หยกวาดตะวัน
"ฉันชื่อวาดตะวัน มาจากในนิยาย นิยายบนโลกมนุษย์นี่แหละ!"


เสียงเล็กแหลมของสาวน้อยที่แฝงไว้ด้วยความมาดมั่นร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
ทำเอาชานนอยากจะเป็นบ้าตาย


ตอนนี้ชีวิตเขาวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือว่าคนรัก
เขาเพิ่งถูกแฟนสาวสลัดทิ้งมาหมาดๆ

แต่แล้วจู่ๆ วันดีคืนดีก็มีผู้หญิงร่างเล็กบอบบางแทบปลิวได้ตกลงมาในบ้านเขา
ซ้ำร้ายยังเอาแต่พร่ำเพ้อว่าตัวเองหลุดมาจากโลกในนิยาย

งานนี้ไม่รู้ว่าหล่อนหรือเขากันแน่ที่บ้า

...ทางเดียวที่ทำได้คือเขาต้องไล่หล่อนกลับไปในโลกนิยายอย่างนั้นเหรอ ?

Tags: นักเขียน แฟนตาซี ปาฎิหารย์ ใสซื่อ เวทย์มนตร์

ตอน: บทที่ 3

บทที่ 3


ภาพวาดตะวันที่ยังคงทู่ซี้ยืนเกาะประตูรั้วส่งสายตาเว้าวอนอยู่ด้านนอกทำให้ชานนต้องเบือนหน้าหนี

ก่อนหน้านี้กว่าชานนจะสลัดเจ้าหล่อนทิ้งได้หมดพลังไปเยอะ เพราะวาดตะวันเล่นทั้งทึ้งทั้งดึงเสื้อผ้าผมเผ้าเขาให้วุ่นไม่ยอมออกจากบ้านเขาท่าเดียว จากที่ว่าจะจับแม่คุณส่งตำรวจเลยปัดรำคาญโยนหล่อนออกไปนอกบ้านแทน แต่มิวายวาดตะวันยังแหกปากโวยวายอยู่นั่นเองว่าตัวเองเป็นตัวละครในฟลาวเวอรี่ทาวน์ ได้ยินเหตุผลนั้นแล้วชานนแทบระเบิดหัวเราะออกมาเสียเดี๋ยวนั้น

หล่อนต้องเพี้ยนจนสติแตกไปแล้วแน่ๆ!

“โฮ่งๆ” ซาหริ่มเห่าเสียงดังอยู่หน้าประตูบ้านสลับกับหันมาครางขู่เหมือนต้องการให้เจ้าของเปิดประตูบ้านให้วาดตะวันยังไงยังงั้น

“ไอ้ซาหริ่มหยุดเห่า ไม่อย่างนั้นฉันจะจับแกโยนไปอยู่ข้างนอกเป็นเพื่อนยัยเพี้ยนนั่น”

แทนที่จะเงียบซาหริ่มกลับยิ่งครางขู่ไม่เลิก มันลืมไปแล้วรึไงว่าเขาเป็นเจ้านายมัน! ต้องให้ชานนเดินเข้ามาทำท่าจะเอาเรื่องเจ้าซาหริ่มถึงหยุดเห่าได้ ถอยหนีทันใดกลัวเจ้านายจัดการอยู่เหมือนกัน

เสียงสาววาดตะวันจอมเพี้ยนเงียบหายไปแล้ว คาดว่าเจ้าหล่อนคงหมดแรงในที่สุดเลยยอมถอยทัพกลับไป หากเจ้าของบ้านยังไม่วางใจ หลังจากมองสำรวจไปรอบบ้านจนแน่ใจแล้วว่าวาดตะวันไม่ได้แอบหยิบฉวยเอาของมีค่าไปด้วยจึงออกมาชะโงกดูผ่านรั้วบ้าน แล้วต้องถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่บ้านกลับมาสงบสุขอีกครั้ง

ชานนรีบโทรศัพท์กลับไปหารินรดาในเวลาถัดมาเพราะยังค้างคา
“เห็นข้อความแล้วเหรอคะนน”

ได้ยินเสียงแฟนสาวผ่านสายโทรศัพท์มาแล้วหัวใจของชายหนุ่มก็กลับมาพองโตอีกครั้ง เต็มเปี่ยมด้วยความหวัง

“คุณหายโกรธผมแล้วใช่มั้ย”

ไม่มีคำตอบจากแฟนสาว หล่อนเงียบไปเหมือนยังไม่พร้อมที่จะตอบคำถามนั้นของเขา และนั่นทำให้หัวใจของแฟนหนุ่มที่เพิ่งพองโตเมื่อครู่แห้งเหี่ยว แต่ยังคงทำใจดีสู้เสือ ชวนรินรดาพูดคุยด้วยกลบเกลื่อน

“คุณยังไม่หายโกรธผมก็ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ ถ้างั้นคุณคงมีธุระสำคัญถึงได้...”

“ฉัน...เอ่อ...ดาเพิ่งคุยโทรศัพท์กับน้องออมมาน่ะค่ะ”

“เจ้าออมโทร.มาหาคุณด้วยเหรอ” ชื่อของน้องสาวสร้างความประหลาดใจแก่แฟนหนุ่ม

จริงสิ...ชานนร้องรับตัวเองในใจ เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามนชนกรับปากไว้ว่าจะช่วยโทรศัพท์ไปง้อรินรดาให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับการไปโรงพยาบาลครั้งก่อน แต่เขาไม่นึกว่าน้องสาวจะทำจริงเลยยิ้มออก นึกขอบคุณน้องสาวที่ช่วยกู้สถานการณ์ได้ดีเยี่ยม

“ผมขอโทษนะครับดาที่เครียดเรื่องงานแล้วมาลงที่คุณ ผมรับปากว่าต่อไปผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก ขอแค่คุณให้โอกาสผม...นะครับดา”

