บ้านต้นรักษ์ (จบแล้วจ้า) รีไรท์
ก้อ...กอมารุน...ราชาแห่งท้องทะเลทราย

ปะทะกับ

นีล...นัจมุน...ราชินีแห่งท้องทุ่ง


เมื่อดวงจันทร์กับดวงดาวบนฟ้าต่างแข่งกันประจันแสง...
โดยมีต้นไม้ สายน้ำ และท้องทุ่ง เป็นตัวประกัน...

หมู่บ้านอันแสนสงบร่มเย็นอย่าง 'บ้านต้นรักษ์'
กำลังจะลุกเป็นไฟ

เมื่อสิ่งที่นักลงทุนอย่างเขาต้องการ
คือสิ่งเดียวกันกับที่หญิงสาวหวงแหนยิ่งชีพ
ทั้งๆที่เธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาหวงแหนในสิ่งที่ไม่ใช่
กรรมสิทธิ์ของตน!

การเชือดเฉือนจึงก่อกำเนิดในยุคแห่งวัตถุนิยม
ที่นายทุนเป็นใหญ่

ท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุ

ระหว่าง

ราชาแห่งท้องทะเลทราย กับ ราชินีแห่งท้องทุ่ง

ที่อยู่ห่างกันราวคนละโลก ในชีวิตกันคนละแบบ
คิดอ่านกันคนละอย่าง...

เสียงเพรียกจากวันวาน จะกลับมาขับขาน
สะพานไม้หมากที่พาดข้ามฟากเชื่อมสองฝั่งคลอง
กำลังสั่นสะเทือน...เมื่อสะพานคอนกรีตจะเข้ามาแทนที่

สายสัมพันธ์ระหว่างคนกับต้นไม้กำลังจะพัดหวนคืน

...น้ำในลำธารใสสะอาดกับน้ำมันสีดำไม่อาจเข้ากันได้ฉันใด
เธอกับเขาก็ไม่อาจเข้ากันได้ฉันนั้น...

ไม่มีใครรู้ว่าระหว่าง ดวงจันทร์ดวงใหญ่แค่ดวงเดียวที่ลอยเด่น
อยู่บนฟ้ากับดวงดาวจำนวนมากมายนับล้าน
มีความเป็นมาอย่างไร...
เว้นแต่ต้นไม้ที่ผ่านกาลเวลาโดยไม่เคยหนีหายไปไหนเท่านั้น
ที่จะไขปริศนานี้...

ต้นไม้ที่ยืนผงาดอย่างอดทนผ่านร้อนหนาว
ผ่านฤดูกาลมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีใครเคยได้ยินเสียงบ่น
ต้นไม้ที่เหมือนจะไม่รับรู้สิ่งใด...

หากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเป็นไปกลับกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ความรักความประทับใจและความผูกพันธ์ถูกบันทึกไว้ใต้ต้นไม้
หยั่งรากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในจิตใจ...
มีค่า มีความหมาย...นานเท่านาน...


Tags: ดราม่า รัก ต้นไม้ กอมารุน นัจมุน ก้อ นีล เชือดเฉือน แนวอนุรักษ์

ตอน: ต้นที่ 6 คนแปลกหน้า


สองพี่น้องปั่นจักรยานออกไปยังตลาดที่ห่างจากตัวบ้านออกไปไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร
เพื่อหาซื้อของสดและของแห้งไปกักตุนไว้ตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อซึมซับอากาศบริสุทธิ์
ในยามเช้าไปด้วย…ก่อนจะแวะหยุดตรงร้านขายข้าวหมกไก่ที่น้องชายติดใจ
ในรสชาติตอนที่เธอพามากินเมื่อวันก่อน…

“คนตรึมเลยนิ…ไม่มีที่นั่งเลยนิพี่นีล…” คนเป็นน้องห่อลิ้นเลียนเสียงคนในพื้นที่
ได้น่าหมั่นไส้เหลือเกิน…มันน่าโดนเพ่นกบาลนัก

นัจมุนสอดส่ายสายตาเข้าไปในร้านเพื่อหาที่นั่ง…ก่อนจะยิ้มออกมา

“โต๊ะนั้นเลย มีคนนั่งอยู่คนเดียวเอง เราเข้าไปขอนั่งด้วยก็แล้วกัน”

“นั่นน่ะผู้ชายนะพี่…”

“ผู้ชายแล้วไง…พี่มากินข้าว ไม่ได้จะมากินผู้ชาย…พูดมากจริง
เข้าไปได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนแย่งที่อดกินกันพอดี…หรือว่าอยากกินข้าวไข่เจียวฝีมือพี่ฮึ…”

คนเป็นน้องสะบัดหน้ายอมแพ้…เดินเข้าไปในร้านข้าวหมกทันที…

นัจมุนกระซิบบอกน้องชายเมื่อเห็นคนที่นั่งคนเดียวตรงโต๊ะดังกล่าวซ้ำยังนั่นหันหลังให้
เลยทำให้ไม่เห็นว่าหน้าตาคนๆนั้นเป็นยังไง

“เรานั่งฝั่งเดียวกับเขานะ ส่วนพี่นั่งฝั่งตรงข้าม…”

“ได้ไงอ่ะ…พี่นีลนั่นแหล่ะนั่งฝั่งเดียวกับเขาเลย…”

“มันไม่เหมาะสม…”

“ก็ได้…” คนเป็นน้องชายเลยเดินไปหยุดอยู่ใกล้ๆกับชายร่างสูงใหญ่
ในชุดคาวบอย สวมหมวกปิดใบหน้าไปกว่าครึ่งพร้อมกับขออนุญาต

“พี่ครับ…ผมขอนั่งด้วยคนนะครับ พอดีว่าคนเต็ม ไม่มีที่นั่งเลย…”
คนที่นั่งอยู่ก่อนเพียงแค่พยักหน้าโดยไม่ได้หันมามอง นัจมุนขมวดคิ้ว
เพียงนิดกับท่าทางที่ไม่ใคร่จะปราศัยไมตรีกับใครนั่น

“งั้นฉันกับน้องขอนั่งเลยนะคะ…” หญิงสาวเอ่ยปากกับเขา หากเจ้าของ
จานข้าวหมกไก่กลับพยักหน้าโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองแม้แต่น้อย
เขานั่งอ่านหนังสืออะไรสักอย่างเพื่อรออาหารที่สั่ง…

สองพี่น้องเลยนั่งลงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ท้องไส้เป็นใหญ่กว่าไมตรี…
เมื่อไม่อยากเสวนาด้วยก็อย่าไปเสวนาด้วยเลยแล้วกัน…

“กินไรดีพี่นีล…”

“อ้าว…ข้าวหมกไง…ก็ไหนว่าติดใจ…”

“อยากลองดูว่ามีอย่างอื่นให้กินอีกรึเปล่า ร้านออกจะใหญ่โต…”

ว่าพลางมองร้านที่กว้างกินพื้นที่สามคูหา แถมคนก็อัดกันแน่น…
ฝีมือเขาดีจริงๆ…เลยอดไม่ได้ที่อยากจะลองอย่างอื่นดู เผื่อจะสุดยอด
กว่าข้าวหมกไก่ของพี่นีล คนเป็นพี่เลยถือวิสาสะหยิบเมนูอาหาร
ที่วางอยู่ใกล้ๆคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่พร้อมกับเอ่ยขอโทษเขาเบาๆ

“อ่ะ…เลือกเอา…แล้วก็จ่ายเองนะ…”

“อะไรอ่ะ…ตัวชวนเค้ามาอยู่ด้วยแท้ๆ เรื่องไรให้เค้าจ่ายค่าปัจจัยยังชีพด้วยล่ะ…
ตัวต้องเลี้ยงเค้าสิถึงจะถูก…”

“ตัวรวย…คนรวยต้องช่วยคนจน…อย่างพี่…”

“ถ้าพี่นึลจนคนรวยคงไม่มีแระ…”

“เงินพี่มีเอาไว้ทำอย่างอื่นแล้ว ส่วนปากท้องเราน่ะ…เราต้องหาทาง
ช่วยมันไม่ให้อดเอาเองนะ…”

“โห…งกกับนุ่งกับน้อง…คอยดูหมอกจะไปฟ้องพ่อว่าพี่นีลขี้ตืด…”

“เชิญขี่ม้าสามศอกไปฟ้องเลยไป๊…”

“ได้นอนในบ้านผู้ดีเก่าคนเดียวแน่…” พอโดนขู่นัจมุนเลยยอมๆไป

“งั้นยอมก็ได้…จะกินไรก็สั่งเอา…เลี้ยงก็เลี้ยง…”

“มันต้องอย่างนี้สิ…” ว่าแล้วก็ก้มมองดูเมนูอาหารทันที เห็นมีไม่กี่อย่าง
ส่วนใหญ่เป็นอาหารพื้นบ้านแทบทั้งนั้น

“ร่ายมาให้ฟังบ้างสิ…เพราะเมื่อก่อนที่นี่เขาขายแต่ข้าวหมกไก่…”

เมื่อก่อนของเธอมันคือ ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ซึ่งบรรยากาศตอนนั้น
กับตอนนี้คนละเรื่องกัน โดยเฉพาะเจ้าของร้านที่เริ่มมีอายุมากขึ้น
จนต้องปล่อยให้ลูกๆหลานๆเข้าดูแลกิจการหากก็ยังคงคุมเชิงอยู่

