หยกวาดตะวัน
"ฉันชื่อวาดตะวัน มาจากในนิยาย นิยายบนโลกมนุษย์นี่แหละ!"


เสียงเล็กแหลมของสาวน้อยที่แฝงไว้ด้วยความมาดมั่นร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
ทำเอาชานนอยากจะเป็นบ้าตาย


ตอนนี้ชีวิตเขาวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือว่าคนรัก
เขาเพิ่งถูกแฟนสาวสลัดทิ้งมาหมาดๆ

แต่แล้วจู่ๆ วันดีคืนดีก็มีผู้หญิงร่างเล็กบอบบางแทบปลิวได้ตกลงมาในบ้านเขา
ซ้ำร้ายยังเอาแต่พร่ำเพ้อว่าตัวเองหลุดมาจากโลกในนิยาย

งานนี้ไม่รู้ว่าหล่อนหรือเขากันแน่ที่บ้า

...ทางเดียวที่ทำได้คือเขาต้องไล่หล่อนกลับไปในโลกนิยายอย่างนั้นเหรอ ?

Tags: นักเขียน แฟนตาซี ปาฎิหารย์ ใสซื่อ เวทย์มนตร์

ตอน: บทที่ 4 (ครึ่งแรก)

บทที่ 4



ชานนจำต้องพ่วงวาดตะวันมาสถาบันสอนพิเศษด้วยในเช้าวันรุ่ง เพราะไม่ไว้ใจให้หล่อนอยู่บ้านตามลำพัง

หากเจ้าหล่อนไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเขาหรอก ยอมตามชานนเข้ามาในสถาบันสอนพิเศษต้อยๆ ไม่วายสนิทสนมกับพนักงานสาวประจำเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของสถาบันได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว แถมยังหัวเราะร่าเริงสดใส ดูไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับสภาวะที่เป็นอยู่ตอนนี้สักนิด ซึ่งต่างจากชานนอย่างสิ้นเชิง !

"ที่ทีเชอร์นนบอกว่าคุณวาดตะวันเป็นน้องสาว ใช่น้องสาวแท้ๆ รึเปล่าคะ”

เหมือนฝัน...พนักงานสาวประชาสัมพันธ์ที่กำลังคุยเล่นอยู่กับวาดตะวันถามอย่างสนใจ

“เท่าที่ทำงานกับทีเชอร์นนมา ฝันเคยเจอแต่น้องออมน่ะค่ะเห็นว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่เอ...ดูคุณวาดตะวันหน้าไม่ค่อยเหมือนทีเชอร์นนเลย”

“จะให้เหมือนได้ยังไงคะคุณฝัน ในเมื่อฉันเป็น....” พูดเท่านั้นวาดตะวันก็หยุดกึก เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนออกจากบ้านมาชานนกำชับนักกำชับหนาว่าให้หล่อนบอกใครต่อใครว่าเป็นน้องสาวเขาหรือไม่ก็เป็นญาติห่างๆ จากจะเผลอหลุดปากพูดความจริงออกไปว่าเป็นตัวละครในโลกนิยายเลยยิ้มแห้ง

“ฝันพูดจริงๆ นะคะ คุณวาดตะวันออกจะทั้งสวย ทั้งน่ารัก ดูสดใสร่าเริงเป็นธรรมชาติต่างจากทีเชอร์นนเยอะเลย”

พูดถึงชายหนุ่มอีกคนแล้วเหมือนฝันต้องป้องปากกระซิบ “อย่าหาว่าฝันนินทาเลยนะคะ แต่ทุกวันนี้ฝันเจอหน้าทีเชอร์นนทีไรท้องไส้ปั่นป่วนทุกที ก็ทีเชอร์นนวันๆ เอาแต่หน้าดำคล้ำเครียด ทำแต่งานๆๆ แถมยังขี้หงุดหงิดเป็นที่หนึ่ง ยิ่งเวลาโมโหนะคะคุณวาดตะวัน น่ากลัวสุดๆ ถ้าไม่จำเป็น ฝันไม่กล้าเข้าใกล้หรอกค่ะ”

