บ่วงรักฝังแค้น
เมื่อความรักกลายเป็นความอาฆาตแค้น และตามจองเวรเขาและเธอไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ว่าภพชาติไหนจะขอตามจองล้างจองผลาญไม่ให้เหลือสิ้น ความรักและความแค้น
จากอดีตชาติติดตามเป็นเงาตามตัว เขาและเธอจะทำเช่นไรเพื่อหยุดความแค้นนี้ลงได้
Tags: บ่วง,รัก,ฝัง,แค้น

ตอน: ตอนที่ 11 เสียงเพรียกหา

ตอนที่ 11 เสียงเพรียกหา

ย้อนกลับไปวันที่ท่านหญิงมณีสิ้นพระชนม์

บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา

“ช่วยด้วย!ช่วยเราด้วย!”สุรเสียงของท่านหญิงมณี พยายามร้องเรียกให้คนช่วย พร้อมพยายามดันพระวรกาย และว่ายน้ำอย่างไม่รู้ทิศทางเพื่อให้ขึ้นมาเหนือน้ำให้เร็วที่สุด

ในขณะเดียวกันร่างของคุณหญิงบัว ที่จมน้ำลงพร้อมกับท่านหญิงมณี ค่อยๆดำน้ำเข้ามาใกล้ๆ ท่านหญิงมณีก่อนจะพุ่งตรงเข้าหาพระวรกายของท่านหญิงเพื่อยื้อแย่งบางสิ่งบางอย่างออกจากพระหัตถ์ของพระองค์และสิ่งที่เป็นเป้าหมายของคุณหญิงบัวคือ แหวนมณีนพเก้าที่ท่านชายบดินทร์ธรมอบให้กับท่านหญิงมณีนั้นเอง แต่ท่านหญิงมณีอยู่ในภาวะของคนที่กำลังตกใจและเสียขวัญจึงทำให้กอดรัดและคว้าตัวคุณหญิงบัวเป็นพัลวัล ทำให้คุณหญิงบัวไม่สามารถยื้อแย่งแหวนมณีนพเก้าจากท่านหญิงมณีมาได้

“นังนี่จะตายอยู่แล้ว ยังจะห่วงของอีกเหรอ แถมยังโผกอดรัดข้าพลอยจะทำให้ข้าตายไปด้วยกันกับมันเสียแล้ว ปล่อย! ปล่อยข้านังมณี!”คุณหญิงบัวกล่าวอย่างขัดเคืองใจก่อนจะตัดสินใจ รีบว่ายน้ำนำร่างของตนเองขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อสูดอากาศหายใจ โดยมีร่างของท่านหญิงมณีกอดรัดไม่ยอมปล่อยอยู่เช่นนั้น

และทันทีที่ขึ้นมาเหนือน้ำได้ คุณหญิงบัวที่อยู่ในภาวะแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เช่นกันเพราะผลจากการที่ถูกท่านหญิงมณีกอดรัดไม่ยอมปล่อย

“นังบ้า!กอดอยู่ได้ฉันไม่ยอมตายไปพร้อมกับแกหรอกนะ นังมณี!คนที่ตายคือแกไม่ใช่ฉัน!เลิกกอดฉันได้แล้ว!”คุณหญิงบัวตวาดออกมาอย่างสุดเสียง ท่ามกลางความโกลาหลกลางแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ในขณะนี้

คำกล่าวขอคุณหญิงบัวสร้างความตระหนกตกใจแก่ท่านหญิงมณีอย่างยิ่งยวด เมื่อทรงได้ยินคำกล่าวของพระสหายสนิทและกิริยาอาการที่แปรเปลี่ยนไปเหมือนไม่ใช่คุณหญิงบัวพระสหายสนิทของพระองค์คนเดิม

“ทำไมหญิงบัวจึงกล่าวเช่นนั้นออกมา บัวกับหญิงเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่เด็กนะ หญิงว่ายน้ำไม่เป็นบัวก็รู้”ท่านหญิงมณีรับสั่งกับพระสหายพลางคว้าร่างของท่านหญิงบัวเป็นที่พึ่งอยู่ตลอดเวลา

“เชิญแกละเมอเพ้อพกไปคนเดียวเถอะว่าฉันเป็นเพื่อน สำหรับฉันแล้วแกคือเพื่อนสารเลว! แกแย่งพี่ชายบดินทร์ธรไปจากฉัน ทั้งๆที่ฉันรักและพบพี่ชายบดินทร์ธรก่อนแก ฉันจะบอกอะไรให้แกรู้ก่อนตายนังมณี! ฉันกำลังตั้งท้องกับพี่ชายบดินทร์ธร และเพื่อพี่ชายจะได้รับผิดชอบฉันกับลูกในท้องของฉันได้ แกก็จะต้องตายเพื่อที่ฉันและพี่ชายจะได้อภิเษกสมรสโดยไร้ข้อกังขาใดๆทั้งสิ้นๆ รู้เอาไว้ซะด้วยว่าพี่ชายบดินทร์ธรกับฉันต้องการให้แกตายนังมณี!”

