Love mission ภารกิจหัวใจของคุณบอดี้การ์ด
อรุณ : ความปราถนาเดียวของผม คือหาหลักฐานมามัดตัวฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของผมให้ได้

ยูมิ : เพราะการเลือกเกิดไม่ได้ ทำให้ฉันต้องเกิดมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางธุรกิจของพ่อ ซึ่งนอกจากคุณพ่อจะต้องสังเวยชีวิตให้กับปมขัดแย้งในครั้งนี้แล้ว ฉันในฐานะลูกสาวก็พลอยซวยกับเรื่องนี้ไปด้วย

คีริน : ความฝันเดียวของผม คือ แต่งงานกับคนที่ผมรัก และพยายามทำทุกวิถีทางให้คนรักของผมสบายดุจเจ้าหญิง
Tags: บอดี้การ์ด, สืบสวนสอบสวน

ตอน: ภารกิจที่ 3

หลังจากที่ผมต้องออกโรงบู๊ล้างผลาญจัดการกับไอคนส่งอาหารปลอมมาได้ไม่ถึง 2 ชั่วโมง ก็ต้องมานั่งปวดหัวกับความติ๊งต๊องของยัยคุณหนูเจ้าปัญหา ที่กลัวผมจะปลุกปล้ำยัดเยียดความเป็นสามีให้เธอ จนต้องหาสารพัดอุปกรณ์ป้องกันตัวเองมาวางรายล้อมเตียงเธอเต็มไปหมด นี่เธอจะรู้ไหม...ว่านอกจากผมจะไม่มีความรู้สึกพิสวาสอะไรในตัวเธอแล้ว ผมยังแทบอยากจะออกไปหาซื้อเต๊นท์ แล้วไปกางนอนหน้าบ้านแทนซะเดี๋ยวนี้เลย

“ห้ามเกินเส้นสีแดงนี้นะ”

เธอเอาเศษผ้าอะไรก็ไม่รู้สีแดงมาวางกั้นอาณาเขตไว้

“ได้ครับ” ผมตอบอย่างว่าง่าย เอาเข้าจริงท่าทางประหลาดๆของเธอแบบนี้ จะมองให้รำคาญก็รำคาญ แต่ถ้าจะมองให้ตลก มันก็ตลกสุดจะทนเลยล่ะครับ

“ดีมาก แต่ฉันว่าฉันนึกอะไรออกละ” คุณหนูยูมิพูดคล้ายกับพึ่งนึกอะไรขึ้นออก แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรแล้วล่ะ เพราะมีคนที่สำคัญกว่ารอสายโทรศัพท์ผมอยู่

“ว่าไง สายน้ำ” ผมกรอกเสียงสดใสให้ตรงข้ามกับจิตใจหม่นๆของผมในตอนนี้ทันทีที่พ้นประตูบ้านแล้ว “คืนนี้เราไม่ได้เขาร้านนะ คงต้องนอนที่บ้านคุณยูมิ”

“มีเรื่องอะไรรึเปล่า”

“มีนิดหน่อยแต่ไม่มีอะไรมากหรอก เราแค่กลัวพวกโจรจะบุกเข้ามาในบ้านตอนดึก เลยกันไว้ก่อน” ผมอธิบายคร่าวๆ เพราะไม่อยากเล่ารายละเอียดอะไรมากนัก “แล้วที่ร้านเป็นยังไงบ้าง ลูกค้าเยอะไหม”

“เยอะสิ เจ้าของร้านสวยเยิ้มขนาดนี้ นี่เสริฟจนมือพันกันไปหมดแล้วเนี่ย”

เธอน่ารักใช่ไหมล่ะครับ

“เอ้อน้ำ...” แม้เธอจะน่ารักจนผมอยากจะคุยต่อแค่ไหน แต่เมื่องานแก้แค้นมาเคาะประตูเรียกอยู่ตรงหน้า ผมก็คงต้องเลือกงานก่อน “สายซ้อนน่ะ เฮียป๊วยโทรมา ยังไงพรุ่งนี้อรุณจะโทรหานะ” ผมตัดสายเธออย่างรวดเร็ว ก่อนจะรับอีกสายแทน

“ครับเฮีย”

“ปลอดภัยนะอรุณ”

