้วหมั่นไส้ ตินนี่ กรี๊ดๆๆๆๆ ขุ่นแม่เอาใจหนอนตรงหนายยยยยยยยยย เนี่ยแกล้งหนอนได้แกล้งหนอนดี ทำไมใครๆก็ชอบแกล้งหนอน TT^TT

ว่าแต่ ยังไงก็ชอบตินนี่นะขุ่นแม่ แต่ก็แอบสงสารติงลี่เบาๆ (แกมหมั่นไส้) 555+


พันธุ์แตงกวา 29 มี.ค. 2558, 03:29:59 น.
เจ้ได้ใครก่อน เจ้ก็เอาคนนั้นแหละ แหมมันเลือกยาก
จิกาแฟหรือว้อดก้าก็กระตุ้นหัวใจดีเหมือนกัน สูบฉีดๆ


ketza 30 มี.ค. 2558, 10:30:02 น.
เกดนุ่มซ่า เหมาหมดเยย หนุ่มๆทุกคนแซ่บมว๊ากกกกกกกก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account