เงามาร (กำลังรีไรท์ค่ะ)
'วาลาดา' ตื่นขึ้นมาพร้อมกับการรับรู้ว่าตัวเองมีสามีมีลูกแล้ว
ที่สำคัญ สามีของเธอคือเพื่อนในวัยเยาว์ที่ห่างเหินกันไป
หลายปีแล้ว เธอไม่ได้มีใจให้เขา เขาเองก็เกลียดเธอ

เหนือสิ่งอื่นใด เขาคือสามีของเพื่อนรักของเธอ


คำว่า "แย่งสามีเพื่อน"
กู่ก้องอยู่ในหัวและทำให้หัวใจของหญิงสาวแหลกสลาย...

เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปมีอะไรกับเขาตอนไหนจนมีลูก
กับเขาได้...แต่ลูกที่มีหน้าตาผสมผสานระหว่างเธอกับเขา
อย่างลงตัวทำให้เธอดื้นไม่หลุดกับหลักฐานการกระทำ
ของตัวเอง...

ความจริงดังกล่าว...ส่งให้ดาวดวงใหม่ที่ควรจรัสแสงแรงกล้า
อยู่บนฟากฟ้ากลับถูกกระชากลงมาให้แปดเปื้อนกลิ่นคาวคละคลุ้ง
ด้วยน้ำมือของใครบางคนที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเงาดำนั้น
หญิงสาวก็สุดจะคาดเดาได้...

หญิงสาวที่ควรมีความสุขไปบนหนทางอันดีงาม เส้นทางของดาว
กลับถูกดึงรั้งเข้ามาสู่เส้นทางของมาร...เมื่อถูกความมืดมน
ดุจเมฆดำเข้าครอบงำฝังจิตใจ...เปลี่ยนผู้หญิงที่เคยแสนดี
กลายเป็นผู้หญิงร้ายกาจ...นั่นคือเธอที่กำลังถูกใครๆ
กล่าวขานอย่างไม่มีจบสิ้น...


ทางเดียวที่จะรอดพ้นไปได้ นั่นก็คือ เธอต้องต่อสู้กับมันให้ชนะ ต่อสู้กับเงามารที่คอยตามรังควานชีวิตเธอทั้งชีวิตให้ย่อยยับ

โดยไม่รู้เลยสักนิดว่า...เงามารที่เธอเห็นนั้นมีใครซ่อนอยู่
หลังเงานั่น...รอ...รอวัน...เพื่ออะไรบางอย่าง...

รอคอยและเฝ้าดูอยู่ข้างหลังอย่างอดทน...
ชักใยซึ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างพิถึพิถัน...และล้ำลึก...
วางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รอบคอบและรัดกุม

ช่างเป็นการรอคอยอันแสนยาวนาน รอให้เธอมีความสุขที่สุด
ประสบความสำเร็จที่สุด พอได้จังหวะเหมาะจึงเข้าโจมตี...
จนวาลาดาคาดไม่ถึงว่าจะมีใครอดทนรอคอยเพื่อจองเวรเธอ
ได้นานถึงเพียงนี้...ช่างเป็นการทุ่มเทที่น่ากลัวเหลือเกิน...

เธอรู้...รู้ว่าสิ่งที่สำคัญ...คือเธอจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือ
หลังจากโดนโจมตีจนย่อยยับอับปางนี้ต่อไปอย่างไร...
นั่นคือ...สิ่งที่เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่...

และอีกอย่างที่เธอจะต้องทำคือ...หาคนที่ซ่อนอยู่หลังเงานั้น
ให้เจอ! และถามให้รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร


และ...

หวังเพียงว่า...เธอจะไม่ถูกมันครอบงำได้อีกครั้ง...
หวังเพียงว่า...เธอจะได้พบกับแสงสว่างในชีวิตอีกครั้ง...
หวังเพียงว่า...ผู้ที่เธอได้ทำร้ายเอาไว้โดยไม่รู้ตัวจะให้อภัย
หวังเพียงว่า...เขาจะเข้าใจ เชื่อใจ อภัย และรักเธอ
หวังเพียงว่า...ยอดดวงใจซึ่งคือลูกน้อยจะปลอดภัย ไร้มลทิน






...ขอเพียงได้อยู่ดูแลคุ้มภายคุ้มใจคนที่รักตลอดไป...


...ขอเพียงคนที่เธอรักปลอดภัย เข้าใจ ให้อภัย
และรักเธอเท่านั้น....



Tags: ดราม่า ซุลก๊อตไนท์ วาลาดา นาดีม มาร มารร้าย ไสยศาสตร์ ญิน นุฮา อะสุเซน่า วารินทร์ อานิต้า

ตอน: บทที่ 40 อ้อนรัก


กลิ่นหอมของกระเทียมเจียวหรือหอมเจียวหรือะไรสักอย่างทำนองนี้
แตะจมูกของคนที่กำลังหลับใหลอย่างอิ่มเอมใจ
ซุลก๊อตไนท์รับรู้หากก็ยังปิดตาหลับต่อไป…

หลายเดือนที่ไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นเด็กน้อยที่กินกับนอน
ทำให้ผู้ใหญ่อย่างเขาขอกลับไปเป็นเด็กน้อยของวาลาดาต่อ

หากเพียงแค่เด็กอีกคนที่นอนอยู่ข้างๆจะไม่ลุกขึ้นมาขยี้ตา
นั่งทำหน้ายับยู่ยี่เหมือนหมีที่เพิ่งตื่น หันมองซ้ายแลขวาก่อนจะเพ่งมองส่วนเกิน
ที่หายไปนาน ซ้ำยังมานอนเบียดบังพื้นที่อันน้อยนิดข้างๆตน
แล้วได้แต่สงสัย แววตาใคร่รู้มองดูส่วนเกินบนเตียงนอนที่กำลังหลับตาพริ้ม
มีหนวดเคราบนใบหน้า

โดยไม่เสียเวลาคิดให้นาน มือป้อมๆยกขึ้นสัมผัสหนวดเครานั้นทันที
ด้วยความอยากรู้อยากลอง แล้วก็พบว่ามีเสียงครางดังมาจากลำคอ
ของเจ้าของหนวดเคราที่ตนเข้าไปยุ่มย่ามโดยไม่ได้รับอนุญาต

แล้วมิใช่แค่สัมผัสเพียงแผ่วเบา มือน้อยๆค่อยๆเปลี่ยนเป็นจับ ลูบ คลำ และก็ดึง!

“โอ้ย!” เสียงร้องของเจ้าของหนวดที่โดนมือน้อยๆดึงหนวดดังขึ้น
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะสดใสที่ดูจะสุขสมใจต่อการกระทำของตนเม่ือครู่

และไม่ช้าไม่นานร่างอ้วนกลมก็ปีนขึ้นไปบนร่างของเจ้าของหนวดในมือ
นั่งคร่อมเหมือนท่าขับจักรยานยนต์พร้อมกับร้องเรียกด้วยความดีอกดีใจว่า

“ป้อ…ป้อมาแล้ว…ป้อ ป้อ ป้อ” แล้วก็ก้มหน้าลงไปเกลือกกลั้วกับใบหน้า
ของซุลก๊อตไนท์ที่ไม่ยอมลืมตาง่ายๆ

ปฏิบัติการปลุกพ่อจึงเริ่มขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง…เมื่อไม่ได้ผล
จึงงับปลายจมูกแหลมๆนั่นเข้าไป

คราวนี้ คนขี้เซาถึงกับโอดครวญเสียงดังไม่แตกต่างกับตอนที่โดนเมียสุดที่รักงับคอ

…ชีวิตนี้มีกรรม…โดนลูกเมียกระทำอย่างแสนสาหัส...

โชคดีที่ไม่ได้ซ้ำรอยเดิม ซุลก๊อตไนท์จึงได้ทีแกล้งลูกคืนด้วยการไม่ยอมลืมตาตื่น
อยากรู้ว่าลูกจะทำอย่างไรต่อไป…

โดยไม่คาดคิด เจ้าตัวเล็กเขยิบร่างลงไปแล้วดึงชายเสื้อพ่อให้เปิดขึ้นไปอยู่ตรงยอดอก
จนเห็นหน้าท้องแบนราบมีลูกคลื่นสวย ก่อนจะก้มลงประกบปากลงบนหน้าท้องของพ่อ
แล้วเป่าลมไปบนนั้นทำให้เกิดเป็นเสียงดัง ปากเย็นๆไม่ยอมลดละ
เป่าลมไม่หยุดพร้อมกับหัวเราะไปด้วย คนนอนหลับตาผงกศีรษะขึ้นมองด้วยความจั๊กจี้
ก่อนจะหัวเราะด้วยความเสียวซ่าน

ไม่นาน เจ้าตัวเล็กเห็นอกเขาเป็นอกแม่หรืออย่างไรไม่รู้ได้
อยู่ดีไม่ว่าดี เกิดนึกอยากงับหัวนมของเขาแล้วดูด คนเป็นพ่ออยากถามจะลูกชาย
เหลือเกินว่า

...น้ำนมพ่อมันออกมามั้ยลูก…

แต่ถามไม่ได้เพราะจั๊กจี้จนต้องหัวเราะชนิดที่หยุดไม่ได้
และเหมือนว่าเสียงหัวเราะของเขาไปกระตุกต่อมให้ลูกยิ่งได้ใจ ดูดหัวนมเขาไม่เลิก

วาลาดารู้สึกยังไงตอนให้นมลูกเขาไม่รู้ แต่ตอนนี้เขาแทบจะอยู่ไม่ติดเลยทีเดียว…
เสียงหัวเราะของซุลก๊อตไนท์ดังลั่นห้องเลยทีเดียวกับบทลงโทษอันแสนสยิวกิ้ว
จากลูกชายสุดที่รัก...