“ครับ ว่าแต่เรื่องทางนั้นเป็นยังไงบ้าง ได้เรื่องอะไรบ้างไหม”

“รู้แค่ว่ามันเป็นคนของไอพวกอิรสิงห์ แต่ยังปิดปากเงียบสนิท ไม่ยอมพูดอะไรเลย ภักดีกับนายของมันจริงๆ แต่ไม่ต้องห่วง
หรอก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของไอคินมันเถอะ เพราะเรื่องที่เฮียโทรมามันสำคัญกว่านั้น”

“เรื่องสำคัญเหรอครับ” ผมถามประโยคนั้นพลางเดินออกมาให้ห่างจากหน้าประตูขึ้นอีกนิด “ว่ามาครับ เกี่ยวกับไอคีรินรึเปล่า”

“เฮียลำบากใจที่จะพูดนะ แต่มันจำเป็น” ผมแอบได้ยินเสียงเฮียกลืนน้ำลาย ซึ่งก็พอจะเดาออกว่ามันจะต้องเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ “อรุณ อรุณแย่งหนูยูมิมาจากนายคีรินได้ไหม”

“อะ...อะไรนะครับ”

“ฟังเฮียอธิบายก่อนนะ อรุณก็รู้ใช่ไหม ว่าฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่หนูยูมิ รวมทั้งพ่อแม่ของอรุณเอง ก็เป็นพวกอิรสิงห์ทั้งนั้น แต่ยูมิไม่เคยรู้เรื่องนี้ คุณหนูไม่เคยรู้เลยว่าใครฆ่าพ่อแม่เธอ เธอรู้แค่ว่าเป็นนักธุรกิจที่ร่วมลงทุนด้วยเท่านั้น”

“แล้งยังไงต่อครับ” ผมยังคงพยายามใจเย็นและรับฟังคำอธิบายจากเฮียป๊วยให้ได้มากที่สุด

“ยูมิไว้ใจคีรินมาก คุณทิวาเองก็รู้ว่าถ้าบอกไปตรงๆ นอกจากยูมิจะไม่เชื่อแล้ว ยังจะพลอยทำให้เสียแผนกันไปเปล่าๆ พวกอิรสิงห์คงจะรู้ตัวแน่ ว่าอรุณเป็นสายสืบ ไม่ใช่แค่บอดี้การ์ด”

“แปลว่า คีรินตั้งใจหลอกยูมิงั้นเหรอครับ”

“เฮียก็ยังไม่รู้ เพราะคีรินเองก็เพิ่งจะมาเริ่มเรียนรู้งานของครอบครัวได้ไม่นาน ซึ่งอะไรที่เรายังสงสัยกันอยู่ ก็เป็นหน้าที่ของอรุณ ที่ต้องสืบมาให้ได้นะ”

“ครับ” ผมกลั้นใจตอบรับคำเฮียป๊วยสั้นๆ พลางเอามือกุมขมับกับความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของเรื่องนี้ “สรุปคือเฮียกับคุณทิวากังวลว่าการที่คีรินอยู่ใกล้ยูมิมากๆ มันเสี่ยงที่พวกนั้นจะได้ลายนิ้วมือยูมิไป แบบนั้นใช่ไหมครับ”

“ใช่ ตกลงอรุณยอมทำตามที่เฮียขอใช่ไหม”

ถ้านี่เป็นสภาวะปกติ ผมคงจะร้องเพลง เลือกได้ไหม ของซาซ่า ให้เฮียฟัง

“ตกลงครับ ผมจะ เอ่อ...” ผมไม่ชินที่จะพูดคำนี้เลยจริงๆ “ผมจะแย่งยูมิมาให้ได้ ให้เธอเลิกยุ่งกับไอคีรินซะ”

แผนที่ 3

ฉันตื่นมาในสภาพที่มีอะไรก็ไม่รู้รุงรังเต็มหัวไปหมด ทั้งผ้าคลุมอาบน้ำ ผ้าห่มหนาๆ แถมมีไม้ช๊อตยุงอีกต่างหาก แต่ก็ไม่ทันจะได้โวยวายอะไร ก็นึกขึ้นออกมาเองว่าทุกอย่างที่อยู่บนเตียงตอนนี้เป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวจากนายนั่นทั้งนั้น