รินรดาไม่ตอบเขาในทันที คล้ายหล่อนกำลังชั่งใจในคำขอร้องนั้น

“...ดายกโทษให้ก็ได้ค่ะ แต่ดายังไม่หายโกรธนะคะนน ตั้งแต่วันนี้ไปนนต้องพิสูจน์ให้ดาเห็นก่อนว่าจะไม่ทำกับดาเหมือนอย่างที่ผ่านๆ มาอีก ถ้านนทำไม่ได้ ดาไม่มีโอกาสไหนให้แล้วนะคะ”

“ขอบคุณครับดา ขอบคุณจริงๆ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ให้ผมไปรับคุณที่ทำงานเหมือนเดิมนะ พอกินข้าวเสร็จเราก็ไปดูหนังกันต่อเป็นไง หรือคุณอยากทำอะไรบอกผมมาเลย ผมตามใจคุณทุกอย่าง”

“แค่ดูหนังก็พอค่ะ ดาเล็งไว้เรื่องนึงรอที่จะไปดูด้วยกันนานแล้ว”

“หวังว่าจะไม่ใช่หนังผีนะที่รัก”

“นนนี่ ชอบแกล้งดาอยู่เรื่อย” รินรดาหัวเราะเล็กน้อย “หนังผีอะไรกันละคะ รู้อยู่ว่าดาชอบดูหนังรักโรแมนติก”

ชานนแกล้งแซวแฟนสาวเล่นไปอย่างนั้น ใจจริงแล้วเขาแทบอยากจะบึ่งรถไปหาสาวในสายเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยได้เจอหน้ากัน ได้กอดรินรดาไว้ในอ้อมแขนให้หายคิดถึงก็ยังดี แล้วเขาจะหอมแก้มหล่อนสักฟอดสองฟอดให้ชื่นใจ แทนคำขอบคุณที่หล่อนให้โอกาสเขาได้แก้ตัวครั้งนี้เลยล่ะ

ตกบ่ายวันรุ่ง ชานนจึงกระตือรือร้นเป็นพิเศษเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้านไปรับแฟนสาวตามที่นัดไว้

ทว่าระหว่างที่กำลังผิวปากอย่างอารมณ์ดีเดินมาที่รถ สองแม่ลูกคู่หนึ่งที่มาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านชวนให้ชายหนุ่มหันมอง เด็กผู้ชายตัวเท่าเอวกำลังร้องร่าชี้มายังต้นมะม่วงในสวนหน้าบ้านชานนเพื่อบอกแม่ให้ดูอะไรบางอย่าง สักพักก็วิ่งมาเกาะที่ประตูรั้ว คราเดียวกันนั้นมีนกกระจอกตัวเล็กกระพือปีกบินผ่านหน้าชานนไป ก่อนตามมาอีกสองตัว บินหายไปหลังต้นมะม่วงต้นเดียวกัน ต้นมะม่วงสูงใหญ่ริมรั้วที่ให้ร่มเงาแก่คนอาศัยนั้น มีเศษมะม่วงร่วงกราวกับมะม่วงสามสี่ลูกถูกแทะตกอยู่บนพื้นสนามหญ้า เจ้าของบ้านรู้ดีว่าเป็นฝีมือของเหล่าบรรดากระรอกตัวแสบเลยจะเข้าไปจัดการ

หากเพียงแค่ชานนเดินอ้อมมาหลังต้นมะม่วงต้นนั้นต้องถึงกับนิ่งอึ้งไปในพริบตา เมื่อสิ่งที่เห็นคือมีสาววาดตะวันจอมเพี้ยนเจ้าเก่านั่งเล่นอยู่ใต้ต้นมะม่วง!

"กินให้อิ่มนะเจ้าตัวเล็ก"

วาดตะวันกำลังหยอกล้อทักทายฝูงนกกระจอกรอบกายที่กำลังร้องจิ๊บๆ เป็นเพลงทักทายหล่อนเช่นกัน ขณะที่บางตัวเอร็ดอร่อยอยู่กับการได้จิกกินเศษมะม่วงชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่รายล้อมอยู่บนพื้นสนามหญ้า

ชานนร้องเสียงหลง ตกใจที่จู่ๆ ก็มีกระรอกขนฟูตัวอวบอ้วนกระโดดลงมาบนศีรษะเขา ไม่วายมันเอาหางมาปัดหน้าเขาเล่น เรียกเสียงหัวเราะสดใสจากวาดตะวัน เช่นเดียวกับสองแม่ลูกคู่นั้นที่ยิ้มขันอยู่ด้านนอก แต่พอเห็นเจ้าของบ้านเขม่นมองมาอย่างไม่พอใจ ทั้งแม่ทั้งลูกก็รีบพากันหลบเข้าบ้านตัวเองไป

“พอแล้วเจ้าออกัสไปแกล้งเขาทำไม”

เจ้าออกัสโผล่หน้ามาฉีกยิ้มหวานให้ชานนเห็นฟันขาวครบซี่ ก่อนกระโดดผลุงลงจากศีรษะเขากลับมาหาวาดตะวันอย่างว่าง่าย หย่อนก้นลงนั่งจุมปุ๊กบนตักสาวเจ้า

ชื่อแปลกพิลึกที่วาดตะวันใช้เรียกกระรอกกวนประสาทตัวนั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจของชานนแต่อย่างใด เขากำลังเดือดปุดๆ ที่แม่สาวจอมเพี้ยนยังไม่ยอมไปไหน แถมมิหนำซ้ำหล่อนยังไม่เกรงกลัวเขาสักนิด พาเอาฝูงสัตว์จากไหนไม่รู้มาป่วนสวนเขาให้เละไปหมด