วาดตะวันยิ้มขันอยู่ในทีที่เหมือนฝันนินทาชานนเสียยาวเหยียด

พอรู้ตัวว่าชักพูดมากไปแล้วเหมือนฝันเลยทำท่าตกใจปิดปากตัวเอง “ไม่เอาแล้วๆ เรากลับมาดูเว็บไซต์ของเราต่อดีกว่าค่ะ เมื่อกี้ที่ฝันเปิดให้คุณวาดตะวันดูเขาเรียกว่าเฟซบุ๊กนะคะ ส่วนเว็บนี้เรียกว่า ยูทูบ เป็นแหล่งรวบรวมคลิปวิดีโอจากทั่วโลก ฝันว่าคุณวาดตะวันน่าจะชอบเว็บนี้”

“มันเคลื่อนไหวได้ด้วยเหรอคะ” วาดตะวันตื่นเต้นเมื่อเห็นเหมือนฝันคลิกเข้าไปที่จอสี่เหลี่ยมบนนั้น แล้วผู้หญิงในคลิปหันมาพูดกับหล่อน

“คลิปนี้เป็นคลิปรายงานข่าวค่ะ ถ้าคุณวาดตะวันอยากจะฟังเพลงก็ได้นะคะ”

“เอาสิคะ ฉันชอบฟังเพลง พอเรากดเข้าไปแล้วผู้หญิงคนนี้ก็จะร้องเพลงให้เราฟังใช่มั้ยคะ”

“ไม่ใช่ค่ะคุณวาดตะวัน มันแล้วแต่ว่าเราจะกดคลิปไหน...คุณวาดตะวันไม่เคยเล่นจริงๆ เหรอคะเนี่ย ฝันไม่อยากจะเชื่อเลย”

วาดตะวันส่ายหน้า

“บ้านฉันไม่มีอะไรแบบนี้หรอกค่ะคุณฝัน ถ้าเราจะฟังเพลง ต้องฟังเสียงจากใบไม้ ต้นไม้ หรือไม่ก็เสียงนกร้องยามเช้า แล้วพวกเราก็จะร้องตอบกลับไปเป็นเพลงเช่นกัน...”

วาดตะวันเปล่งเสียงร้องเพลงออกมา ตามปกติแล้วเสียงวาดตะวันค่อนข้างอ่อนหวานนุ่มนวลน่าฟังอยู่แล้ว แต่เมื่อหล่อนปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามท่วงทำนองเพลงในหัวใจ เสียงของหล่อนกลับใสกังวานราวกับเสียงร้องของนกไนติงเกล และเต็มเปี่ยมไปด้วยห้วงอารมณ์ความรู้สึกเสมือนมีพลังพิเศษบางอย่าง สะกดคนฟังอย่างเหมือนฝันรวมถึงคนอื่นๆ แถวนั้นในสถาบันสอนพิเศษ หลงเคลิ้มไปกับเสียงของหล่อนอย่างน่าอัศจรรย์

ชานนนั้นออกมาจากห้องสอนพิเศษพอดี ทว่าอาการผิดปกติของผู้คนที่กำลังนิ่งอึ้ง มองวาดตะวันตาค้างอยู่อย่างนั้น ชานนเห็นก็เดาได้ทันทีว่าสาววาดตะวันจอมเพี้ยนต้องทำอะไรแปลกพิลึกพิลั่นอีกแน่นอนจึงรีบคว้าตัวต้นเหตุออกมา

“เราจะกลับบ้านกันแล้วเหรอ” วาดตะวันถามใสซื่อ หล่อนยังสนุกที่ได้พูดคุยกับเหมือนฝันอยู่เลย

“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นวาดตะวัน ทำไมทุกคนถึงได้นิ่งอึ้งไปแบบนั้น”

“ฉัน...เอ่อ...ฉัน” วาดตะวันอ้ำอึ้งเพราะตั้งหลักไม่ทัน “ฉะ...ฉันไม่รู้เหมือนกัน ก็แค่ร้องเพลง”