คำกล่าวของคุณหญิงบัวสร้างความตื่นตระหนกให้กับท่านหญิงมณีโฉมงามอย่างยิ่งยวด ไม่คาดคิดว่าชายคนรักและพระสหายสนิทจะร่วมมือกันลอบปลงพระชนม์พระองค์ได้ลงคอ

“ไม่จริง!พี่ชายบดินทร์ธรทรงไม่ทำเช่นนั้นเด็ดขาด ไม่เป็นความจริง ไม่จริง!หญิงไม่เชื่อ!”ท่านหญิงมณีรับสั่งตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง ก่อนจะสิ้นเสียงรับสั่งทันทีเมื่อคุณหญิงบัวตรงเข้าหาก่อนจะคว้าร่างของท่านหญิงมณีคล้ายทำทีเข้าช่วยเหลือ

“นังมณี!แกอย่าหวังว่าเลยจะได้พี่ชายบดินทร์ธรของฉันไป เพราะวันนี้เป็นวันตายของแก พี่ชายกับฉันจะได้หมดห่วงเรื่องของแกสักที ไปเป็นผีเฝ้าก้นแม่น้ำเจ้าพระยาเสียเถอะนังมณี!”คุณหญิงบัวกล่าวกับพระสหายสนิทด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียม ก่อนจะแสแสร้งจัดฉากเล่นละครครั้งสุดท้าย

“ช่วยด้วย!ช่วยพวกเราด้วย!ฉันไม่ไหวแล้ว...ช่วยท่านหญิงมณีด้วย...ช่วย....”สิ้นเสียงกล่าวของคุณหญิงบัว

คุณหญิงบัวที่ทำทีว่าเข้าช่วยเหลือท่านหญิงมณี ก็ใช้แรงกดร่างของท่านหญิงมณีและร่างของตัวเองจมดิ่งลงแม่น้ำเจ้าพระยาทันที คุณหญิงบัวว่ายน้ำและดำน้ำเก่งจึงสามารถกลั้นหายใจและอยู่ใต้น้ำได้นาน ไม่เหมือนท่านหญิงมณีที่ทรงว่ายน้ำไม่เป็น ร่างทั้งสองค่อยๆ จมดิ่งลงก้นแม่น้ำเจ้าพระยาไปอย่างช้าๆ จนพระวรกายของท่านหญิงมณีที่พยายามดิ้นรนจากการกอดรัดของคุณหญิงบัวค่อยๆสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด

ในขณะที่ท่านหญิงมณีใกล้สิ้นพระชนม์ ดวงจิตของพระองค์ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานขึ้นมาทันที

“ขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดรับดวงวิญญาณของลูกด้วย ลูกขออโหสิกรรมให้กับทุกๆ คน ที่ได้ก่อเวรกรรมกับลูก และขอให้ลูกจงลืมความรักจากท่านชายบดินทร์ธรให้หมดสิ้น เพื่อมิให้ได้รับความทุกข์และผิดหวังจากคนที่ลูกรักอีกต่อไปด้วยเทอญ”สิ้นคำอธิษฐานดวงจิตของท่านหญิงมณีดับวูบลงไปโดยพลัน

บัดนี้ท่านหญิงมณีทรงสิ้นพระชนม์เสียแล้ว ทรงจากไปด้วยพระชันษาเพียง 17 ชันษา และจากไปพร้อมกับความเข้าพระทัยผิดจากการกระทำของบุคคลที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นพระสหายสนิทและชายคนรักที่พระองค์รักยิ่งในชีวิต แต่ถึงกระนั้นก่อนสิ้นพระชนม์ก็ไร้สิ้นความอาฆาตพยาบาทจองเวรผู้ที่กระทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์แต่อย่างใด และกรรมของผู้กระทำไม่ต้องรอจนไปถึงชาติหน้าแต่มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันตาเห็นทันที

ภาพเหตุการณ์ในอดีตชาติทำให้ดวงจิตของเจตน์รู้สึกสลดหดหู่เป็นอย่างยิ่ง เพราะการกระทำอันสิ้นคิดของเขาเพียงคนเดียวทำให้เกิดเวรกรรม และการตามจองเวรจองกรรมข้ามภพข้ามชาติเรื่อยมา เพราะคุณหญิงบัวคิดว่าการจากไปของท่านหญิงมณี จะทำให้ท่านชายบดินทร์ธรทรงกลับมารับผิดชอบคุณหญิงและลูกในท้องแต่สิ่งที่คุณหญิงคิดเข้าข้างตัวเองไม่เป็นเช่นนั้น

