วิมานตะวัน
เรื่องราวระหว่าง อาจำเป็น กับหลานในปกครอง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒.๑


ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงจุดหมาย เวลานั้นพระอาทิตย์กำลังระเรี่ยอยู่ตรงเส้นขอบฟ้า บรรยากาศรอบกายค่อนข้างสลัวราง หากยังพอมองออกว่าตัวบ้านซึ่งอยู่หลังประตูทางเข้าเป็นบ้านไม้สองชั้น ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาโดยรอบ ครั้นสีหราชนำรถผ่านประตูเข้ามาภายใน หล่อนจึงเห็นภาพบ้านหลังนั้นชัดเจนขึ้น...บ้านไม้หลังกะทัดรัด ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป มีระเบียงด้านหน้าและด้านข้างสำหรับนั่งเล่นหรือรับประทานอาหาร สีน้ำตาลของไม้ให้ความอบอุ่น แข็งแรงและสบายตา อรุณธิดาไม่เคยอยู่บ้านไม้แบบนี้มาก่อน เมื่อก้าวลงรถจึงยืนพิจารณาด้วยความสนใจ

“เข้ามาสิ”

เสียงนั้นเรียกสติของหล่อน ทำให้รู้ว่าสีหราชเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆสามขั้นไปยืนคอยอยู่ตรงระเบียงแล้ว

“เข้าไป...เหรอคะ?” สีหน้าของหล่อนงุนงง น้ำเสียงบอกถึงความไม่แน่ใจและหวาดหวั่น “อาราชไม่ไล่เล็กกลับบ้านเหรอคะ?”

ผู้เป็นอาพับเสื้อเชิ้ตของตนเองขึ้นเผยให้เห็นรอยถลอกที่มีเลืดไหลซิบ

“ทำอะไรไว้ก็ควรรับผิดชอบ” เอ่ยพลางชี้มือไปที่รอยแผลนั้น “เข้าบ้านก่อนแล้วค่อยว่ากัน...มะนาว!” หันไปเรียกเด็กรับใช้คนหนึ่งซึ่งวิ่งกระหืดกระหอบออกมาคุกเข่าตรงหน้าผู้เป็นนาย

“ช่วยขนกระเป๋าของอรุณธิดาเข้าไปไว้ข้างในให้หน่อย”

เด็กสาวผู้นั้นอายุคงมากกว่าหล่อนไม่กี่ปี เธอมีรูปร่างสูงโปร่ง ผิวค่อนข้างคล้ำ เวลายิ้มฟันจึงขาวจัดมองเห็นชัดเจนแม่ในยามมืดสลัวเช่นนี้

“ค่ะนาย” รับคำสั่งสีหราชแต่กลับเหลือบมองหล่อนด้วยแววตาสงสัยและอยากรู้อยากเห็น

“เอาไว้ที่ห้องเล็กนะ ตามละมุดมาช่วยด้วยแล้วกัน”

เธอรับคำแข็งขันก่อนจะกุลีกุจอหิ้วกระเป๋าหล่อนเข้าไปด้านใน เป็นความไม่คุ้นเคยที่ทำให้อรุณธิดารีบวิ่งไปช่วย มือข้างหนึ่งยังโอบอุ้มเจ้าสุนัขหลงทางไม่ยอมปล่อยราวกับต้องการจับยึดมันไว้เป็นที่พึ่ง...ก็ตอนนี้ใจของหล่อนแห้งโหยด้วยรู้ชะตากรรมตัวเองดีว่าคงถูกดุ ถูกต่อว่า ถูกตีและน่าจะถูกส่งกลับบ้านใหญ่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ เผลอๆจะโดนอาราชเกลียดเสียก็ไม่รู้

“เดี๋ยวเล็กยกเองค่ะ”

“อุ๊ย! ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง!”

