หัวใจอายุสั้น
รวมเรื่องสั้นที่อยู่ในภวังค์ค่ะ โดยกำหนดการต่างๆเราอาจศึกษาและคาดการณ์ได้ แต่เรื่องความรัก เรื่องของหัวใจ นั้นคล้ายกับความไม่แน่นอนของชีวิต ถ้าเกิดมาอายุสั้นจุดดับของชีวิตขาดลงเหมือนเทียนที่ไส้หมดไฟก็ดับลงสิ้นเช่นนั้น แต่ถ้าหัวใจอายุสั้นก็เปรียบไฟที่ไหม้อยู่ในใจตลอดเวลา รีแสงวูบวาบแทบจะดับกลับมาติดไหม้ต่อให้วายวอนยังสะท้านต่อไปไม่จบไม่สิ้น
Tags: หัวใจ ความรัก กินใจ

ตอน: แด่ความเจ็บปวดที่ใครจะรู้เท่าเรา

การบูชาความรักกับเงื่อนเวลาที่แปรเปลี่ยนสร้างความบอบช้ำให้สภาพจิตใจ อนิสงค์ของความรักมีอนุภาพเพียงแค่ใครจะเป็นผู้รับกรรม ความเจ็บปวดจะปรากฎต่อท่าน ความทุกข์ทรมานนั้นคืออะไร ใครเล่าจะรู้เท่าเราผู้บูชาเป็นทาสแห่งรักและคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป

ราวๆสามปีที่แล้วเรื่องที่ผมได้ประสบพบเจอ ทำให้ผมหวนรำลึกความหลังสมัยยังเป็นเด็กหนุ่ม วัยที่เริ่มแรกรัก ตอนนั้นผมหมายถึงสามปีที่แล้ว เพื่อนหญิงของผมคนหนึ่งเธอเดินร้องไห้เข้ามาหาผม ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไร ผมมองๆและครุ่นคิด และเริ่มแน่ใจว่าคงไม่มีสิ่งใดทำให้คนตรงหน้าร้องไห้ได้นอกจากเรื่องรักๆใคร่ๆ เมื่อผมเริ่มถามสาเหตุอาการรำ่ร้องของเธอ ผมก็ได้ความจริงเช่นนั้น เธอเล่าวนเวียนวกวนไปๆมาๆก็มีแค่เรื่องเดียวคือเขาทิ้งเธอ ทิ้งอย่างไม่ใยดี ทิ้งเพราะเหตุผมเพียงเวลานี้เธอไม่ใช่คนที่เขาต้องการ ผมอยากรู้จริงๆว่าชายคนนั้นเขาต้องการอะไร ผู้หญิงที่มีอยู่คนนี้ต้องมานั่งร้องไห้ใจจะขาด ความเจ็บปวดที่เธอได้รับมาจากความไม่ต้องการของคนๆหนึ่งเท่านั้น จำได้ว่ากว่าเพื่อนหญิงของผมคนนี้จะคลายทุกข์ก็ปาไปเป็นปี ใช่แล้วเธอยังสามารถดำเนินชีวิตอยู่ต่อไปพร้อมกับลบเลือนความเจ็บปวดที่ยังคั่งค้างอยู่ได้ คำพูดมากมายถูกพูดขึ้นเพื่อชี้แนะ เตือนสติ หรือสร้างความผ่อนคลาย ที่สะกิดใจผมก็มีสักสี่ห้าประโยคจากบุคคลที่ต่างกัน

"ทำไมวะ ทำไมแกต้องมาเสียน้ำตาให้คนแบบนั้นด้วย มันไม่คุ้มกันเลย" การประเมินค่าจากผู้หญิงบุคลิกโดดเด่นเรื่องความเป็นผู้นำ เธอรุ่นเดียวกับพวกเราแต่มีตำแหน่งการงานเป็นหัวหน้า

"เขาทิ้งไปก็ชั่งเขา แกออกจะสวยหาใหม่ง่ายจะตาย" ทางแก้ปัญหาจากเพื่อนหญิงที่ผมคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอ

"ฉันเข้าใจ ฉันก็เคยเป็น โชคดีแล้วล่ะอย่างน้อยแก่ก็มีโอกาสได้รัก ทำใจนะเพื่อน" จากผู้หญิงที่ดูเรียบกับคำปลอบโยนที่แสดงความเห็นใจ

"เฮ้ย...ไม่เอา ไม่เอา เรื่องเครียดๆคิดไปก็ปวดหัว วันนี้ไปแดนซ์กันดีกว่า" ทำชวนสนุกๆเพื่อฆ่าบรรยากาศเศร้าๆจากชายร่าเริงกับชีวิตในกลุ่มเพื่อนอีกคน

"อยากจะบอกแกว่า ถึงแกไม่มีใคร แกก็ยังมีเรานะ"นี่คือคำพูดของผมเอง

ผมไม่รู้ว่ามันจะช่วยเธอได้แค่ไหนเพราะมันเป็นเพียงคำปลอบใจ ถ้าลองไล่ดูประโยคปลอบใจเหล่านี้ สมองผมกลับไปสะดุดกับประโยคที่สาม จากผู้หญฺิงคนหนึงที่ผมรู้จักเธอมานานตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ จะบอกว่าเราผ่านวัยเด็กหนุ่มเด็กสาวมาด้วยกันก็ได้ เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆไม่ค่อยโดดเด่นเหมือนคนอื่น ผมเข้าใจดีว่าวัยนั้นเราก็อยากสวยอยากหล่อกันทั้งนั้น เพียงความมั่นใจอีกเล็กน้อยก็สำคัญแล้ว ผมเองก็หาวิธีทำให้ตัวเองดูเด่นดังอยู่เหมือนกัน โดยวิธีเข้ากลุ่มเด่นๆ เล่นฟุตบอล บาสเก็ตบอล กีฬาอะไรผมก็เล่นทั้งนั้น ผมยังโชคดีอยู่อีกอย่างคือผมเป็นคนเรียนเก่ง สาวๆทั้งที่เป็นเพื่อนและรุ่นน้องติดผมเกรียวกราว ใจจริงผมก็ดีใจแต่ที่แสดงออกไปมันไม่ใช่เลย ผมมีข้อเสียข้อหนึ่งที่สำคัญคือ ผมไม่ชอบแสดงออก พูดน้อย ส่วนใหญ่จึงได้แต่ยิ้มตอบเท่านั้น มีคนเคยบอกผมว่าบุคลิกแบบนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบนัก มันดูเท่ดี มีความลึกลับ โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้คิดเช่นนั้นกลับรู้สึกว่าเป็นปัญหาแทน