“คุณแอบกลับเข้ามาในบ้านผมตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วนี่มันอะไรกัน...ให้ตายสิ คุณทำอะไรกับสวนบ้านผมเนี่ย” ชานนทนไม่ไหวฉุดกระชากสาวเจ้าให้ลุกจากตรงนั้นทันควัน

"โอ๊ย"

อยู่ดีๆ วาดตะวันก็ทรุดฮวบลงไปนั่งกองกับพื้น คนโมโหเลยชะงัก

หากสภาพวาดตะวันที่กำลังนั่งกุมข้อเท้าตัวเองทั้งสีหน้าเหยเกนั้น แทนที่ชานนจะสงสารกลับหัวเราะหึ "คุณนี้มันดื้อด้านจริงๆ คราวนี้จะมาไม้ไหนอีกล่ะ อ๋อ คงเข้ามาซุ่มดูลาดเลาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วสิ คิดจะขโมย..." ชานนต่อว่าแล้วเงียบไป

"นี่คุณเจ็บจริงๆ เหรอ"

วาดตะวันไม่โต้ตอบหรือเถียงเขาอย่างเคย เอาแต่ก้มหน้ากุมข้อเท้าตัวเองอยู่อย่างนั้น ชานนอดไม่ได้ต้องเข้ามาดูอาการ สัมผัสแรกที่เขาแตะโดนข้อเท้ากลับเป็นวาดตะวันที่สะดุ้งเล็กน้อย ไออุ่นจากมือเขากระตุกหัวใจหล่อนแปลกๆ จะชักเท้าคืนแต่ชานนยังคงจับไว้ ตอนนั้นเองชายหนุ่มถึงเพิ่งเห็นว่าสาวตรงหน้ามีน้ำใสๆ คลอคลองที่ดวงตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ็บข้อเท้าหรือคำพูดเขาเมื่อครู่กันแน่เลยใจอ่อนยวบ

"สงสัยข้อเท้าคุณจะแพลง งั้นคุณนั่งรอตรงนี้แล้วกัน เดี๋ยวผมเข้าไปเอายาในบ้านมาทาให้คุณเอง"

"มะ...ไม่เป็นไร" วาดตะวันชักเท้ากลับ

"ฉันแค่ล้มหน่อยเดียวตอนที่ปีนรั้วเข้ามาในบ้านน่ะ ได้นั่งเล่นแถวนี้สักพักก็คงดีขึ้นเอง"

"ตกลงคุณยังคงยืนยันที่จะสิงสถิตอยู่ในบ้านผมให้ได้ใช่มั้ย"

ชานนพ่นลมหายใจออกมาดังพรืด จากที่ว่ากำลังสงสารลุกขึ้นยืนเท้าสะเอวมองหน้าหล่อน “ไม่เข้าใจคุณจริงๆ ว่าต้องการเอาชนะให้ได้อะไรขึ้นมา บ้านผมไม่ใช่สถานสงเคราะห์นะคุณ หนีออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกแบบนี้ไม่กลัวที่บ้านเป็นห่วงบ้างรึไง”

“ฉันก็อยากกลับเหมือนกัน” ถูกเขาไล่ซ้ำซากวาดตะวันเลยชักเสียงอ่อย

“แต่ฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วมาที่นี่ได้ยังไง เจ้าออกัสเองก็เหมือนกัน ฉันเจอนอนสลบอยู่ใต้ต้นมะม่วงบ้านนายน่ะ ถ้ามีตัวละครจากฟลาวเวอรี่ทาวน์หลงทางมาแถวนี้อีกก็คงดี”

“ตัวละครจากฟลาวเวอรี่ทาวน์?” ชานนทวนคำสาวตรงหน้าแล้วต้องแค่นหัวเราะออกมา

“โธ่...นี่นายไม่รู้จักฟลาวเวอรี่ทาวน์บ้างเลยเหรอ”

“ไม่ และผมก็ไม่ได้อยากจะรู้จักด้วย ขอบอกไว้ก่อนว่าผมไม่มีเวลามานั่งฟังนิทานหลอกเด็กของคุณทั้งวันหรอกนะ ฉะนั้นคุณเลิกเพ้อเจ้อถึงตัวละคงตัวละคร หรือชื่อเมืองบ้าบออะไรนั่นของคุณเสียที รู้จักมั้ยคนน่ะ หรือคุณไม่ใช่คน เป็นนางฟ้าตกสวรรค์มายังโลกมนุษย์รึไงถึงได้สมงสมองไปหมด”

“นะ...นายว่ายังไงนะ”

คำว่า‘โลกมนุษย์’ ทำให้วาดตะวันตาโตขึ้นมา พยายามฝืนลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังข้อเท้าแพลง ลืมเจ็บไปทันใด

“นี่นายกำลังจะบอกว่าตอนนี้ฉันอยู่บนโลกมนุษย์อย่างนั้นเหรอ !?”

น้ำเสียงตื่นเต้นของวาดตะวันสร้างความงุนงงแก่ชานนหนักกว่าเก่า ไม่เพียงแค่นั้น หล่อนยังยิ้มร่า หมุนไปรอบกายกวาดตามองทุกทั่วสารทิศราวกับเพิ่งพบเจอสิ่งมหัศจรรย์ยังไงยังงั้น ชานนเห็นแล้วอยากตบกะโหลกตัวเองให้หายมึน

“อะไรของคุณอีก”

วาดตะวันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ดึงเขาให้ออกมาจากสนามหญ้าด้วยกันตรงดิ่งไปที่ประตูรั้ว

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเป็นมนุษย์ตัวจริงเสียงจริงรึเปล่า แต่นายรู้มั้ยว่าฟลาวเวอรี่ทาวน์ที่ฉันพูดถึงคือเมืองที่ไหน...เมืองในโลกนิยายยังไงล่ะ ฉันมาจากโลกนิยาย !”