“วันนี้บ้านคุณหนูดูแปลกๆนะคะ” เสียงน้าหวานที่เพิ่งก้าวข้ามประตูบ้านเข้ามาทักฉัน พลางสอดส่องดูความไม่ชอบมาพากลในบ้าน

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ฉันตอบเลี่ยงๆน้าหวานไป แหม...ก็จะให้บอกยังไงล่ะ ว่าไอผ้าที่วางเกะกะห้องไปหมดเนี่ยคือสร้างอาณาเขตไว้ ไม่ให้ผู้ชายล้ำเข้ามา กลัวจะโดนปล้ำ บอกไปงี้น้าหวานขำตายเลย ไม่เอาหรอก

เออ...ว่าแต่นายนั่นหายไปไหน

“อ้าว...แล้วไหงวันนี้มีคนมาแย่งหน้าที่ทำอาหารเช้าให้คุณหนูแทนน้าล่ะเนี่ย”

เอ๋...น้าหวานหมายถึงใครกัน

/ตื่ดดดด/

“ฮัลโหล คีริน” ฉันกรอกเสียงใสทักทายคีริน พลางก้าวเท้าออกมาจากส่วนของห้องนอนหมายมั่นจะเดินไปที่ครัว และทันทีที่ฉันเดินมาถึงโต๊ะทานข้าวแล้ว ภาพที่ปรากฎตรงหน้าก็ทำให้ฉันแทบช๊อค

“อ้าวยูมิตื่นแล้วเหรอ ทานข้าวกันเลยไหม”

นายอรุณเป็นเจ้าของประโยคประหลาดแห่งปีนั้น

“นั่นเสียงใครน่ะมิ” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยที่ปลายสายถาม “นายอรุณเหรอ”

“เอ่อะ...เอ่อ ช..ใช่จ่ะ นายอรุณน่ะ” ให้ตายเถอะ ทำไมฉันต้องรู้สึกเหมือนคนกำลังทำอะไรผิดอยู่ด้วย ฉัน พูดตะกุกตะกักแบบนั้นทำไมกัน พิรุธชัดๆ

“ทำไมถึงมาเร็วนักล่ะ ไหนว่าเขาเข้างาน 10 โมงไง” คีรินถามประโยคที่ตอบยากแสนยาก คำถามที่ฉันไม่รู้จริงๆว่าควรจะตอบคีรินว่ายังไงดี

“เอ่อ..คือ”

“ยูมิ ยาแก้ปวดคุณเก็บไว้ที่ไหนเหรอ ผมรู้สึกปวดหลังจัง เตียงคุณนี่แข็งชะมัด”
และไม่ทันที่ฉันจะได้แก้ตัวอะไรออกไป นายบอดี้การ์ดสุดเพี้ยนของฉันก็โผลงพูดประโยคน่าเกลียดประโยคนั้นออกมาอีตา
บ้าอรุณเอ๊ย...หลังนายได้มาสัมผัสกับเตียงฉันเมื่อไหร่กัน

“นี่ยูมินอนค้างกับหมอนั่นเมื่อคืนเหรอ”

“คีริน คือแบบนี้นะ...”

“มาทานข้าวได้แล้วยูมิ เดี๋ยวผมอุ่นซุปให้นะ”

“นี่นายบ้า!” ฉันตวาดเสียงดังโดยไม่แคร์ปลายสายที่กำลังมีท่าทีว่าจะโกรธฉันอยู่ มืออีกข้างก็เลื่อนหน้าจอเพื่อวาง สายทันที
ฉันยอมให้คีรินโกรธที่ฉันตัดสาย ดีกว่าให้เขามาทนฟังนายบ้านี่พล่ามเรื่องไร้สาระ

“คุณว่าผมทำไมกัน ผมตั้งใจทำอาหารเช้าให้คุณทานนะ มีสลัดนิซัวส์ของโปรดคุณด้วย”

ผีนางงามสาขามิตรภาพเข้าสิงเขารึไงกัน

“ได้ ฉันจะกินให้หมด และนายก็หุบปากซะ น้าหวานคะ มิฝากเปิดทีวีให้หน่อยค่ะ เปิดเสียงดังๆด้วยนะคะ” ฉันหันไปสั่งน้าหวานเสียงเข้ม โดยไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มประหลาดที่ปรากฎขึ้นบนหน้านายอรุณนั่น