ผมขอพูดถึงผู้หญิงสมัยเรียนที่ไม่เด่นคนนั้นที่เป็นเจ้าของประโยคปลอบใจประโยคที่สามอีกครั้ง เธอชื่อ กัญ ย่อมาจากชื่อจริงที่ชื่อ กัญญารัตน์ เราอยู่ห้องเดียวกันมาตลอด แต่ผมพึ่งมาสนิทกับเธอสองปีหลังก่อนเรียนจบ กัญเป็นคนพูดน้อยทำให้ผมไม่ขัดเขินเมื่ออยู่กับเธอคล้ายกับว่าเราเป็นคนที่เหมือนๆกัน ผมเริ่มรู้จักกับเธอเพราะผมเขียนเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองไว้ที่ปกหลังสมุดการบ้านของเธอ ซึ่งความจริงผมเขียนผิดเล่ม มันเป็นมือถือที่พี่ชายของผมให้มาแล้วเขาโทรบอกเบอร์เครื่องทีหลัง ผมก็เลยหาอะไรจดไว้ และคิดว่ามันเป็นสมุดการบ้านของตัวผมเอง แต่แล้วกลับเป็นของกัญ คืนนั้นเองกัญก็โทรหาผมพอรู้ว่าเป็นผมเธอก็ทำเสียงตกใจ แต่เราก็คุยกันต่อ โดยผมให้เบอร์บ้านเธอเพราะโทรเข้าบ้านจะถูกกว่า เธอมักจะโทรเข้ามาตอนทุ่มครึ่งมันเป็นเวลาประจำและการโทรก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ผมเพิ่งจะรู้ว่ากัญคนเรียบร้อยที่ผมเห็นตัวจริงไม่เป็นเช่นนั้นเลย การพูดการจาและเรื่องที่หามาคุยมันทำให้ผมสนุกตามเสมอ ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกัญตามสายมา เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเราอยู่โรงเรียนเราถึงไม่คุยกัน ไม่พูดกัน ทำหน้าที่คนรู้จักด้วยการยิ้มให้หรือส่งสายตาบอก ซึ่งการสื่อความหมายผ่านทางสายตาไม่ได้บ่งบอกอะไรที่มากไปกว่าเพื่อนที่เหินห่าง ผมควรจะเข้าไปหากัญไปพูดคุยแบบที่เคยคุยผ่านโทรศัพท์บอกความมีตัวตนของผมให้เธอได้รู้ว่าผมมีความรู้สึกดีๆกับเธอ ถ้าตอนนั้นผมกล้านะ

หลายเดือนผ่านพ้นไปหัวใจของผมเริ่มอ้างว้าง แม้กัญจะยังโทรคุยเหมือนเคยแลดูสนิทกันมากขึ้นเสียอีก แต่สิ่งที่ผมรู้สึกคือความรู้สึกของผมมันเปลี่ยนไปอาจจะเป็นเพราะความคุ้นเคย จนเสมอเหมือนเป็นเพื่อนธรรมดาๆไปแล้ว จนผมกล้าพูดคำว่ารำคาญแล้ว อย่ายุ่งให้มาก และอะไรๆอีกมากที่เพื่อนจะพูดกับเพื่อน รวมไปถึงปรึกษาเรื่องความรัก ความคิดที่เคยลึกซึ้งไปบ้างมันดูจะเหือดหายไปอย่างไม่ทันรู้ตัว

และวันหนึ่งความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้น ผมเรียนรู้มันจากความผิดหวังของใครบางคน ที่ผมสงสารจนจับใจ ผมไม่รู้จะช่วยเธอยังไง การที่ผมห่วงใยเธอมากมายแต่แสดงออกไม่ได้มันช่างทรมานแทบเป็นแทบตายในห้วงวินาทีหนึ่งๆได้เลย ทุกความเคลื่อนไหวของเธอสถิตเสถียรในสายตาของผม พะวงต่อการเป็นไปของชีวิตที่บอบบางนั้น หลายครั้งผมสับสนว่าผมจะเป็นเช่นนี้เพื่ออะไร ทำไมผมถึงอยากพูดอยากคุย ถามและทำอะไรๆไปได้มากขนาดนั้นโดยไม่รู้ตัวว่าทำไปด้วยเหตุอะไร แต่ก็ไม่อาจละเลิกสิ่งเหล่านั้นได้ มันเหมือนสิ่งที่เป็นกฎบัญญัติไว้ให้เป็นไป สรรสร้างและสร้างสรรค์ในเรื่องเล็กน้อยให้มีความหมาย ขอให้มันเกี่ยวกับเธอเท่านั้นก็พอใจ ทุกวันผมกุลีกุจอไปรับเธอและรอเธอหลังเลิกงานเพื่อไปส่ง บ้านผมคนละทางและห่างไกลกับเธอมากพอดู มันไม่ได้ทำให้ผมเหนื่อยเลย ผมสดชื่นทุกเช้าที่ตื้นขึ้น และอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูกหลังเลิกงาน ที่เคยคิดว่าตัวเองพูดน้อยและมีนิสัยเงียบขรึมเป็นส่วนใหญ่กลับต่างออกไป ใครจะรู้ว่าผมมีความสามารถจะพูดเรื่องราวมากมายที่ขบขันทั้งยังมีชีวิตชีวาออกมาได้ ผมได้แต่คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะผ่อนคลายหัวใจของเธอลงได้ และแน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้มันทำให้ผมมีความสุข สุขอย่างที่ไม่เคยพบเลยสักครั้งในชีวิต