“ไม่เป็นไรหรอกหนูเล็ก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมะนาวเถอะ”

เจ้าของบ้านทักท้วง พลางส่งสัญญาณมือให้มะนาวรีบขนกระเป๋าเข้าบ้าน ก่อนจะกวักมือเรียกหล่อน

“เข้ามาเร็ว”

จบคำนั้นสีหราชก็หมุนตัว เดินนำเข้าไปด้านใน อรุณธิดาคอตก ก้มมองสุนัขตัวน้อยที่สงบลงมากแล้วราวกับชอบอ้อมกอดของหล่อน

“ถ้าโดนส่งกลับบ้านใหญ่ เราคง...ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วนะเจ้าตัวเล็ก”

เด็กสาวทอดถอนใจอีกหนึ่งเฮือกแล้วเดินคอตกตามหลังผู้เป็นอาไป

พลันที่หล่อนก้าวผ่านประตู ไฟในบ้านจึงสว่างจ้าขับไล่ความสลัวรางให้หมดไป...บ้านหลังนี้ค่อนข้างโปร่งสบายด้วยประตูและหน้าต่างบานใหญ่ ที่ที่หล่อนยืนอยู่เป็นห้องรับแขก เครื่องเรือนภายในห้องล้วนเป็นไม้ทั้งเก้าอี้ตัวยาว โต๊ะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีหนังสือพิมพ์วางกองกันอย่างเป็นระเบียบ มีโทรทัศน์วางอยู่ตรงกันข้ามชิดผนังอีกฝั่งหนึ่ง ถัดไปเป็นตู้โชว์ที่มีกรอบรูปวางตั้งอยู่ รวมถึงถ้วยรางวัลสามสี่ถ้วยและเหรียญรางวัลอีกเล็กน้อย การตกแต่งไม่ได้หรูหราเหมือนบ้านใหญ่แต่เรียบง่าย...คล้ายๆผู้เป็นเจ้าของกระมัง

อรุณธิดามองสำรวจโดยรอบด้วยความรู้สึกประทับใจ

ชอบ...ในความสงบเงียบ

ชอบ...ในความสบายตา

และ...เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกอบอุ่นใจในบ้านของใครสักคน

ทว่า...ความอุ่นใจกำลังจะหายไปในไม่ช้า หล่อนหันไปสานสบสายตากับผู้เป็นอา เห็นแววตาตำหนินั้นแล้ว ใจก็แป้วขึ้นมาอีก

“จะกอดเจ้านั่นอีกนานรึเปล่า วางมันลงก่อนก็ได้ มันไม่หนีหายไปไหนหรอก”

เห็นหล่อนยังกอดมันแน่น เขาก็ไม่เซ้าซี้ ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ เอนกายพิงพนักพลางก้มมองแผลของตัวเอง

“ไอ้โก้! ไอ้โก้โว้ย!” ประโยคหลังดังเสียจนหล่อนสะดุ้ง อรุณธิดาก้าวถอยหลังจนชิดหน้าต่าง แล้วยืนตัวลีบมองผู้เป็นอาจตะโกนหาใครบางคนอย่างหวาดๆ “หายหัวไปไหนวะ! ไอ้โก้!”

ต้องเรียกถึงห้าครั้ง คนที่ชื่อว่า ‘ไอ้โก้’ จึงปรากฏกาย

เขาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในบ้านหน้าตาตื่น

“ครับนาย! กระผ้มมาแล้วค้าบ!”

สำเนียงการแปร่งหู เหมือนจะเหน่อหน่อยๆ ยากจะบอกว่าเป็นคนจังหวัดไหน

“หายไปไหนมาวะ ฉันบอกว่าให้เฝ้าบ้านไม่ใช่รึไง!”

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าสีหราชเป็นชายร่างผอม เตี้ยกว่าสีหราชค่อนข้างมาก ผิวค่อนข้างดำคล้ำ หน้าออกเหลี่ยม จมูกค่อนข้างแบน ที่ดูดีที่สุดบนใบหน้านั้นเห็นจะเป็นคิ้วเข้มได้รูปสวย แต่ที่สะดุดตาที่สุดเห็นตะเป็นผมเผ้าเรียบแปล้ราวกับใช้เจลทาผมจนหมดกระปุก

“กระผ้มไม่ได้ไปไหนนะครับนาย แค่ไปตรวจความเรียบร้อยที่บ้านพักคนงาน...ได้ยินว่าพวกมันกินเหล้ากัน กระผ้มกลัวว่าจะมีเรื่องเลยแวะไปดู...”