ภายหลังที่ท่านหญิงมณีสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน สร้างความโศกเศร้าเสียพระทัยให้แก่เสด็จในกรมฯ พระราชบิดาของท่านหญิงมณีแห่งวังสุริยารังษีและวังอิศราอย่างเหลือล้น ท่านชายบดินทร์ธรทรงเสียพระทัยในการจากไปของท่านหญิงมณีอย่างยิ่งยวด พระองค์เสียพระทัยเป็นอย่างยิ่งและทรงยืนกรานที่จะไม่อภิเษกสมรสกับสตรีใดอีกเลยตราบชั่วชีวิต เป็นเหตุให้คุณหญิงบัวถึงกับกรีดร้องดังก้องไปทั่วทั้งวังเทพรัตน์ เมื่อทุกสิ่งที่อุตสาห์ทำลงไปนั้นหาได้ทำให้ท่านชายบดินทร์ธร อิศรา เปลี่ยนพระทัยแต่อย่างใด พระทัยยังมั่นคงต่อท่านหญิงมณีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น หนำซ้ำท่านชายบดินทร์ธรซึ่งเสียพระทัยและโศกเศร้าต่อการจากไปของท่านหญิงมณีและท่านชายรณยุทธที่สิ้นพระชนม์ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้พระองค์ตรอมพระทัยและสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมาด้วยวัยเพียง 21 ชันษานั่นเอง วังอิศราแทบจะสูญสิ้นทายาทไปในบัดดล
ครั้นเมื่อท่านชายบดินทร์ธรทรงจากไปอย่างไม่มีวันกลับตามไปอีกหนึ่งพระองค์

เมื่อไม่มีทางออกคุณหญิงบัวจึงต้องแสร้งทำทีไปพำนักอยู่หัวเมืองทางเหนือ เพราะสลดหดหู่กับการสิ้นพระชนม์ของเชื้อพระวงศ์จากวังอิศราและวังสุริยารังษี เสด็จในกรมฯ พระบิดาของท่านชายฝาแฝดที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไป จึงประทานอนุญาตให้ คุณหญิงบัวไปพำนักอยู่ที่วังจันทรา วังซึ่งเดิมทีจะใช้เป็นเรือนหอที่ประทับของท่ายชายบดินทร์ธรและท่านหญิงมณี ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีกว่าคุณหญิงบัวสนิทสนมเป็นยิ่งนัก โดยมีแม่นมและบริวารคนสนิทติดตามไปด้วย เพื่อหาทางเอาทารกออกไปให้พ้นจากครรภ์ ก่อนที่เรื่องอื้อฉาวนี้จะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งพระนคร

คุณหญิงบัวตัดสินใจดื่มยาขับเลือดเพื่อเอาทารกออกจากครรภ์ แต่เพราะครรภ์ย่างเข้าหกเดือนจึงทำให้เด็กไม่ออก จึงต้องให้บริวารคนสนิทติดต่อหาหมอตำแยมาบีบครรภ์ให้เด็กออกไปให้ได้ แต่โชคร้ายของคุณหญิงบัวแม้หมอตำแยจะสามารถทำให้เด็กหลุดออกจากครรภ์ได้ แต่คุณหญิงบัวมีอาการตกเลือดมาก จึงทำให้คุณหญิงบัวสิ้นลงในวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น และก่อนสิ้นลมคุณหญิงบัวกล่าวคำอาฆาตสายเลือดจากทางวังอิศราและวังสุริยารังษี ให้ลูกหลานของวังเทพรัตน์จองเวรทุกชาติไป

“ในเมื่อกูไม่สมหวัง อย่าหวังเลยว่าไอ้อีหน้าไหนจะสมหวังดั่งใจได้ กูจะตามจองเวรมัน สิ่งที่พวกมันมีต้องตกเป็นของกู สิ่งที่พวกมันได้กูต้องแย่งจากมันให้หมด แม้แต่ลูกหลานของพวกมันต้องไม่เหลือสิ้นสมบัติ หรือแม้กระทั่งชีวิต!กูจะคอยเฝ้าดูความฉิบหายของพวกมัน!กูจะสาปแช่งพวกมันทุกภพทุกชาติไป!”

ดวงจิตก่อนสิ้นลมของคุณหญิงบัวที่กล่าวคำอาฆาตทิ้งไว้ ทำให้ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวไม่ยอมไปผุดไปเกิด ดวงวิญญาณสิงสถิตอยู่ที่วังจันทรา สถานที่ซึ่งดวงจิตของเจตน์กำลังนั่งเข้าญาณเพื่อย้อนไปเห็นชาติอดีตของเขาและพี่ชายฝาแฝด และเพราะด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองวังจันทราจึงมีเรื่องเล่าลือกันต่อๆ มาว่ามีเสียงหัวเราะหวีดหวิวออกมาเป็นระยะๆ และทุกครั้งคนในตระกูลของวังอิศราและวังสุริยารังษีมีอันเป็นไป จะได้ยินเสียงหัวเราะของดวงวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในวังจันทรา ดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณวัง ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปอาศัยอยู่ในวังจันทรานับตั้งแต่คุณหญิงบัวสิ้นไป