คนเป็นน้องช้อนตามองใบหน้าพี่สาวแล้วลอบยิ้มเมื่อนึกได้แล้วว่าจะสั่งอะไรบ้าง

“ก็มี…ผัดขี้เมาหนังเหี่ยว…ไข่เจียวหนังยาน…น้ำลูกตาลตีนกา…ผัดฉ่ารอยย่น…
ยำใหญ่รุ่นยาย…หอยลายผัดน้ำพริกความเฉา…เต่าล้านปี…อบฟาง…
แต่ละเมนูล้วนน่ากินทั้งน้านนนนน…เนอะพี่นีลเนอะ…”

คนที่เหมือนโดนกระทบกระเทียบเข้าอย่างจังถึงกับมองหน้าน้องชายอย่างคาดโทษ
และเหมือนจะเห็นปฏิกริยาจากคนที่นั่งนิ่งๆมาตลอด

ถ้าเธอตาไม่ฝาด…ริมฝีปากของเขาเหยียดออกมานะ
แม้จะเห็นส่วนอื่นบนใบหน้าไม่ชัด แต่ไอ้ปากหยักๆนั่นมันเหยียดออกจริงๆ…

“ขอซื้อกลับบ้านได้มั้ยอ่ะ…เอาหมดนี่เลย…” คนเป็นน้องยังคงหาเรื่องพี่สาวไม่หยุดปาก…

“อ่ะๆ…อย่าทำหน้าเหมือนผัดฉ่ารอยย่นสิพี่นีล…ระวังเขาจะเสริฟ
น้ำลูกตาลตีนกาให้กินฟรีๆนา…อิอิอิ” และเพียงไม่ทันได้ลับปาก
กับเจ้าน้องชายก็มีคนมาเสริฟอาหารให้ลูกค้าผู้ชายที่นั่งติดกันกับเจ้าน้องชาย

เขาสั่งข้าวหมกไก่แบบพิเศษกับผัดขี้เมาหนังเหี่ยว เย้ย ผัดขี้เมาทะเล…

“น้องๆ พี่เอาข้าวหมกพิเศษหนึ่ง…แล้วเราล่ะ จะเอาอะไรก็รีบสั่งเลย”

“ผมเอาเหมือนพี่สาวครับ…แต่ขอเพิ่มหอยลายผัดน้ำพริกความเฉา
เฮ้ย…ผัดน้ำพริกเผาครับ…” คนรับเมนูถึงกับอมยิ้ม

“รับน้ำอะไรเพิ่มมั้ยพี่…”

“น้ำเปล่าจ่ะ…”

“น้ำลูกตาลตีนกาครับ…”

“ได้ๆ เดี๋ยวพี่จัดให้น้องชาย…” เด็กเสริฟซึ่งเป็นผู้ชายเดินออกไป
พร้อมรอยยิ้มเต็มหน้าที่เดียว…

“ถึงบ้านจะโดนเตะตกต้นตาลแน่…อยากกินนักใช่มั้ยไอ้น้ำลูกตาลนั่นน่ะ…”

“สุดๆ…” นัจมุนเริ่มสนใจน้องชาย อายที่จะมาลับปากกับน้องต่อหน้าใครก็ไม่รู้แบบนี้

และท้องที่เริ่มหิวจัดเพราะเดินตลาดอยู่นานก็แอบลอบกลืนน้ำลายลงคอ
เมื่อได้กลิ่นอาหารจากคนที่กำลังนั่งกินเงียบๆไม่คิดจะเสวนากับชาวบ้าน…

“นี่พี่ชาย…เอ่อ…พี่ชายเป็นคนที่นี่หรือเปล่า…” เจ้าน้องชายตัวดี
ยังไม่เลิกหาทางปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้านเขาทั้งๆที่ก็น่าจะดูออกว่าคนข้างๆ
ไม่ได้อยากจะเชื่อมสัมพันธ์ด้วยแม้แต่น้อย

“เปล่า…” เป็ยถ้อยคำที่สั้น สั้นมากและไม่มีต่อความยาวสาวความยืดด้วย
ไม่มีการหันมามองคู่สนทนา…นั่งกินลูกเดียว

“แล้วพี่พักที่ไหนครับ…” น้องเรามีความพยายามมากยังพยายามต่อไป

“บ้านญาติ…” อิตานี่ก็มาแบบสั้นอย่างคงเส้นคงวาไม่มีปรับปรุง
และเปลี่ยนแปลงเลย…น้ำเสียงดูน่าฟังอยู่หรอกถ้ามันจะลดความแข็งทื่อลงมาอีกสักนิด…

“บ้านญาติพี่ชายอยู่แถวไหนครับ…” น้องเราหน้าทนมาก ขนาดเขาไม่อยากจะ
เสวนาด้วยก็ยังหาเรื่องให้เขาพูดจนได้

“แถวนี้…”

“แถวนี้มันแถวไหนอ่ะ…” เขาไม่ตอบนอกจากวางธนาบัตรสีม่วงเอาไว้บนโต๊ะ
พร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบๆว่า

“พี่ต้องขอตัวก่อน…มื้อนี้ถือซะว่าพี่เลี้ยงนะ…ฝากจ่ายให้ด้วย…”
แล้วเขาก็ลุกเดินออกไปจากร้านนั้นทันที…

“คนอะไรกินเร็วชะมัด แป๊บเดียวฟาดเรียบ…อยากจะไปก็ไป…”
นัจมุนบ่นออกมาแล้วมองธนาบัตรใบสีม่วงที่เขาเอามาวางไว้ตรงหน้าเธอ…อะไรกันนี่…

“ใจนักเลงมาก…ชอบๆ…อย่างนี้ต้องสืบว่าบ้านอยู่แถวไหน…”

เสียงจากน้องชายทำเอาคนเป็นพี่ที่เริ่มคิดอคติกับคนเมื่อครู่ถึงกับฉุน

“เฮอะ…เอาเงินฟาดล่ะสิไม่ว่า…”

“ฟาดที่ไหนกัน…อย่างนี้ผู้ชายเขาเรียกว่า…ใจถึง...พี่เขารับไมตรีหมอกแล้ว…
รู้เอาไว้ซะด้วย…” นัจมุนแบะปากใส่ผู้ชายตรงหน้า

แหม…ตัวเท่าเมี่ยงทำมาเป็นรู้ไปหมด…รู้ทุกเรื่อง…

“เขาเบื่อนั่งตอบคำถามเราน่ะสิ…เลยชิ่งหนี…และเพื่อไม่ให้น่าเกลียด
เลยเอาเงินมาช่วยแก้หน้าให้…โถ…แค่นี้พี่อ่านขาด…”

คนเป็นน้องส่ายหน้าให้กับพี่สาวที่มักจะอคติกับผู้ชายทั้งโลก ผู้ชายทำอะไรผิดเสมอ…
ไม่เคยถูกต้องในสายตาพี่นีลหรอก…

“หุ่นก็ดี หน้าตาก็น่าจะดี…ใจก็นักเลง…อย่างนี้ต้องเชื่อม…”

“เพื่อ?” นัจมุนกลอกตาไปมาขณะมองน้องชาย

“เผื่อจะได้มาเป็นพี่เขย…ผู้ชายที่ดูเข้มแข็งไม่ได้อ้อนแอ้นปลิวลม
เหมือนผู้ชายสมัยนี้น่ะ หาได้ไม่ง่ายนาพี่นีล…แบบนี้แหล่ะใช่เลย…พี่เขยในใจหมอกเลย…”

นัจมุนหมั่นไส้น้องชายเลยหยิบช้อนขึ้นเคาะหัวน้องไปสามทีซ้อนกัน…

“อะไรเนี่ย…เค้าอุตส่าห์หวังดีแท้ๆ…”

“เลิกหาคู่ให้พี่สักที…แค่แม่เราคนเดียวพี่ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว…”

ที่แม่เลี้ยงของเธอพยายามหาสามีให้เธอไม่ใช่เพราะอะไรเลย
นอกเสียจากไม่อยากได้เธอเป็นลูกสะใภ้พ่วงอีกตำแหน่งก็เท่่านั้น

เลยขยันหาคนโน้นคนนี้มาให้ดูตัวเธอตลอด จนเธออยากหนีไปให้พ้นๆจากวงจรนั้น…
ถ้าไม่ติดกับว่าเธอเป็นห่วงพ่อล่ะก็…เธอจะหายตัวไปเลยด้วยซ้ำ…
ไม่ต้องมีตัวตนในสายตาใคร…เพราะที่ผ่านมาก็อยู่เสมือนไร้ตัวตน…เหมือนส่วนเกิน…
ที่เข้ากับสถานที่ใดไม่ได้…ไปอยู่ตรงไหนก็กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา…
ไม่เข้าพวก

สุดท้ายเลยขอเดินทางกลับมาที่เดิมที่ที่เคยมีตัวตนและมีคุณค่ามีความหมาย…
อย่างน้อยที่นี่ก็มีเงาของวันวานคอยปลอบใจ

แม่ไม่น่าจากเธอไปเลย…ถ้าแม่ยังอยู่…อะไรๆคงไม่เป็นแบบนี้…
หากเมื่อเงยหน้ามองน้องชาย…ก็ต้องลอบถอนใจ…ถ้าแม่ยังอยู่
เธอก็คงไม่มีน้องชายคนนี้มานั่งอยู่ตรงหน้าสินะ…