“จริงเร้อ? แค่แวะไปดู?”

“จริงครับนาย! ไม่ได้ดื่มเลยจริงจริ๊ง! กระผ้มสัญญากับนายแล้วว่าวันนี้จะไม่ดื่ม กระผ้มก็ไม่ดื่ม! จริงๆนะนาย นายเชื่อใจไอ้โก้คนนี้ได้ ไอ้โก้ไม่ใช่คนผิดสัญญา!”

“เออๆ ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม!” ผู้เป็นนายตัดบทก่อนพยักเพยิดไปทางห้องครัว “ไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาให้หน่อย”

“ครับนาย”

คล้อยหลังชายผู้นั้น สีหราชก็ผุดลุก ก้าวอาดๆเข้ามาหาหล่อน

“มัวยืนอยู่ทำไม หืม?” จากนั้นก็จับหล่อนให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาว...ตัวที่เขาเพิ่งนั่งไปเมื่อครู่นั่นแหละ

“อาบอกแล้วว่าทำอะไรไว้ต้องรับผิดชอบ หนูเล็กทำอาเจ็บก็ต้องทำแผลให้อาด้วย” ว่าพลางเอื้อมมือลูบขนสุนัขในอ้อมกอดหล่อน “มัวแต่กอดเจ้าตัวนี้ จะทำแผลให้อาได้ยังไง วางมันไว้ก่อน ให้มันวิ่งเล่นในห้องนี้แหละ”

“ค่ะ” อรุณธิดาจำใจวางเจ้าตัวเล็กลงบนพื้น พอเป็นอิสระ มันไม่ยักกะวิ่งไปไหนกลับเดินดมนู่นดมนี่อยู่ใกล้ๆนั่นเอง

“อาไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวมา”

แล้วเขาก็เดินขึ้นบันไดไป เวลานั้นชายที่ชื่อโก้เดินกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล อรุณธิดาจึงบอกสั้นๆว่า

“เดี๋ยวเล็กทำแผลให้อาราชเองค่ะ คุณลุงกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ”

ชายผู้นั้นทำหน้างุนงงเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้า

“ฝากนายด้วยนะครับ” จากนั้นก็เอ่ยลาแล้วเดินออกจากบ้านไป

อรุณธิดานั่งรอไม่นาน สีหราชก็เดินกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ เป็นเสื้อยืดแขนสั้นสีตุ่นกับกางเกงขาสั้นประมาณเข่า ผมของเขาเปียกลู่ น้ำหยดย้อยลงมาจนปรากฏเป็นรอยด่างดวงบนเสื้อของเขา

“จะเดินจะวิ่งจะทำอะไรก็ต้องระวัง ถ้าวันนี้อาไม่อยู่กับหนูเล็ก หนูเล็กจะเป็นยังไงรู้ไหม” เมื่อทรุดนั่งข้างๆหล่อน เขาก็เริ่มตำหนิหล่อน “หนูเล็กอาจจะเจ็บหนักจนพิการ หรือไม่ก็...” เขาหยุดพูดแค่นั้น แต่อรุณธิดาก็เข้าใจ หล่อนยกมือขอโทษเขาอีกครั้ง

“ขอโทษค่ะอาราช ขอโทษที่เล็กไม่ระวัง ขอโทษที่ทำให้อาราชบาดเจ็บ ขอโทษจริงๆนะคะ”

“วันนี้เราพูดขอโทษกี่คำแล้วหืม?” ผู้เป็นอายกนิ้วขึ้นมานับ “เป็นสิบแล้วมั้ง...อาไม่ได้อยากฟังคำนี้หรอกนะ อาแค่อยากให้เราระวังมากกว่านี้ จะช่วยชีวิตหมาน่ะ เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเองมันก็ไม่คุ้มหรอกนะ”