“ร้องเพลงเนี่ยนะ” ชานนทวนคำอย่างไม่เชื่อหู เปิดประตูรถได้ก็จับวาดตะวันลงนั่งบนเบาะข้างคนขับ ส่วนเขาเดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกด้านหนึ่งทิ้งตัวลงนั่งหลังพวงมาลัยเพื่อออกรถ

เมื่อคืนชานนแอบถ่ายรูปวาดตะวันส่งไปให้เมธัสดูผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อนดูมีสติกว่าเขามากน่าจะพอช่วยหาทางออกให้กับเรื่องวาดตะวันได้บ้าง รายนั้นเองไม่มีสอนวันนี้อยู่แล้วด้วยเลยสะดวกนัดเจอกับชานน พร้อมวาดตะวันที่บ้านเขา

“พี่นนมาแล้วค่ะพี่ธัส”

มนชนกมีอาการตื่นเต้นจนออกนอกหน้า ไม่รีรอที่จะเข้ามาหา คนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในบ้านอย่างชานนตกใจระคนประหลาดใจในคราเดียวกันที่น้องสาวอยู่ในบ้าน !

“นี่เรากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนบอกว่างานยังไม่เสร็จไง”

“ฉันเป็นคนพาออมมาเอง” เมธัสเป็นฝ่ายบอกเพื่อน เขาเข้ามานั่งรอกับมนชนกได้สักพักแล้ว “ฉันเห็นว่าต้องมาบ้านนายอยู่แล้วเลยแวะรับออมกลับมาด้วย”

“แต่นายก็รู้ว่าฉันไม่อยากให้ออมรู้เรื่องนี้” ชานนหัวเสีย

“ผู้หญิงคนนี้ใช่มั้ยพี่นนที่ชื่อวาดตะวัน โห ตัวจริงสวยมากเลยค่ะ สวยอย่างกับเจ้าหญิง คุณวาดตะวันมาจากโลกนิยายจริงๆ เหรอคะ แล้วคุณวาดตะวันมาได้ยังไง มีตัวละครตัวอื่นมากับคุณวาดตะวันด้วยรึเปล่าคะ แล้วโลกนิยายเป็นยัง...”

“พอๆ เจ้าออม” เห็นน้องสาวเริ่มเยอะชานนเลยอดขัดขึ้นมาไม่ได้

“นี่ออม ลูกพี่ลูกน้องผมเอง” ชานนเริ่มต้นด้วยการแนะนำน้องสาวให้วาดตะวันได้รู้จัก “ส่วนผู้ชายคนนั้นชื่อเมธัส เป็นเพื่อนผมที่สถาบันสอนพิเศษ ครอบครัวมันรู้จักคนกว้างขวางน่าพอจะช่วยคุณได้บ้าง”

วาดตะวันยังงงๆ ที่จู่ๆ ชานนก็พามาให้รู้จักคนเยอะแยะเต็มไปหมด ตั้งแต่ตอนเช้าที่ไปสถาบันสอนพิเศษด้วยกันกับเขาแล้ว สาวเจ้าเลยแค่เพียงยิ้มๆ กลับกลายเป็นชานนเสียเองที่ถอนใจออกมาลักษณะรำคาญในสีหน้าเหรอหรานั้น

“หูตึงรึไงคุณ ผมกำลังหาคนมาช่วยคุณอยู่นะ ในหัวจำอะไรได้บ้างก็บอกเพื่อนผมไป จะได้ช่วยกันคิดว่าจะพาคุณกลับบ้านได้ยังไง”

“เพื่อนนายพาฉันกลับโลกนิยายได้จริงๆ เหรอ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” ชานนเริ่มปวดหัวตุบ ตั้งท่าจะอาละวาดใส่สาวข้างกายอีกตามเคย ร้อนถึงเมธัสต้องดึงเพื่อนให้ถอยห่างออกมา ขณะที่มนชนกนั้นยังคงตื่นเต้นพาวาดตะวันแยกไปนั่งคุยด้วยกันบนโซฟาใกล้ๆ