“ถ้าพี่นีลแต่งงานไปกับใครสักคน…รับรองว่าแม่เลิกยุ่งกับพี่นีลแน่ๆ…”

“รู้ได้ไงว่าแม่เราจะเลิกยุ่งใจกับพี่แน่ๆ…”

“หมอกได้ยินแม่พูดว่า…พี่นีลแก่แล้วควรแต่งงานได้แล้ว…ได้สามีรวยๆได้ยิ่งดี…
จะได้หายห่วง…” จริงๆจะได้สามีรวยสามีจนมันก็เป็นเรื่องของเธอแท้ๆ…
แต่แม่เลี้ยงของเธอเหมือนจะหวังดีแต่ประสงค์ร้ายอยู่เหมือนกัน…

เพราะแต่ละคนที่เอามาให้เธอเลือก…มีดีแค่รวยเท่านั้นเอง…
ประวัติด้านอื่นสุดที่หญิงใดจะทนได้ทัั้งนั้น…โดยเฉพาะดีกรีความเจ้าชู้
ดูจะขับเคี่ยวกันมาได้น่าหวาดเสียวทีเดียว…

“ถ้าสามสิบอย่างพี่แก่…แล้วแม่เราล่ะหมอก…”

“โห…นี่พี่นีลคิดจะไปเทียบรุ่นใหญ่เขาเลยเหรอ…แม่หมอกน่ะรุ่นใหญ่นะจาบอกให้…”

“กินๆๆ…ของเขามาแล้ว…” นัจมุนบอกปัด ไม่อยากจะคิดเรื่องพวกนี้ให้ปวดหัว
ที่สำคัญ…ปวดใจ…




หลังจากทานข้าวเช้าด้วยกันเสร็จ สองพี่น้องก็เดินออกมาจากร้าน
ขณะกำลังจะนั่งบนจักรยาน นัจมุนก็ได้ยินเสียงทักทายจากคนในวันวานขึ้นมา
และไม่ได้ทักเป็นคำพูด แต่เป็นเพลงที่ร้องกวนประสาทเธอ
อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว…

“จบล่ะปริญญาโท…โอ้โห…ยังล่ะไม่มีสามี…จับปริญญาตรี…มีลูกสามสี่คน…”

พอลูกพี่ร้องส่ง ลูกน้องก็ร้องต่อว่า

“จบปริญญาโท…โอ้โห…ได้ทำงานดีๆ…จบปริญญาตรี…ไม่เป็นกะหรี่แน่นอน”

เสียงหัวเราะมีตามมาเป็นระลอก…แถมยังร้องเพลงแซวเธอไม่เลิก

“เอาล่ะแต่เรียนเป็นหลัก…อั้ยย่า…เรื่องรักไม่เคยรู้สึก อ่านๆเขียนๆดื่นดึก…
อ่ะดึกๆล่ะคนไม่กล้าทัก…” นัจมุนกัดฟันกรอดแถมพวกมันยังร้องเพลงกวนประสาทเธอ
ตบท้ายได้หน้าตบอีกว่า

“จบล่ะปริญญาโท…โอ้โห…ยังล่ะไม่มีสามี…จบล่ะปริญญาตรี...มีลูกสามสี่คน…
จบล่ะปริญญาโท…โอ้โห…ยังล่ะไม่มีสามี…จบชั้นประถมสี่ มีลูกเป็นขบวน…”

เธอจำเพลงนี้ได้ มันเคยฮิตเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แต่ไอ้คนที่ร้องมันก็แก่พอๆ
กับเธอนี่แหล่ะถึงยังจำได้ดี แล้วยังเอามาร้องล้อเธอตอนนี้อีก…จะมาผิดยุคไปแล้ว

“ว่าไงจ๊ะน้องนีลคนฮามของพี่กุ้ง…จำพี่กุ้งได้มั้ยจ๊ะ…”

ไอ้พี่กุ้ง ไอ้รุ่นพี่ป.หกที่เคยกร่างคับโรงเรียน บัดนี้สวมชุดสีกากีที่มีดาวแค่ดวงเดียว
ก็เดินเบ่งไปทั้งตลาด แถมยังมีลูกสมุนตามมาอีกสอง ไม่ใช่ใคร ก็ไอ้พวกเดิมๆ
สามคนนั้นเลย…นี่ผ่านมากี่ปีๆ สามคนนี้ก็ยังคงไม่ทอดทิ้งกันไปไหนหรือเนี่ย

เชื่อเลยว่าพวกเขารักกันมาก…แถมยังรักถิ่นฐานบ้านเกิดเสียด้วย…
ซ้ำยังจำหน้าเธอได้แม่นอย่างไม่น่าเชื่อ…

“ใครน่ะพี่นีล…ดูจะอยากจีบพี่อยู่นะเนี่ย…กิ๊กเก่าหรือ…”

คนเป็นน้องกระซิบถามพี่สาวแล้วหันไปมองผู้มาเยือนที่เหมือนจะไม่ได้มาดีนัก

“กิ๊กอะไรล่ะ…ศัตรูเก่าน่ะสิ…” คนเป็นน้องได้แต่ลอบถอนใจ

สงสัยดวงพี่สาวของเขาจะไม่ถูกกับเพศตรงข้ามจริงๆ ไม่เห็นเคยมีศัตรู
เป็นเพศเดียวกันเสียที เห็นมีแต่เพศตรงข้ามตลอด…

“ได้ข่าวว่ากลับมาบ้านเรา เพื่อมาตามหารักหรือจ๊ะ…ดีเลย…พี่กำลังเพิ่งโสดมาหมาดๆ…
มีประสบการณ์มาสอนน้องนีลเพียบเลยล่ะ…สนใจพ่ีมั้ยจ๊ะน้องนีลจ๋าาา…”

ว่าแล้วก็เต๊ะท่าทำว่าข้าใหญ่คับฟ้า นิสัยแบบนี้สงสัยมันจะสลายหายไป
จากสายเลือดยากแท้หนอ…ถึงได้ยังอยู่ยงมาจนบัดนี้ไม่มีใครซ่อมได้

“พี่จะได้พาไปท่องแดนสุขาวดี…สวรรค์ชั้นเจ็ด น้องนีลรู้จักรึยังจ๊ะ”

นัจมุนหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเลยทีเดียว…เพราะที่ๆไอ้คนปากเสีย
กำลังพูดปาวๆมันเป็นที่สาธารณะ ผู้คนเดินสัญจรไปมากันให้ควั่ก
แถมยังมีหลายคนหยุดดูอย่างสนใจอีก…

สังคมบ้านนอกเป็นสังคมปิด พอมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแม้จะเรื่องเล็กเร่ืองใหญ่
ก็ย่อมจะกระจายออกไปในวงกว้างในระยะเวลาไม่นาน…

และการที่เธอกลับมาอยู่ที่นี่ก็ดูจะมีคนหูดีรับรู้ข่าวได้เร็วเหลือเกิน…
ซ้ำยังตามมาราวีได้ถูกทีถูกเวลาจนน่าสรรเสริญยิ่งนัก…

“ไปหาชะนีที่อื่นเถอะ…ฉันจะกลับแล้ว หลีกทางด้วย…”

นัจมุนพูดแบบขอไปทีพร้อมกับนั่งบนจักรยาน ขอให้อีกฝ่ายเปิดทางให้

“พูดได้กินใจพี่สุดๆเลยจ๊ะน้องนีลจ๋า…ปากดีอย่างนี้มีใครเคยบอกน้องนีลมั้ยว่า
มันทำให้ผู้ชายอยากจูบสั่งสอน…” ว่าพลางมองริมฝีปากหญิงสาวอย่างไร้มารยาท…
ทำเอาหญิงสาวแทบอยากฟาดหน้านั้นให้เต็มบาทา…แต่ก็ต้องหักห้ามใจไม่ให้เท้ากระตุก…

“ถ้าอยากมีอวัยวะกลับไปบ้านครบสามสิบสองก็หลีกทางซะ…ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน…”

หญิงสาวกระชับกระเป๋าสะพายเข้าหาตัวทันทีพลางล้วงบางอย่างออกมาแกว่ง…
ทำเอาสามหนุ่มถึงกับหัวเราะกับสิ่งท่ีคนตรงหน้างัดเอามาขู่พวกเขา…

“กรรไกรแค่นี้ทำอะไรพวกพี่ไม่ได้หรอกจ๊ะ…”

“ถ้าอยากรู้ว่ามันตัดอะไรให้ขาดได้บ้างก็ลองดูสิ…จะสาธิตให้ดู
แล้วอย่ามาร้องเสียดายในภายหลังก็แล้วกัน…”

ว่าพลางสาธิตด้วยการขยับขากรรไกรในมือด้วยแววตาโหดเหี้ยมทีเดียว

“ทันตรงไหน ตัดฉับตรงนั้น…ไม่ถึงตาย…แต่โหดร้ายต่อจิตใจแน่ๆ…”

“พกอาวุธในที่สาธารณะ พี่จับน้องนีลไปนอนในมุ้งสายบัวได้นะจ๊ะ
อยากโดนพี่จับหรือจ๊ะ…” เสียงกวนๆนั้นดังออกมาจากปากที่ไม่ผ่าน
การฆ่าเชื้อมาก่อนเลยแม้แต่น้อย คราวหลังเธอคงต้องพกแอลกอฮอล์มาด้วยซะแล้วล่ะ
เผื่อว่าจะได้ล้างปากฆ่าเชื้อให้คนพวกนี้ได้บ้าง…