“พอ…พอแล้วลูก…พ่อยอมแล้ว…ยอมแล้วค้าบบบบบ”

เจ้าตัวเล็กจึงผงกศีรษะขึ้นมองเขา ตาสบตากัน
คราวนี้เลยเขยิบขึ้นมาควบม้าตรงแผ่นอกเขาทันทีแล้วนอนลงไป กอดเขาเสียแน่น
ซุลก๊อตไนท์เลยกอดลูกตอบพร้อมกับขยับลุกขึ้น อุ้มลูกเดินเข้าห้องน้ำ
จับโยนลงในกะละมังใบใหญ่ เพราะที่นี่ไม่มีอ่างอาบน้ำอย่างที่บ้านเดิม…
ก่อนจะถอดเสื้อผ้าให้ลูก ตักน้ำจากตุ่มใส่ลงไปในนั้น
แล้วจัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเอง

สองพ่อลูกทำกิจกรรมในห้องน้ำเสร็จก็เดินออกมาพร้อมกันในชุด
ที่วาลาดาที่ยืนรออยู่ในห้องนอนถึงกับส่ายหน้า พร้อมยื่นผ้าขนหนูผืนเล็ก
ให้ซุลก๊อตไนท์เช็ดผมที่เปียกอยู่ แล้วรับลูกมาจัดการเอง…

“ตีสามครึ่งเองหรือนี่…” ชายหนุ่มเปรยออกมาขณะมองนาฬิกาบนฝาผนังห้อง…

“ก๊อตลืมแล้วหรือว่าวันนี้เราต้องถือศีลอด และต้องกินข้าวก่อนที่แสงแดง
ที่ขอบฟ้าจะปรากฏ…” วาลาดาเตือนเขา ซุลก๊อตไนท์ยิ้มกว้าง

ถึงว่าสิ ทำไมยังรู้สึกว่ายังง่วงอยู่มาก เพราะต้องตื่นก่อนเวลาปกตินี่เอง

“แล้วทำไมลูกถึงตื่นได้ล่ะเนี่ย…” อดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดลูกชายของเขา
ถึงได้ตื่นนอนเอาป่านนี้กับคนอื่นด้วย ใช่จะถือศีลอดกับเขาได้เสียเมื่อไหร่กัน

“กลิ่นอาหารนั่นแหล่ะปลุก…” วาลาดาเฉลย…

“อะไรก็ปลุกได้ไม่ดีเท่ากลิ่นอาหาร…โดยเฉพาะกลิ่นปลาทอด…”

เหมือนแมวที่เธอเคยเลี้ยงไม่มีผิด…ทอดปลาทีไรมันต้องมาคลอแข้งคลอขาทุกที
ทั้งๆที่ปกติจะออกไปเที่ยวจีบสาวไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง
พอได้กลิ่นปลาทอดเท่านั้นแหล่ะ โผล่หัวออกมาให้เห็นได้…

พอก้มลงมองลูกที่เธอกำลังสวมเสื้อให้อยู่ก็เห็นว่าเจ้าตัวเล็กฉีกยิ้ม
โชว์ฟันที่เกือบเต็มปากรออยู่ก่อนแล้ว

“พอหอมแล้วก็หิวล่ะซี…” วาลาดาย่นจมูกใส่ลูก ซุลก๊อตไนท์มองภรรยาของตน
แล้วนึกชอบใจ มองแล้วมองอีก มองเพลินไม่มีเบื่อ

“วันนี้ฉันจะอดใจไม่หอมแก้มเธอได้มั้ยนะวา…” ซุลก๊อตไนท์เอ่ยขึ้น
เมื่อวาลาดาลุกขึ้นแล้วจูงมือลูกเพื่อจะออกไปยังด้านนอก

หากเขากลับรั้งไว้แล้วหอมแก้มวาลาดาฟอดๆๆ จนลูกถึงกับประท้วงสะกิดขาเขาใหญ่
ซุลก๊อตไนท์เลยจับร่างลูกชายขึึ้นโยนไปมาแล้วเหวี่ยงขึ้นข้างบนก่อนจะรับเอาไว้
แล้วรวบร่างนั้นเข้าสู่อ้อมแขนพร้อมกับหอมแก้มลูกไปอย่างเท่าเทียมกัน
กับตอนที่หอมแก้มคนเป็นแม่ของลูก

วาลาดามองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข เห็นพ่อลูกกลับมาต่อเติม
ความสัมพันธ์กันแบบนี้แล้ว ใจมันแสนจะสุขเหลือสุข…
แล้วเขาก็หันมายิ้มให้เธอ โอบเอวเธอพาเดินไปยังห้องครัวพร้อมกับบอกเธอว่า

“อยู่ใกล้เธอแล้วอดใจไม่ค่อยไหว ทำไงดีวา…”
วาลาดาช้อนตาขึ้นไปมองเขาแล้วยิ้มบาง

“ก็ถอยไปห่างๆอย่างเมื่อก่อนซี…จะไปยากอะไร…เห็นทำมาได้ตั้งนาน”

“ตอนนั้นมันจำเป็นนี่…”

“ตอนนี้ยิ่งกว่าจำเป็น…เพราะเราต้องถือศีลอด…เข้าสู่เวลาเมื่อไหร่
ก๊อตห้ามหอมแก้มวานะ…ห้ามมุ้งมิ้งด้วย…” คนฟังถึงกับยิ้มกว้าง

การได้อยู่กับเธอ เห็นหน้าเธอ ได้ฟังเสียงเธอมันทำให้เขาสุขใจ
ยิ่งได้อยู่กับลูกด้วยยิ่งสุขขึ้นไปอีก เขาถึงยอมให้เธออยู่ในบ้านหลังนี้
โดยไม่มีลูกสมุนแมงมุมของเขาไม่ได้…เพราะมั่นใจว่าเขาต้องลงแดงตาย
ถ้าไม่ได้เห็นหน้าเธอและลูก…เลยต้องยอมออกมาจากเงาที่ซ่อนมาหาเธอจนได้…

“ไหนดูซิ…ว่ามีอะไรให้กินบ้าง…” ว่าพลางวางลูกน้อยลงบนหมอนรองนั่งหน้าโต๊ะเตี้ยๆ
ที่มีอาหารสำหรับเช้านี้วางไว้อย่างดี มีฝาชีครอบไว้
พอเปิดออกดู กลิ่นหอมก็กระจายไปทั่ว

“วาหุงข้าวเหนียวน่ะ...ทอดปลา ทอดเนื้อ แห้งๆแบบนี้กินง่ายดี
สำหรับมื้อแรกๆที่ต้องกินข้าวผิดเวลา…” วาลาดาเอ่ยขึ้น

“มีซุปถั่วเหลืองให้ซดด้วยนะ…” ว่าพลางลุกขึ้นไปตักซุปในหม้อใส่ถ้วยสามถ้วย
แล้ววางลงบนโต๊ะ…

“ง่ายๆ แต่น่ากินดี…ลงมือเลยลูก…” ว่าพลางหันมาชวนลูกชายที่นั่งอยู่ข้างๆเขา…

วาลาดาที่นั่งอยู่อีกฟากยิ้มให้ลูกพร้อมกับปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนกลมๆเล็กๆวางไว้ให้
แกะก้างออกจากเนื้อปลา บรรจงตกแต่งวางไว้รอบๆจานข้าวของลูก…

ซุลก๊อตไนท์มองท่าทางน้ันของเธอแล้วได้แต่ลอบยิ้ม…
คนเป็นแม่กว่าจะได้กินข้าวคงต้องมานั่งจัดแจงให้ลูกก่อนอย่างนี้เสมอ
คิดแล้วก็นึกถึงตัวเองในวัยเยาว์ที่มีแม่คอยจัดแจงโน่นนี่ให้ไม่เคยขาดตกบกพร่อง…

“เห็นข้าวเหนียวไม่ได้เลยละเด็กคนนี้…” วาลาดาบอกเขา
เมื่อเห็นว่าลูกน้อยจกข้าวเหนียวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อย
ไม่อนาทรว่าตอนนี้เป็นเวลาไหน รู้เพียงว่ามันคือเวลากิน

“ต้องมีหอมเจียวด้วยนะ เขาชอบกินข้าวเหนียวกับหอมเจียวกรอบๆ…”

“ปลาทอด…ด้วย” เสียงใสๆบอกเสริม ย่อมแสดงให้เห็นว่าหูสองข้างนั้น
กำลังฟังพ่อแม่พูดคุยอย่างรู้เรื่องอยู่ตลอด

ซุลก๊อตไนท์ยิ้มขณะเหลือบมองลูกชายที่นั่งจิ้มข้าวเหนียวกับหอมเจียวข้างๆจาน
นับว่าลูกรู้จักวิธีกิน…เขาเลยลองบ้าง…หอมเจียวกรอบๆของวาลาดาอร่อยจริงๆอร่อยจัง
กินกับข้าวเหนียวได้อย่างลงตัว ซ้ำเนื้อที่ดูจะผ่านการหมักไว้ก่อนทอดก็นุ่มกำลังดี…
ปลาทอดยิ่งไม่ต้องพูดถึง…

“ถึงว่าสิ…ตาหนูถึงได้อ้วนพีขนาดนี้…”

“ช่วงกำลังกินได้วาก็อยากให้กิน โตไปกว่านี้จะรักเล่นรักสนุกจนลืมกิน”

“อืม…” เขาครางในลำคอพลางพยักหน้าเห็นด้วย

“ก๊อตเองดูผอมไปนะ…” วาลาดาอดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็นออกมาตรงๆ
เพราะใบหน้าที่เคยอิ่มเอิบ…รูปร่างที่มีเนื้อหนังมังสากว่านี้ก็ดูซูบลงไปเยอะ
ซ้ำยังดูหมองคล้ำ ออร่่าที่เคยกระจายฟุ้งลดระดับลง…

“ไม่ได้กอดเมียกอดลูกไง…เลยผอมโซเซ…” เขาบอกยิ้มๆ
ก่อนจะจกข้าวเหนียวเข้าปาก วาลาดาได้ทีจึงจัดการในส่วนของตัวเองบ้าง

รู้สึกดีเมื่อได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาล้อมวงกินข้าวกันแบบนี้
แม้สถานที่จะเปลี่ยนไป หากเธอไม่คิดใส่ใจ ขอแค่มีกันพร้อมหน้าอยู่ด้วยกัน
จะอยู่ที่ใดมิใช่เรื่องสำคัญสำหรับเธอเลย…

“วันนี้ก๊อตจะออกไปไหนมั้ย…” วาลาดาถามขึ้นเมื่อเขาอาสาจะช่วยเธอ
จัดการล้างจานชามในครัว…โดยให้เธอนั่งเฉยๆตรงที่เดิมกับลูก

“จะพาเธอกับลูกออกไปเปิดหูเปิดตาไง…อยากไปมั้ย…” วาลาดาเบิกตากว้างเลยทีเดียว
เหมือนเห็นสัญญาณไฟเขียวตรงสีแยกไฟแดง

“วาออกไปได้หรือก๊อต…” ซุลก๊อตไนท์ที่กำลังเช็ดจานอยู่หันมายิ้มให้นิดนึง
ก่อนจะหันกลับไปจัดการจานชามต่อ

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ…เงามารดำๆนั่นมันโดนล่ามแล้วนี่…ส่วนนาดีมก็ยัง
ออกมาทำอะไรใครไม่ได้ในตอนนี้…แม่ของเขาก็คงจะยุ่งๆกับหลายๆเรื่อง
ไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้แน่ๆ…”

“ประมาทไปหรือเปล่าก๊อต…”

“ไม่หรอก…ฉันประเมินสถานการณ์มาแล้ว…”

อย่างนี้ทุกที…วาลาดาแอบหมั่นไส้คนที่ดูจะมั่นอกมั่นใจในตัวเองเสียเต็มประดา

“เชื่อฉันเถอะน่า…ฉันไม่เอาชีวิตเธอกับลูกไปเสี่ยงหรอก…”
ซุลก๊อตไนท์หันมาสบตาวาลาดาเพื่อเป็นการยืนยัน

“แล้วเราจะไปไหนกัน…”