“พรึ่บ!”ภาพเหตุการณ์ในชาติอดีตดับสิ้นลงไปโดยพลัน

ดวงจิตของเจตน์ถอยออกจากการเข้าสมาธิ เขารู้สึกสลดหดหู่กับเหตุการณ์ในอดีตชาติอย่างยิ่งยวด เป็นเพราะเขาเพียงคนเดียว ทำให้มีการจองเวรเกิดขึ้น แรงอาฆาตของคุณหญิงบัวแรงยิ่งนัก เขาจะสามารถทำให้แรงอาฆาตของคุณหญิงบัว หายไปได้อย่างไรหนอเป็นเรื่องที่หนักอึ้งยิ่งนัก ไม่คาดคิดว่าเจ้ากรรมนายเวรของพี่ชายก็คือเจ้ากรรมนายเวรของเขาด้วย สืบเนื่องมาจากการกระทำของเขาเป็นต้นเหตุทั้งหมด

“เจ้าล่วงรู้หมดสิ้นแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วรณยุทธ”เสียงของท่านพระภูมิเอ่ยบอกดวงวิญญาณของเจตน์ที่นั่งอยู่ตรงหน้า

ร่างโปร่งแสงค่อยๆ ก้มลงกราบท่านพระภูมิซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้เขารู้ว่าอดีตชาติของเขาเป็นอย่างไรและได้ทำอะไรเอาไว้บ้าง ก่อนจะเอ่ยถามข้อสงสัยบางอย่างที่ติดค้างอยู่ภายในใจของเขา

“ท่านพระภูมิขอรับ ตอนนี้ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวยังคงวนเวียนอยู่ในวังจันทรา และผมสัมผัสได้ว่าเธอล่วงรู้ว่าผมกับพี่ชายมาที่นี่และเธอจะล่วงรู้ไหมขอรับว่าผมกับพี่ชายคือท่านชายบดินทร์ธรและท่านชายรณยุทธเมื่อชาติที่แล้ว”

“ทำไมจะไม่รู้นางล่วงรู้อย่างแน่นอน เพียงแต่นางออกมาไม่ได้เท่านั้นเอง”ท่านพระภูมิเอ่ยตอบกลับไป

“ทำไมถึงออกมาไม่ได้ล่ะขอรับท่านพระภูมิ”เจตน์เอ่ยถามกลับไปด้วยความสงสัย

“ดวงวิญญาณดวงนี้มีแรงอาฆาตที่รุนแรงยิ่งนัก ตอนที่ตายลงใหม่ๆ ดวงวิญญาณตามไปหลอกหลอนผู้คนในวังอิศราและวังสุริยารังษี จนพากันหวาดกลัวไปหมดเรื่องที่ไม่มีใครล่วงรู้ที่อุตสาห์ปิดเป็นความลับก็ต้องเปิดเผยออกมาจนหมด แรงอาฆาตของดวงวิญญาณดวงนี้ สิงสู่ลูกหลานของเทพรัตน์และตามจองเวรเอาชีวิตรวมไปถึงทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของวังอิศราและวังสุริยารังษีมาจนถึงทุกวันนี้”ท่านพระภูมิอธิบายอย่างช้าๆ พร้อมชี้ไปทางเรือนไทยโบราณตรงหน้า ช่วงเรือนปีกซ้ายพร้อมเอ่ยสำทับขึ้น

“ดวงวิญญาณที่มีแรงอาฆาตตนนี้ได้สิ้นชีพลงในห้องนอนบนเรือนไทยปีกซ้าย และเพราะแรงพยาบาทและแรงอาฆาตทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปในห้องนำร่างมาทำพิธีศพตามประเพณีได้ เพราะเจ้าตัวเขาไม่ยอมให้ทำ ห้องนั้นจึงต้องปิดตายและได้ลงอักขระโบราณร่ายอาคม ลงน้ำมันทั้งบานประตูและหน้าต่างทุกบานของห้องนั้น เพื่อสะกดวิญญาณมิให้ออกมาได้อีก พวกข้าทาสบริวารต่างพากันหวาดกลัวพากันหนีไปหมด วังจันทราจึงถูกทิ้งร้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลูกหลานรุ่นหลังๆ ได้แต่มาคอยดูแลปรับปรุงและทำความสะอาดอยู่เพียงด้านนอกและเรือนไทยทางด้านอื่นๆ เท่านั้น และที่เจ้าเห็นดวงวิญญาณทั้งสามอยู่ในขณะนี้ก็คือบริวารที่ติดสอยห้อยตามดวงวิญญาณตนนี้มาเมื่อครั้งมาอาศัยอยู่ในวังจันทราแห่งนี้”ท่านพระภูมิเอ่ยบอก

“ถ้าเช่นนั้นทุกวันนี้ซากศพของคุณหญิงบัวก็ยังคงอยู่ในห้องนอนและดวงวิญญาณก็ยังคงสิงสถิตย์อยู่ภายในห้องนั้นตลอดเวลาอย่างนั้นเหรอครับท่านพระภูมิ”เจตน์เอ่ยถามตามความคาดเดาของเขา