“กฎหมายฉบับไหน มาตราอะไรจะมาจับฉัน…” หญิงสาวถามแบบกวนๆกลับไปทันที…

คิดจะข่มขู่ประชาชนด้วยกฎหมายหรือ…อย่างนี้มันต้องสั่งสอน
ปล่อยไประรานชาวบ้านตาดำๆไม่ได้แล้ว

“น้องนีลไม่เคยเห็นคดีที่เขาจับคนร้ายที่ทำร้ายคนอื่นด้วยกรรไกรหรือจ๊ะ
นั่นล่ะ…พี่จับมาเองกับมือเลย…” นัจมุนหัวเราะทีเดียว

“แต่ฉันจำได้ว่า…มีดคัตเตอร์ กรรไกร และมีดปอกผลไม้ ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่า
มันไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ เพราะสร้างมาเพื่อการใช้งานอย่างอื่น…แล้ว…”

หญิงสาวยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป

“แล้ว…ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371…บัญญัติไว้ว่า…ผู้ใดพกพาอาวุธไปในเมือง
หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือไม่มีเหตุสมควรหรือพาไปในชุมชน
ที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการ การรื่นเริงหรือการอื่นใด ต้องระวางโทษ
ปรับไม่เกิน 100 บาท แล้วให้ศาลมีอำนาจสั่งริบอาวุธนั้น…”

คนฟังกลืนน้ำลายเฮือกเมื่ออีกฝ่ายยกมาทั้งมาตราแบบคำต่อคำ…อย่างกับทนายในศาล
แถมยังวินิจฉัยออกมาอีกว่า

“ดังนั้น มันต้องเปิดเผย แต่นี่ฉันพกไว้ในกระเป๋าของฉัน ซึ่งถือว่าเป็นการปกปิดมิดชิด
ไม่ได้เปิดเผยเลย…แล้วมันผิดกฎหมายตรงไหนไม่ทราบ…”

“ผิดตรงที่ตอนนี้น้องนีลคนสวยเอามาควงขู่เจ้าหน้าที่น่ะสิจ๊ะ…”
คนเจ้าเล่ห์ยิ้มปรายทันทีเมื่ออีกฝ่ายเปิดช่องให้รุก

“ฮึ…มันก็มีเหตุสมควรให้งัดออกมานี่…ก็ถือว่าไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย
แต่ประการใด…” หญิงสาวสวนกลับทันที เอาสิ จะมาเล่นข้อกฎหมายกับนัจมุนก็เอา…
เจอมาเยอะแล้วไอ้ที่มากร่างไม่ดูกาลเทศะ

“แต่พี่ว่าพี่สามารถใช้อำนาจปรับน้องนีลได้แน่ๆ เราคงต้องไปนั่งเคลียร์กันที่โรงพัก…
สักนิดสักหน่อย…” เรื่องขี้ปะติ๋วแบบนี้ยังจะหาเรื่องเธอได้ไม่เลิกอีก…เชื่อเขาเลย…

“ถ้าปรับก็ปรับได้ไม่เกิน 100 บาท ตำรวจเปรียบเทียบปรับได้
แต่ไม่มีอำนาจริบอาวุธกรรไกรนี้ เมื่อเสียค่าปรับเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องคืนอาวุธ
ให้กับผู้ต้องหา ถ้าไม่คืน ย่อมมีความผิดตามกฎหมาย หลายข้อหานะจะบอกให้…”

นัจมุนเสริมให้ทันที…เมื่อรู้อีกฝ่ายจะหาทางริบอาวุธเธอแน่ๆ…
มันไม่ได้เป็นกรรไกรธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกน่ะสิ เรื่องอะไรจะยอมให้ริบกันง่ายๆ
เธออุตส่าห์ออกแบบทำมาเป็นพิเศษ…

“เพราะศาลเท่าน้ันที่มีอำนาจริบอาวุธ! แล้วไอ้ความผิดตามมาตรา 371น่ะ
เป็นความผิดลหุโทษ ตำรวจจะมาควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ในห้องพิเศษ
หรือในมุ้งสายบัวไม่ได้หรอกนะ…”

นัจมุนสรุปความแล้วก็หักหัวจักรยานวกไปอีกทาง หมายจะหลบเลี่ยงการปะทะเสีย…
เธอเกรงใจสายตาชาวบ้านแถวนี้…หากกลับไม่ได้รับความสะดวกเลย
เพราะทั้งสามเข้ามาขวางทางเอาไว้

“เก่งนี่…เข้าใจข้อกฎหมายซะด้วย…”

“กฎหมายไม่ได้มีให้คนบางจำพวกเรียนนี่…ใครๆก็ศึกษาได้อย่างอิสระ
คิดจะข่มขู่ประชาชนน่ะระวังโดนย้อนศรคืนไว้บ้าง…หลบ!”

หญิงสาวสั่งเสียงเข้ม เริ่มจะหมดความอดทนขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมองไปทางน้องชาย
แล้วยิ่งเป็นห่วง…และเหมือนไอ้สามคนนี้จะรู้ว่าอะไรคือจุดอ่อนของเธอ…
มันเลยจับตัวน้องชายเธอเอาไว้…เท่านั้นแหล่ะความอดทนของนัจมุนก็ขาดผึง

กร่างในชุดได้ขนาดนี้แสดงว่าไม่ให้เกียรติชุดเลย…ถ้าเธอจะจัดการคนพวกนี้เสียบ้าง
มันคงไม่ผิด

“พี่นีล…” คนเป็นน้องที่ถูกไอ้ลูกน้องของไอ้พี่กุ้งนั้นจับไว้ดิ้นร้องเรียกพี่สาว
ส่วนผู้คนก็เหมือนจะเข้ามาห้อมล้อมมากขึ้น…ราวกับเข้ามามุงดูเขาถ่ายละครกัน…

“ปล่อยน้องชายฉัน!” หญิงสาวส่งเสียงคำรามทีเดียว…

“ไปกับพี่แล้วจะได้น้องคืน…ตามมาสิจ๊ะน้องนีลคนเก่ง…
ทั้งสวย ทั้งเก่ง ปากดีแบบนี้พี่ชอบ…” ว่าแล้วก็ลากน้องชายเธอไปต่อหน้าต่อตา

นัจมุนเลยก้าวอาดๆตามไปพร้อมกับตวัดเตะกลางอากาศเข้าตรงก้านคอไอ้พี่กุ้งนั่น
โดยไม่มีการเตือน…ทำเอาร่างใหญ่ลงไปนอนวัดพื้น มองหญิงสาวที่ล้มเขาทั้งยืน
ซึ่งตอนนี้ยืนตั้งการ์ดพร้อมสู้ยิบตาทีเดียว

…ยัยน้องนีลเปลี่ยนไป ไม่เห็นหงอเหมือนตอนเด็กๆเลย…

“โห…” เสียงลูกน้องทั้งสองของไอ้พี่กุ้งเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตัวเอง

และเพียงไม่นาน หมัด เข่า ศอกก็เข้าประจันบานกับคนที่กำลังหิ้วปีกน้องชายของเธออยู่…

คนที่ลงพุงจนจะวิ่งหรือขยับลำบากเลยลงไปนอนกลิ้งเหมือนลูกขนุน
ที่เพิ่งร่วงตกลงมาจากต้นเพราะเสียเปรียบรูปร่างปราดเปรียวที่เคลื่อนไหวได้ว่องไว
แถมยังหลบเก่งเป็นที่หนึ่ง…

ภาพที่ผู้คนเห็นผู้หญิงร่างบางติดไปทางผอมแห้งหนึ่งคนกำลังปะทะ
กับผู้ชายร่างใหญ่ติดไปทางอ้วนกลมสามคนทำเอาถึงกับส่ายหน้า

มีหลายคนที่รอเข้าไปช่วยหากหญิงสาวเพลี้ยงพล้ำด้วยซ้ำ
แต่พอเห็นว่าเธอสามารถพาตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์นั้นออกมาได้อย่างปลอดภัย
ไร้รอยขีดข่วนก็อดออกปากชื่นชมไม่ได้

เพราะใครๆแถวนี้ต่างก็รู้ว่าสามคนซึ่งเป็นคู่กรณีของหญิงสาวนั้นกร่างคับหมู่บ้าน
ชอบข่มขู่สารพัด ชาวบ้านที่ไม่ค่อยได้ศึกษากฎหมายหรือรู้เพียงฉาบฉวย
ก็มักโดนเอาเปรียบอยู่ร่ำไป…

“เก่งจริงๆนังหนู…” เสียงคุณลุงที่ขายโอเลี้ยงเอ่ยปากชมนัจมุน
หลังจากที่เธอจูงมือน้องกลับมายังจักรยานได้แล้ว…

หากก็ยังไม่วายมีเสียงของคนที่มีนิสัยขี้แพ้ชวนตีมาแต่ไหนแต่ไรตามมาอีกว่า

“ฉันจะเอาเรื่องเธอให้ถึงที่สุด…ข้อหาทำร้ายเจ้าพนักงาน…” นัจมุนกระตุกมุมปาก

“เอาเลย…บอกไว้ก่อนนะว่าฉันจะส่งเรื่องนี้ไปยังศาลปกครอง…
เผลอๆอาจมีคนโดนพักงาน หรือโดนโยกย้ายแล้วถ้าร้ายแรงหน่อย
ก็อาจโดนปลดจากตำแหน่งก็ได้…ใครจะไปรู้…อยากจะเอาตำแหน่งไปเสี่ยงก็เชิญ…”