“ไปหาชุดสวยๆให้เธอใส่ดีมั้ย…” วาลาดาก้มมองชุดที่ตัวเองใส่ทันที
ที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น เพราะชุุดที่เธอสวมมันก็แค่ชุดคลุมท้องเรียบๆ

แล้วเธอก็เลือกนุ่งผ้าถุง เพราะมันขยับปมปรับให้คับหรือหลวมเมื่อต้องการได้ทุกเมื่อ…

“เดี๋๋ยวท้องโตกว่านี้จะลำบากนะ…” เสียงเขาแทรกขึ้นอีก

“ไม่ลำบากหรอก…ถ้าต้องอยู่ที่นี่จนคลอด วาไม่ลำบากที่จะสวมใส่
ผ้าถุงผ้านุ่งแบบนี้หรอก…เพราะวันๆก็อยู่แต่ในบ้านกับชานเรือนและบริเวณบ้าน
ไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้ว…”

วาลาดาไม่อยากให้วุ่นวายมากกว่า เธอพอใจแค่นี้…แต่คนฟังหาฟังเธอไม่…
ยังคงเอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยน

“ฉันกลัวว่า…ปมผ้าถุงของเธอจะหลุดน่ะสิ…ฉันได้ศีลขาดแน่ๆ…”

“บ้า…พูดอะไรเลื่อนเปื้อนน่ะก๊อต…ไม่ใช่แค่ท้องที่ต้องถือศีล
ปากก็ต้องถือศีลด้วยรู้รึเปล่า…” ซุลก๊อตไนท์ที่จัดการกับจานชามเสร็จ
จึงเดินมานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามวาลาดา มองหน้าเธอยิ้มๆ

“ก็เพราะรู้ไง…เลยเตือนเอาไว้ก่อน เพราะหูกับตาก็ต้องถือศีลด้วยนี่
เห็นอะไรวับๆแวมๆ มันไม่ดี...มันอาจกระทบกระเทือนไปถึงหัวใจได้...”

วาลาดาย่นจมูกใส่เขาพร้อมกับยกแก้วน้ำให้ลูกดื่มหลังจากตักซุป
ถั่วเหลืองป้อนเจ้าตัวเล็กเสร็จแล้ว…

“กาย วาจา ใจต้องถือศีลหมด…โอเค…แล้วมันเกี่ยวกับชุดคลุมท้องสวยๆยังไง…
เดี๋ยววาก็คลอดแล้ว ไม่รู้จะได้ใส่อีกเมื่อไหร่…ซื้อมามันก็น่าเสียดายออก…”
คนฟังยิ้มกริ่ม

“ทีตอนที่ท้องตาหนู เธอช้อปแหลกเลยรู้มั้ย…พอคลอดเสร็จฉันเลยเอา
ชุดพวกนั้นไปบริจาค เพราะคิดว่ายังไงๆ ฉันคงไม่ยอมให้เธอท้องกับฉันอีกแล้วแน่ๆ…”
ว่าแล้วก็มองไปที่ท้องนูนๆของเธอ

“แต่ก็ท้องจนได้น่ะนะ…” วาลาดาค้อนคนพูดตาพลิกตาคว่ำเลยทีเดียว

“เพราะใครล่ะ…เพราะใคร”

“เพราะเราไง…ฉันทำคนเดียวไม่ได้หรอกน่า…”

“หยุดเลยก๊อต…ถ้าจะเข้าสู่โหมดนี้ขอให้หยุดเลย…” วาลาดาเบรคเขา
จนหัวแทบทิ่มไปบนโต๊ะ

“หน่า…ฉันมีตังค์ให้เธอซื้อนะ…ถึงตอนนี้จะเป็นแค่คนที่ตายไปแล้วในสายตาชาวบ้าน…
แต่ฉันยังมีปัจจัยให้เธออีกเพียบ…” เขาว่าได้หน้าตาเฉย

เธอไม่อยากคิดเลยว่าตอนนี้พี่นุจะทำหน้าอย่างไร ยิ่งถ้าได้รู้ว่าเขายังหายใจอยู่
พี่นุต้องเอาเขาตายแน่ๆ…พินัยกรรมนั่นมันผูกมัดแขนขาพี่นุอย่างเห็นได้ชัด

…เขาน่ะเจ้าเล่ห์เหลือร้าย…ถ้าพี่นุกระโดดงับคอเขาเหมือนอย่างที่เธอทำ
ด้วยความหมั่นไส้…เธอจะไม่แปลกใจเลยสักนิดเดียว

“ปัจจัยที่ว่ามันมาจากไร่ข้าวโพดพวกนี้ใช่มั้ย…” ไม่วายสงสัย
จริงๆก็สงสัยมานานแล้ว

“มันเป็นของหลานลุงหมานแก…” เสียงเขาตอบเรียบๆ

“แต่เท่าที่วารู้…หลานลุงหมานคือคนที่เข้ามาช่วยอุ้มวาตอนเป็นลมนะ
แล้วคนๆนั้นก็นั่งอยู่ตรงหน้าวาในตอนนี้แล้ว…” ซุลก๊อตไนท์ยิ้มกว้าง

“มีเมียรู้ทันนี่มันลื่นไหลไปได้ยากแบบนี้นี่เอง…” เขาว่า

“ถ้าลื่นมากๆ วาอาจจะจับทำปลาไหลผัดเผ็ด…ให้ลุงหมานกิน…”
ซุลก๊อตไนท์หัวเราะฮึๆในลำคอ ไม่มีต่อล้อต่อเถียง

“ว่าแต่จะสวยไปทำไม…ตอนนี้ใส่ชุดอะไรก็ไม่สวยหรอก…ดูสิ…
เหมือนฝาชียังไงก็ไม่รู้…”

วาลาดาว่าอย่างจะปลงสังขารตัวเอง แล้วอดไม่ได้ที่จะหันไปทางฝาชีที่วางอยู่
ทำเอาซุลก๊อตไนท์ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ลูกน้อยเห็นพ่อหัวเราะก็หัวเราะตาม

คราวนี้คนที่เปรียบตัวเองว่าเหมือนฝาชีถึงกับค้อนพ่อลูกที่หัวเราะเธอ
และแทนที่จะค้าน เขากลับพูดเหมือนเห็นด้วยเสียอย่างนั้น

“ฝาชีที่เขาตกแต่งลายสวยๆก็มีถมเถไป คิดไรมาก…”

เห็นท่าไม่ดี ชายหนุ่มเลยเข้าปลอบ เอาน้ำเย็นเข้าลูบ…
เดี๋ยวคนเคยสวย รูปร่างดีระดับนางงามจะน้อยอกน้อยใจมากไปกว่านี้

เธออุตส่าห์เสียสละอิสรภาพและความงามเพื่อมาเป็นฝาชี
โดยการทำหน้าที่ตั้งท้องลูกของเขาเชียวนะ…

“เราจะได้ไปหาซื้อข้าวของมาตกแต่งบ้านด้วยไง เธอไม่ชอบหรือ…”

คนรู้ใจเลยยุส่ง เพราะรู้ว่าวาลาดาชอบงานตกแต่งโน่นตกแต่งนี้

แล้วมันก็ได้ผลอย่างที่คิดเอาไว้ แววตาของเธอดูเป็นประกายขึ้นมาทันที

ส่วนเขาจะทำหน้าที่ตกแต่งเธอเอง…เพราะเจ้าตัวที่ชอบตกแต่งโน่นนี่
ไม่ค่อยจะใส่ใจตกแต่งตัวเองเท่าไหร่เลย…

และนี่คือหน้าที่เขา!

เขาอยากเห็นเธอสวยๆ แม้ปกติจะสวยอยู่แล้วโดยไม่ต้องแต่ง
แต่ถ้าได้แต่งเพิ่มอีกก็จะยิ่งสวยขึ้นไปอีก…เขาชอบเห็นเธอสวยๆต่อหน้าเขาคนเดียว…
ไม่คิดอยากจะแบ่งให้ใครดู…

ไปข้างนอกไม่สวยไม่เป็นไร แต่อยู่ในบ้านกับเขาเธอต้องสวยยิ่งๆขึ้นไป!

“พันธุ์ไม้สวยๆก็มีนะ…” ยุเข้าไปอีกนิด กระชับพื้นที่เข้าไปอีกหน่อย

“ฉันเห็นเขาขายเมล็ดพันธุ์ดอกนั่ันดอกนี่เยอะแยะ ต้นกล้วยไม้ก็สวยๆ
ต้นอุ้งตีนหมีก็มี…”

“ตกลง…ก็ได้…” วาลาดายอมเขาทันทีทันใดไม่มีอิดออด…
เพราะในหัวเริ่มจินตนาการถึงบรรดาต้นไม้ต่างๆว่าจะปลูกอะไร ยังไง ตรงไหน

ที่สำคัญ…ชักอยากจะเห็นหน้าต้นอุ้งตีนหมีซะแล้วสิ…

อยู่มากับต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ เพิ่งจะมาได้ยินชื่อมันก็จากปาก
ของซุลก๊อตไนท์นี่แหล่ะ…

“ว่าแต่ลุงหมานแกตื่นรึยังไม่รู้สิ…” อดไม่ได้ที่จะคิดถึงอีกคนที่อยู่กระท่อมข้างๆกัน

“ตื่นแล้ว…โน่นไง…เดินมาโน่นแล้ว…” พูดพลางมองไปตรงหน้าต่าง
ที่เปิดรอรับแสงอรุณรุ่ง

“ลุงได้กลิ่นหอมๆ…คุณวามีอะไรให้ลุงกินบ้างเนี่ย…” ชายกลางคน
เดินขึ้นมาบนเรือนพร้อมส่งยิ้มให้ซุลก๊อตไนท์ที่นั่งยิ้มแป้นแข่งกับลูกน้อยอยู่

เห็นลูกหลานมีความสุข คนแก่ก็พลอยมีความสุขไปด้วย

“มาเลยค่ะลุง…ตอนแรกวาว่าจะไปเรียกแล้ว แต่เกรงใจ…”

“เมนูข้าวเหนียวกับของทอด…ง่ายๆค่ะ…” ว่าพลางลุกขึ้นจัดแจงสำรับ
ที่เธอแบ่งเอาไว้เผื่อลุงหมาน ชายกลางวัยจึงนั่งลงข้างๆซุลก๊อตไนท์

เมื่อสำรับวางตรงหน้า จึงไม่รอช้าลุกขึ้นไปล้างไม้ล้างมือ
แล้วจัดการทันทีพร้อมด้วยคำชมที่ไม่เคยขาดปาก…

“คุณก๊อตได้กลับมาสมบูรณ์อ้วนพีกันละคราวนี้…”

ไม่วายกระเซ้าเย้าแหย่คู่สามีภรรยาที่นั่งมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร…
อาจเพราะเกรงใจเขาหรืออาจเพราะอายเขาก็เป็นได้…ส่วนเจ้าตัวเล็กนั้น
เหมือนจะอยู่ไม่นิ่ง เลยลุกขึ้นเดินไปเดินมาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล…

“ยาใดในโลกก็ไม่สู้ยาใจนี่ลุง…เป็นยาบำรุงขนานแท้…” คนโดนแซว
รับคำอย่างไม่มีขัดเขิน

“ลุงเองจะได้ไม่ต้องคอยส่งสะเบียงให้อีกแล้ว…โชคดีไป…”

คนที่กำลังกินถึงกับพ่นลมหายใจออกมาราวกับโล่งอกส่งผลให้คนมอง
ถึงสองคนถึงกับอมยิ้มแล้วหันมามองหน้ากันและกัน…

“แล้วจะเอายังไงกับเรื่องนั้นต่อไปล่ะครับ…” ไม่วายถามเรื่องแผนการ

“ตามแผนครับ…สิ้นเดือนรอมะฎอน!”