“บ้านคีรินแฟนคุณนี่ อยู่แถวไหนเหรอ”

“สุขุมวิท ทำไม”

“งั้นคงซัก...” นายอรุณก้มมองนาฬิกา ก่อนจะทำหน้าเจ้าเล่ห์ แล้วมองมาทางฉัน “20 นาที”

ฉันพยายามแกล้งทำหูทวนลมและไม่สนใจเสียงเพ้อเจ้อของนายบ้านั่น ฉันคงจะเอาชนะนายนี่ด้วยอะไรไม่ได้แล้วจริงๆนอกจากความนิ่งเงียบที่เหมือนความใบ้มาครอบตัวแบบนี้แทน คนบ้าอะไร ทั้งกวนประสาท ทั้งหลายอารมณ์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แถมล่าสุดยังทำตัวเป็นบอกี้การ์ดผู้แสนดีลุกมาทำอาหารเช้าให้ฉันอีก ทั้งๆที่ปกตินี่ถามคำตอบครึ่งคำ ฉันตามอารมณ์หมอนี่ไม่ทันเลยจริงๆ นี่ถ้าไม่ติดว่าฝีมือการต่อสู้ดีล่ะก็ จะไล่ให้ไปพ้นๆเดี๋ยวนี้เลย

“เหมือนจะมีคนมานะคะคุณหนู น้าได้ยินเสียงรถจอดอยู่ริมรั้วบ้าน” น้าหวานที่กำลังเก็บกวาดซากเศษผ้าหลากสี ที่ฉันเอามาสร้างอาณาเขตเมื่อคืนพูดขึ้น “คุณหนูนัดใครมารึเปล่าคะ”

“เปล่านะคะ หรือว่า...” อาจจะเป็นเพราะเหตุการ์ณที่พึ่งเกิดขึ้นหมาดๆเมื่อคืน ที่ทำให้ฉันนึกระแวดระวังตัวเองเป็นพิเศษ “นี่นาย นายว่าใช่พวกมันรึเปล่า”

“ไม่รู้สิ” เขาตอบหน้าตาเฉย “แต่ให้เขาเข้ามาเถอะ”

“อะไรของนาย นายพูดเหมือนรู้อย่างนั้นแหล่ะว่าใครมา”

นายอรุณไม่ตอบอะไรฉัน แต่กลับเดินไปเปิดล๊อคประตูแทน ซึ่งคนที่มาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ฉันแทบช๊อคเป็นรอบที่ 2 ของวัน

“ค...คีริน” นี่ไม่รู้ว่าเพราะแอร์ที่เย็นฉ่ำ หรือเพราะคนที่กำลังยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หน้าประตูบ้านกันแน่ ที่ทำให้สีหน้าฉันปรับสีเป็นขาวซีด แถมอุณหภูมิของฝ่ามือก็ลดฮวบ จนแทบจะสะบัดออกมาเป็นมาน้ำแข็ง

“ตกใจอะไรยูมิ”

“เข้ามาก่อนสิครับ”

นอกจากนางงามมิตรภาพแล้ว เขายังอยากเป็นพนักงานต้อนรับที่ดีด้วย อีตาบ้าเอ๊ย...นายไม่ใช่เจ้าของบ้านนะ

“ทะ...ทานอะไรมารึไงคะคี ทานพร้อมกันไหม” ฉันพูดไปมือสั่นไป มุมปากก็เหมือนจะฉีกยิ้มไม่ค่อยจะออก นี่เขาบุกมาถึงบ้านแบบนี้ คงจะโกรธมากเลยสินะ

คีรินเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางเย็นชา แต่กลับไม่ใช่ฉันที่ถูกเขาเย็นชาใส่ เขายิ้มหวานให้ฉันปกติ แต่ใช้สายตาเยือกเย็นพิฆาตใส่นายอรุณแทน ซึ่งนายนั่นน่ะเหรอ...ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย เดินไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์บนโซฟาหน้าตาเฉย แต่ก็ไม่ได้แปลกอะไรหรอก เขาก็เป็นของเขาแบบนี้ ฉันชักชินแล้วล่ะ