คนฟังถึงกับกลืนน้ำลายเฮือกๆทีเดียว…หน้าเริ่มซีดลงเรื่อยๆ

“อย่าคิดว่าจะใช้อำนาจและตำแหน่งข่มเหงใครก็ได้โดยไม่เกรง
เพราะไอ้แบบนี้น่ะ…จบไม่สวยมาหลายรายแล้ว…จะวัดกันก็ได้…
เพราะหูตาประชาชนเป็นร้อย เขาเป็นพยานให้ฉันได้หมดแหล่ะ…”

“ยายคนนึงขอเป็นพยานให้เอ็ง…” เสียงนั้นดังมาจากหญิงชราที่หูตาฟ่าฟาง
หากก็ยังขอเป็นพยานอยู่ข้างเธอ…เสียงอื่นๆเลยเออออตามกันมาเป็นแถว…

ทำเอาคู่กรณีของเธอกัดฟันชี้หน้าเธอแล้วเดินกลับไปยังรถประจำตำแหน่ง
ก่อนจะขับออกไปทันที…

“มันเบ่งมานานละ…สะใจจริงๆที่วันนี้มีคนถีบมันลงจากจอมปลวกที่มันยืนเบ่งมาตลอด
ได้สักที…” เจ้าของร้านข้าวหมกไก่เอ่ยขึ้นอย่างสาแก่ใจตน

“ใครก็ไม่กล้าทำไรมันหรอก…เพราะมันน่ะเส้นใหญ่ ใครๆเขารู้กัน
เอ็งน่ะต้องระวังๆมันไว้บ้างนะ…” เสียงเตือนดังมาจากคุณปู่เจ้าของร้านขายของชำ…

“พี่สาวเก่งจริง…ท่าตวัดเตะกลางอากาศน่ะสุดๆ สอนผมมั่งดิ…ผมอยากทำได้มั่ง…”

เด็กวัยเดียวกันกับน้องชายของเธอเอ่ยขึ้น

“ไปที่บ้านพี่สิ เดี๋ยวสอนให้…” นัจมุนบอกอย่างใจป้ำ ไม่คิดหวงวิชาและความสามารถ

“จริงนะ…”

“จริงซี…”

“งั้นเอาเพื่อนไปด้วยได้มั้ย…”

“ได้…เอามาเป็นสิบก็ได้ บ้านพี่มีต้นกล้วยเยอะ…”

ชักเริ่มเห็นงานใหม่ในอนาคตรำไรขึ้นมาแล้วสิเรา…แต่จะยาไส้ได้รึเปล่านั่นก็อีกเรื่องนึง

“ได้ๆ…พวกผมจะไป…ว่าแต่บ้านพี่สาวอยู่ที่ไหน…” นัจมุนเลยบอกทางไปบ้าน
ให้เจ้าเด็กชายที่เหมือนจะมีความตั้งใจอยู่ไม่น้อย…

“ค่ายมวยที่นี่อยู่ไกลจะตาย บ้านพี่สาวอยู่ใกล้แค่นี้ พวกเราปั่นจักรยานไป
ไม่กี่นาทีก็ถึง…” พูดแล้วหันไปพยักพเยิดกับเพื่อนๆอีกสองคน

“ว่าแต่เรียนฟรีหรือว่าเสียตังค์…” ไม่วายถามไถ่ ทำเอานัจมุนยิ้มกว้าง

“พ่อแม่ผมน่ะจนนะพี่…ไม่มีตังค์ให้ผมเรียนอย่างอื่นหรอก…
เรียนได้เฉพาะในเขตรั้วโรงเรียนเท่านั้นแหล่ะ…”

“ฟรี…” นัจมุนตอบสั้นๆได้ใจความ ทำให้ได้ยินเสียงโลดเต้นดีใจ
จากเจ้าเด็กชายสามคนนั้นทันที

“นี่พี่นีลจะเอาจริงรึ…” คนเป็นน้องกระซิบถามเมื่อเห็นพี่สาวรับปากพวกนั้นเอาไว้

“จริงสิ…พี่พูดคำไหนก็คำนั้น…”

“ก็ดี…หมอกก็อยากเรียนเหมือนกัน…พวกนั้นก็ดูน่าคบอยู่…”

ว่าแล้วก็หันไปยิ้มผูกไมตรีกับพวกเด็กผู้ชายสามคนนั้นทันที…จึงได้ยิ้มตอบกลับมา…

“กลับกันเถอะ…พี่อยากอาบน้ำ…เหนื่อยด้วย…ไม่ได้ออกกำลังกายซะนาน
กระดูกกระเดี้ยวพี่จะหักรึเปล่าก็ไม่รู้สิเนี่ย” คนเป็นน้องมองพี่สาวแล้วได้แต่ยิ้มขัน

“ก็เล่นล้มหมูสามตัวลงไปกินดินแทนรำได้แบบนั้น…ไม่เหนื่อยก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว…
แต่สุดยอดจริงๆนะ…ขอบอก…” ว่าพลางยกนิ้วโป้งให้พ่ีสาวไปสองโป้งใหญ่ๆ

"งานนี้พี่นีลต้องกินนมเสริมกระดูกเยอะๆนะ..."

"เดี๋ยวเถอะ...มาหาว่าพี่กระดูดพรุนอีกล่ะสิ..."

“ใครว่า...พี่นีลกระดูกทนทานออก...อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิทยายุทธให้พี่คงดีใจ…
แต่แม่หมอกคงเสียใจ เพราะคงไม่มีใครเขากล้าเอาพี่ลงมาจากคานแน่ๆ…”

ยิ้มกว้างๆของนัจมุนในตอนแรกพลันหุบฉับก่อนจะหันไปสับน้องชายว่า

“ช่างแม่เราสิ…ถ้าลงไปแล้วเจอแต่แบบนี้นะ อยู่มันบนคานสราญรมย์
ให้สุขใจต่อไปดีกว่า…พี่ไม่เห็นจะเดือดร้อน เห็นแต่คนอื่นเดือดเนื้อร้อนใจแทนกันทั้งนั้น…
ไม่รู้ทำไม…”

“ว่าแต่ทำไมไม่ใช้กรรไกรนั่น…อย่างนี้เขาเรียกว่าแค่ขู่…”

“เฮอะ…ไม่อยากให้กรรไกรเปื้อนเลือดพวกนั้นหรอก…” บอกเสร็จ
ก็เริ่มปั่นจักรยานกลับบ้าน ระหว่างทางเจอคนทักทายไม่ขาดสาย
ข่าวเธอคงเริ่มกระจายออกไปเรื่อยๆอีกแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย…





ตกดึกคืนนั้นเลยได้เรื่อง บ้านเธอโดนบุกรุกในยามวิกาล

นัจมุนที่ประสาทไวเพราะต้องเร่ร่อนพเนจรอยู่มั่วไม่ค่อยเป็นที่มาแทบทั้งชีวิต
จนแทบเรียกที่ใดว่า ‘บ้าน’ ไม่ได้เลยมีสัญญาณนิรภัยที่ค่อนข้างไวกว่าคนปกติทั่วไป…

หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปหาน้องชาย สะกิดเบาๆให้ตื่นก่อนจะปิดปากน้องไว้
กระซิบบอกเบาๆ

“เราโดนจู่โจม…หาทางลงจากบ้านเร็ว…” บอกเสร็จก็กระชับเสื้อผ้า
พร้อมด้วยอาวุธประจำกาย ซึ่งนั่นก็คือปืน…

สองพี่น้องย่องไปยังด้านหลังของบ้าน…เมื่อได้ยินเสียงก่อกแก่กตรงประตู
เพียงไม่นานประตูก็ถูกเปิดผาง…พร้อมคนสี่ห้าคนบุกเข้ามา…

นัจมุนบอกให้น้องปีนต้นมะม่วงหลังบ้านที่ยื่นกิ่งมาเพื่อลงจากเรือน
ส่วนตนนั้นยืนส่องปืนเป็นการ์ดป้องกันระวังหลังให้น้อง…

แต่พอเท้าน้องชายแตะพื้นดินก็พบว่ามีคนรอรับอยู่ด้านล่างเรียบร้อยแล้ว…
และคนๆนั้นก็ข่มขู่เธอเสียงดังโดยยึดเอาน้องชายเธอเป็นตัวประกัน…

นัจมุนรู้สึกใจหายวาบ นึกถึงบิดากับมารดาของน้องชายขึ้นมา
ถ้าท่านรู้ว่าเธอเอาน้องมาพบกับอะไรแบบนี้ ท่านคงโกรธและไม่พอใจเธอไม่น้อยแน่…

หากตอนนี้ สิ่งสำคัญคือเธอต้องช่วยน้องให้รอดก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

พอคิดได้ดังนั้น สิ่งที่หญิงสาวนึกขึ้นได้คือการส่งสัญญาณให้บ้านผู้ดีใหม่
รับรู้ว่าบ้านผู้ดีเก่าอย่างเธอกำลังเดือดร้อน

อย่างน้อยลุงคนนั้นก็ใจดีให้มะม่วงมา คงไม่ใจดำถึงกับไม่ช่วยเธอกับน้องหรอก…

หญิงสาวจึงยิงปืนสามนัดติดๆกันไปยังผู้บุกรุก ถ้าโดนพวกมันก็ถือว่ามันเดินมา
เข้าทางปืนเอง ช่วยไม่ได้