นั่นคือคำตอบของซุลก๊อตไนท์ที่มิได้ทำให้วาลาดากระจ่างใจลงไปได้เลย…
เขาจะคิดอ่านทำอะไรของเขาอีกนะ…

อยากจะมีส่วนร่วมบ้าง หากดูท่าเขาจะไม่ยอมให้มี
แต่ไม่ว่าอย่างไร เธอจะขอมีเอี่ยวด้วยแน่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง…








กว่าจะกลับมาถึงบ้าน วาลาดาก็ถึงกับหมดแรง นอนแผ่ในท่าอ้างว้างอยู่กลางห้อง
โดยมีลูกชายคอยพัดวีให้

ซุลก๊อตไนท์มองสภาพของคนโดนยุที่เดินดูต้นไม้จนลืมสังขารตัวเอง
เลือกต้นไม้นานยิ่งกว่าเลือกเสื้อผ้าเสียอีก

กลายเป็นเขาที่ต้องตัดสินใจเลือกเสื้อผ้าให้ เพราะเหมือนเธอจะยอมๆ
ไฟเขียวให้เขาอย่างเต็มที่ รองเท้าอะไรเขาก็จัดการให้หมด

พอถึงคิวต้นไม้ เธอไม่ยอมให้เขาช่วยเลือกเลย ขอเลือกเองทั้งนั้น

และกว่าจะเลือกเสร็จ เธอที่เดินจูงมือลูกนั้นไม่เท่าไหร่
แต่เขาที่เดินแบกโน่นแบกนี่ตามหลังนี่สิ เกือบหลังอาน

ต้นโน้นก็น่าสน ต้นนี้ก็น่าปลูก ส่วนต้นนั้นยังไม่เคยพบเคยเจอ ขอลองปลูกหน่อย
พอเดินไปเจอต้นกล้วยไม้ คุณเธอเดินไปชมไป ติไปบ้าง เอาจมูกไปดอมดมบ้าง
จนเขาต้องบอกว่าอย่าไปดม เผื่อเขาฉีดยาโน่นนี่…แต่เจ้าตัวไม่สน
บอกว่า รู้หรอกว่าไหนกลิ่นดอกไม้ไหนกลิ่นยา…นั่น…เธอเป็นเอามาก

แถมยังบ้าขนาดให้เขาขนกล้วยไม้ไม่รู้กี่ต้นต่อกี่ต้นมาปลูก
เห็นต้นกุหลาบออกดอกสวยๆก็ให้ขน เห็นต้นดอกอะไรที่มีสีสันสดๆก็ให้ขน
ดีนะที่เขาเอารถกระบะมา

พอเขาจะค้านนิดค้านหน่อย เธอก็บอกหน้าตาเฉยว่า

'ไหนว่ามีตังค์ให้ผลาญไง'

…จบกัน! เขาจึงต้องยอมด้วยประการละฉะนี้เอง…

แล้วท้ายที่สุด คนที่ไม่เจียมสังขารก็มานอนหมดเร่ียวหมดแรง
ปวดแขนปวดขาเพราะต้องแบกท้องเดินทั้งวัน ซ้ำยังต้องถือศีลอด น้ำหรืออาหาร
หรือไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่นั้นเอาเข้าปากไม่ได้เลยสักอย่าง…

เตือนแล้วก็ไม่ฟัง แล้วก็ต้องมานอนอยู่ในสภาพนี้

ซุลก๊อตไนท์ได้แต่ส่ายหน้า เดินไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำที่แช่เย็นไว้
แล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆเธอที่นอนหายใจพะงาบๆเหมือนปลากำลังขาดออกซิเจน

อยากจะซ้ำเติมให้หนำใจนักที่ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว…
แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าแล้วทำไม่ลง เขาเลยใช้ผ้าชุบน้ำเย็นๆเช็ดใบหน้าและลำคอ
รวมทั้งแขนทั้งสองให้…

“ขอบคุณมากเลยก๊อต…วาเพิ่งรู้ว่า…อะไรๆมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว”

คนไม่เจียมเริิ่มมีสีหน้าหดหู่…มันก็น่าหดหู่อยู่หรอกนะถ้าใครได้มาเห็นสภาพของเธอ
ในตอนนี้

“เมื่อก่อนวาเดินเหินไปไหนมาไหน ออกแดดได้เป็นวันๆ ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนะ…
โธ่…แล้วทำไมตอนนี้…มัน…”

ซุลก๊อตไนท์ยิ้มกริ่มให้กับคนที่กำลังพูดโดยที่ตายังปิดอยู่

“ก็เธอแบกลูกเอาไว้อยู่ด้วยนี่…มีอะไรก็ต้องแบ่งปันลูกด้วย…
แล้วนี่ถือศีลอดไหวแน่ๆนะ…ถ้าไม่ไหวก็ไม่เป็นไรหรอก…คนกำลังท้องกำลังไส้น่ะ
มีการอนุโลมได้ในกรณีที่ไม่ไหวจริงๆ…พระเจ้ามิได้สั่งใช้อะไรที่เกินกว่า
ที่มนุษย์จะทำได้จริงๆหรอก...ทุกอย่างก็มีข้อยกเว้น” วาลาดาส่ายหน้าไม่ยอมแพ้

“ไม่เอาอ่ะ…วาอยากถือศีลอด…วาไหว…” ซุลก๊อตไนท์เลยลูบหัวหญิงสาว
ปัดปอยผมที่ปรกลงมาออกไป

“งั้น…เดี๋ยวฉันทำอาหารมื้อเย็นเองเป็นไง…”

คนที่แบกต้นไม้ หิ้วต้นไม้และอุ้มลูกชายแทนเธอมาทัั้งวันอาสาอย่างขันแข็ง

“อย่าเลยก๊อต เดี๋ยววาพักแป๊บนึงก็หายเหนื่อยแล้ว…”

คนฟังกลับไม่เชื่อเช่นนั้น เพราะจากที่ดู เธอไม่น่าจะลุกไหวในสองสามชั่วโมงนี้แน่ๆ

“ทำไมล่ะ…”

“วากลัวก๊อตทำไม่อร่อย…” นั่นคือเหตุผลของเธอ ทำเอาคนฟังถึงกับจ้องคนพูดเขม็ง
แต่คนที่หลับตาหรือจะเห็นสายตาพิฆาตจากเขา ซ้ำยังพูดจาทับถมกันอีกว่า

“ตอนเข้าค่าย…แค่ไข่เจียวของก๊อตยังเค็มกว่าไข่เค็มทั่วๆไปอีก…
มันได้ไอโอดีนก็จริงนะ แต่มากไปมันก็ไม่ดีต่อสุขภาพเหมือนกัน…
วากลัวจะเป็นโรคไตก่อนวัยอันควร…” ดูเธอพูดเข้า

“นั่นมันเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วนะวา…ตอนนี้ฉันพัฒนาแล้ว…”

“จากไข่เจียวเค็มๆเป็นไข่ดาวเละๆใช่มั้ย…วารู้หรอก…”

ซุลก๊อตไนท์อ้าปากหมายจะคัดค้านต่อศาลที่เคารพ…
แต่เธอกลับพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อนว่า

“ก๊อตอย่าให้วาพูดมากกว่านี้เลย…เดี๋ยวน้ำลายวาหมดบ่อ
มันจะไม่มีอะไรประทังชีวิตระหว่างที่ยังไม่ถึงเวลาละศีลอด…
ตาหนูลูก พัดแรงๆหน่อยสิลูก…” บอกเขาเสร็จก็หันไปใช้งานลูกชาย
ที่กำลังนั่งพัดวีอยู่ให้พัดแรงๆขึ้น ซุลก๊อตไนท์เลยเดินไปหยิบพัดลม
มาวางไว้ในระยะพอดิบพอดี แล้วกดเต็มอัตราเพื่อไล่อากาศร้อนๆออกไป…

“ทำไมวาคิดไม่ได้นะว่าเราก็มีพัดลมให้ใช้…มัวไปใช้ลูกอยู่ทำไม...” หญิงสาวเปรย

“เวลาไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน สมองคนเราในบางรายก็อาจฝ่อได้แบบนี้แหล่ะ…”

ซุลก๊อตไนท์บอกกรายๆ เหมือนจะเข้าอกเข้าใจ แต่ฟังแล้วมันทะแม่งๆอยู่
เขากำลังกัดเราหรือเปล่า...คงไม่หรอก...ถือศีลแบบนี้ เขาไม่ให้ทำสงครามต่อกัน

“คงจะจริง…” เสียงนั้นเริ่มเบาลงเรื่อยๆ แล้วเงียบลงพร้อมเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ…

ซุลก๊อตไนท์เลยหันไปยิ้มให้กับลูกชาย กวักมือให้ลูกเดินมาหาเขา
และพากันเข้าห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารมื้อค่ำสำหรับละศีลอด
ในวันแรกแห่งการถือศีลอด…

เพราะแน่ใจว่าอย่างไรแม่ครัวก็คงจะลุกไม่ขึ้นแน่ๆ



และมื้อเย็นของวันนั้นได้ทำให้วาลาดารู้ว่า สามีของตัวเองมีฝีมือการทำอาหาร
กับชาวบ้านชาวช่องเขาเหมือนกัน…

วาลาดามองเมนูอาหารขึ้นโต๊ะแล้วท้องร้องจ๊อกๆ
ลูกน้อยก็ดูจะไม่ได้แตกต่างไปจากเธอเลยสักนิด

“ต้มยำไก่บ้านครับคุณแม่บ้านคนสวย…”
ซุลก๊อตไนท์เสริฟเมนูอาหารดังกล่าววางบนโต๊ะ

“ส่วนนี่ก็คือ…ไก่บ้านย่างหนังกรอบ มีเสริฟเป็นชุดๆพร้อมผักสดๆปลอดสารพิษ…
เพราะกระผมปลูกเอง…” วาลาดาเบิกตา นึกว่าหูฝาดไป

มือเรียวๆสวยๆของเขาเนี่ยนะจับจอบปลูกผักปลอดสารพิษอะไรเทือกนี้…
ไม่น่าจะเป็นไปได้ วันๆเห็นนั่งรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์กับจับปากกาเซ็นโน่นเซ็นนี่
อยู่แต่ในห้องแอร์…