“คืออย่างนี้ค่ะพี่วาดตะวัน เอิ่ม ออมขอเรียกพี่นะคะ” มนชนกพยายามผูกมิตรด้วย “ที่พี่นนนัดพวกเรามาวันนี้เพราะอยากให้ได้ลองคุยกับพี่ดูน่ะค่ะ พี่นนเขาคิดว่าพี่...เอ่อ...อาจจำอะไรสับสนนิดหน่อยเกี่ยวกับตัวเอง”

“ฉันไม่ได้สับสนนะคะ” วาดตะวันชักเสียงแข็ง

“ฉันเข้าใจว่าพวกคุณอาจมองว่าฉันบ้า หรือไม่ก็เป็นพวกหัวขโมยอย่างที่พวกคุณชอบกล่าวหาฉัน แต่ไม่ว่าจะถามฉันอีกสักกี่ครั้ง ยังไงฉันก็ยังขอยืนยันค่ะว่าฉันไม่รู้ว่ามานอนสลบอยู่บ้านนี้ได้ยังไง ฉันรู้แต่ฉันชื่อวาดตะวัน มาจากในนิยาย...นิยายบนโลกมนุษย์นี่แหละ !”

ชานนไม่ได้ประหลาดใจกับคำตอบนั้นแต่อย่างใด เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าวาดตะวันต้องตอบกลับมาแบบเดิมด้วยความมาดมั่นจึงพยักเพยิดไปทางเพื่อนทำนองให้อีกฝ่ายเห็นถึงฤทธิ์เดชความดื้อรั้นของแม่สาวจอมเพี้ยน แต่เมธัสกลับรู้สึกเอ็นดูวาดตะวันมากกว่าที่จะรำคาญอย่างเพื่อน อาจเป็นเพราะเขาเข้าใจดีว่าหล่อนคงต้องตอบคำถามนั้นมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เลยเป็นฝ่ายเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“ถ้าอย่างนั้นคุณวาดตะวันพอจะเล่าให้พวกเราฟังได้มั้ยครับว่าโลกนิยายของคุณเป็นยังไง บอกชื่อนิยายที่มีคุณอยู่ในนั้นก็ได้ หรือเล่าเรื่องราวของคนอื่นๆ เอิ่ม...ผมหมายถึงตัวละครตัวอื่นที่คุณพอจะรู้จัก เผื่อพวกเราจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง”

ได้ยินเพื่อนถามวาดตะวันแบบนั้น ชานนถึงกับกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างสุดเซ็ง ต่างจากวาดตะวันที่อารมณ์ดีขึ้นมาพริบตา ยิ้มแก้มปริ ดีใจที่ในที่สุดก็มีคนเชื่อ

“บ้านฉันอยู่ที่ฟลาวเวอรี่ทาวน์ค่ะ เป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งในโลกนิยาย อืม...ฉันจะอธิบายให้พวกคุณเข้าใจง่ายๆ ยังไงดีล่ะ คือโลกนิยายของเราเป็นโลกในมิติคู่ขนานกับโลกมนุษย์น่ะค่ะ เพียงแต่ในโลกนิยายจะเต็มไปด้วยตัวละครมากมาย โดยที่มนุษย์เป็นผู้ให้กำเนิดพวกเรา แต่พวกเราไม่สามารถรู้ได้หรอกนะคะว่าตัวเองมาจากนิยายเรื่องไหน หรือใครเป็นคนสร้างเราขึ้นมา พวกเราจะเห็นแค่ในนิมิตของพวกเราค่ะ”

“ในนิมิต? หมายถึงในความฝันน่ะเหรอคะ” มนชนกถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่แพ้คนเล่า

“ทุกคืนฉันจะฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณวัยกลางคน กำลังนั่งขีดเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา” แววตาของวาดตะวันดูมีความสุขไม่น้อยยามได้บอกเล่าเรื่องราวในโลกนิยายให้คนอื่นฟัง