“อยากให้น้องไส้แตกรึไงฮึ…วางปืนลงแล้วยอมฉันซะดีๆ”

เสียงนั้นไม่ต้องบอกว่าเสียงใคร ไอ้ศัตรูเก่าที่เธอเพิ่งล้มไปเมื่อเช้านั่นเอง…
มันคงกะจะมาเอาคืน…นัจมุนเลยยอมทำตามมัน

ลึกลงไปหวังให้คนบ้านนั้นเข้ามาช่วย…เพราะละแวกใกล้ๆนี้
มีบ้านเธอและบ้านเขานี่แหล่ะ ส่วนบ้านหลังอื่นอยู่ห่างออกไปเกือบครึ่งกิโลเมตร…

ดึกขนาดนี้ผู้คนคงนอนหลับกันหมดหมู่บ้านแล้ว
เพราะที่นี่ไม่ได้มีแสงสีหรือแสงไฟให้เหล่าแมลงเม่าบินท่องราตรี

“แกต้องการอะไร…”

“ตัวเธอไงล่ะ…ซ่านักนี่…อยากรู้นักว่าเวลาโดนจับปล้ำเธอจะยังซ่าได้อีกรึเปล่า…”

นัจมุนกลืนน้ำลายลงคอเฮือกๆ…

“จับยัยตัวแสบนี่มัดมือไพล่หลังเดี๋ยวนี้…” อันธพาลร้ายในอดีตหวนกลับ
มาเอาคืนเธอถึงเรือน แถมยังสั่งให้ลูกน้องจัดการมัดมือมัดเท้าเธอ
แล้วนำตัวไปยัดไว้ในห้องนอนก่อนจะนำน้องชายเธอขึ้นเรือนตามมา

“ปล่อยน้องฉันไป…แล้วจะทำอะไรกับฉันก็เชิญ…” หญิงสาวบอกออกไป
ด้วยน้ำเสียงและแววตาไร้ซึ่งความหวาดหวั่น…

ใช่ว่านี่คือเหตุการณ์ร้ายในชีวิตครั้งแรกที่เธอต้องเผชิญหน้าเสียเมื่อไหร่กัน…
หวังเพียงว่าคราวนี้เธอจะเอาตัวรอดได้อย่างที่ผ่านมา…

“พี่ไม่ทำอะไรน้องเธอหรอกน้องนีล…ถ้าเธอไม่ขัดขืนและมอบความสุขให้พี่ดีๆ…”

ว่าพลางจับคางหญิงสาวแล้วเชิดขึ้น

“สวยถูกใจที่สุด…ยิ่งโตยิ่งสวย…” แล้วก้มลงสูดดมกลิ่นสาบสาวตรงลำคอของเธอ
ทว่าไม่ทันได้โดนเนื้อนางอย่างที่หวังเพราะหญิงสาวเบี่ยงหลบได้ทันท่วงที
ราวกับรู้เชิงเป็นอย่างดี…

“ยิ่งหอม…หอมจริงๆ…” หน้าตาเหมือนขนมปังขึ้นรายื่นเข้ามาหาเธออีกครั้ง
คราวนี้หมายจะฉกริมฝีปากของเธอ ทว่านัจมุนใช้หน้าผากของตนกระแทกเข้ากับ
สันจมูกของอีกฝ่ายทำเอาคนโดนจู่โจมถึงกับร้องครางซ้ำยังมึนงงไปพักใหญ่
ยกมือขึ้นกุมดั้งจมูกเอาไว้มั่น มองนัจมุนอย่างแค้นเคือง

“แสบนักนะ…อยากเห็นน้องเจ็บตัวใช่มั้ย…”

นัจมุนมารู้สึกเสียใจเอาก็ตอนที่พวกนั้นตบหน้าน้องชายของเธอเข้าเต็มหน้า
ทำไมมันไม่มาตบเธอ ไปตบหน้าน้องเธอทำไม…

เธอไม่น่าเอาน้องมาลำบากด้วยเลยจริงๆ…

หญิงสาวดิ้นรนไปมาอย่างไม่อาจทนมองภาพใบหน้าน้องชายที่เลือดกลบปากได้…

“พี่นีลไม่ต้องห่วงหมอก…หมอกเป็นลูกผู้ชาย ไม่รังแกคนไม่มีทางสู้อย่างพวกหมาหมู่…”

แล้วปากนั้นก็โดนพวกมันฟาดด้วยหลังมือไปเต็มๆอีกครั้ง…

“ปากดีทั้งพี่ทั้งน้อง…”

“บอกว่าให้ปล่อยน้องฉันไป…ปล่อยเขาไปเดี๋ยวนี้…ฉันยอม…ยอมแล้ว”

นัจมุนยอมทุกอย่าง ขอให้น้องปลอดภัย…ขอแค่นั้น

“เรื่องอะไรจะปล่อยน้องเธอไป ในเมื่อยังไงๆเธอก็ต้องยอมพี่อยู่ดี
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง…” แล้วเขาก็สาวเท้าก้าวมาหาเธออีกครั้ง
มือยังคงจับสันจมูกเอาไว้อยู่

“หรือว่า…จะปล้ำพี่ต่อหน้าน้องมันดีวะพวกเรา…”

“ไอ้สารเลว!” นัจมุนผรุสวาทออกไปด้วยใจที่เจ็บแค้นกับแผนการของพวกมัน…
อย่าให้เธอรอดไปได้ก็แล้วกัน…

“น่าสนุกนะลูกพี่…ว่าแต่ลูกพี่จะแบ่งให้พวกเราได้เวียนเทียนจริงๆอ่ะ…”

คนพูดหันมามองเธอด้วยสีหน้าแววตากระเหี้ยนกระหือรือ…

“นางฟ้านางสวรรค์มาเยือนทั้งที…ผลัดกันชมจะเป็นไรไป…” นัจมุนกัดฟันกรอด
สายตาก็พยายามมองหาตัวช่วย

“ข้าไม่ใช่คนงก แต่ข้าขอเป็นคนแรกนะโว้ย…” พูดจบมันคุกเข่ายองๆลงตรงหน้าเธอ
แสยะยิ้มอย่างน่าเกลียดที่สุด

ผู้ชายก็แบบนี้…เห็นผู้หญิงเป็นแค่เครื่องบำบัดความใคร่…กี่ครั้งแล้วที่ชีวิตเธอ
ต้องมาเผชิญกับความโหดร้ายของอารมณ์คนจิตเสื่อมแบบนี้ โชคดีว่ารอดมาได้…

ไม่อยากจะคิดว่าคนที่ต้องตกเป็นเหยื่อคนพวกนี้จะตกอยู่ในสภาพใด

นั่นก็เป็นเหตุผลหลักที่เธอเกลียดเพศตรงข้ามยิ่งนัก…
เพราะมักง่ายแบบนี้เห็นแก่ตัวแบบนี้นี่ไง…ที่ดีๆมันมีน้อยจนหาดูได้ยาก
ส่วนที่เจอมาก็แบบนี้แทบทั้งนั้น...คานจึงเป็นที่สถิตของเธอโดยไม่คิดจะลงไป

“ผมสวยดีนี่…ไม่คิดว่าพอเอาไอ้ผ้าคลุมหัวน่าเกลียดนั่นออกแล้ว จะสวยหยดขนาดนี้…
เป็นของพี่นะคนดี…พี่รอน้องนีลมานานแล้ว รอว่าเมื่อไหร่น้องนีลคนสวยของพ่ีจะกลับมา…”

“อย่านะไอ้พวกเลว…” เสียงของน้องชายตวาดลั่นบ้าน

“ถ้าแกทำอะไรพี่ฉัน…ฉันจะให้พ่อกับพี่ชายฉันจับพวกแกตอนให้หมดคอยดู…”


“ฮึ…อย่างกับว่าจะมีวันนั้น…คิดหรือว่าคนอย่างฉันจะปล่อยให้รอดออกไป…
พี่สาวแกน่ะจะได้เป็นนางบำเรอให้ฉันและไอ้พวกนี้ไปอีกนานแสนนาน…
ส่วนแกฉันก็จะส่งไปขายตรงชายแดน ไม่มีใครเขาจะจำสภาพแกได้หรอกไอ้เด็กเวร…”

เสียงนั้นเหี้ยมเกรียมจนนัจมุนแทบไม่อยากจะคิดว่าคนตรงหน้าเธอจะเลวได้ขนาดนี้…

“ปล่อยน้องฉันไปเถอะ…ฉันขอร้องล่ะ…” นัจมุนอ้อนวอนคนตรงหน้า หวังให้เขาเห็นใจ…

“ไม่…ของดีขนาดนี้ใครจะปล่อยให้โง่…” ว่าพลางยกมือขึ้นหมายจะลูบแก้มใสของนัจมุน
ทว่าหญิงสาวบ่ายหน้าหนีกระถดร่างไปจนติดกับผนังห้อง

“จะหนีไปไหน…” มือสากๆคว้าข้อเท้าเธอที่โดนมัดแล้วกระตุกแรง
จนร่างของนัจมุนโดนกระชากจนนอนราบลงกับพื้นห้อง ร่างใหญ่จึงขึ้นคร่อม…

คนเป็นน้องเห็นพี่สาวกำลังเพลี้ยงพล้ำเลยใช้เท้าเตะต่อยพวกนั้นที่จับเขาตรึงไว้
ไม่ให้ไปไหนพัลวัน ตะโกนร้องลั่น