********************************




ชานนมองดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือตัวเอง เมื่อเห็นว่าจวนใกล้ถึงเวลาเลิกงานของรินรดาเข้าไปทุกทีก็ยิ่งหงุดหงิด เดินกระสับกระส่ายไปมาอยู่ในร้านเช่าหนังสือ ด้วยความที่แม่สาววาดตะวันจอมเพี้ยนบังคับขู่เข็ญให้เขาพามาในที่ที่มีหนังสือให้ได้ ชานนโมโหเลยประชดพาเจ้าหล่อนมายังร้านเช่าหนังสือตรงปากหมู่บ้านให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อให้อีกฝ่ายได้พิสูจน์ตัวเอง แต่แล้วภาพวาดตะวันที่ยังคงงมโข่งหยิบนิยายเล่มนั้นเล่มนี้มาเปิดอ่านให้วุ่นทำให้คนพามาเริ่มชักไม่แน่ใจว่าตกลงเขาหรือหล่อนกันแน่ที่เพี้ยน !

"วันนี้กลับบ้านกี่โมง" ชานนส่งไลน์หาน้องสาว

ไม่นานมนชนกก็เข้ามาอ่านข้อความนั้น ส่งสติกเกอร์กระต่ายลักษณะนั่งสิ้นชีพพิงกำแพงกลับมา

"งานยังเหลืออีกบานเลย สงสัยออมคงกลับพรุ่งนี้แทน พี่นนมีอะไรรึเปล่า"

คำถามนั้นทำให้ชานนต้องเหลียวมองสาวด้านหลังอีกครั้ง แม้วาดตะวันจะเอาแต่สนใจค้นนิยายในร้านแต่ก็ยังไม่น่าไว้วางใจสำหรับเขาอยู่ดี ชานนเลยเลือกเดินหลบออกมาจากร้านเช่าหนังสือเพื่อโทรศัพท์คุยกับน้องสาวให้เป็นเรื่องเป็นราว

"งานเราจำเป็นต้องทำให้เสร็จวันนี้พรุ่งนี้เลยรึไง ส่งตั้งปลายภาค"

"กำลังติดพันน่ะค่ะ" มนชนกตอบเสียงเนือยๆ มาตามสายโทรศัพท์ "ว่าแต่ดูพี่เร่งจัง เอ...หรืออยากให้น้องกลับบ้านไปเป็นก้างขวางคอระหว่างพี่กับพี่ดา"

"ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะเรา” ชานนไม่มีอารมณ์มาพูดเล่นด้วยเลยเอ็ดน้องสาว

“รีบๆ เคลียร์แล้วก็รีบๆ กลับมาเลย ยังไงวันนี้พี่ก็ไม่ให้เราค้างคืนที่บ้านเพื่อนต่อ"

"ทำไมล่ะพี่นน ปกติออมก็ค้างบ้านเพื่อนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว"

“เถอะน่ะ เรื่องของพี่" ชานนพูดเลี่ยง ก็ที่เขาลงทุนโทร.ตามน้องสาวกลับบ้านอยู่ตอนนี้ เพราะระแวง กลัววาดตะวันจะกลับเข้าไปในบ้านอีกต่างหาก ยิ่งหล่อนเคยเข้ามาในตัวบ้านเขาได้แล้วด้วย ดีไม่ดีวาดตะวันอาจอาศัยจังหวะช่วงเวลาที่ไม่มีคนเฝ้าบ้านขโมยของไปก็ได้

ยังไม่ทันที่จะตกลงกับน้องสาวรู้เรื่อง เสียงเอะอะโวยวายที่ดังทะลุออกมานอกร้านเรียกความสนใจจากชานนหันกลับไปมอง ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเจ้าของร้านกำลังยืนชี้หน้าด่าวาดตะวันปาวๆ ไม่วายทำท่าจะลากตัวหล่อนออกไปจากร้าน ร้อนถึงคนคุยโทรศัพท์อยู่ด้านนอกถึงกับสบถออกมาอย่างหัวเสีย กดตัดสายมนชนกทิ้งดื้อๆ ก้าวยาวไม่ต่างจากกระโจนกลับเข้าไปในร้าน

“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีนิยายที่มีตัวละครชื่อวาดตะวงวาดตะวันอะไรทั้งนั้น โอ๊ย ดูซิ ร้านฉันเละเทะไปหมดแล้ว แกออกไปจากร้านฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วก็เอาไอ้กระรอกบ้านี้ออกไปจากร้านฉันด้วย”

“ฉะ...ฉันก็แค่อยากหาให้แน่ใจ”

“แต่ฉันไม่ให้แกหาแล้ว !” เจ้าของร้านเช่าหนังสือตะคอกใส่หน้าวาดตะวัน พอยิ่งเห็นอีกฝ่ายทำหน้าใสซื่อไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ยิ่งเดือดดาลจะคว้าไม้กวาดมาไล่ตีวาดตะวันกับกระรอกบ้าออกไปจากร้าน หากไม่ทันชานนที่ไวกว่า ชิงลากตัววาดตะวันให้ออกมาจากร้านด้วยกันเสียก่อน

“พอได้แล้วคุณ ออกมากับผม”

“แต่ฉันยังหานิยายฉันไม่เจอเลยนะ โอ๊ย นายไม่ต้องฉุดกระชากฉันสักครั้งจะได้มั้ย ฉันเจ็บขาอยู่นายลืมไปแล้วเหรอ”

“ก็แล้วคุณไปทำอะไรให้เจ้าของร้านเขาโกรธล่ะถึงได้ตวาดแวดไล่คุณออกมาอย่างกับหมูกับหมาแบบนั้น”