"ทีหลังไม่ต้องมาส่งเราแล้ว เรากลับเองเป็น"

คำพูดนี้ทำผมสะอึกกลั้นเสียงลมหายใจที่กำลังจะผ่านลำคอออกไปถามว่าทำไม ที่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ถามสมใจ แท้จริงใจของผมมันสั่นสะท้านเหมือนคนเป็นโรคหอบแต่ก็ไม่กล้าต่อปากด้วยถ้อยคำใดอีก มีเพียงความชอกช้ำที่มาจากไหนซัดเอารอยยิ้มของผมไปโดยไม่บอกกล่าว

"ทำไมถึงได้ทำตัวน่ารำคาญแบบนี้ คิดมากไปหมดทุกเรื่องเลย น่าเบื่อจริงๆ"

แรกฟังคำพูดจากปากเธอผมเตือนใจตัวเองให้คิดเพียงคำพูดเล่น จวนจะยับยั้งอะไรได้ทันเพราะหัวใจของผมได้ร่วงหล่นกราวไปเสียแล้ว การหายใจของผมเริ่มหอบเหือด ร้อนลมวาบตามใบหน้าและร้อนที่สุดตรงกกหู เหมือนจะมีอะไรแปลกๆมาครอบครองพื้นที่แห่งดวงตา มีทางเดียวคือการฉักปากออกไปจนแลดูยิ้มเบิกบานที่สุด แสนจะทรมานแต่ต้องทนให้ได้

"เราคิดว่าเราจะคบกับป้องล่ะ แกว่าดีมะ"

ผมกำลังหยุดนิ่งในสมองอันวางเปล่าไม่ได้รู้สึกอะไนอีก ลมหายใจผ่อนออกผ่อนเข้าได้ไม่ทั่วท้อง ร่างกายของผมเปราะบางโดยไม่ทราบสาเหตุ ผมอยากจะแทรกตัวเองออกไปกับอากาศที่อยู่รอบตัว เหมือนผมไม่ได้มีตัวตนอีกแล้ว ใครกันทำให้เป็นแบบนี้ ความเจ็บปวดกระแทรกเข้าไปลึกที่สุดของหัวใจที่ผมรู้ว่าไม่มีทางที่ใครจะรับรู้ได้เลย มีความจริงบางอย่างที่ผมทราบทันทีที่เธอพูดประโยคนั้นคือไม่มีใครจะเจ็บปวดแทนตัวเราได้ ถ้าเราไม่เลือกที่จะเดินออกจากความเจ็บปวดเองก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากมันได้เลย

ผมได้เริ่มเรียนรู้อะไรบางอย่างที่มีคุณค่า การจะห่างไกลจากความเจ็บปวดมีวิธีใดบ้างที่ผมจะทำได้ การร้องไห้ผมไม่เชื่อว่าการร้องไห้จะช่วยอะไรได้ ผู้ชายอย่างผมควรหรือจะมาร้องไห้กับเรื่องผู้หญิง แต่กลับเป็นว่าหยาดน้ำตาใสๆจากผู้ชายคนหนึ่งจากตาของผมมันมาช่วยชะล้างจิตใจให้เศร้าน้อยลงไปบ้าง อย่างน้อยทุกครั้งที่ผมร้องไห้เสร็จผมก็จะเหนื่อย และนอนหลับไปเพราะความเพลีย ที่ผมคิดอีกอย่างก็คือผมไปทำบาปกรรมอะไรกับใครไว้หรือไม่ ถ้าเคยพรากใครเขาให้จากกันในภพชาติใดก็ขอให้มันพ้นไปสิ้นกรรมกันแต่เพียงนี้ ยังจำคำพูดของกัญที่ใช้ปลอบใจเพื่อหญิงที่ผิดหวังเรื่องความรักมาได้ไหม