ยิ่งเขาพูด อรุณธิดาก็ยิ่งก้มหน้างุด ตอนนี้คางของหล่อนแทบจะชิดอกเลยด้วยซ้ำ

สีหราชยื่นมือออกไปเชยคางหล่อนให้แหงนเงยขึ้นมามองสบตา ก่อนใช้นิ้วดีดหน้าผากของหล่อนอย่างแรง อรุณธิดาอุทานเบาๆพร้อมกับคลำหน้าผากของตัวเองป้อยๆ

“อย่ามัวแต่ทำหน้าเศร้า” แล้วเขาวางกล่องปฐมพยาบาลบนตักหล่อน “เอ้า! ทำแผลให้อาได้แล้ว”

“ค่ะ” หล่อนเมียงๆมองๆแขนล่ำสันตรงหน้า เห็นว่ารอยแผลไม่ลึกจึงเบาใจขึ้นมาก หล่อนเปิดกล่องปฐมพยาบาลหา หาสำลี แอลกอฮอล์ และเบตาดีน ใช้เวลาไม่นานในการทายาให้เขา พอเสร็จเรียบร้อย อรุณธิดาก็มองเขาด้วยดวงตาหม่นเศร้า

“อาราชจะส่งเล็กกลับบ้านใหญ่คืนนี้หรือพรุ่งนี้คะ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนผู้เป็นเจ้าของจะเหลียวไปมองนอกหน้าต่าง

“กลับบ้านใหญ่? ดึกป่านนี้แล้วไม่ดีมั้ง รอให้เช้าก่อนดีกว่า”

ทั้งที่ทำใจไว้แล้วว่าจะถูกส่งกลับแต่ใจหล่อนก็ยังเหี่ยวแฟบอยู่ดี

“แต่...อาบอกตอนไหนว่าจะส่งเรากลับ”

หลานสาวกะพริบตาปริบๆมองผู้เป็นอาอย่างงงๆ

“อาราช...จะไม่ส่งเล็กกลับไปที่บ้านใหญ่เหรอคะ”

“เพิ่งจะมาเอง อยู่กับอา...อย่างน้อยๆก็สักเดือนหนึ่งสิ จะรีบกลับไปไหน หรือไม่อยากอยู่กับอาแล้ว”

อรุณธิดายิ้มกว้างตาเป็นประกายขึ้นมาในบัดดล

“ไม่ค่ะ! เล็กไม่อยากกลับ เล็กอยากอยู่ที่นี่...อยู่กับอาราชค่ะ!”

นับว่าเป็นโชคดีของหล่อนที่อาราชไม่ได้โกรธอะไรมากมาย บทลงโทษก็คงจะไม่มีเพราะไม่เห็นพูดเรื่องนี้เลย

“สรุปว่าอาราชให้เล็กอยู่ที่นี่ได้...ใช่ไหมคะ”

“ก็พามาแล้ว...” ชายหนุ่มยื่นแขนอีกข้างให้หล่อนทำแผล “มาแล้วมาเลยอาไม่ส่งกลับหรอกนะ...จนกว่าเราจะเรียนจบม.ปลาย อาหวังว่าเราจะยังอยู่กับอาจนถึงตอนนั้น”


หลังจากทำแผลเรียบร้อยแล้ว อาราชก็ให้มะนาวตั้งสำรับเป็นอาหารง่ายๆอย่างไข่เจียว เพราะของในตู้เย็นหมดพอดี อาราชถามหล่อนอย่างเป็นห่วงว่าทานได้หรือเปล่า เหมือนเขาจะเข้าใจว่าหล่อนเป็นคนทานยากอย่างไรไม่ทราบได้

“ข้าวไข่เจียวเนี่ยของโปรดเล็กเลยนะคะ ทานได้ทุกวันไม่มีปัญหาหรอกค่ะ!”