เจ้าออกัสวิ่งกึ่งกระโดดตามหลังวาดตะวันมา ขณะที่วาดตะวันบิดข้อมือไปมาพยายามหลุดจากการเกาะกุม ชานนเห็นว่าพ้นบริเวณร้านเช่าหนังสือมาพอสมควรแล้วจึงยอมปล่อยเป็นอิสระ วาดตะวันได้ทีจะหันกลับไปหาร้านนั้นร้อนถึงเขาต้องก้าวขวาง

“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นวาดตะวัน”

วาดตะวันไม่ตอบ ดื้อจะเดินเลี่ยงหลบหน้าเขา ชานนจึงดึงข้อมือเล็กรั้งหล่อนไว้อีกครั้ง คราวนี้วาดตะวันกลับร้องออกมาเพราะเจ็บที่ข้อมือ รีบดึงมือตัวเองคืน มองเขาอย่างเอาเรื่องที่ฉุดกระชากลากถูอยู่ได้ตลอดเวลา แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากเถียง สายตาของชานนที่จ้องมองกลับมา ลึกเข้าไปในดวงตาของหล่อน ทำให้วาดตะวันรู้สึกเหมือนมีอำนาจบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวเขาสั่งหล่อนให้หยุดไว้แค่นั้น เปลี่ยนเป็นหมั่นไส้แยกเขี้ยวใส่เขาแทน ไม่รู้ว่ามนุษย์ชอบใช้ความรุนแรงแบบตานี่เหมือนกันหมดทุกคนรึเปล่า

“ตกลงคุณจะบอกผมได้รึยังว่าไปมีเรื่องอะไรกับเจ้าของร้าน อยู่ดีๆ เขาคงไม่เกิดบ้าอาละวาดไล่คุณออกมาหรอก ดีแค่ไหนที่เมื่อกี้ผมรีบดึงคุณออกมา ไม่อย่างนั้นมีหวังคุณได้โดนเจ้าของร้านดีดออกมาแล้ว”

“ฉันก็แค่ถามเขาดีๆ ว่ารู้จักนิยายที่มีตัวละครชื่อวาดตะวันรึเปล่า แต่พอเขาเห็นฉันรื้อนิยายออกมาวางกองเต็มไปหมดก็โวยวายฉันยกใหญ่ เจ้าออกัสเลยมาช่วยฉันไว้ แต่...เอิ่ม...มันยังไม่ทันได้ทำอะไรผู้หญิงคนนั้นเลยนะเพราะฉันห้ามไว้ก่อน เขาคงโกรธฉันมั้งเลย...” เห็นเขากอดอกตั้งท่าจับพิรุธคาดคั้นเอาความจริง คนเล่าก็เริ่มอึดอัด ไม่ยอมสบตา

เขาทำราวกับหล่อนเป็นจำเลย วาดตะวันเลยเล่าแค่นั้น เดินหนีไปอีกทางหนึ่งเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าเขา

“เสียดายที่พวกเราในโลกนิยายไม่รู้กันว่าคนสร้างพวกเราขึ้นมาเป็นใคร ฉันเคยเห็นแต่รูปร่างหน้าตาลางๆ ในนิมิตของฉัน ลักษณะจะเป็นผู้ชาย แต่ไม่นึกเลยว่าบนโลกมนุษย์จะมีนิยายเยอะแยะมากมายขนาดนี้ แล้วฉันจะหานิยายฉันเจอได้ยังไงล่ะ หรือว่านายพอจะมีเพื่อนหรือคนรู้จักที่ชอบอ่านนิยายมั้ย เผื่อพวกเขาจะรู้จักฉันบ้าง”

“นี่คุณยังไม่เลิกล้มความคิดอีกเหรอ ให้ตายสิ ไม่เด็ดขาดวาดตะวัน ผมจะไม่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระของคุณอีกแล้ว” ว่าแล้วชานนก็หันหลังกลับไปที่รถตัวเองซึ่งจอดทิ้งไว้อยู่ริมฟุตปาธไม่ไกลจากร้านเช่าหนังสือ

พอเขาจะหนีขึ้นรถกลายเป็นวาดตะวันที่รีบมากางแขนสองข้างขวางทางเขาไว้ “นายจะไปไหน”

“ถามได้ ในเมื่อคุณพิสูจน์ตัวตนของคุณไม่ได้ต่อไปนี้ก็ทางใครทางมัน ผมจะไม่เอาเรื่องคุณพอใจรึยัง แค่ขอให้คุณกลับไปในที่ของคุณแล้วผมจะถือเสียว่าเราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”

“ไม่ได้นะ นายจะทิ้งฉันไปแบบนี้ไม่ได้ ถ้านายทิ้งฉันแล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน”

“นั่นมันเรื่องของคุณ !” พูดจบชานนก็ผลักสาวตรงหน้าออกไปให้พ้นทางอย่างไม่ใยดี เขาควรทำแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว วาดตะวันก็แค่ผู้หญิงเพี้ยนคนหนึ่ง ไม่น่าไปเสียเวลาหลงพาเจ้าหล่อนมาพิสูจน์คำพูดบ้าบออะไรนี่เลย

วาดตะวันได้แต่ทุบกระจกรถอยู่ด้านนอกเรียกร้องความสนใจ เพราะชานนเล่นล็อคประตูรถเรียบร้อยไม่เปิดช่องทางให้หล่อนตามเขามาได้อีก สตาร์ทรถได้ก็ขับแล่นออกสู่ถนนใหญ่ไปในเวลาอันรวดเร็ว