“ถูกต้อง...ซากศพนั้นนอนสงบนิ่งอยู่ภายในห้องนั้นมายาวนานเกือบ 200 ปี ตั้งแต่วันที่ตายจนถึงทุกวันนี้ แต่เมื่อไม่นานมานี้วังจันทราเกิดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อกรรมสิทธิ์ทุกอย่างตกไปอยู่ในมือของวังเทพรัตน์ ทำให้คนของวังเทพรัตน์เข้ามาในวังจันทรานี้ได้ แต่ยังไม่ทันได้สำรวจอะไรก็ต้องรีบกลับไปเสียก่อน และนี่คือหน้าที่ของเจ้าแล้ว”ท่านพระภูมิเอ่ยบอกอย่างละเอียด

“หน้าที่ของผมอย่างนั้นเหรอครับท่านพระภูมิ”เจตน์รำพึงออกมาเบาๆ สมองของเขาอื้ออึงขึ้นมาทันใดครั้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“เจ้าได้รู้ในสิ่งที่ควรได้รู้ และต้องจัดการต่อไปด้วยตนเองว่าเจ้าและพี่ชายของเจ้าสมควรจะทำเช่นไร เราบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้เพราะกรรมเป็นผู้ลิขิตการกระทำ ฝืนกรรมที่ได้ทำลงไปแล้วไม่ได้แต่สามารถยับยั้งการก่อเวรก่อกรรมขึ้นมาใหม่อีกได้ หากเจ้าสามารถให้ดวงวิญญาณคนที่เจ้าเคยรักเมื่อครั้งอดีตชาติยอมอโหสิกรรมและไปผุดไปเกิด การจองเวรก็จะสิ้นสุดลงและดวงวิญญาณของเจ้าก็จะหลุดพ้นคำอาฆาตที่จะต้องตามเจ้าไปทุกภพทุกชาติเช่นเดียวกัน”ท่านพระภูมิกล่าวกับดวงวิญญาณของเจตน์พลางทอดสายตามองไปยังร่างโปร่งแสงของเขาด้วยความปราณี

ดวงวิญญาณของเจตน์รับรู้ถึงภาระอันหนักหน่วง แม้เขาจะเพิ่งกลายเป็นดวงวิญญาณได้เพียงไม่นานก็ตามแต่เพราะดวงวิญญาณเฝ้าบำเพ็ญเพียรบารมี จึงทำให้มีบารมีรับรู้ได้ว่า ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวมีความอาฆาตและพยาบาทแรงยิ่งนัก ซ้ำร้ายดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตเช่นนี้ย่อมมีฤทธิ์เดช และระยะเวลาอันยาวนานเกือบสองร้อยปีเช่นนี้ ทำให้ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวย่อมมีกำลังแรงกล้าขึ้นเป็นเงาตามตัว

“เจ้ากำลังกังวลอยู่ละสิแต่ถึงอย่างไรเสีย กรรมไม่อาจหลีกหนีให้พ้นไปได้หรอกเจ้าเจตน์ เพราะแม้นชาตินี้กรรมตามไม่ทัน ชาติต่อๆไปกรรมก็ยังคงติดตามเราเป็นเงาตามตัวอยู่เช่นเดิม จนกว่าจะอโหสิกรรมให้ต่อกัน เจ้าและพี่ชายของเจ้าจะหลุดจากบ่วงของความแค้นและความพยาบาทจากดวงวิญญาณนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเจ้าทั้งสองคนแล้ว หากเจ้าทั้งสองคนทำสำเร็จ ดวงวิญญาณที่อยู่ภายในวังจันทรานี้อีกหลายดวง ก็จะสามารถไปผุดไปเกิดตามภพภูมิที่พวกเขาเหล่านั้นจะต้องไป”ท่านพระภูมิเอ่ยบอกก่อนจะค่อยๆ เลือนหายจากบริเวณดังกล่าวทันที

ร่างโปร่งแสงของเจตน์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สายตามองไปยังดวงวิญญาณทั้งสามดวงตรงหน้า ที่ยังคงหมอบกราบเขาอยู่ที่พื้นเช่นเดิม

“พวกเธอทั้งสามคนเป็นผู้ติดตามคุณหญิงบัวมาอยู่ที่วังจันทรา เหตุใดวิญญาณของพวกเธอยังคงวนเวียนอยู่ภายในวังนี้ เมื่อตายลงทำไมจึงไม่ไปผุดไปเกิด”เจตน์เอ่ยถามดวงวิญญาณทั้งสามดวงตรงหน้าด้วยความสงสัย พร้อมกับเอ่ยสำทับขึ้นอีกครั้ง
“เงยหน้าขึ้นมามองเราทั้งสามคน บางทีเราอาจจะจดจำพวกเธอก็เป็นได้”ดวงวิญญาณของเจตน์เอ่ยบอกกลับไป

ดวงวิญญาณทั้งสามดวงต่างหันกลับมามองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ้านายชั้นสูงในอดีตของพวกเขา และทันทีที่เจตน์ได้เห็นหน้าทั้งสามคน เสียงของเขาเอ่ยขึ้นมาทันทีเมื่อความทรงจำในอดีตชาติห้วนคืนกลับมา