ว่าแล้วก็พิสูจน์ด้วยการคว้ามือเขามาพลิกดูว่ามีส่วนไหนแตกน้ำไปบ้าง
หากก็ไม่พบสักรอย มือยังนิ่มและเรียวสวยเหมือนเดิมนี่ มีสากๆไปบ้างนิดหน่อยเอง
วาลาดาเลยแบะปาก

“อย่ามาโม้เลย…”

“จริงๆนะ ฉันปลูกผักแบบไร้ดินน่ะ…เห็นเขาทำเลยลองทำมั่ง…”

อ่า…อย่างนี้นี่เอง…ว่าแล้วก็มองผักตรงหน้าทันที…ทั้งสดทั้งเขียวน่ากินจริงๆนั่นแหล่ะ…

ซ้ำยังมีเครื่องเคียงเป็นมันฝรั่งติดเปลือกทอดร้อนๆส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ
เพียงแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลยยังทำได้แค่มองๆมัน ยังเอาเข้าปากไม่ได้
เหมือนลูกน้อยที่ตอนนี้หยิบมันฝรั่งทอดเข้าปากไปแล้ว

แหม…แม่ก็หิวเหมือนกันนะลูกนะ ถ้าจะมากินยั่วแม่แบบนี้ ฆ่าปาดคอแม่เลยดีกว่ามั้ย…

ซุลก๊อตไนท์เห็นลูกกินเอากินเอา ส่วนภรรยาของเขาก็ได้แต่มองๆ
เพราะทำอะไรไม่ได้แล้วได้แต่ลอบยิ้ม…

ใช่ว่าเขาไม่หิว เพียงแต่ชินแล้วกับการถือศีลอด…เลยไม่ได้สะทกสะท้าน
ยามเมื่อเห็นอาหารยั่วยวนใจตรงหน้าแล้วใจจะขาดรอนๆเหมือนวาลาดาในตอนนี้…

ยิ่งเสียพลังงานไปกับการเดินเลือกต้นไม้มาทั้งวันอีก…
กว่าจะลุกขึ้นมาได้ ก็ตอนที่กลิ่นไก่ย่างแตะจมูกนั่นแหล่ะ…

“แล้วนี่ก็ข้าวมันกระเทียม…” ว่าพลางวางเมนูสุดท้ายลงบนโต๊ะ
เดินไปยังหน้าระเบียง มองพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดินอยู่รอมร่อ…
ก่อนจะหันมาทางวาลาดา…แล้วส่งยิ้มให้…หญิงสาวยิ้มตอบ
แล้วหันไปช่วยตักข้าวมันป้อนให้ลูก…มือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงเริ่มสั่นๆ

หากก็พยายามบอกกับตัวเองว่า…อีกนิดตะวันก็จะตกดินแล้ว…
จะได้เวลากิน เวลาแห่งความสุขของการกินใกล้จะมาถึงแล้ว…

น้ำท่าพร้อม ของคาวของหวานพร้อม ทุกอย่างวางอยู่ตรงหน้าพร้อม
อาวุธในมือก็พร้อม! ส่วนคนก็พร้อมมานานแล้ว

เพียงไม่นาน ซุลก๊อตไนท์ก็เรียกลุงหมานที่เพิ่งเดินกลับเข้ามา
ให้มาร่วมละศีลอดด้วยกัน ชายกลางคนเลยไม่คิดปฏิเสธเลย…

และแล้วเวลาอันสมควรแห่งการละศีลอดที่วาลาดานับถอยหลังรอมาได้
สักพักแล้วก็มาถึง...การรอคอยสิ้นสุดลงแล้วในวันนี้ ตอนตะวันตกดิน...
ชีวิตเธอยังไม่สิ้นเพราะอดมาทั้งวัน...

ทุกคนเริ่มด้วยการกล่าวขอพรพระเจ้าก่อนการกินด้วยบทขอพรพิเศษกว่าทุกๆครั้ง
แล้วกินผลอินทผาลัม ตามด้วยน้ำ แล้วถึงจะลงมือจัดการกับของหนัก…

“ก๊อตไปหัดมาจากไหนเนี่ย…เมนูแบบนี้วาไม่เคยทำไม่เคยลองเลย…”

ที่ว่าไม่เคยทำและไม่เคยลองเพราะว่า ไก่บ้านที่เขาย่างมานั้น
หนังของมันกรอบกำลังดี เนื้อฉ่ำนุ่มลิ้น ราดด้วยซอสสมุนไพร
รสชาติกลมกล่อมหอมกลิ่นสมุนไพร ส่วนน้ำจิ้มข้าวมันไก่ก็แตกต่างจากที่เธอเคยทำ
มันแซ่บ แปลกลิ้นไปอีกแบบ หอมกลิ่นพริกสดกลิ่นกระเทียม

ยิ่งต้มยำไก่บ้านยิ่งอร่อย…ซดน้ำแล้วโล่งคออย่าบอกใคร...

“ก็บอกว่าฉันพัฒนาแล้ว…เรื่องอะไรจะปล่อยให้เธอหัวเราะลั่นครัว
เหมือนตอนเข้าค่ายเล่า…” เขาเท้าความเดิมเมื่อสมัยเรียนและได้ออกค่าย

คนอ่ืนหัวเราะฝีมืิอไข่เจียวของเขาก็ไม่สะท้านสะเทือนใจ
เท่ากับเสียงหัวเราะของวาลาดา…

เขาตั้งปนิธานในใจ ณ ตอนนั้นเลยว่า
...สักวันหนึ่งเขาจะต้องทำอาหารให้อร่อยให้ได้…เอาให้เธอหัวเราะไม่ออก…

“รู้งี้ให้ทำให้กินซะตั้งนานแล้ว…” บอกพลางตักข้าวมันไก่เข้าปาก
โดยไม่รู้ว่าชายกลางวัยนั่งอมยิ้มให้กับบทสนทนาและสีหน้าท่าทาง
ของสองสามีภรรยาคู่นี้ พอจะนึกออกว่าเหตุใดทั้งสองถึงได้รักกันขนาดนี้
อาจเป็นเพราะสายใยผูกพันแต่หนหลังก็เป็นได้…

“สู้เธอไม่ได้หรอกน่า…” เขาว่า หากวาลาดากลับไม่เห็นด้วย

“วาทำแบบนี้ไม่เป็น…รสชาติแบบนี้วาทำไม่เป็น…สไตล์แบบนี้ก็ทำไม่เป็นเลย…”

ว่าพลางหยิบมันฝรั่งติดเปลือกทอดที่ยังร้อนๆเข้าปาก

เห็นลูกน้อยกินอย่างแสนเพลิดเพลินก่อนหน้านี้เลยลองกินดูบ้าง
จึงรู้ว่ามันเข้ากันได้เข้ากันดีราวกับเป็นคู่แท้กันกับไก่ย่างสูตรเด็ดของเขา…

“ผมว่า…คุณสองคนน่าจะไปเปิดร้านอาหารนะ…เลิิกสร้างบ้าน
เลิกทอผ้าหรือปลูกข้าวโพดเถอะ…”

ลุงหมานเอ่ยขึ้นหลังจากซัดข้าวมันไก่ของซุลก๊อตไนท์ไปเต็มคราบ…
ไหนจะไก่บ้านย่างแกล้มด้วยมันฝรั่งทอดที่เมื่อก่อนคนของเขาไม่เคยคิดว่า
มันจะอร่อยที่ตรงไหน แต่พอได้กินกับไก่ย่างแล้วมันไปกันได้ด้วยดี
จนต้องออกปากชม…

“ผมทำเป็นไม่กี่อย่างหรอกครับลุง…วาเขาทำได้หลายอย่างกว่า
หลากหลายกว่า…” ซุลก๊อตไนท์ออกตัว เพราะเขาหัดทำเมนูอาหารได้จริงๆ
ไม่กี่เมนูเท่านั้น…ส่วนใหญ่ก็ทำได้แต่พวกต้มยำ ข้าวมันไก่และของแกล้มแบบนี้…

“แค่น้ีก็ดีกว่าลุงเป็นไหนๆ ลุงน่ะไม่มีฝีมือทางนี้เลย…”

“งั้นกินเสร็จลองของหวานต่อนะลุง ผมทำเต้าฮวยมะพร้าวอ่อน
หรือเราจะไปละหมาดกันก่อนดี…”

ซุลก๊อตไนท์เห็นว่าบรรดาขุนพลของเขาเริ่มปลดอาวุธแล้ว
เลยออกปากชวนให้ไปร่วมละหมาดด้วยกันเสียเลย…แล้วจึงค่อยกลับมาจับอาวุธต่อ

เพราะถ้ากินจนอิ่มแปร้ เชื่อแน่ว่าขุนพลของเขาต้องก้มละหมาดกันไม่ไหวแน่…
ซ้ำอาจจะง่วงๆซึมๆ ขี้เกียจอีก…

และเป็นไปดังคาด ทุกคนไปร่วมทำละหมาดด้วยกัน
เสร็จแล้วก็กลับมาจัดการของหวานอย่างเต้าฮวยมะพร้าว
ฝีมือของพ่อครัวที่วาลาดาต้องยกนิ้วให้…

“เนื้อนุ่มเด้งดึ๋งเลยนะเนี่ย…” วาลาดาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่
อดีตคนทอดไข่เจียวเค็มปี๋

ก่อนจะมองไปยังลูกน้อยที่นั่งนิ่งจับอาวุธแน่นเชียว
แถมยังตักกินเองอย่างคล่องแคล้วกว่าแต่ก่อน

เรื่องอื่นลูกชายเธออาจจะไม่คล่องนัก แต่เรื่องกินต้องยกให้
เพราะพัฒนาการด้านการกิน ลูกเธอล้ำหน้ากว่าเด็กวัยเดียวกันอย่างมิต้องสงสัย…
พอปากเลอะก็เอาผ้าเช็ดปากที่ผูกเอาไว้ที่คออย่างดียกขึ้นเช็ดไปตักเต้าฮวยกินไป
ไม่สนใจจะมองใครเลย…

รสชาติอ่อนๆ ละมุนลิ้น กลิ่นมะพร้าวอ่อนหอมน่ากิน
ทำให้คนท้องถึงกับกินไปนึกชมคนทำไปด้วย…ปลื้มใจไม่น้อยเลยด้วย…

“อย่ากินจนลุกเดินไม่ไหวนะวา…”

เขาส่งเสียงเตือนเมื่อเห็นว่าเธอกินไม่บันยะบันยังเลย รู้หรอกว่าหิวจัด
เพราะอดมาทั้งวัน แต่กระเพาะคนเรามันมีขนาดจำกัด กินมากไปเกินภัยได้เหมือนกัน