***********************



ท่ามกลางความมืดสลัวในยามค่ำคืน มีเพียงแสงไฟถนนส่องสว่างนำทางวาดตะวันเดินกะเผลกๆ ไปตามทางเท้าริมฟุตปาธ สายลมแรงบวกกับต้นไม้ที่ไหวเอนตามแรงลม ทำให้หญิงสาวต้องกอดตัวเองเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย มองหาใครสักคนที่พอจะช่วยหล่อนได้บ้าง ขณะที่ในใจนั้น...วาดตะวันยังคงแอบหวังว่าเขาจะกลับมา

ตั้งแต่ถูกผู้ชายคนนั้นทิ้งไว้กลางทาง วาดตะวันก็เหมือนคนหลงทางได้แต่เดินเคว้งอยู่แถวนั้น หล่อนไปไหนไม่ได้ไกลนักหรอก หล่อนเจ็บขา และก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนด้วย หล่อนไม่รู้จักเส้นทาง หรือจะให้ถูกคือหล่อนแทบไม่รู้ว่าบนโลกมนุษย์มีอะไรบ้างด้วยซ้ำ ผู้คนแถวนี้ก็แปลกหน้าไปหมด แน่ล่ะ ตั้งแต่วาดตะวันหลงมาบนโลกมนุษย์ หล่อนมีแต่ชายเจ้าของต้นมะม่วงคนนั้นที่หล่อนพอจะเรียกเขาว่า‘เพื่อน’ได้บ้าง

แต่จะให้หล่อนเดินกลับไปบ้านเขาก็ไปไม่ถูก ขนาดเมื่อคืนหลังจากถูกเขาไล่ตะเพิดออกมาแล้วหล่อนยังต้องบากหน้าปีนรั้วกลับเข้าไปหลบลมหนาวในสวนบ้านเขาเลย แม้จะต้องฝืนอมขมกลืนให้เขาดูถูกว่าเป็นพวกหัวขโมยซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม

ด้วยความที่ดึกมากแล้ว บนท้องถนนนานทีจะมีรถวิ่งผ่านมาสักคัน บรรยากาศช่างแตกต่างจากเมืองที่วาดตะวันอยู่อย่างสิ้นเชิง หล่อนจึงรู้สึกว่าบริเวณโดยรอบเงียบเหงาจนน่ากลัว ไม่แปลกที่สายตาคู่นั้นยามกวาดตามองไปรอบกายเต็มไปด้วยความหวาดระแวง เช่นเดียวกับเจ้าออกัสที่ตัวสั่นเทาทั้งที่ยืนเกาะไหล่วาดตะวันอยู่ก็ตาม มิหนำซ้ำเจ้ากระรอกตัวน้อยยังคอยเอาหางมาปิดตาตัวเองตลอดเวลาอย่างกับกลัวมีผีโผล่มาตรงหน้ายังไงยังงั้น

“เจ้าก็กลัวเหมือนกันใช่มั้ยออกัส ฉันก็กลัว ที่นี่มีแต่คนใจร้าย ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่เลย”

เจ้าออกัสรีบพยักหน้าเห็นด้วย

“เราจะกลับบ้านกันยังไงดีล่ะ”

“มาคนเดียวเหรอจ๊ะน้องสาว” จู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนทักดังมาจากด้านหลังฝ่าความเงียบชวนวังเวงนั้น ทำเอาวาดตะวันสะดุ้งโหยงหันกลับมามอง

เจ้าของเสียงนั้นเป็นผู้ชายวัยรุ่นสามคน ผิวคล้ำค่อนไปทางดำ กำลังเดินตามมาใช้สายตากะลิ้มกะเหลี่ยมองสาวตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ท่าทางเหมือนคนเมากึ่งนักเลง วาดตะวันเห็นแล้วไม่ไว้ใจ ก้าวถอยห่างจากผู้ชายพวกนั้นอัตโนมัติ ทว่ากลับเจ็บแปลบขึ้นมาที่ข้อเท้าเลยจำต้องหยุดอยู่แค่นั้น

“แหม...สวยๆ แบบนี้ไม่น่ามาเดินอยู่คนเดียวเลยนะจ๊ะ ให้พวกพี่เดินเป็นเพื่อนมั้ย”

“พวกพี่ช่วยฉันได้เหรอจ๊ะ”

วาดตะวันถามกลับมาหน้าตาใสซื่อ และนั่นสร้างความพอใจแก่นักเลงเมาทั้งสามไม่น้อย ได้ใจที่เหยื่อหลงติดเบ็ดง่ายดาย จะเข้ามาแตะเนื้อต้องตัว หากวาดตะวันถอยหนีจงใจไม่ให้อีกฝ่ายเอามือน่ารังเกียจมาโดนตัวหล่อน นักเลงเมาเลยเสียเส้นชะงักไปเหมือนกัน

“หนีพวกพี่ทำไมจ๊ะน้องสาว”

“ฉะ...ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเจ้าออกัสเดินเป็นเพื่อนแล้ว พวกพี่ไปกันเถอะจ้ะ”

ไม่เพียงพูดวาดตะวันยังชี้ไปที่กระรอกตัวน้อยบนไหล่

ออกัสยังคงเกาะหล่อนอยู่ไม่ไปไหน พอได้ยินชื่อตัวเองก็ฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันขาว ส่งสายตาปริบๆ ทำนองใสซื่อไร้เดียงสา น่ารัก น่าเอ็นดู ปานจะกลืนกินประจบผู้ชายพวกนั้น นักเลงเมาเห็นแล้วหันมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมายแล้วต้องระเบิดหัวเราะออกมาราวกับเป็นเรื่องตลกสิ้นดี

“เจ้ากระรอกตัวกระเปี๊ยกแค่นั้นเนี่ยนะจะไปช่วยอะไรน้องได้ อย่าดื้อน่ะน้องสาว ไปกับพวกพี่ดีๆ ดีกว่า เดี๋ยวพวกพี่จะช่วยพาน้องสาวคนสวยไปส่งให้ถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เอง รับรอง แค่คืนเดียวน้องสาวได้จดจำพวกพี่ไปอีกแสนนาน”