“วันนี้คุณพ่อคีท่านกลับมาจากอเมริกา ท่านอยากเจอมินะ ไปทานมื้อเย็นที่บ้านคีได้ไหมวันนี้” คีถามเบาๆ เหมือนเลี่ยงที่จะไม่ให้นายอรุณได้ยิน แต่ให้ตายเถอะ...ฉันมั่นใจเหลือว่านายนั่นต้องได้ยินแน่ๆ “อื้ม...สลัดนี่รสชาติดีนะ”

“ขอบคุณครับ ผมเป็นคนทำสลัดจานนั้นเอง”

นั่นไง ฉันว่าแล้วว่านายนี่ต้องมีหูทิพย์

“ว่าไงมิ ไปนะ” คีเลี่ยงที่จะไม่สนใจเสียงนกเสียงกาของนายอรุณ แต่สนใจเพียงแต่คำตอบของฉันแทน

“เอ่อ...ได้ค่ะ” ฉันตอบยิ้มๆด้วยความรู้สึกโล่งใจ ที่นอกจากคีรินจะไม่โกรธฉันเรื่องเมื่อเช้าแล้ว เขายังชวนฉันไปรู้จักคุณพ่อเขาตามที่ฉันเคยขออีก นี่ถือเป็นเรื่องดี๊ดีของวันนี้เลยนะ “แต่คีต้องรอมิแต่งตัวนานหน่อยนะ มิคงต้องสวยเป็นพิเศษ”

“ผมคงต้องใส่สูทด้วยใช่ไหมครับ”

ขนมปังบนโต๊ะนี่พอจะยัดปากหมอนี่ได้ไหมนะ

“ฉันขอให้เป็นมื้อส่วนตัวเถอะนะวันนี้” คีรินวางช้อนลงบนจานอย่างไม่สบอารมณ์ พลางมองไปที่หมอนั่นด้วยท่าทาง ไม่เป็น
มิตรนัก “เข้าใจนะ คำว่าส่วนตัว”

“คงไม่ได้หรอกครับ เพราะผมเป็นบอดี้การ์ดยูมิ เข้าใจนะครับ คำว่าบอดี้การ์ด”

ดูเขายอกย้อนสิ

“อรุณ ฉันขอเถอะ” ฉันพยายามใช้โทนเสียงเรียบพูดขอเขา ไม่แว๊ดว๊ายอย่างที่เขาไม่ชอบ นี่ฉันเห็นว่าเขาช่วยฉันจากโจรเมื่อวานโดยที่ฉันไม่ต้องเจ็บตัวซักนิด ไม่เหมือนบอดี้การ์ดคนก่อนๆหรอกนะ ถึงได้ยอมอ่อนข้อให้แบบนี้

“ผมไม่ให้ครับ”

สิ้นประโยคนั้น นายอรุณก็เดินสะบัดก้นหายวับไปหน้าบ้าน ทิ้งความน่าโมโหให้อบอวลเต็มบ้านไปหมด ซึ่งฉันก็มั่นใจว่าคีเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

“คีว่าหมอนี่ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ”

“ที่ดื้อจะไปกับเราเย็นนี้ใช่ไหมคะ”

“ที่เข้ามาค้างกับมิที่บ้านต่างหาก นี่มิยอมให้เขาเข้ามาค้างได้ยังไงกัน บ้านมิไม่มีห้องหับเป็นเรื่องเป็นราวนะ ไม่กลัวมันมาทำลุ่มล่ามกับมิเหรอ” คียิงคำถามมายืดยาวโดยแทบไม่หยุดหายใจ ส่วนฉันน่ะเหรอ...รีบกลืนน้ำลายแล้วอธิบายทันที

“คือเมื่อคืนมีโจรปลอมตัวมาเป็นคนส่งอาหารน่ะ เขาเลยห่วงว่ามันจะย้อนกลับมาอีกเลยค้างที่นี่ มิเองก็กลัวมากเหมือนกัน” ฉันพยายามรวมรวมสติและอธิบายเรื่องราวทั้งหมด เพราะที่จริงแล้วฉันคิดว่าฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ คีรินจะมาโกรธฉันได้ยังไงกัน

“แล้วไม่คิดจะโทรบอกคีเลยเหรอ”

นั่นไง...มีเรื่องให้เป็นคนผิดจนได้

“เอ่อคือ...มิคิดว่าคีคงจะหลับไปแล้ว”