วาลาดาเลยเงยหน้าจากเต้าฮวยขึ้นช้อนตามองเขาอย่างเอาเรื่อง
ก่อนจะยิ้มแหยๆเมื่อเหลือบมองลุงหมานที่นั่งพับเพียบเรียบร้อย วางอาวุธลงแล้ว
เหลือเพียงเธอกับลูกน้อยที่ยังต่อสู้กันอยู่เพียงสองคน…

ด้วยความอาย วาลาดาเลยยอมวางอาวุธลง แล้วหันไปยังลูกน้อย
ที่ยังคงสนุกกับการจ้วงมะพร้าวอ่อนเข้าปาก…

“มีอะไรมั้ยที่เด็กคนนี้กินไม่ได้…” ลุงหมานอดไม่ได้ที่จะแซวออกไป

เพราะเท่าที่เห็นๆมา ไม่มีอะไรที่เจ้าตัวเล็กไม่กินหรือกินไม่ได้…

“วาก็กำลังหาอยู่ค่ะลุง…ว่าอะไรน้า…ที่ซุลฟาของแม่ไม่กิน…”

วาลาดาเอียงคอมองหน้าลูกน้อยแล้วส่งยิ้มให้ ใบหน้ากลมป้อม
มองสบตาแม่แล้วหัวเราะแหะๆออกมา…

“ผักก็กินนะคะ…มะเขือเทศนี่กินได้กินดี…แถมหนังไก่กรอบๆแบบนี้...ชอบนักแล”

“ไม่เห็นว่าลูกคนนี้จะเกลียดอะไรนะวา…เห็นแต่เธอบอกว่า
ชอบนั่นชอบนี่ตลอด…”

“ก็มันจริงนี่…” วาลาดาหันไปย่นจมูกใส่ซุลก๊อตไนท์ก่อนจะหันมาทางลูก

“เนอะลูกเนอะ…กินจุก็ที่หนึ่ง…เหมือนใครก็ไม่รู้…”
ไม่วายกัดและแทะเล็มคนที่นั่งอยู่อีกฟากจนได้…ทำเอาลุงหมานหัวเราะในลำคอ

“อันนี้ลุงเห็นด้วย…คุณก๊อตกินจุแต่เด็ก…”

“ก็คนมันตัวใหญ่นะลุง จะให้กินน้อยๆเหมือนยัยวาร่างเปรียวได้ไง…”

“กินข้าวเป็นกะละมังนี่ไม่ไหวนะก๊อต…”

วาลาดาแซวซุลก๊อตไนท์ที่เธอสังเกตเห็นว่าไม่ได้กินน้อยเลย
แต่เพราะเขากินเร็วเลยเสร็จก่อนเธอที่กินช้าแถมยังต้องคอยดูแลป้อนโน่นป้อนนี่ให้ลูกอีก

“โอเคๆ…ยอมแล้วๆ…” ชายหนุุ่มที่โดนรุมจากคนสองคนถึงกับยอมยกธงขาว

เสร็จจากเรื่องกิน วาลาดาจึงอาสาล้างจานเพื่อเป็นการตอบแทนอาหารมื้อแรก
ของการละศีลอด…ซุลก๊อตไนท์เลยอยู่ช่วย ลุงหมานเลยอาสาจะดูแลเจ้าตัวเล็กให้

สองสามีภรรยาเลยพูดคุยกะหนุงกะหนิงกันในห้องครัวสองต่อสอง
แล้วไม่วายที่คนเป็นสามีจะฉวยโอกาสนี้หอมแก้มใสนั่นไปหลายฟอด…

“แก้มวาน่าสนใจกว่าอาหารไหนๆอีกนะ…”

“ท้องอิ่มแล้วก็พูดได้สิ…”

“จริงๆนะ…รอเวลาที่จะได้หอมแก้มวา…” เสียงหวานๆนั้นทำให้คนฟัง
ไม่ได้รู้สึกว่ามันเลี่ยนเลย เธอกลับชอบฟังมัน

แถมเขายังใจดีด้วยการนั่งนวดฝ่าเท้าและน่องให้เธอ คนที่ปวดเมื่อย
เพราะเดินมาทั้งวันถึงกับเคลิบเคลิ้ม รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว…
เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัวเลย…มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ลูกน้อยขึ้นมานอนข้างๆ…

วาลาดามองหาพ่อของลูกก็พบว่าเขากำลังละหมาดอยู่…หญิงสาวยิ้มบาง
นอนกล่อมลูกให้เข้านอนจนลูกหลับสนิทเธอจึงลุกขึ้นไปทำละหมาดข้้างหลังเขาบ้าง…

ทั้งสองทำละหมาดและอ่านคัมภีร์ด้วยกันก่อนจะเข้านอนพร้อมกัน…






ทางด้านคนในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร…

หญิงสาวที่นอนรอความตายอยู่ในห้องพักไอซียูหลายวันฟื้นตัวแล้ว
จึงถูกย้ายไปอยู่ห้องพักผู้ป่วยตามปกติ ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่
และอีกคนที่เฝ้ารอดูอาการของเธอมาตลอดถึงกับโล่งอกไปอีกเปลาะ…

ข่าวคราวของเธอถูกประโคมขึ้นอีกครั้งบนหน้าหนังสือพิมพ์
นุฮาวางมือลงหลังจากอ่านข้อความในนั้นจบ…หันไปทางเลขาท่ีเดินเข้ามาบอกว่า

“ทนายที่นัดสัมภาษณ์ไว้มารอที่ห้องประชุมเรียบร้อยแล้วครับ…”

นุฮาพยักหน้าเพียงนิด ชีวิตเขาตอนนี้มีแต่เรื่องวุ่นๆ
ไหนจะเรื่องกิจการในส่วนของตนเอง ไหนจะเรื่องกิจการของตระกูลวรรัศมิ์สกุล
ที่เขาต้องเข้าไปพยุงแบกรับ ทำให้ต้องรับทนายความประจำบริษัทเพิ่ม
เพื่อจะได้ทำงานในส่วนนี้ได้อย่างไหลลื่นมากขึ้น…

และเพราะยุ่งจัด จึงไม่มีเวลาได้อ่านประวัติของทนายที่จะเข้าสัมภาษณ์ในวันนี้เลย
แม้แต่จะมองดูรายละเอียดเผินๆก็แทบจะไม่มี…

ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสากลเนี้ยบ มาดเฉียบลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งจมอยู่นานหลายชั่วโมง
เพื่อสะสางงานทุกอย่างที่ประเดประดังกันเข้ามา แล้วลุกเดินไปยังห้องสัมภาษณ์…
พร้อมกับบอกเลขาว่า

“ให้แม่บ้านนำกาแฟและขนมไปเสริฟด้วยนะ…เพราะฉันคงต้องสัมภาษณ์นานหน่อย…”

เขามุ่งหวังอยากได้ทนายมือดี…รอบรู้กฎหมายอย่างครอบคลุม
โดยเฉพาะกฎหมายระหว่างประเทศ…

เนื่องจากมีการค้าที่เขาต้องติดต่อกับชาวต่างชาติ เรื่องสัญญาต่างๆ
ข้อได้เปรียบเสียเปรียบ และรายละเอียดซึ่งนักบริหารอย่างเขาอ่านแล้วไม่เข้าใจ…
จึงอยากฝากเรื่องสำคัญแบบนี้เอาไว้ให้กับทนายที่ต้องไว้ใจได้และมีความจงรักภักดี
ซื่อสัตย์ ที่สำคัญ เป็นคนดี ไม่ใช่แค่เก่งเท่านั้น…

และเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับร่างที่หันหลังให้ มองผ้าคลุมสีขาวสะอาดตา
กับชุดสูทสีครีมแล้วให้แปลกใจปนประหลาดใจ…

ร่างที่นั่งหันหลังให้เหมือนจะรู้ตัวว่ามีคนเข้ามา จึงลุกขึ้นยืน
ทำให้เขาเห็นร่างนั้นเต็มๆ ชุดสูทกางเกงสีครีมดูสว่างตา ไม่ได้ดูเคร่งขรึม
บนร่างที่ดูกระฉับกระเฉง ปราดเปรียวนั่น

ทำให้สายตาของคนมาใหม่เลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าของเจ้าของชุด
และเจ้าของรูปร่างที่ดูดีนั่น…

“เธอ…” เสียงนั้นหลุดจากปากของนุฮาด้วยแววตาประหลาดใจและคาดไม่ถึง…

“อัสสลามุอะลัยกุม (ขอความสันติสุขจงมีแต่ท่าน)”

หญิงสาวเริ่มด้วยการทักทายตามแบบฉบับมุสลิม นุฮาเลยจำต้องตอบรับคำทักทายไปว่า

“วะอะลัยกุมมุสลาม (ขอความสันติสุขจงมีแต่ท่านเช่นกัน)”

ชายหนุ่มเลยต้องแง้มประตูให้เปิดอ้าเอาไว้ เมื่อรู้ว่าต้องสัมภาษณ์งานกับสตรีเพศ
พร้อมกันนั้น ยังเรียกเลขาผู้ชายกับทีมทนายฝ่ายหญิง
เข้ามาร่วมฟังการสัมภาษณ์ครั้งนี้ด้วยกันทันที…

ส่งผลให้คนถูกสัมภาษณ์ลอบยิ้มด้วยความประทับใจในความใส่ใจ
ต่อเกียรติของเธอที่เขามอบให้

“ขอบคุณค่ะ…” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณก่อนจะนั่งลง

“เชิญเถอะ…จริงๆผมไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่นะ…ต้องขอออกตัวก่อน
ว่าผมแทบไม่ได้ดูประวัติในใบสมัครของคุณเลย…”

นุฮาเริ่มด้วยน้ำเสียงและถ้อยคำอย่างเป็นงานเป็นการ

“ฉันเข้าใจค่ะว่าประธานบริษัทย่อมต้องยุ่งเป็นธรรมดา…”

หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล ต่างจากแววตาที่ฉายแสงมาดมั่น
ไม่หวั่นต่อสิ่งใด…

นฺุฮาหันไปมองลูกทีมที่เข้าร่วมฟังการสัมภาษณ์นิดนึง
ก่อนจะก้มลงอ่านประวัติของผู้เข้าสัมภาษณ์อยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึึ้น
มองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เขาอ่านในประวัติ
จะเป็นประวัติของ ‘เด็กบัว’

เขาออกจะคุ้นๆชื่อเสียงเรียงนามตอนที่เลขาบอกเขาแล้วว่า
มิส อะสุเซน่า พอนเช่ มารอสัมภาษณ์แล้ว ทั้งๆที่เขาไม่น่าจะลืมชื่อนี้ได้เลย

“มิส อะสุเซน่า พอนเช คุณจบปริญญาด้านกฎหมายมาจาก
มหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลก…แล้วทำไมถึงได้สนใจมาร่วมงาน
กับทีมกฎหมายของเรา…” นั่นคือคำถามแรก คนถูกถามมิได้แปลกใจ
ในคำถามดังกล่าว จึงตอบออกไปแบบสั้นๆแต่ได้ใจความว่า