เจ้าตัวว่าพลางเคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อย เจ้าตัวเล็กเริ่มติดหล่อนแล้ว มันมาเดินๆวนๆเวียนอยู่ใกล้ๆหล่อน บางครั้งก็เท้ามาสะกิด แล้วมองหล่อนด้วยแววตาแป๋วแหวว เห็นแล้วอรุณธิดาก็อดไม่ได้แบ่งไข่เจียวให้มันเสียเกือบครึ่ง

“แล้วจะอิ่มไหมน่ะ” ผู้เป็นอาซึ่งทานไข่เจียวไปได้ไม่ถึงครึ่ง กลับยกจานข้าวให้หล่อนทั้งจาน “หนูเล็กเอาไปกินแล้วกัน อาอิ่มแล้ว”

“อะไรกันคะ กินไปนิดเดียวเอง อาราชน่ะตัวโตกว่าเล็กตั้งเยอะ จริงๆต้องกินสักสองจานด้วยซ้ำนะคะ”

คนฟังหัวเราะร่วน แล้วใช้มือลูบหน้าท้องของตนเอง

“กินเยอะแบบนั้น อาอ้วนพอดีสิ”

หลานสาวหรี่ตามองเขาแล้วส่ายหน้าดิก

“อ้วนกว่านี้อีกนิดก็ดีนะ เล็กว่าอาราชผอมไป”

เจ้าตัวหยิบไข่เจียวคำสุดท้ายให้กับสุนัขตัวน้อยก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม เห็นดังนั้น ผู้เป็นอาก็บอกว่า

“เดี๋ยวอาไปถามพวกคนงานดีกว่าเผื่อมีอะไรให้กินบ้าง”

“ไม่ต้องหรอกค่ะอาราช เล็กอิ่มแล้ว”

สีหราชที่เพิ่งลุกขึ้นยืน เท้าแขนกับโต๊ะ จ้องหล่อนเขม็ง

“คนที่ควรจะกินเยอะๆน่ะเป็นหนูเล็กมากกว่านะ ดูสิ...ตัวเล็กนิดเดียว”

“วันนี้เล็กเหนื่อยๆน่ะค่ะ รับรองว่าพรุ่งนี้เล็กจะกินเยอะๆเลย” พูดพลางทำท่าทางประกิบด้วยการอ้าแขนออก “เยอะเท่านี้พอไหมคะ”

“ก็ขอให้จริงเถอะ!”

ชายหนุ่มถามย้ำอรุณธิดาอีกสามสี่ครั้ง เมื่อหล่อนยืนยันว่าอิ่มแล้วจริงๆ จึงช่วยกันล้างจานจากนั้น เขาก็พาหล่อนขึ้นยังชั้นสอง เขาเดินมาส่งหล่อนถึงหน้าห้อง ประตูเปิดกว้าง แต่เขากลับไม่ก้าวเข้าไปด้านใน ยืนกอดอกพิงบานประตูอยู่นั่นเอง

“อยู่ได้รึเปล่า”

ห้องนอนเล็กห้องนี้ ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเตียงขนาดสามฟุตครึ่งวางชิดผนังด้านหนึ่ง มีโต๊ะวางโคมไฟวางอยู่ข้างๆ ผนังอีกด้านมีโต๊ะเขียนหนังสือวางตั้งอยู่ติดกับหน้าต่างบานใหญ่สองบ้าน เลยไปอีกจึงเป็นห้องน้ำ และมีตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่ใกล้ๆประตู

“ห้องเล็กแบบนี้จะอึดอัดรึเปล่า”

ห้องนี้เล็กกว่าห้องนอนที่เรือนหลังเล็กของหล่อนเล็กน้อย อรุณธิดาอยู่ในที่แคบๆเช่นนี้จนชินจึงไม่มีปัญหา

“ไม่เลยค่ะ เล็กอยู่ได้”

“จริง?”