“ปล่อยพี่สาวฉันนะ…ปล่อย…”

“ปล่อยพวกเขาเดี๋ยวนี้!” เสียงก้องกังวานดังแทรกแหวกเข้ามา
ทำเอาร่างที่กำลังโน้มใบหน้าเข้าหานัจมุนถึงกับสะดุ้งหันไปมอง
ก็พบกับชายชุดดำหลายคนที่เข้าประชิดตัวลูกน้องของเขาเอาไว้
แถมยังจัดการจนสลบลงไปกองกับพื้นห้องโดยปราศจากเสียง...ทุกอย่างเงียบเชียบ

“ไอ้ก้อ…นี่มึงใช่มั้ย…” เสียงนั้นดังขึ้นอย่างตระหนกตกใจ
เมื่อเห็นว่าใครเป็นเจ้าของเสียงอันทรงพลังเมื่อครู่

ทำไมเขาจะจำไอ้แววตาแบบนี้ไม่ได้ แล้วไอ้รอยแผลเป็นที่ปลายคิ้ว
ที่เขาเคยฝากไว้บนหน้ามันอีก

“ยังเลวไม่เคยเปลี่ยน…” เสียงนั้นตอกย้ำพร้อมกับก้าวพรวดเดียวก็ถึงตัว
คนที่กำลังจะรังแกผู้หญิงที่ถูกมัดมือมัดเท้้า ไร้ทางสู้

“หน้าตัวเมียจริงๆ…เวลาผ่านไปต้ังยี่สิบกว่าปีมึงมีปัญญาทำได้แค่นี้เองหรือไอ้กุ้ง…”

ว่าพลางกระชากร่างนั้นเหวี่ยงให้พ้นจากนัจมุน
แล้วซัดหมัดลงไปสามหมัดซ้อนกันจนอีกฝ่ายปากแตก เลือดไหลออกท้ั้งจมูกและปาก…

ก่อนจะปล่อยหมัดฮุกเข้าที่หน้าท้องโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างใหญ่ติดไปทางอ้วนทรุดลงกับพื้นไปนอนครวญครางอย่างน่าสมเพช…

“ช่วยเอาพวกมันไปมัดรวมกันที่ใต้ต้นโศก…” ชายหนุ่มสั่งลูกน้องทันที

และ ‘ต้นโศก’ ที่ว่าคือต้นไม้ที่อยู่ติดริมลำธารทางฝั่งที่ติดกับหลังบ้าน
ที่เขาพักอาศัยอยู่ในขณะนี้

“ครับเชค…” รับคำแล้วรีบจัดการตามคำบัญชาทันที

และเพียงไม่นานบ้านทั้งบ้านจึงเหลือแค่เขา นัจมุนและน้องชายของเธอ

“พี่ชายเก่งจัง…” เสียงเด็กชายเอ่ยขึ้นในขณะท่ีเข้าไปประคองพี่สาว
ให้ลุกขึ้นพร้อมกับแกะเชือกที่มัดให้

“เอามือไปแหย่รูงู งูมันก็แว้งกัดเอาก็เท่านั้น…เวลาตีงูใครเขาตีให้หลังหัก…
ถ้าจะตีก็ต้องตีให้ตาย…แต่ถ้าใจไม่กล้าพอจะฆ่าก็อย่าไปต่อกรกับมัน…
หนีได้ก็หนี…เลี่ยงได้ก็เลี่ยง”

เขาบอกแกมสอนสั่งด้วยน้ำเสียงที่เรียบสนิทโดยไม่ได้มองมาทางทั้งสอง…
เพราะสายตาของเขาทอดมองไปยังนอกหน้าต่างที่ภายนอกยังมืดสนิท

“ขอบคุณครับ…ถ้าไม่ได้พี่…พี่นีลแย่แน่ๆ…” พูดแล้วก็สูดปากด้วยความเจ็บ

“เราน่ะสิที่จะแย่…” นัจมุนมองใบหน้าแดงช้ำของน้องชายแล้วให้สงสาร
ก่อนจะยกมือที่เป็นอิสระแล้วแตะตรงมุมปากนั้นเบาๆ

“เจ็บมากมั้ย…”

“นิดหน่อย ไกลหัวใจ ไม่ต้องห่วงหรอกพี่นีล หมอกน่ะลูกผู้ชายพันธุ์แท้”
เสียงนั้นสดใส ดวงตาเป็นประกายทีเดียว

“ว่าแต่มันทำอะไรพี่นีลรึเปล่า…”

“ยัง…ถ้ามันกล้าพี่จะกัดลิ้นมันให้ขาด หูมันด้วย…” หญิงสาวประกาศเสียงกร้าวทีเดียว
เธอกะเอาไว้แล้วว่าถ้ามันกล้าล้วงล้ำอธิปไตยของเธอ เธอกะจะทำดังที่พูดจริงๆ
และจะไม่ปรานีแม้แต่นิดเดียวด้วย

แล้วเมื่อเห็นว่าอีกคนท่ียืนสงบกำลังจะปลีกตัวออกไป นัจมุนก็รีบลุกขึ้น
เดินเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจ เมื่อรู้ว่าเขาคือพี่ก้อของเธอ

“พี่ก้อ…” นัจมุนเรียกเขาที่กำลังจะพ้นประตูบ้านของเธอไป
ทำให้ฝีเท้านั้นหยุดลง…ทว่าร่างนั้นยังคงหันหลังให้เธออยู่เช่นเดิม

“คุณคือ…พี่ก้อของนีลจริงๆใช่มั้ยคะ…” น้ำเสียงที่เหมือนจะแน่ใจระคนไม่แน่ใจ
เอ่ยถามออกไปด้วยความสับสน หากลึกลงไปคิดว่าใช่เขาแน่ๆ ขนาดไอ้พี่กุ้งยังคิดว่าใช่…
เธอจำรอยแผลเป็นตอนได้เห็นเต็มๆตาเมื่อครู่ได้แม่นยำนัก

“พี่ก้อของเธอ?” เขาหันมาพร้อมกับเลิกคิ้วถามแถมด้วยรอยยิ้มเหยียดๆ
ทำเอานัจมุนถึงกับรู้สึกหน้าชา หัวใจปวดหนึบอย่างหาสาเหตุไม่ได้

“เอ่อ…เอ่อ…” หญิงสาวเริ่มติดอ่างเพราะเหมือนจะหาคำพูดใดๆไม่ได้ขึ้นมา

“กลับที่ของเธอไปซะ ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับเธออีกแล้ว…”

พูดจบเขาก็หันหลังให้กับเธอก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่เหมือนกระชากจิตวิญญาณ
และความทรงจำดีๆท้ังหมดของนัจมุนแล้วขยี้มันจนแทบไม่เหลือชิ้นดีว่า

“ฉันไม่ใช่ของใคร…และเราไม่ได้เป็นญาติกัน…ไม่เคย…”

นัจมุนน้ำตาคลอเบ้ายามเมื่อมองแผ่นหลังของคนที่เดินจากเธอไป…

ภาพเด็กชายกอมารุนในวันวานซ้อนทับภาพของเขาในยามนี้…
ภาพที่เธอกำลังฟูมฟายร้องเรียกให้เขาหันกลับมามองเธอ…กลับมาหาเธอ…
หากไม่มีเลยที่เขาจะเห็นใจ…

เขาจากเธอไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามองเธอ…หายไปจากชีวิตเธอ
โดยไม่มีข่าวคราว…ไม่มีเลย…และคำพูดล่าสุดของเขาราวกับจะตอกย้ำว่า…

เธอไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว…ไม่ได้เป็นอะไรสำหรับเขา…
ไม่เคยเป็น!!!

และมันส่งผลให้คนที่เหมือนจะไม่ได้เป็นที่ต้องการสำหรับใครสักเท่าไหร่ถึงกับตัวสั่น
หนาวจับขั้วหัวใจขึ้นมา

เขาจำเธอได้…แต่จะมีความหมายอะไรในเมื่อเธอไม่เคยเป็นคนสำคัญสำหรับเขาเลย…
แม้แต่ความเป็นพี่น้องเขาก็ไม่อยากเอาเธอไปนับด้วย

“พี่นีลเป็นอะไร…” คนเป็นน้องกระตุกข้อมือพี่สาวที่ยืนนิ่งน้ำตาไหลลงอาบสองแก้ม

เขาไม่เคยเห็นพี่สาวร้องไห้เลยสักครั้ง แล้วนี่ทำไม…

“พี่นีลร้องไห้…ทำไม…” นัจมุนคุกเข่าลงแล้วรวบร่างน้องชายเข้ามากอดเอาไว้แน่น
ก่อนจะปล่อยโฮออกมาโดยปราศจากคำพูดใดๆ

คนเป็นน้องเลยทำได้แค่เพียงยกมือน้อยๆขึ้นลูบแผ่นหลังพี่สาว
ทำให้นัจมุนรู้ว่า…เธอยังมีน้องที่ต้องการเธอด้วยใจจริง…ไม่เหมือนคนอื่น
ที่มักมีอะไรเคลือบแคลงด้วยเสมอ…

“พรุ่งนี้พี่จะบอกให้พ่อมารับเรากลับกรุงเทพฯนะ…”
นัจมุนเอ่ยขึ้นเมื่อผละออกมาหลังจากน้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว

“แล้วพี่นีลล่ะ…”