“นมตลับ!แย้ม!นวล! พวกเธอนี่เอง”เสียงของเจตน์เอ่ยเรียกชื่อดวงวิญญาณทั้งสามได้อย่างถูกต้องสร้างความดีใจให้กับดวงวิญญาณทั้งสามดวงอย่างยิ่งยวด

“ท่านชายทรงจดจำพวกหม่อมฉันได้แล้วจริงๆ ด้วย พวกหม่อมฉันดีใจยิ่งนักเพค่ะ ท่านชายได้โปรดปลดปล่อยดวงวิญญาณของคุณหญิงด้วยเถิดเพค่ะ”ดวงวิญญาณหนึ่งในสามดวงนามว่านมตลับเอ่ยตอบกลับไป

“พวกเธอจะให้ฉันปลดปล่อยดวงวิญญาณของหญิงบัวได้อย่างไรกัน ทำไมดวงวิญญาณของหญิงบัวจึงยึดติดอยู่กับวังจันทราแห่งนี้นัก”ดวงวิญญาณของเจตน์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เพราะคุณหญิงคิดอยู่เสมอว่า วังจันทราแห่งนี้คุณหญิงจะต้องเป็นเจ้าของไม่ใช่ท่านหญิงมณีเพค่ะ คุณหญิงรักท่านชายบดินทร์ธรเป็นยิ่งนัก รักตั้งแต่ยังทรงอยู่ในวัยเยาว์ คิดอยู่เสมอว่าคุณหญิงจะต้องเป็นคู่พระทัยของท่านบดินทร์ธรในอนาคตอย่างแน่นอน แต่ท่านชายทรงมีพระทัยกับท่านหญิงมณี เมื่อวังจันทราสร้างเสร็จและคุณหญิงได้เข้ามาอยู่จึงยิ่งผูกพันมากยิ่งขึ้น เพราะเปรียบเสมือนตัวแทนของท่านชายบดินทร์ธรเพค่ะ”วิญญาณของนมตลับเอ่ยตอบกลับไป

“แสดงว่าทุกลมหายใจเข้าออก หญิงบัวมีแต่พี่ชายเพียงคนเดียว ไม่เคยคิดถึงเราเลยแม้แต่น้อย”เสียงของเจตน์แฝงเร้นความเจ็บปวดได้อย่างชัดเจน ความทรงจำในอดีตชาติกลับคืนมาทำให้ดวงวิญญาณของเขาเต็มไปด้วยความรักและความห่วงหญิงที่เขารักมากที่สุด ก่อนจะสลัดความคิดออกไปพร้อมเอ่ยถามกลับไปทันที

“ตอนนี้หญิงบัวอยู่ที่ไหน เราจะไปหาหญิงบัว”ดวงวิญญาณของเจตน์เอ่ยบอก ก่อนจะได้ยินเสียงร้องห้ามกันจ้าละหวั่นจากบรรดาดวงวิญญาณที่เป็นบริวาร

“อย่า!อย่านะเพค่ะท่านชาย อย่าเสด็จเข้าไปทางเรือนปีกซ้ายเด็ดขาด หากคุณหญิงสามารถออกมาจากห้องที่สะกดดวงวิญญาณเอาไว้ได้ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับวังอิศราและวังสุริยารังษีจะต้องตายและพินาศทั้งหมดเลยเพค่ะ อย่าเลยเพค่ะหม่อมฉันขอร้อง”เสียงดวงวิญญาณของบรรดาบริวารคุณหญิงบัวเอ่ยห้ามกันอย่างเซ็งแซ่

“เราเข้าใจแล้วทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว หญิงบัวกล่าวคำอาฆาตและพยาบาทสาปแช่งถึงขนาดนั้น ถ้าหลุดออกมาได้คงจะมีแต่เรื่องเลวร้ายตามติดมาไม่หวาดไม่ไหว แต่หญิงบัวล่วงรู้มิใช่เหรอว่าเราและพี่ชายมาที่วังจันทรานี้แล้ว”

“คุณหญิงทราบหมดทุกสิ่งเพค่ะว่ามีผู้ใดบ้างมาเยือนวังจันทรา แต่เพราะถูกสะกดอยู่แต่ในห้องนั้น จึงไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ตอนนี้ท่านชายต้องระวังนะเพค่ะเพราะตอนนี้วังจันทราตกมาอยู่ในมือลูกหลานของวังเทพรัตน์แล้ว วันนี้หม่อมฉันได้ยินคนที่มาวังจันทราบอกว่าจะมีการรื้อซ่อมแซมและบูรณะครั้งใหญ่ เพื่อจะเอาวังไปทำอะไรสักอย่าง ถ้าหากวังโดนรื้อและบูรณะใหม่ ห้องที่สะกดดวงวิญญาณของคุณหญิงเอาไว้จะต้องถูกเปิดออกและ...และ...มันจะมีแต่เรื่องน่ากลัวตามมาอย่างแน่นอนเพค่ะ”นมตลับเอ่ยบอก