“แม้เป็นแค่ภาพเลือนรางมีเมฆหมอกหนาปกคลุมเต็มไปหมด แต่ฉันรับรู้ได้ว่าเขาคงกำลังเขียนเรื่องฉัน ครั้งสุดท้ายก่อนที่ฉันจะมาโผล่ที่โลกมนุษย์ ฉันหนีคนที่บ้านมาน่ะค่ะ ฉันอยู่กับแม่เลี้ยง ส่วนคุณพ่อฉัน...ท่านเสียหลังจากแต่งงานกับแม่เลี้ยงได้ไม่กี่วัน แต่แม่เลี้ยงดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่มีฉัน อาจเป็นเพราะท่านมีลูกสาวอยู่แล้วสองคน”

“หืม...ชีวิตดูรันทดเหมือนซินเดอเรล่าเลยนะคุณ”

ชานนอดกระแนะกระแหนไม่ได้ นั่นแหละเลยถูกน้องสาวฟาดเข้าให้ทีที่แขน

“เพราะเหตุนี้เหรอครับคุณวาดตะวันถึงได้หนีมา” เมธัสยังคงถามต่อด้วยความสงสัย “แล้วคุณวาดตะวันหนีมาบนโลกมนุษย์ได้ยังไง ผม...ยังไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหนีมาบนโลกมนุษย์หรอกค่ะ เผอิญนางฟ้าเสกรถฟักทองให้ฉัน”

“นั่นไง” ชานนตบต้นขาตัวเองดังฉาดประหนึ่งคาดผิดเสียที่ไหน “บอกแล้วว่านี่มันชีวิตซินเดอเรล่าชัดๆ ต่อไปคุณก็จะเล่าต่อว่าเผลอทำรองเท้าแก้วข้างหนึ่งตกไว้ให้เจ้าชายมาตามหาใช่มั้ย ตอนคุณโผล่มาบ้านผมถึงได้เหลือรองเท้าแค่ข้างเดียว นิทานหลอกเด็กจริงๆ”

“เจ้าชายอะไรของนาย ที่รองเท้าฉันเหลือข้างเดียวเพราะทำหลุดตอนหนีขึ้นรถฟักทองมาต่างหาก”

วาดตะวันจำได้ว่าครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมานอนสลบอยู่ในบ้านชานน กำลังนั่งรถฟักทองหนีเข้ามาในป่า แต่ด้วยความที่ตอนนั้นมีเพียงแสงจันทร์ส่องนำทาง พอรถฟักทองพาหล่อนกลืนหายเข้ามาในความมืดมิด จากนั้นหล่อนก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นชานนอยู่ตรงหน้าแล้วนั่นแหละ

ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ วาดตะวันเลยถอนใจออกมา

“เพื่อนบ้านฉันที่ชื่อรินธาราแอบได้ยินมาว่าวาโย เอิ่ม ลูกสาวคนเล็กของแม่เลี้ยงฉันเองค่ะ เธอจะส่งตัวฉันไปขายที่เมืองอื่นเลยมาเตือนฉันให้ระวังตัวไว้”

“ตายจริง ทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอคะ”

มนชนกอุทานออกมาประหนึ่งเป็นวาดตะวันเสียเอง หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอ่านนิยายเล่มโตอยู่ยังไงยังงั้น

“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะคะพี่วาดตะวัน” ชื่อเพื่อนบ้านของวาดตะวันเกิดสะดุดหูน้องสาวชานนขึ้นมา “ออมว่าออมเคยได้ยินชื่อคนที่พี่วาดตะวันพูดถึง”

"อย่าบอกนะว่าเราเคยอ่านนิยายที่มีชื่อตัวละครพวกนี้"

"ออมคุ้นจริงๆ" มนชนกหันไปยืนยันกับพี่ชาย แล้วตาวาวขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้

"จริงด้วยพี่นน ! นิยายของคุณจีโนบีไงคะ ใช่ ต้องใช่แน่ๆ ออมจำชื่อเมืองฟลาวเวอรี่ทาวน์ได้ มันเป็นชื่อซีรีส์นิยายรักแฟนตาซีของคุณจีโนบีค่ะ เล่าถึงชีวิตของคนในฟลาวเวอรี่ทาวน์ ผู้คนในเมืองนี้มีความเชื่อว่าตัวเองได้รับหน้าที่จากสวรรค์ ให้ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติบนโลกมนุษย์ค่ะ รินธารารู้สึกจะเป็นนางเอกในนิยายเรื่องมนตร์ธารารัก อยู่ในซีรีส์ชุดนี้ด้วย เล่มโปรดของออมเลยนะพี่นน ออมชอบเรื่องนี้มาก"