“ที่ไหนมีงานที่ท้าทายความสามารถ ฉันอยากลองทำท้ังนั้นค่ะ…”

นุฮากระตุกยิ้มที่มุมปาก มองหญิงสาวตรงหน้าแล้วก้มลงอ่าน
รายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับประวัติการทำงานของเธอ…

หญิงสาวผู้นี้ไม่มีเอ่ยถึงผู้เป็นลุงของตนเพื่อเป็นใบเบิกทางเสียด้วย

“แล้วทำไมต้องเป็นเมืองไทย ในเมื่อคุณก็เคยทำงานในประเทศใหญ่ๆ
กับองค์กรใหญ่ๆระดับสากลมาแล้ว…” หญิงสาวยิ้มเพียงนิดขณะตอบคำถามนั้น
อย่างฉะฉาน ไร้แววลังเลใจว่า

“ประเทศไทย คนไทยถูกเอาเปรียบมาเยอะแล้ว ทั้งในประวัติศาสตร์และในปัจจุบัน…
บริษัทแห่งนี้ถือเป็นองค์กรระดับใหญ่ของประเทศนี้ การไม่ต้องเข้าไปทำงาน
ในส่วนราชการ ถือว่าเป็นความพอใจส่วนตัวของฉันค่ะ…

ฉันไม่ชอบทำงานโดยมีเจ้านายหลายคน…แต่ชอบทำงานเป็นทีม…
และที่นี่มีทีมนักกฎหมายที่มากประสบการณ์…”

นุฮาพยักหน้า เก็บความพอใจเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย

“แล้วทำไมคุณถึงลาออกจากการเป็นตำรวจสากล ทั้งๆที่ประวัติ
การทำงานของคุณกำลังรุ่งและดูจะไปได้สวยเลยทีเดียว…
อายุขนาดคุณได้ติดยศระดับนี้ นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะได้มา”

หญิงสาวหน้าขรึมลงทันทีเมื่อเจอเข้ากับคำถามที่เธอไม่อยากตอบขึ้นมา
และเหมือนคนถามจับจุดของเธอได้บนสีหน้าแววตาที่วูบไหวนั่น…

“ว่าไงครับ…”

อย่าหวังความเห็นใจจากเขา ในเมื่อเธอเดินมาหาเขา
เพื่อให้เขาล้วงตับควักหัวใจเองถึงที่ หญิงสาวเหลือบมองไปยังผู้ร่วมฟังการสัมภาษณ์
อีกสองคนที่นั่งนิ่งแล้วลอบถอนใจ…

“มันเป็นเหตุผลส่วนตัวน่ะค่ะ…” หญิงสาวตัดสินใจตอบไปแบบนั้น
ราวกับจะตัดรอนไม่ขอเอ่ยถึงมัน หากนุฮาหรือจะยอมปล่อยไปง่ายๆ

“พอจะบอกได้มั้ยครับ…ว่าเหตุผลที่ว่าคืออะไร…เพราะเท่าที่ดู
สถานะของคุณคือโสด…ซึ่งก็ไม่น่าจะเกิดจากปัญญาครอบครัว…
จนต้องขอออกจากงาน”

คนถูกสัมภาษณ์มองหน้าคนถามด้วยแววตาคมกล้าทีเดียว
รู้ว่าเขากำลังต้อนเธอเข้ามุมอับ…เธอจึงตอบกลับแบบตัดบทให้จบๆไปว่า

“อย่างที่เอ่ยไปก่อนหน้านี้น่ะค่ะว่า…ฉัน…ไม่ชอบทำงานโดยมีเจ้านายหลายคน…
ผู้บังคับบัญชาของฉันมีหลายคนเกินไปค่ะ…มันทำให้อึดอัด ลำบากใจในบางคดี…
ฉันเลยตัดสินลาออก…”

นุฮาหรือจะเชื่อเช่นนั้น อนาคตอันสวยงามของยอดตำรวจหญิงเช่นเธอ
จะมาดับลงเพราะเหตุผลแค่นี้…มันฟังดูไม่สมเหตุสมผลเท่าใด…

“โอเคครับ…สำหรับที่นี่คุณขึ้นตรงกับผมคนเดียว…”

นุฮาสรุปตัดบทเช่นกัน ทำเอาผู้ร่วมฟังการสัมภาษณ์ถึงกับประหลาดใจ
เพราะนั่นหมายความว่าหญิงสาวตรงหน้าได้งานที่นี่…ทั้งๆที่ตอบคำถามไป
ไม่กี่คำถามด้วยซ้ำ…

“เพราะผมกำลังอยากได้ทนายส่วนตัว…ช่วยให้คำปรึกษาเรื่องคดีส่วนตัว
อาจเกี่ยวข้องกับบริษัทและไม่เกี่ยวข้องด้วย…”

นุฮาทำเอาผู้ร่วมฟังการสัมภาษณ์อีกสองคนถึงกับประหลาดใจอีกครั้ง

“คุณจะว่าอย่างไรครับกับตำแหน่งนี้…” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ทำเอาคนมาสัมภาษณ์ถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่ที่อยู่ๆเธอก็ได้ร่วมงานกับที่นี่
โดยไม่คิดว่ามันจะจบลงได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที
แถมไม่มีนัดสัมภาษณ์หลายรอบอย่างที่บริษัทใหญ่ๆมักทำกัน

…นี่เธอสัมภาษณ์รอบเดียวผ่านเลยหรือ…แถมยังสัมภาษณ์แค่ไม่กี่นาทีด้วยซ้ำ...

“เรื่องเงินเดือน ผมให้คุณเรียกได้เต็มที่…” เขาเปิดให้หญิงสาวแบบเต็มพิกัด…
ทำให้คนที่ฟังถึงสามคนถึงกับคาดไม่ถึง….

“ปรับได้ตลอดตามแต่งานที่ได้รับมอบหมาย…ขอแค่เพียงให้คุณทำงานนั้น
ที่ได้รับไปอย่างเต็มที่เต็มกำลังความสามารถ เพราะเท่าที่ผมตรวจดู
นอกจากจบกฎหมายมาแล้ว คุณยังมีประสบการณ์การทำคดีใหญ่ๆ
ในระดับสากลมาหลายคดี…” เขาฉุดยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งไป…

“ว่าไงครับ…” หญิงสาวมองหน้าเขา ก่อนจะตัดสินใจ เพราะอย่างไร
เธอก็อยากลองทำงานกับคนในตระกูลนี้อย่างที่ลุงของเธอแนะนำมา

เพราะมันมีอะไรมากมายที่น่าท้าทายความสามารถของเธอ…

“ตกลงค่ะ…”

“แล้วคุณพร้อมจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่ครับ…”

“พรุ่งนี้ค่ะ…” เสียงนั้นตอบอย่างฉะฉาน ไร้แววลังเลใจ

“งั้นพรุ่งนี้คุณมาร่วมงานกับทางเราได้เลย…”

นุฮาสรุปพร้อมกับหันไปทางเลขาและหนึ่งจากทีมกฎหมายของเขา
เป็นสัญญาณบอกว่าเขาจบการสัมภาษณ์ไว้แต่เพียงเท่านี้…

เพราะสำหรับเขา...นี่คือก้าวแรกเท่านั้น ก้าวต่อไปเขาจะล้วงตับไตไส้พุง
ของหญิงสาวผู้นี้ออกมาให้ได้…

ยิ่งพยายามซ่อนเขาก็ยิ่งอยากจะรู้…และเมื่ออยากรู้ เขาก็ยิ่งจะต้องหาคำตอบให้ได้
เรื่องจะให้ปล่อยไปง่ายๆ ไม่มีเสียหรอก…

และเมื่อทุกคนออกจากห้องสัมภาษณ์ไปแล้ว นุฮาที่ลุกขึ้นเป็นคนสุดท้าย…
เรียกหญิงสาวที่กำลังจะก้าวตามสองคนออกไปให้หยุดด้วยชื่อเล่นของหญิงสาว

“บัว…” หญิงสาวหันกลับไปหาเขาด้วยสีหน้าราบเรียบทั้งๆที่ลึกๆแล้ว
เธอแทบไม่อยากจะอยู่กับบุคคลผู้นี้แบบตัวต่อตัวให้นานจนเกินไปด้วยซ้ำ…

...ตะกอนบางอย่างที่นอนนิ่งมานานมันกำลังถูกก่อกวน…

“อะสุเซน่า แปลว่าอะไร…” หญิงสาวถึงกับกะปริบตาปริบๆเมื่อได้ยินคำถาม
ที่เขาอุตส่าห์เรียกเธอเอาไว้ อดอมยิ้มไม่ได้ขณะตอบเขาไปว่า

“แปลว่า บัวค่ะ…แม่ชอบดอกบัว…เลยตั้งชื่อนี้ให้…” หญิงสาวตอบโดยไม่คิดจะปิดบัง

มีอะไรบางอย่างในแววตาคู่นั้นกับน้ำเสียงของเขาที่ทำให้เธออยากจะบอกเล่า
เรื่องราวส่วนตัวเช่นนี้ออกไป…

“เท่านี้แหล่ะ…” แล้วเขาก็ทำให้เธอประหลาดใจด้วยการจบบทสนทนาเสียดื้อๆ

อุตส่าห์ดึงเธอไว้เพียงเพื่อจะถามแค่นี้น่ะหรือ…

“แล้วพบกันใหม่ค่ะ…” หญิงสาวกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั้น

นุฮาได้แต่มองแผ่นหลังนั้นกับท่วงท่าเดินเหินที่นิ่งสงบและมาดมั่นไม่หวั่นไหว
ช่างแตกต่างจากเด็กบัวที่เขาเคยได้พบ…

...ตัวตนของผู้หญิงคนนี้ แท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่นะ?






...............โปรดติดตามตอนต่อไป..................



อ่าาาาาา...พี่นุแกคิดจะเลื้อยคานที่ตัวเองนั่งมานานแล้วหรือนี่...ฮ่าาาา

ปอบ กระสือ เฮียแกบอกว่ากลัว แต่กับอดีตตำรวจสากลเฮียแกกลับกล้า

ถ้าโดนจระเข้ฟาดหางไปไม่ใช่ว่าจะฟื้นกันง่ายๆนะงานนี้...เหอๆ

รอบนี้ พาผู้ชายอ้อนรักมาฝากค่ะ...^o^

ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ


และขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านเข้ามากดไลค์ให้กัน เข้ามาส่งกำลังใจให้กัน
ด้วยนะคะ...รู้สึกบอร์ดเงียบๆไป หรือว่าเต่ารู้สึกไปเอง...^^



........ตอบเม้นท์จ่ะ..............