คำกล่าวของแม่นมตลับของคุณหญิงบัว สร้างความหนักใจให้กับดวงวิญญาณของเจตน์เป็นอย่างยิ่ง เขารู้สึกสงสารหญิงคนรักของเขายิ่งนัก จะหาวิธีจัดการอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้เท่าที่คิดได้มีแต่มึนกับมึนเท่านั้น

“เราขอขอบใจที่พวกเธอทั้งหมดได้เตือนให้เรารู้ พวกเธอได้รับบุญกุศลจากญาติพี่น้องของพวกเธอกันบ้างหรือเปล่า”เจตน์เอ่ยถามดวงวิญญาณทั้งสามกลับไป

ดวงวิญญาณทั้งสามต่างก้มหน้านิ่งด้วยความเศร้า ด้วยเพราะทั้งสามมาตายอยู่หัวเมืองเหนือ ญาติพี่น้องทางพระนครในสมัยนั้นก็ได้ทำบุญไปให้บ้างเป็นครั้งคราว นานวันเขาก็เลือนหายไปหามีญาติหรือลูกหลานได้อุทิศส่วนบุญกุศลมาให้แม้แต่น้อย

“นิ่งเงียบกันแบบนี้ แสดงว่าไม่มีใครอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลมาให้เลยละสิ ถ้าเช่นนั้นเราจะให้พี่ชายทำบุญใหญ่สร้างพระประธานถวายวัด และทำพิธีเพื่ออุทิศผลบุญนั้นไปให้พวกเธอทั้งสามคนให้ได้รับบุญกุศล จะได้ไปผุดไปเกิดกันเสียที”เจตน์เอ่ยบอกดวงวิญญาณทั้งสาม

ดวงวิญญาณทั้งสามพากันดีใจอย่างยิ่งยวด ต่างพร้อมใจก้มลงกราบอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะเงยหน้าเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

“พวกหม่อมฉันทั้งสามกราบขอบพระทัยฝ่าบาททั้งสองพระองค์เพค่ะ ที่จะส่งผลบุญให้ดวงวิญญาณของพวกหม่อมฉันทั้งสามให้ได้ไปผุดไปเกิด” สิ้นเสียงกล่าวดวงวิญญาณของบริวารทั้งสามค่อยๆ เลือนหายไปจากบริเวณนั้นโดยพลัน เหลือไว้แต่เพียงความวางเปล่าเท่านั้น

“เฮ้อ! ทำไปทำมาเรื่องซับซ้อนยิ่งกว่าที่คิดซะอีก ทำไมชาติที่แล้วทำอะไรถึงไม่รู้จักคิดเลยวะเรา”เจตน์บ่นพึมพำให้กับตัวเอง ฉับพลันเสียงเรียกชื่อเขาดังก้องขึ้นทันที

“เจตน์!เจตน์!ได้ยินพี่ไหม...แกหายไปไหน ได้ยินพี่ไหมเจตน์”เสียงร้องเรียกจากพี่ชายฝาแฝดดังก้องขึ้นอยู่หน้าวังจันทรา
“แย่แล้ว!พี่ชายเรียกหาซะดังเลยไม่ได้การซะแล้ว แย่แน่ๆ คราวนี้”เจตน์เอ่ยขึ้นอย่างวิตก ร่างพลันหายลับไปกับตาทันใด

หน้าวังจันทรา

ร่างสูงสง่าของมหาเศรษฐีหนุ่มกำลังยืนมองเรือนไทยโบราณหลังมหึมา ที่มีบรรยากาศเงียบเหงาวังเวงเป็นอย่างมาก ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในวังจันทราแต่ละต้นสูงใหญ่และดูทะมึนจนน่ากลัว บรรยากาศในยามโพล้เพล้เช่นนี้ ยิ่งเพิ่มความวังเวงมากขึ้นไปอีก ตั้งแต่ชายหนุ่มเดินทางมาถึงและยืนอยู่หน้าวังเกือบครึ่งชั่วโมง ยังไม่มีรถแล่นผ่านไปผ่านมาสักคันเดียว รวมไปถึงน้องชายฝาแฝดของเขาเรียกเท่าไรก็ยังไม่มาสักที

“อะไรของเขาวะ....จู่ๆ ก็หายไปเฉยๆ เรียกเท่าไรก็ไม่ตอบกลับมาซะที”อลันบ่นพึมพำอยู่คนเดียวก่อนจะได้ยินเสียงบอดี้การ์ดคู่ใจเอ่ยถามขึ้น

“ท่านครับบริเวณนี้เปลี่ยวและวังเวง นี้ก็เย็นมากแล้วด้วย ผมคิดว่าท่านเดินทางกลับดีกว่านะครับ หากมืดมากกว่าไปนี้จะมีอันตรายเกิดขึ้นได้”

“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่รู้ทางวังจันทราได้ติดไฟแสงสว่างไว้มากแค่ไหน เพราะขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เปิดไฟเลย วังดูอึมครึมไปหมด”อลันเอ่ยพลางทอดสายตามองไปยังเรือนไทยที่ตั้งอยู่ภายในวัง แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถมองผ่านรั้วที่ทำจากไม้สักทอง ซึ่งสูงประมาณ 2 เมตรนี้ไปได้