“นี่เราคิดว่าวาดตะวันมาจากโลกนิยายจริงๆ เหรอเจ้าออม” ชานนแทบไม่อยากจะเชื่อ

“โธ่พี่นน..." น้องสาวทำเสียงฮึดฮัดรำคาญพี่ชาย

"ก็วาดตะวันเป็นหนึ่งในแกงค์เพื่อนรักของรินธารานี่คะ!"





*****************************





ภาพมนชนกที่ชวนวาดตะวันคุยจ้ออยู่ในบ้าน ท่ามกลางกองนิยายของจีโนบีที่น้องสาวอุตส่าห์หอบลงมาจากชั้นหนังสือในห้องนอนตัวเอง ทำให้ชานนต้องเบือนหน้าหนี

เขาลี้ภัยออกมายืนคุยกับเมธัสที่ระเบียงบ้านได้สักพักแล้ว ขณะที่มนชนกนั้นพอพิสูจน์ได้ว่ามีตัวละครชื่อวาดตะวันอยู่ในนิยายของจีโนบีจริงๆ ก็เอาแต่โม้ถึงนิยายของนักเขียนคนโปรดไม่หยุดปาก ไม่วายสรุปให้เสร็จสรรพว่าเรื่องราวของวาดตะวันต้องเป็นภาคต่อของนิยายซีรีส์ที่เจ้าตัวมีอยู่ชานนเลยปวดกะโหลก

“ตกลงเรื่องที่ยัยวาดตะวันกับเจ้าออมพูดมาใช่เรื่องจริงแน่รึเปล่าเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้ว”

“นายก็เห็นว่าในหนังสือนิยายของออมมีตัวละครที่ชื่อวาดตะวันอยู่ในนั้นจริงๆ”

“มันก็ใช่” ชานนเถียงไม่ออก เพราะก่อนหน้านี้มนชนกเล่นกางหนังสือนิยายหรา เปิดหน้าที่นักเขียนบรรยายถึงวาดตะวันไว้ให้เขาอ่านเต็มสองตา แถมน้องสาวยังจิ้มไปที่คำว่า ‘วาดตะวัน’ บนหน้าหนังสือนิยายให้เขาเห็นชัดเจนเสียขนาดนั้น

“ฉันว่าคุณวาดตะวันเธอไม่ได้โกหกหรอก เพราะดูจากสายตาเวลาเธอเล่าเรื่องในโลกนิยายของเธอแล้ว เธอดูมีความสุขแล้วก็เศร้าในเวลาเดียวกัน เหมือนเธอมีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับที่นั่นจริงๆ ถ้านายลองฟังน้ำเสียงเธอให้ดีๆ จะรู้สึกเลยว่าเธอจริงใจในทุกคำพูดนั้น”

“แต่เราก็ยังไม่มีอะไรมายืนยันว่าเธอคือวาดตะวัน”

ชานนยังคงค้าน

“เธออาจเป็นพวกบ้านิยายจนเพี้ยนเลยอุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นตัวละครที่หลุดมาจากโลกนิยายก็ได้ แล้วไหนจะมิติคู่ขนานอะไรนั่นอีก เคยมีนักวิทยาศาสตร์คนไหนออกมาบอกมั้ยว่ามีตัวละครอยู่ในอีกมิติหนึ่งของโลกเรา”

“แต่ทุกวันนี้บนโลกเราก็ยังมีเรื่องราวแปลกประหลาดอีกมากมายที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้”

ชานนส่ายหัว ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มารับรู้เรื่องมิติบ้าบออะไรทั้งนั้น ที่เขาอยากรู้คือจะจัดการกับวาดตะวันได้ยังไงต่างหาก !