ฉันรู้ ฉันน่ะห่วยแตกเรื่องการแก้ตัวขนาดไหน

“ช่างเถอะ คีจะหาเวลามาอยู่กับมิให้บ่อยขึ้นแล้วกัน คีเองก็เป็นห่วงมิมากนะ มิรู้ใช่ไหม” เขาเอื้อมมือมาแตะที่มือฉัน เบาๆ และมันก็ส่งผ่านความรู้สึกอันแสนอบอุ่นได้ดีอย่างเคย

เมฆน้อยลอยปุยสวยมาจับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นสัญญาณว่าในไม่ช้านี้ หยดน้ำใสๆหลายเม็ดคงจะกระหน่ำเทลงมายังพื้นดินให้เราได้พอคลายร้อนกันได้อย่างแน่แท้ ว่าแต่...นี่นายอรุณเขาหายหัวไปไหนของเขานะ ทำไมยังไม่กลับเข้ามาอีก

“หนังไม่สนุกเหรอมิ คีเห็นมิเอาแต่เหม่อมองไปที่หน้าต่าง เหมือนรอใครอยู่” คีรินละสายตาจากจอทีวีหันมาถามฉัน ซึ่งแม้ฉันจะอยากค้านในใจว่าฉันไมได้รอใครอยู่ แต่ก็ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง เพราะฉันเอาแต่เหม่อไปที่หน้าต่างจริงๆ

นี่ฉันรอนายนั่นอยู่จริงๆเหรอ

“มิว่านี่ก็ใกล้ 4โมงแล้ว มิขอไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวจะไม่สวย”

“โอเค งั้นคีดูหนังรอนะ”

ฉันไม่ตอบอะไรเขา แต่หันไปหอมแก้มเขาแทน ซึ่งมันก็ทำให้คนถูกหอมแก้มหน้าแดงเอาดื้อๆได้เหมือนกัน ฉันเชื่อเสมอนะ ว่าคนเราพบกันก็เพื่อลาจาก ฉะนั้น ทุกวันที่ยังเห็นหน้ากันอยู่ ก็ควรจะแสดงความรักต่อกันไว้

เวลาผ่านไปราว 2 ชั่วโมง ที่ฉันใช้เนรมิตร่างตัวเองให้สวยฉ่ำพร้อมกับดินเนอร์ในค่ำคืนนี้ ฉันเลือกเสื้อเปิดไหล่สีแดงเลือดหมูจับคู่กับกระโปรงยาวสีขาว พร้อมด้วยเครื่องประดับทับทิมเข้าชุด ส่วนผมก็ดัดให้เป็นลอนแล้วจับมัดหลวมๆไว้ที่ท้ายทอยเพื่อไม่ให้ยุ่งง่าย ก่อนจะรีเช็คความสวยของตัวเองอีกรอบ เอาล่ะ...ฉันว่าฉันสวยพอที่เป็นคู่ควงของคีรินได้แล้ววันนี้

“พร้อมแล้วค่ะคี” ฉันพูดขึ้น ทันทีที่ออกมาจากห้องน้ำที่รวมกับห้องแต่งตัวไว้ “สวยพอสำหรับดินเนอร์คืนนี้รึยังคะ” ฉันพูดติดตลก แต่ในใจก็อยากจะให้เขาชมจริงๆนั่นแหล่ะ

และแล้วเมื่อเขาหันมามองทางฉัน ภาพที่เห็นประจำในละครก็กลายเป็นเกิดขึ้นจริงในชีวิต ที่พระเอกต้องตาโตลุกวาว อ้าปากค้างเล็กๆ ตัวแข็งทื่อเหมือนโดนแช่แข็งไว้ ซึ่งแน่นอนว่าต่อให้เรียกยังไงก็ยังคงอึ้งทึ่งในความสวย ไม่รู้สึกตัวอยู่ดี

แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนในละคร ก็พระเอกน่ะสิ ดันมีอยู่ 2 คน

“นี่นายหายไปไหนมา นายอรุณ” ฉันถามพระเอกที่เดินเพิ่งเข้ามาถึงในบ้านก่อน “แล้วเปียกฝนไหมเนี่ย” ซึ่งมันก็พลอยจะทำให้พระเอกอีกคนดูไม่พอใจขึ้นมาทันที