“พี่ชาย!”เสียงของเจตน์เอ่ยขึ้นกระทบโสตประสาทของมหาเศรษฐีหนุ่ม

“เจตน์!นี่แกไปอยู่ซะที่ไหนมา พี่เรียกอยู่ตั้งนานไม่ยอมตอบพี่กลับมาสักที จะให้ดูว่ามีอะไรบ้างตกลงที่หายไปตั้งนานเรียกก็ไม่มา แกหายไปอยู่ที่ไหนมาอย่างนั้นเหรอ”ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันที

“พี่ชายอย่าเพิ่งถามอะไรเลย รีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด วังจันทรามีดวงวิญญาณที่ดุร้ายมาก เขารอคอยเราทั้งสองคนอยู่ รีบกลับกันเถอะพี่ชาย รีบกลับเดี๋ยวนี้!”ดวงวิญญาณของเจตน์เอ่ยบอกพี่ชายฝาแฝด

แม้ว่าจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูกแต่ชายหนุ่มก็ไม่สักถามน้องชายของเขาให้เสียเวลา ชายหนุ่มหันหลังกลับก้าวขึ้นรถสปอร์ตคันหรูของเขาทันที โดยมีบอดี้การ์ดเดินตามหลังเขามาติดๆ ครั้นเมื่อทุกคนเข้าประจำที่ภายในรถเรียบร้อยแล้ว รถคันหรูดังกล่าวค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากหน้าวังจันทราทันทีอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดรถอย่างกะทันหัน

ทันใดนั้นเองบรรยากาศที่เคยเงียบสงัดและวังเวงอยู่เมื่อครู่ที่ผ่านมา จู่ๆ เกิดลมพัดกรรโชกแรงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ต้นไม้บริเวณโดยรอบโยกคลอนไปตามกระแสลมที่รุนแรง

“ท่าทางคงจะมีพายุเกิดขึ้นแล้วละครับนายท่าน”บอดี้การ์ดคนสนิทเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลดพัดทางด้านนอกโหมกรรโชกแรงอย่างน่ากลัว

“ขับระมัดระวังหน่อยนะ ถ้าหากมีพายุเข้ามาจริงๆ เราจะลำบากเพราะเราไม่ชำนาญเส้นทาง”อลันเอ่ยตอบกลับไป ก่อนจะหันกลับไปมองเบาะข้างๆ ที่กำลังปรากฏร่างโปร่งแสงของเจตน์ขึ้นมาอย่างช้าๆ สีหน้าของเจตน์บ่งบอกถึงความวิตกอย่างเห็นได้ชัดสร้างความแปลกใจให้กับพี่ชายฝาแฝดของเขาทันที

“เป็นอะไรหรือเปล่าเจตน์ ทำไมหน้าตาไม่ค่อยดีเลย”ชายหนุ่มเอ่ยถามน้องชายผ่านกระแสจิต

“พี่ชายสั่งให้คนขับรถขับฝ่ากระแสลมออกจากวังจันทราเดี๋ยวนี้เลยพี่ชาย เดี๋ยวนี้เลย!ช้ากว่านี้พวกเราจะไม่ได้กลับกันออกไปสักคน”เจตน์เอ่ยตอบพี่ชายของเขากลับมาเกือบตะโกนเลยทีเดียว

“แม๊กซ์ขับรถฝ่ากระแสลมออกไปเดี๋ยวนี้!”อลันออกคำสั่งกับคนสนิทของเขาทันที

รถคันหรูจากที่สงบนิ่งเพราะลมพัดกรรโชกอย่างรุนแรง เริ่มขับเคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่กลัวว่าจะมีสิ่งใดมาขวางกั้น

“โครม!”เสียงดังสนั่นหวั่นไหวตามหลังรถสปร์ตคันหรูขึ้นมาทันที

ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ทางด้านหน้าวังซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหัก กลับโค่นล้มลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยฉิวเฉียดรถคันหรูไปอย่างชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดเลยทีเดียว ตัวรถรีบไปข้างหน้าพร้อมใช้ความเร็วทะยานออกสู่ถนนมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองอย่างไม่รอช้า

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด”

ท่ามกลางสายลมที่พัดกระหน่ำ เสียงกรีดร้องหวีดหวิวดังกระหึ่มขึ้นมาจากวังจันทรา มีเพียงดวงวิญญาณของเจตน์เท่านั้นที่ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนและเสียงร้องเรียกเว้าวอนดังแว่วมาตามกระแสลม

“พี่ชาย!พี่ชายบดินทร์ธร!กลับมาหาน้อง! กลับมา! กลับมาหาบัว!”



มณีภัสสร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2558, 23:56:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2558, 23:56:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 791





<< ตอนที่ 10 วังจันทรา   ตอนที่ 12 ทายาทวังเทพรัตน์ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account