“พี่จะอยู่ที่นี่…ที่นี่คือบ้านของพี่…” คนที่ยังหาสถานที่ที่เรียกว่า ‘บ้าน’ไม่ได้
พยายามจะทำให้ที่นี่เป็นบ้านของตนให้ได้…

“แต่มันไม่ปลอดภัยเลย…พวกนั้นมันต้องกลับมาหาเรื่องพี่อีกแน่…”

“พี่ไม่กลัว…ตายเป็นตาย…” เธอไม่อยากเร่ร่อนไปเรื่อยเหมือนคนเลื่อยลอยอีกแล้ว…
เธออยากปักหลักสักที…และที่นี่คือที่ที่เธอตั้งใจจะกลับมาลงหลักปักฐาน…

“พี่นีลตายไม่ได้นะ…” คนเป็นน้องมองพี่สาวอย่างเป็นห่วง นัจมุนเลย
จับหัวน้องชายโยกไปมาพร้อมรอยยิ้ม

“พี่ไม่ตายง่ายๆหรอกน่า…อย่าห่วงไปเลย…”

“ถ้าพี่นีลอยู่…หมอกก็จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าโรงเรียนจะเปิด…” นัจมุนส่ายหน้า

“ไม่ได้…เราต้องกลับ…พี่ไม่อยากให้เราต้องมาเดือดร้อน…ที่นี่ไม่ได้สะดวกสบาย
และดูเหมือนจะไม่ค่อยปลอดภัยแล้วด้วย…”

“พ่ีนีลรู้แล้ว…ทำไมยังจะอยู่อีก…”

“ก็เพราะ…ที่นี่คือที่ที่พี่เกิด…และเป็นที่ที่แม่พี่ตาย…พี่แค่อยากกลับมาอยู่กับแม่พี่…
แค่เงาก็ยังดี…” ทุกๆที่ในบ้านหลังนี้มีเงาของวันวานให้เธอได้สัมผัสอยู่ตลอดที่มาพัก…
เงาที่กาลเวลาไม่อาจพรากมันไปจากเธอได้…

“อีกอย่าง…พี่ก้อของพี่เขาก็ได้ตายที่นี่ไปตั้งนานแล้วเหมือนกัน…
พี่อยากอยู่เพื่อไว้อาลัยให้เขา…”

มีเพียงเธอที่ยังฝังใจกับวันวาน…ยังกอดกับเงาของพวกเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย…
ในขณะที่ไม่มีใครอยู่ตรงนี้อีกแล้ว…ไม่ว่าจะแม่หรือพี่ก้อ…

พวกเขาได้จากเธอไปอย่างไม่หวนกลับแล้วจริงๆ…

เขาไม่ผิด…ผิดที่เธอที่รู้แต่ลืมไม่ได้เอง

นาฬิกา สายน้ำ ไม่มีย้อนคืน…ฉันใดก็ฉันนั้น…

“พี่คนนั้นคือพี่ก้อของพี่นึลหรือ…” คนที่ได้ยินเรื่องเล่าของพี่ก้อจากปากของพี่สาว
มาเนิ่นนานถึงกับถามออกมา เพราะเมื่อครู่ได้ยินอย่างชัดเจน
ว่าพ่ีสาวเรียกพี่คนที่มาช่วยเขากับพี่สาวว่าอย่างไร…นัจมุนส่ายหน้า

“ไม่…ไม่ใช่…เขาก็แค่…คนแปลกหน้า…”

“งั้นเรากลับไปหาคนหน้าแปลกเถอะนะ…นะพี่นีล…”
นัจมุนยิ้มบางเมื่อรู้ว่าน้องชายหมายถึงใคร…

“พี่มันมะม่วง…ส่วนเขามันอะโวคาโด…แม้จะมีบางอย่างคล้ายๆกันอยู่บ้าง…
แต่ว่าอยู่ร่วมต้นกันไม่ได้…ชอบดินและอากาศไม่เหมือนกันด้วย…
ถึงจะเอามาปลูกใกล้ๆกันได้มันก็จะเป็นการฝืนธรรมชาติเดิม”

คนเป็นน้องได้ยินแล้วก็งง หากก็ไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมาได้…
ลองพี่สาวของเขาตัดสินใจแล้วแบบนี้ คงยากจะเปลี่ยนใจ…





...........โปรดติดตามตอนต่อไป...............

เอามาเสริฟต่อให้กันจ่ะ...ตอนนี้จะยาวกว่าตอนปกติ...
ตาลายไปบ้าง ขออภัยด้วยนะคะ

เรื่องนี้จะมาเรื่อยๆแล้วค่อยๆเพิ่่มระดับอุณหภูมิขึ้นเรื่อยๆ...

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามมากๆค่ะ...
ขอบคุณไลค์ที่กดให้ และขอบคุณสำหรับความเห็นทุกๆความเห็นด้วยค่ะ




.......ตอบเมนท์.........

1.คุณyapapaya...เอาสองพี่น้องมาฝากค่ะ...พระเอกเต่าเรื่องนี้ไม่ค่อย
โรแมนติกค่ะ...หาความหวานยากมาก...ขาดอารมณ์สุนทรีย์ว่างั้นค่ะ อิอิ
ตอนนี้นีลยังไม่ทันได้ลับฝีปากก็โดนสะกัดดาวจนร่วงหล่นจมโคลนซะแล้ว
ต้องมาดูตอนหน้าค่ะ...น่าจะได้ฉะกันแน่ๆ

2.คุณปรางขวัญ...นั่นน่ะสิคะ...บ้านผู้ดีเก่าอยู่แถวไหนน้า...อิอิ
งานนี้ไม่ต้องสงสัยแล้วค่ะ ตอนหน้าก็เฉลยแล้วค่ะว่าลุงคนสวนนั้นน่ะแท้จริงแล้ว
ก็ไม่แคล้ว....อิอิ

3.คุณตุ๊งแช่...เสียใจกับเจ้าโต้งด้วยนะคะ...หวังว่าจะได้โต้งตัวใหม่ในเร็ววัน
ตอนโยเด็กๆ แมวที่รักโดนรถทับแบนติดถนน ร้องเลย เสียใจสุดๆ
นอนร้องไห้ไปหลายวัน จนบอกกับตัวเองว่าจะไม่เลี้ยงแมวอีกแล้ว...
แต่สุดท้ายพอได้เจอแมวจรจัดก็อดเอามาเลี้ยงไม่ได้อยู่ดี แล้วมันก็ตายในสภาพ
ที่ไม่ได้แตกต่างจากตัวก่อน คือรถทับอีก เพราะบ้านเต่าอยู่ติดถนน...
รถผ่านไปมาตลอด...แมวมันก็ชอบข้ามถนน สอนไม่รู้จักจำ...เลยโดนดีจนได้
หลังๆมาปลงค่ะ...ปลงได้ แต่ก็ยังเศร้าอยู่ดีเวลามันตาย...

สัตว์มันอายุขัยน้อยกว่าคน ถ้าเราเลี้ยงมัน เราไม่ตายจากมันมันก็ต้องตายเรา
ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งเห็นความตายมากขึ้น...เหอๆ

4.คุณแว่นใส...เอาน้องหมอกมาให้อีกแล้วน้าาาาา ^^

5.คุณจ๊ะจ๋า...ใช่ค่ะใช่...คุณจ๊ะจ๋าเข้าใจถูกแล้วค่ะ...^^
เพียงแต่โยยังไม่ได้ใส่รายละเอียดลงไปมากนัก กะว่าจะค่อยๆแย้มไปเรื่อยๆ
เรื่องนี้น่าจะเป็นอีกเรื่องที่ค่อนข้างบีบอารมณ์ (อีกเรื่อง)ค่ะ ^^




.......ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงถ้วนหน้านะคะ.......


"เต่าโย"






yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2558, 02:28:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2558, 02:28:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 2230





<< ต้นที่ 5 บ้านผู้ดีเก่า   ต้นที่ 7 กาฝาก >>
yapapaya 16 พ.ค. 2558, 06:56:06 น.
แหย่รูงู งูกัดตอบ พี่ก้อมาช่วยตีงูให้อย่างไว


ตุ๊งแช่ 16 พ.ค. 2558, 09:23:05 น.
น้องชายนีล นี่อายุเท่าไหร่ จำไม่ได้แล้ว...

นีลจะอยู่รอดปลอดภัยไหมนี่....พี่ก้อจะไม่เหลียวแลจริงรึ..

ขอบคุณค่ะ สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม แต่เคือง หมามันกวน ตัวอื่นๆ ไม่เคยเอาซากมาให้เห็น แต่ๆๆ เจ้าโต้ง มันคาบหัวกับปีกมาทิ้งข้างบ้าน เลยถึงได้รู้ว่ามันตาย ..เลยปรี๊ดดด กันไปตามๆกัน

ตอนนี้ก็ประคบประหงม เจ้าพิทบลูใกล้ละสังขารแล้ว อยู่กันมาเข้าปีที่ 13 ตาฟ้าฟาง เดินตกสะพานบ้าง บันได บ้าง เข้าผิดกรงบ้าง เดินชนโน่นนี่ ...


แว่นใส 16 พ.ค. 2558, 14:24:54 น.
ใจร้ายมากนายก้อ


ปรางขวัญ 17 พ.ค. 2558, 00:19:48 น.
พี่ก้อจะทนดูนู๋นีลถูกรังแกได้เหรอ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account