1.คุณน้องHabibi...."บีบี๋" เอามาจาก "บีบี้" ซึ่งเต็มๆก็คือ "หะบีบี้" อ่ะจ่ะ
อิอิอิ...แบบเอาไว้เรียกสุดที่รักของเรา...งานนี้เลยทำให้คนฟังขนลุกได้
เพราะจากอดีตที่เป็นเพื่อน ไม่เคยพูดหวานๆ มาหยอดคำหวานกันแบบนี้
เป็นใครก็ใครละ...ฮ่าาาาาา...กว่าจะถึงบทสรุปมันมีให้ร่วมลุ้นกันนิดนึง...อิอิ
ปล.กัดคอกับข่วนหลังนั้นยังน้อยถ้าเทียบกับของพี่นุแก...ฮ่าาาาา

2.คุณPampam...มีลุ้นจริงๆแหล่ะค่ะ เพราะว่านาดีมฟื้นคืนชีพแล้วเช่นกัน...เหอๆ

3.คุณคิมหันตุ์...ลูกอ้อนเมียเที่ยวล่าสุดค่ะ...อิอิ
ถ้าไม่รู้จักอ้อนคงโดนผลักใสให้ไปนอนกับพวกลูกสมุนแมงมุมไปแล้วละงานนี้...ฮ่าาาาา

4.คุณcoonX3...มารฟื้นแย้วววว..คนหลังเงาจะเอาไงก็ต้องมาดูกันต่อค่ะ...
ตาก๊อตบอกแล้วว่า ไม่กลัวมาร...ฮ่าาาาาา

5.คุณแว่นใส...เจ็บแน่ๆค่ะงานนี้....สงสารคนหลังเงาจริงๆ
มีแต่คนคาดโทษเฮียแก...อิอิอิ

6.คุณyapapaya...วางับคอ พี่นุหักคอ งานนี้ก๊อตก็ตายอ่ะจิ อิอิ
ไม่นะไม่...ก๊อตตายไม่ได้...เหอๆ...แต่เสร็จพี่นุแน่เพราะแกเหนื่อยไม่น้อย
กับทรัพย์สมบัติที่ก๊อตโยนลงบนหน้าตักเฮียแก...แหม ใครว่ารวยมหาศาลแล้วดี
พี่นุแกคงไม่คิดแบบนั้น แถมคงกัดฟันและคงอยากกัดคอก๊อตเหมือนวานั่นแหล่ะ...
เหอๆ รอดูว่าก๊อตจะเจอดีอะไรบ้าง...ทำคนอื่นไว้เยอะนี่นา...ฮ่าาาาาา


7.คุณnapt...นาดีมมีเหตุผลอยากทำลายชื่อเสียงวาน่ะค่ะ
ให้ว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี แย่งสามีคนอื่น แถมก๊อตปลื้มๆวาอยู่ก็จะได้พลอยชิงชังวาไปด้วย
คือหาคนรักไม่ได้...เอาให้คนหมดศรัทธา เลิกรักวาไปว่างั้นค่ะ...
ทำให้แปดเปื้อนมลทินอย่าได้มาส่องแสงแข่งกับตนได้ประมาณนั้นเลย...
แถมยังได้กันวาออกจากวารินทร์ด้วยอีกทาง เพราะวารินทร์รักวาจีบวามาตลอด...
ส่วนเรื่องที่จะให้ถึงกับตั้งท้องกับก๊อตนั้น สองแม่ลูกไม่ได้คิดไปถึงขนาดนั้น...
ฮ่าาาาาา...มันเป็นความผิดพลาดที่สวยงามสำหรับก๊อตเขาค่ะ (เพราะก๊อตก็
แอบรักวาโดยไม่รู้ตัวมาก่อน) และนาดีมก็มองว่ามันเป็นความผิดพลาด
ที่ทำให้เธอได้เริ่มแผนใหม่อีก...ตามท้องเรื่องที่โยค่อยๆทิ้งปมให้ไว้
ในแต่ละตอนน่ะค่ะ...ส่วนทำไมต้องเป็นก๊อต ทำไมนาดีมจัดให้วามีอะไร
กับก๊อตนั้น...เพราะก๊อตก็คือหมากในเกมของเธอมาต้ังแต่เดิมน่ะค่ะ...
หมากที่สุดท้ายก็ต้องถูกกำจัด...ก็เลยหลอกใช้งานก๊อตซะคุ้มเลย
ใช้งานเสร็จก็ฆ่าเอาสมบัติซะ...สองแม่ลูกต่างวางแผนร่วมกันมานานแล้ว...
จริงๆแม่นาดีมไม่ค่อยเห็นด้วยที่นาดีมดึงวาเข้ามาในแผน แต่ด้วยความอิจฉาที่มีต่อวา
นาดีมเลยอดไม่ได้ เลยดึงมาอยู่ในเกมนี้ด้วย...แผนของนาดีมกับแม่เลยจบไม่สวยไงคะ...
เพราะนอกจากความอิจฉาแล้วมันพ่วงความมักมากเข้าไปด้วย...อยากได้ทุกอย่าง
ไม่รู้จักพอ...เลยเสียมันเกือบหมด...ก็ต้องมาดูค่ะว่าที่เหลือต่อจากนี้
มารของเต่าจะทำไงต่อไป...^^

ตัวเอกของโยไม่ว่าเรื่องไหน ไม่ตัวพระก็ตัวนางค่ะที่เป็นคนเจ้าแผนการ...ฮ่าาา

หรือไม่ก็ทั้งคู่เลย...เหอๆ...เรื่องนี้เลยยกให้ก๊อตค่ะ...
เพราะวาไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์นี่เนอะ แต่หักเหลี่ยมคนเจ้าเล่ห์ได้ อย่างน้อยก็เอาอยู่ อิอิ
โยสังเกตมาตลอด โดยส่วนใหญ่คนเจ้าเล่ห์มักแพ้ทางคนซื่อตรง
และยังกลัวคนตรงไปตรงมาซะด้วย เหอๆ

ปล.หนูกีสก็เหลือไม่กี่ตอนแล้วจ๊ะ...โยตั้งใจว่าหลังจากเรื่องนี้ก็จะปั่นและอัพ
ูลูกปาดไป แล้วพยายามปั่นกีสให้จบ จบแล้วค่อยเอามาอัพแบบติดๆกันเลย
จะได้อ่านแบบไม่ติดๆขัดๆอีก...เพราะดองกีสนานกว่าเรื่องอื่นๆเลย...เฮะๆ
ขอบคุณค่ะที่ติดตามผลงานเต่าโย...จุ๊บๆนะ ^^


8.คุณตุ๊งแช่...แทบคอขาดบาดตายเลยนะนั่น...ฮ่าาาาา
ซ้ำยังต้องมาโดนลูกงับจมูกเข้าให้อีก...ไม่รู้จะสมน้ำหน้าหรือจะบอกว่า
สมน้ำสมเนื้อดี...เหอๆๆ

9.คุณkonhin...โดนอ้อนขนาดนั้น ไม่หลอมละลายไปโยว่านางเอกโย
ต้องเกิดเป็นหินแล้วนา...ฮ่าาาาา...ก๊อตเขารู้ทางรู้ทันอ่ะ...
พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ตลอดศก เหอๆ นางมารเต่าออกจากไอซียูแล้วน้าาา
^o^



....ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงกันถ้วนหน้านะคะ....


"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 เม.ย. 2558, 00:37:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 เม.ย. 2558, 00:37:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 3978





<< บทที่ 38 แมงมุม VS ไม้กวาดหยากไย่   บทที่ 41 กระชับพื้นที่ (50%) >>
coonX3 7 เม.ย. 2558, 01:56:39 น.
มีฉากมุ้งมิ้งมาคั่นน่ารักๆดีค่ะ ขออีกนะค่ะ ส่วนพี่นุแค่อยากล้วงตับไตของบัว แต่อย่างอื่นไม่สนหรอค่ะ เพื่องานนี้จะได้มีคู่กับเค้าบ้าง รอดูแผนต่อไปของก๊อตจัดการมาร และพี่นุจะแก้เผ็ดยังไงเมื่อเจอก๊อต น่าจะสนุกแฮะ


Pampam 7 เม.ย. 2558, 02:04:22 น.
อ้อนเมียได้ แต่ถ้าอ้อนพี่นุคงจะโดน...? ไม่อยากจะจินตนาการเลย


คิมหันตุ์ 7 เม.ย. 2558, 03:10:26 น.
น่ารักเชียวๆ นายนุฮาว่าไง จะตามทันไหม?


konhin 7 เม.ย. 2558, 04:12:34 น.
ที่แท้ก๊อตก็รอเดือนที่มารถูกขัง เอ๊ะ แล้วงั้นตอนที่วาโดนมารสิง ทำไมช่วงเดือนนี้ของปีก่อนหน้า วาถึงไม่ได้สติหล่ะ



yapapaya 7 เม.ย. 2558, 08:03:16 น.
นั่นซิแอบสงสัยเหมือนกัน ว่าทำไมมารถึงทำร้ายวาได้ตอนแรก มารฟื้นคืนชีพแล้ว ลุ้นกันต่อไป พี่นุจะมีคู่แล้วใช่ไหมคุณเต่าโย แอบเชียร์คู่นี้นะเนี่ย


แว่นใส 7 เม.ย. 2558, 08:12:25 น.
น่ารักจริงครอบครัวนี้


ตุ๊งแช่ 7 เม.ย. 2558, 09:00:30 น.
เป็นช่วงคืนความสุขให้คนอ่านใช่ไหมนี่......ก่อนจะดราม่าต่อ..

..อ่านตอนตื่น นี่หิวเลยยย...ยั่วน้ำย่อยกันชัดๆๆๆ....

เอาพี่นุ ออกมาพร้อม หนูบัว นี่ปลงใจให้เป็นคู่ตุนาหงันแล้วชิมิ..



Pat 7 เม.ย. 2558, 09:05:45 น.
ออด...อ้อนกันน่าดู


yasta 7 เม.ย. 2558, 12:09:40 น.
พี่นุเรามีคู่แล้ว...ไม่ต้องนั่งเหงาอยู่บนคานอีกต่อไปแล้ว


Habibi 7 เม.ย. 2558, 19:42:12 น.
เป็นครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่นมาก...กับข้าวแต่ละอย่างเล่นซะคนอ่านหิวเชียว...พี่นุกับกำลังจะมีคู่ใช่มั้ย?ต้องมาเชียร์คู่นี้ต่อลุ้นๆๆขอให้คู่กันเถอะพี่นุจะได้ลงจาก"คาน"สักที...


napt 7 เม.ย. 2558, 21:28:29 น.
ขอบคุณมากค่าที่อธิบายให้เข้าใจ
ทั้งที่รู้ว่าดีมรักรินทร์ แต่กลับคิดว่าดีมก็รักก๊อตเฉยเลย นางเล่นละครเก่งนะ พูดถึงรินทร์ รินทร์เป็นตัวละครที่ชอบนะคะ ห่ามๆได้ใจดี 555

อ่านตอนนี้ละอยากกินเลย ใครใช้ให้อ่านดึกๆเนี่ย
ลุ้นพี่นุต่อด้วย มีคู่ซะที จะได้ไม่มาชำระแค้นก๊อตมากนัก 55555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account