“พะ...พวกพี่หมายความว่ายังไง ฉันไม่เข้าใจ”

นักเลงเมาสามคนนั้นจับจ้องมาที่หล่อนตาเป็นมัน ค่อยๆ สืบเท้าเข้ามาใกล้ ร้อนถึงวาดตะวันต้องถอยหนี

ออกัสทนไม่ได้ กระโดดลงจากไหล่วาดตะวันไต่ขึ้นไปตามตัวหนึ่งในนักเลงเมา ป่ายหน้าไปมาให้วุ่น สร้างความรำคาญแก่อีกฝ่ายสลัด ‘กระรอกตัวกระเปี๊ยก’ ทิ้งอย่างไม่ใยดี

ภาพออกัสกระเด็นหลุนๆ ไปนั่งมึนอยู่ข้างพงหญ้าข้างทางทำให้วาดตะวันใจตกไปที่ตาตุ่ม ตะโกนไล่คนพวกนั้น

“อย่าเข้ามานะคนใจร้าย ! ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ไป...ถอยไปนะ !”

แม้ปากจะเอ่ยไล่ หากแววตาสาวเจ้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำให้คนเมาสนุก หัวเราะเยาะในแววตาตื่นกลัวของสาวตรงหน้า ก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ขณะที่วาดตะวันเอาแต่เดินกะเผลกๆ ถอยหลังหนี ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพ้นฟุตปาธลงมาบนถนนแล้ว

คนพวกนั้นยังคงตามมา และไม่มีทีท่าจะยอมปล่อยวาดตะวันไปง่ายๆ เหยื่อกำลังจะถูกตะครุบอยู่แล้ว

พลันนั้นมีรถบีบแตรดังลั่นมาแต่ไกล วาดตะวันตกใจหันไปเผชิญหน้ากับแสงไฟจ้าหน้ารถอย่างจัง รถขับเคลื่อนสี่ล้อตรงหน้ากำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงพุ่งตรงมาทางหล่อน ชั่ววินาทีนั้นมีแรงมหาศาลของใครบางคนฉุดหล่อนให้ออกมาจากตรงนั้น !

“กรี๊ด !!!!”

วาดตะวันกรีดร้องสุดเสียง ด้วยแรงเหวี่ยงทำให้ทั้งสองล้มกลิ้งไปตามพื้นถนน กระแทกเข้ากับล้อรถที่จอดอยู่ริมฟุตปาธอีกฟากหนึ่ง ทุกอย่างหยุดนิ่งในเวลาถัดมา

ภายใต้ความมืดมิด เสียงกรีดร้องได้หายไปแล้ว วาดตะวันจากที่หลับตาปี๋เริ่มรู้สึกตัวค่อยๆ ลืมตา แปลกใจอยู่ลึกๆ ที่พื้นถนนนิ่มกว่าที่คิด แต่แล้ว...หล่อนกลับสบตากับนัยน์ตาสีดำสนิทคู่หนึ่ง ชานนนั่นเองที่รองรับร่างบอบบางของหล่อนเอาไว้...ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่สองแล้วที่หล่อนเห็นนัยน์ตาเขามีแววห่วงใยเจืออยู่ในนั้น เมื่อนั้นดวงตาที่เปียกชื้นด้วยน้ำตาเพราะความตกใจระคนหวาดกลัวเมื่อครู่จึงเบิกกว้าง สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากกายเขาแนบชิดกายหล่อน ชานนกำลังกอดรัดหญิงสาวไว้แน่น หัวใจวาดตะวันถึงกับเต้นรัวในอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าจะมีโอกาสได้เห็นเขาอีกครั้ง

“จะลุกได้รึยังคุณ” ชานนเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน

หญิงสาวเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอมองเขาเพลิน ตั้งสติได้ก็รีบยันกายลุกขึ้นด้วยอาการขัดเขิน เช่นเดียวกับคนแซวแม้ลุกขึ้นทุลักทุเลไปหน่อยก็ตามเพราะเจ็บหลังตอนกระแทกเข้ากับล้อรถตัวเอง แต่นานพอควรที่สาวเจ้านอนทับร่างเขาอยู่อย่างนั้นเลยอึกอักไปเหมือนกัน

“เอิ่ม...คุณ...ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”

วาดตะวันส่ายหน้าแทนคำตอบ ยังคงมองหน้าเขาให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด

“นาย...เป็นนายจริงๆ ด้วย” วาดตะวันดีใจโผกอดเขาอย่างลืมตัว “ฉันดีใจที่สุดเลยที่นายกลับมาช่วยฉัน นายอย่าทิ้งฉันไปไหนอีกนะ ฉันกลัว”

“วาดตะวัน...” ชานนได้แต่เรียกชื่อหล่อน ยังตั้งหลักไม่ทันที่อยู่ดีๆ สาวตรงหน้าก็โผกอดเขาแน่น

หากวาดตะวันไม่ได้รู้ตัวสักนิด หล่อนยังคงกอดเขาไว้กลัวเขาจะหนีหายไปอีก คนถูกกอดเลยได้ยินเสียงสะอื้นไห้นั้นชัดเจน พานทำอะไรไม่ถูก รู้สึกผิดหนักกว่าเดิมที่ใจร้ายทิ้งผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างวาดตะวันไว้ข้างถนนได้ลงคอ ชายหนุ่มจึงลูบหลังปลอบ หวังว่าไออุ่นจากเขาจะช่วยให้สาวในอ้อมแขนรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