“เอาเป็นว่านายจัดการเรื่องวาดตะวันแทนฉันด้วยแล้วกัน จะทำยังไงก็ได้ แต่เพี้ยนๆ แบบนี้ฉันคิดออกอยู่แค่สองทางคือจับส่งโรง’บาลบ้า ไม่ก็โยนภาระให้ตำรวจไปตามหาญาติของแม่เพี้ยนนั่นต่อเอง”

“นายไม่อยากให้ฉันทำแบบนั้นหรอก” เมธัสเอ่ยยิ้มๆ พลางมองเลยผ่านเข้าไปในบ้าน

มนชนกนั้นยังคงทำมือทำไม้ประกอบชวนวาดตะวันพูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย วาดตะวันเองก็ดูยิ้มแย้มสดใส สาวจากโลกนิยายคงกำลังดีใจระคนตื่นเต้นในเวลาเดียวกันที่ได้รู้ว่ามนุษย์ที่สร้างหล่อนขึ้นมานั้นชื่อจีโนบี และมนชนกยังเคยอ่านเรื่องที่มีหล่อนอยู่ในนั้น

“ดูแล้วท่าทางออมจะถูกชะตากับวาดตะวันเสียแล้วล่ะ ระหว่างที่เรายังหาข้อพิสูจน์ให้กับเรื่องนี้ไม่ได้ นายน่าจะให้วาดตะวันพักอาศัยอยู่ด้วยไปก่อน...”

“เฮ้ย ไม่ได้” ยังไม่ทันที่เมธัสจะพูดจบประโยคดีชานนก็ชิงร้องเสียงหลงออกมา

“ขืนให้วาดตะวันมาอยู่ด้วย ดารู้เข้ามีหวังได้เอาฉันตายแน่”

“นายก็บอกคุณดาว่าเธอเป็นญาติก็ได้”

ชานนเบ้หน้า คาดผิดเสียที่ไหนว่าอีกฝ่ายต้องให้เขาอ้างไปแบบนั้น

หากเมธัสรู้ทันความคิดเพื่อนเช่นกัน ตอนที่เขามองกลับเข้าไปในบ้านเห็นอยู่หรอกว่าชานนเองก็แอบมองตามไปเหมือนกัน สายตาเมื่อครู่นั้นเขาพอจะดูออกจึงตบบ่าแซว “เอาน่ะ อย่างน้อยถ้าสิ่งที่วาดตะวันพูดเกิดเป็นความจริงขึ้นมา การให้เธออยู่กับนายนับว่าปลอดภัยที่สุด...นายเองก็ไม่ได้มองคุณวาดตะวันเลวร้ายอย่างปากว่านักหรอก ไม่อย่างนั้นนายคงจับเธอส่งตำรวจไปนานแล้ว”



**********************
ชี้แจงจ้า

หลังจากที่งงๆ กับตัวเองอยู่พักใหญ่เลยตัดสินใจได้แล้วว่า รันจะแบ่งนิยายบทนึงออกเป็น 2 พาร์ทนะคะ ก็คือครึ่งแรกกับครึ่งหลัง เพราะว่าบทนึงค่อนข้างหลายหน้า ไม่อยากให้อ่านกันแล้วรู้สึกตาลายน่ะค่ะ^^ แล้วรันจะพยายามอัพให้ได้อ่านกันอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งนะคะ



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2558, 15:08:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 เม.ย. 2558, 15:08:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1062





<< บทที่ 3   บทที่ 4 (ครึ่งหลัง) >>
lovemuay 29 เม.ย. 2558, 18:19:26 น.
เนื้อเรื่องน่าสนใจดีนะคะ


สรัน 29 เม.ย. 2558, 19:52:50 น.
ขอบคุณค่าคุณหมวย>< รันยังจำคุณหมวยได้นะ อิอิ


Zephyr 29 เม.ย. 2558, 22:34:34 น.
เอาละ ยายวาดมีเพื่อนละ
พี่นนก็ มีตัวป่วนเพิ่มอีกคนเอง
ทนๆน่า


สรัน 29 เม.ย. 2558, 23:20:47 น.
@Zephyr 555555งานนี้เห็นภาพพี่นนปวดหัวลอยมาแต่ไกล


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account