เหมือนเขาจะไม่เชื่อ ทั้งคิ้วที่เลิกสูง และแววตาที่จับจ้องอย่างคาดคั้น

“จริงสิคะ ห้องของเล็กที่นู่นก็เล็กแบบนี้แหละค่ะ”

หล่อนเคยเข้าไปในห้องของของลัลนา ทั้งกว้างขวางและประดับตกแต่งอย่างน่ารัก เทียบกับห้องของหล่อนแล้วเปรียบดั่งฟ้ากับเหวเลยทีเดียว

ถ้ามีคนถามหล่อนว่าเคยอิจฉาลูกพี่ลูกน้องของตนเองไหม...หล่อนก็พร้อมจะยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเคย

แต่หล่อนก็รู้สภาพของตัวเองดี รู้ตำแหน่งแห่งที่ของตนเอง หล่อนจึงไม่เคยเรียกร้องหรืออยากได้อยากมีไปมากกว่าที่เป็นอยู่ หล่อนขอแค่มีแม่อยู่ด้วยกันในเรือนหลังเล็กก็เพียงพอแล้ว

“จริงๆแล้ว เล็กอยู่ที่ไหนก็ได้นะคะ ห้องเล็กกว่านี้เล็กก็อยู่ได้”

จบคำนั้น สุนัขตัวจ้อยที่หล่อนอุ้มอยู่ก็เอาลิ้นมาเลียตรงแก้ม ถ้าไม่เพราะอยากผูกมิตร ก็คงอยากแกล้ง หรือไม่ก็อาจจะยังหิวอยู่

“มา! เอามาให้อา อาจะพามันไปกินข้าวเอง พวกคนงานน่าจะมีของเหลือๆอยู่”

“ให้เล็กไปด้วยสิคะ”

ผู้เป็นอากลับสั่นศีรษะ ก้าวอาดๆเข้ามาแย่งเจ้าตัวเล็กไปอุ้มแทน

“ไม่ต้องเลยเรา อาบน้ำแล้วเข้านอนซะ”

เจ้าตัวเล็กเหมือนจะไม่ชอบคนอุ้มเท่าไรนักเพราะมันส่งเสียงอืออาดิ้นไปดิ้นมาพยายามจะมาหาหล่อน

“อยู่นิ่งๆสิตัวเล็ก”

ได้ยินเขาเรียกสุนัขที่น่าสงสารเช่นนั้น อรุณธิดาก็รู้สึกเหมือนเขาเรียกหล่อนจนอดหัวเราะไม่ได้

“ทีนี้ก็ไม่รู้ละว่าอาราชเรียกใคร”

...ก็ตัวเล็กกับหนูเล็ก ฟังเผินๆมันก็เหมือนกันนี่นะ

“งั้นตั้งชื่อให้มันสิ” เขาอุ้มมันขึ้นมาให้อยู่กับสายตา จ้องตากลมๆวาวๆของมันแล้วถามความเห็นหล่อน “เปียกปูนดีไหม หรือเฉาก๊วย กาแฟ หรือ...อะไรดีล่ะ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เจ้าตัวเล็กน่ะดีแล้ว น่ารักดีออก...หรืออาราชคิดว่าชื่อตัวเล็กไม่น่ารัก”

คนถูกถามยิ้มกว้าง หล่อนจึงเพิ่งจะสังเกตเห็นฟันเขี้ยวข้างซ้ายของเขา ทำให้เขาดูอ่อนวัยลงหลายปี และ...ดูดีกว่าตอนทำหน้าตาดุๆเสียอีก

“น่ารักสิ ทั้งตัวเล็กทั้งหนูเล็กนั่นแหละ อาชอบ”

ว่าพลางขยี้หัวของเจ้าตัวเล็กอย่างเอ็นดู ก่อนนิ่วหน้า

“เจ้านี่มันตัวเหม็นจริงๆ อาพามันอาบน้ำก่อนแล้วกัน หนูเล็กก็เข้านอนซะนะ พรุ่งนี้เช้าอาจะพาไปพบคุณครู”



เรื่องนี้ยังไม่สามารถอัพอย่างสม่ำเสมอได้ อาจมาช้าบ้างเร็วบ้าง ขออภัยล่วงหน้านะคะ
หวังว่าเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนมีรอยยิ้มค่ะ ^__^




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ค. 2558, 12:27:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ค. 2558, 12:27:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1061





<< บทนำ + บทที่ 1   
Zephyr 2 พ.ค. 2558, 12:49:09 น.
โฮะ น่ารักทั้งหมาทั้งคน อิอิ
กรี้ดๆๆๆๆ อมยิ้มๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account