"ฉันเข้าใจ ฉันก็เคยเป็น โชคดีแล้วล่ะอย่างน้อยแก่ก็มีโอกาสได้รัก ทำใจนะเพื่อน"

ใช่แล้ว ผมกำลังคิดว่าอาจเป็นกรรมที่ผมทำกับกัญ คนที่กัญชอบอาจเป็นผม ผมไม่ซื่อสัตย์ในสิ่งที่ผมคิดตอนแรก ผมไม่พูดความรู้สึกที่แท้จริงว่าเริ่มแรกนั้นผมสนใจในตัวกัญ ผมปฏิเสธในสิ่งที่ผู้ชายควรจะทำคือการเข้าไปหาเธอก่อนบ้าง ทั้งที่กัญคอยโทรหาผมตลอดและผมก็รู้ว่ากัญห่วงใยผมในทุกๆเรื่อง และไม่ว่าผมจะแสดงออกอย่างไรเธอก็รับได้เสมอนั้นเป็นสิ่งที่ผมคิด ไม่เคยรู้เลยว่าเธอจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เมื่อเวลาได้เปลี่ยนไปใจคนก็เปลี่ยนตามอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แม้ผมจะเปลี่ยนความรู้สึกไปเป็นเพื่อนแน่แท้กับกัญในภายหลัง ผมก็แสดงออกไปอย่างตัวผมรู้เพียงคนเดียว หากกัญสังเกตเห็นผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าการเปลี่ยนไปของผมจะสร้างความเจ็บปวดให้เธอมากแค่ไหน ถ้าผมบอกเอ่ยปากว่าเราเป็นเพื่อนกันอย่างจริงจังสักครั้งผมคงไม่รู้สึกผิดได้มากมายขนาดนี้ สิ่งที่ควรจะทำเมื่อนานมาแล้วไม่มีค่าแล้วเมื่อเวลาผ่านไป แต่อย่างไรผมก็จะพูด

"กัญ เราขอโทษแกนะ"

"เรื่องอะไรของแก มาขอโทษอะไร"

"เมื่อก่อนเราเคยชอบแกนะ แต่พอรู้จักกันมากๆเข้า สนิทกันไปนานๆแกก็กลายมาเป็นเพื่อนรักของเราแทน เราขอโทษที่ไม่เคยบอกแกเลย"

หลังสิ้นเสียงผมใบหน้าของกัญก็ต่างออกไป เหมือนว่ากำลังตกตะลึงอะไรบางอย่าง พราวตาของกัญเริ่มเอ่อล้น แต่ใบหน้ากับยิ้มแย้มได้อย่างที่ผมไม่เคยเห็น เธอนิ่งไปสักพักก่อนจะเอื้อคำที่ประเสริฐยิ่งแก่ผม

"ไม่เป็นไร อย่างน้อยแกก็รู้แล้ว แค่นี้ก็พอ" ผมและกัญปิดข้อสนทนาสั้นๆเพียงแค่นั้น แต่จิตใจของเราก็ต่างเป็นอิสระจากกันโดยแท้

หลายวันจากนั้นผมกับกัญก็สนิทกันมากยิ่งขึ้น ความเป็นเพื่อนอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้เมื่อเราไม่คล่องใจกันและกันอีกต่อไป กัญบอกผมว่ายังมีอีกอย่างที่ช่วยให้หลุดพ้นความเจ็บปวดและผมก็เข้าใจในทันทีที่กัญบอก เวลาเท่านั้น เวลาจะบรรเทาทุกข์ เวลาจะเยียวยาหัวใจ แม้จะไม่ได้ทุกอย่างแต่เวลาก็มีผลมากที่สุดสำหรับเรื่องของความรัก ผมรู้แล้วกัญ ผมรู้แล้วว่ากว่าจะหยัดยืนอยู่ได้ทั้งที่ใจเจ็บปวดมันต้องอาศัยความเข้มแข็งแค่ไหน เวลาจะทำให้เราเคยชินเองและผ่านพ้นมันมาได้