ชานนยอมให้วาดตะวันตามขึ้นรถกลับมาบ้านด้วยกันในที่สุด เขาต้องใช้เวลาตัดสินใจอยู่นาน แต่ก็แค่ให้หล่อนได้อาศัยบ้านเขาเป็นที่หลับนอนคืนนี้คืนเดียวท่านั้น หลังจากพูดคุยตกลงกันรู้เรื่องแล้ว หล่อนต้องออกไปจากบ้านเขาให้เร็วที่สุดโดยไม่มีข้ออ้างใดทั้งสิ้น

“บ้านผมไม่มีห้องสำหรับให้แขกพักหรอก คืนนี้คุณต้องนอนห้องเดียวกับผม ไม่ต้องถามล่ะว่าทำไม เพราะยังไงผมก็ยังไม่ไว้ใจคุณอยู่ดี”

วาดตะวันไม่เกี่ยงงอนแต่อย่างใด เดินเข้าไปในห้องนอนเขาอย่างว่าง่าย

ขนาดห้องที่กว้างขวางสะดวกสบายกว่าห้องนอนในโลกนิยายมากสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่วาดตะวัน ออกัสเองก็กระโดดโลดเต้นไปรอบๆ ห้อง ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ก่อนมาหยุดยืนตรงหน้าชานน ทำตาปริบๆ ส่งสายตาหวานซึ้งมาให้ เขาเพิ่งสนใจสังเกตเจ้ากระรอกตัวน้อยของวาดตะวันก็ตอนนั้นว่ามีสีไม่เหมือนกระรอกทั่วไป ตรงที่ปลายหางมีสีม่วงเข้ม ตัดกับสีขนตามตัวของมันที่เป็นสีน้ำตาล แถมตายังโตแบ๊วอย่างกับตุ๊กตา

ชานนระแวงกลัวมันจะไต่ขึ้นมาบนศีรษะแกล้งเขาอีกเลยมองมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“เจ้าออกัสก็แค่อยากขอบคุณนายน่ะที่ช่วยฉันกับออกัสไว้” วาดตะวันแปลท่าทางของเจ้ากระรอกตัวน้อยให้เขาได้รับรู้

ชายหนุ่มตรงหน้ากลับโบกปัดอย่างไม่ใส่ใจ แม้มันจะทำตัวน่ารักขึ้นมาหน่อย แต่ยังไงก็ไม่ช่วยให้เขาหันมาพิศวาสมันมากขึ้นนักหรอก

“ผมขอสั่งห้าม ไม่ให้คุณเอาเจ้าออกัสอะไรนี่มานอนด้วยเด็ดขาด นี่มันห้องนอนนะคุณ ไม่ใช่สวนสัตว์”

วาดตะวันเข้าใจดีจึงเรียกออกัสกลับมา เจ้ากระรอกน้อยคงรู้ตัวยอมกระโดดผลุงมาอยู่ในมือวาดตะวัน รอให้วาดตะวันเปิดหน้าต่างเรียบร้อยก็กระโดดขึ้นต้นมะม่วงต้นเดิมหายไปในความมืด

ระหว่างนั้นชานนยังคงลอบมองพฤติกรรมสาวตรงหน้าอยู่ตลอด ไม่ค่อยไว้ใจหล่อนเท่าไหร่ ขณะที่วาดตะวันเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ยิ้มอ่อนหวานให้ชานนแทนคำขอบคุณสำหรับทุกเรื่องที่เขาช่วยหล่อนไว้ “ฉันดีใจที่นายเชื่อฉันสักทีว่าฉันมาจาก...”

“เราอย่าเพิ่งคุยกันเรื่องนี้เลย วันนี้ผมเหนื่อยมามากพอแล้ว”

“แต่ฉัน...”

“ที่ผมช่วยคุณ ไม่ได้หมายความว่าผมจะเชื่อคุณนะวาดตะวัน ผมแค่ไม่อยากเห็นคุณต้องถูกรถชนไปต่อหน้าต่อตาก็เท่านั้น” ชานนพูดแล้วอดของขึ้นไม่ได้

เมื่อเย็นเขาไปทานข้าวกับรินรดามาก็จริง แต่ใจไม่ได้อยู่กับแฟนสาวเลยสักนิดเนื่องจากทิ้งวาดตะวันไว้กลางทาง ชานนรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่รินรดาเองคงสัมผัสได้ในอาการผิดปกตินั้นของเขาเช่นกันถึงได้เปลี่ยนใจกะทันหัน ขอให้เขาพากลับบ้านแทนไปดูหนังต่ออย่างที่ตกลงกันไว้ หลังจากชานนไปส่งแฟนสาวที่บ้านแล้วเลยแอบกลับมาซุ่มดูวาดตะวันอยู่ในรถ นานพอที่จะเห็นนักเลงพวกนั้นบีบหล่อนให้ไม่มีที่ไปจนต้องหนีมายืนจังกาอยู่กลางถนน ดีแค่ไหนที่เขาตัดสินใจลงจากรถมาคว้าตัวหล่อนไว้ทัน ถ้าเกิดเขาไม่ลงมาช่วยป่านนี้วาดตะวันได้นอนหมดลมหายใจอยู่บนถนนไปแล้ว #


***********************
ค่อยๆ ก้าวไปกับตัวละครด้วยกันนะคะ^^



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 เม.ย. 2558, 11:10:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 เม.ย. 2558, 11:38:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1122





<< บทที่ 2   บทที่ 4 (ครึ่งแรก) >>
ปิ่นนลิน 22 เม.ย. 2558, 19:40:03 น.
ทิ้งสาวน้อยวาดตะวันได้ลงคอ ใจร้ายยยย ><


สรัน 22 เม.ย. 2558, 23:23:07 น.
ขอบคุณค่าปิ่นนลินที่อ่านนิยายรัน^^


สรัน 25 เม.ย. 2558, 11:48:06 น.
อัพบทที่ 3 ครบ 100% แล้วจ้า^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account