“เราไปกันเลยนะมิ” คีพูดพลางจะคว้าเข้าที่ข้อมือฉัน แต่ก็ยังช้าไปเมื่อเทียบกับบอดี้การ์ดมือไวอย่างนายอรุณ ที่คว้าข้อมือฉันได้ก่อน

“ยังไงให้มิไปรถผมแล้วกันนะครับ ขากลับคุณจะได้ไม่ต้องแวะมาส่ง”

แบบนี้ฉันจะด่าว่าเขาล้ำเส้นได้รึยัง

“ฉันมาส่งแฟนฉันได้” คีรินกระแทกเสียงพลางจ้องเขม็งไปที่นายบอดี้การ์ด ก่อนจะเลื่อนสายตามองมายังข้อมือฉันที่มือนายอรุณจับมั่นไว้อยู่ “ปล่อยมือยูมิด้วย”

“คุณจำได้ใช่ไหมที่ผมบอกคุณว่า ต่อจากนี้ไปผมเป็นเจ้านายคุณ ผมมีหน้าที่สั่งและคุณต้องทำตาม และตอนนี้ผมขอสั่งให้คุณขึ้นรถไปกับผม” นอกจากเขาจะไม่ปล่อยมือฉันตามที่คีรินสั่งแล้ว เขายังบีบเค้นแทนอีกต่างหาก “เพื่อความสบายใจของคุณอา คุณจะยอมทำตามที่ผมบอก...” เขาวรรคประโยคน่ากลัวนั้นเล็กน้อย พลางจ้องมองเข้ามาที่ตา ของฉัน ที่ตอนนี้ค้างเติ่งไปหมดแล้ว “...ใช่ไหมครับ”

ให้ตายเถอะ นายอรุณนี่น่ากลัวชะมัด

สุดท้ายฉันก็ต้องยอมแพ้พ่ายกับความเผด็จการของนายอรุณ ขึ้นรถแล้วมากับเขาแทน แม้จะเห็นท่าทางไม่พอใจของคีรินอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อฉันตัดสินใจไปแล้ว เขาก็ได้แต่ยอมอย่างจำใจ

“นายควรจะรู้จักมารยาทบ้างนะนายอรุณ” ฉันตัดสินใจเปิดปากพูดขัดบรรยากาศที่เงียบน่าอึดอัดนี้ “รักษาหน้าคีรินบ้าง”

“ผมควรแคร์เขางั้นเหรอ”

“ไม่ใช่ว่าต้องแคร์ แค่พูดจารักษาน้ำใจ อธิบายดีดีสิ ว่าที่ต้องให้ฉันมารถนายเพราะนายกลัวว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นระหว่างทาง ไม่ใช่ทำเสียมารยาทแบบนั้น”

“ผมอยากให้คุณมากับผม เพราะผมอยากให้คุณมากับผม”

สิ้นประโยคนั้น คิ้วฉันก็ขมวดเข้าหากันทันที

“อยากให้มาเพราะอยากให้มา ให้มาเพราะอยากให้...หมายถึงอะไร ฉันไม่เห็นเข้าใจ” ฉันทวนประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งไอประโยคพิศวงน่างงงวยนี่คงไปบิดรูปหน้าฉันให้เบี้ยวไปมาล่ะมั้ง นายนั่นถึงหลุดขำออกมาแบบนั้น ว่าแต่...นี่เป็นเสียง หัวเราะแรกของเขารึเปล่านะ ที่ฉันได้ยิน

“ยัยบ้องตื้นเอ้ย” คราวนี้เสียงหัวเราะของเขาดังและชัดมาก และนั่นก็พลอยทำให้ฉันหัวเราะตามไปด้วยได้ไม่ยากนัก นี่เราสามารถหัวเราะด้วยกันได้ด้วยงั้นเหรอ แปลกชะมัด

“ก็มันงงอ่ะ นายพูดเหมือนอยากใช้เวลาอยู่กับฉันอะไรแบบนี้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยซักนิด” ฉันพูดโดยไม่หยุดหัวเราะ แต่กลับกันนายอรุณกลับหยุดหัวเราะเอาดื้อๆ พลางหันหน้ามาทางฉัน เพราะรถติดไฟแดงพอดี