"แต่เรื่องของแก น้ำตากับเวลาไม่ช่วยอะไรหรอกนะ เพราะแกยังมีโอกาส" กัญพูดกับผมอีก คล้ายเฉลยอะไรบางอย่างแก่คนโง่เขลาเช่นผม

"แกต้องมีความกล้า บอกความจริงให้ก้อยรู้สิ ถ้าแกปล่อยเวลาไปสิ่งที่แกเคยทำนอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว แกยังมีแต่เจ็บกับเจ็บที่ต้องคิดถึงมัน โดยที่ก้อยเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย บอกก้อยซะ แกรู้ไหมสิ่งที่จะช่วยให้คนเราหลุดพ้นจากความเจ็บปวดนะคือความกล้า กล้าที่จะผู้ความจริง กล้าที่จะบอกออกไปด้วยไม่กลัวที่จะเจ็บปวดทีหลัง เพราะความเจ็บปวดที่ถูกกดเก็บไว้แต่ในใจมันไม่มีทางออก เจ็บปวดที่เก็บกดมันยิ่งกว่าความเจ็บปวดจากเรื่องจริงที่ต้องยอมรับให้ได้นะแก"

ผมอยากบอกว่าจากคำพูดของกัญวันนั้น เป็นแรงส่งชีวิตของผมเลยทีเดียว กัญคือเพื่อนรักเพียงคนเดียวของผมและยังเป็นคนที่ผมนับถือต่อเรื่องความเจ็บปวดที่เคยอดทนของเธอแม้ผมจะถอนหายใจเพราะผมมีเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ เรียกว่าผมก่อกรรมไว้กับเธอ ความกล้าของผมเพียงบอกขอโทษเธอ ก็เป็นการปลดปล่อยจิตใจของเธอนั้นพอจะเป็นตัวอย่างได้ คนเราต้องมีความกล้าถึงจะอยู่อย่างเข้าใจตัวเองและรู้จักความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้ ตราบใดที่เรามีโอกาสก็จงใช้ความกล้านั้น นั่นคือสิ่งที่ผมคิดก่อนจะเอ่ยปากกับก้อยว่า

"เรารักก้อย" และไม่รู้ว่ารักตั้งแต่เมื่อไร จำได้ว่าวันนั้นก้อยเดินร้องไห้เข้ามาหาผมเพราะใครคนหนึ่งทิ้งเธอไป จากนั้นผมก็รู้สึกเจ็บปวดเสมอมาเมื่อเห็นเธอเจ็บปวด ผมดีใจที่ก้อยคลายทุกข์ลงได้ สามปีที่ผ่านมาผมรู้สึกดีๆกับก้อย ความรู้สึกมันเพิ่มขึ้นทุกวัน และผมก็รู้ดีว่าก้อยกำลังคบกับใครคนใหม่อยู่ ผมขอบอกก้อยไว้เพียงเท่านี้

ความกล้าของผมประจักษ์ใจของผมเอง ไม่ว่าก้อยจะตอบเช่นไรผมก็จะยอมรับมัน ถึงแม้มันจะต้องเจ็บปวดก็ตามผมคิดว่าผมคงยอมรับได้ เพราะอย่างน้อยก้อยก็รู้แล้วว่า ผมรักเธอ สำหรับผมแค่นี้ก็พอ จริงไหม


อย่าหวาดหวั่นถ้าเขาบอกว่าไม่รัก

อย่าหยุดพักถ้าหัวใจเธอเรียกร้อง

อย่าท้อถอยถ้ารักนี้ไม่สมใจปอง

อย่าเก็บไว้ถ้าเธอรักเขาจริงจริง



พิศชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 เม.ย. 2558, 17:42:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 เม.ย. 2558, 18:12:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 820





<< แฟนดารา   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account