“เป็นไปได้สิ ผมอยากอยู่กับคุณ” เขาพูดด้วยใบหน้าจริงจัง แม้แสงภายในรถจะมืดสลัวขนาดไหน แต่แววตาที่ดูเปล่งประกายของเขานั้น กลับทะลุความมืดมากระทบกับสายตาของฉันให้สัมผัสความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดี นี่มันคืออะไรกัน...เขาบอกชอบฉันงั้นเหรอ ตลกกันไปใหญ่แล้ว

“ไปหลอกเด็ก ป.4 เถอะย่ะ”

นายอรุณเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าประตูบ้านที่ใหญ่อย่างกับวังต่อท้ายรถของคีรินที่มาถึงอยู่ก่อนแล้ว และทันทีที่รถของนายอรุณจอดสนิทแล้ว คีก็เดินยิ้มหวานมาเปิดประตูให้ฉัน แต่นายอรุณกลับไม่ยอมเปิดล๊อคประตูให้

“อะไรของนาย เปิดล๊อคสิ”

“ยังครับ” นายอรุณกวนประสาทได้อย่างน่าโมโหมาก เขาปฏิเสธที่จะเปิดล๊อคให้ฉันลงได้อย่างหน้าตาเฉย แต่กลับเอื้อมมือไปหยิบถุงกระดาษของแบรด์ดังแล้วยื่นมาทางฉันแทน “ใส่ไอนี่ซะ”

“ถะ...ถุงมือนี่นะ” ฉันโวยวายพลางส่ายหน้าคอแทบหลุด ที่นายนี่บังคับให้ฉันสวมถุงมือบ้าบออะไรนี่ “ไม่เอาอ่ะ มันเข้ากับชุดฉันรึไง นี่ฉันไม่ได้จะไปงานแฟนซีนะ”

“ผมบอกให้ใส่”

“เออๆใส่ก็ใส่” เพราะฉันเห็นว่าคีรินกำลังทำท่าสงสัยกับท่าทีมีพิรุธอยู่หรอกนะ ถึงได้ยอมจบเรื่องนี้ ถ้าอยู่กัน 2 คนล่ะก็ ฉันเถียงลิ้นพังจริงๆด้วย

“เชิญครับ” คีรินเปิดประตูให้ฉัน เมื่อล๊อคประตูรถได้ถูกปลดแล้ว

“นายจะรออยู่ในรถเหรอ” ฉันหันไปถามคนขับก่อนที่จะลงจากรถ

“ผมจะเข้าไปด้วยครับ”

เอาเลยนายอรุณ บอดี้การ์ดยอดเยี่ยมแห่งปี

ฉันเดินควงแขนคีรินเข้าไปในบ้านเพื่อระงับอาการประหม่า แม้จะเคยได้ยินเสียงท่านผ่านทางโทรศัพท์มาบ้างแล้ว แต่ครั้นจะมาเจอกันจังจังแบบนี้ ฉันก็อดตื่นเต้นแปลกๆไมได้อยู่ดี สาทุล่ะ ขออย่าให้ตัวเองเซ่อซ่าทำขายหน้าอะไรก็แล้วกัน

“อ้าวสวัสดีๆ หนูยูมิใช่ไหม” ท่านกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง พลางวางสายตามาที่ถุงมือฉัน นั่นไง...นายอรุณ นายทำฉันขายหน้าแล้วเห็นไหม

“ฟะ...แฟชั่นใหม่น่ะค่ะท่าน” นี่รอบที่ 2 แล้วถูกไหม ที่แก้ตัวความไม่เรียบร้อยของเสื้อผ้าด้วยข้ออ้างนี้ และมันก็ไม่ได้ผลทั้ง 2 ครั้งนั่นแหล่ะ ฉันรู้ตัวดี

“นี่ยูมินะครับพ่อ” คีรินกล่าวแนะนำฉันอย่างเป็นทางการ และท่านก็รับไหว้ฉันอย่างเป็นกันเอง “ส่วนนายนั่น...”

“เอ่อ...เพื่อนมิเองค่ะ ท่านไม่รังเกียจนะคะ ถ้าอรุณจะมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย” ฉันโผลงโกหกออกไป เพราะกลัวว่าคีรินจะแนะนำว่านายอรุณคือบอดี้การ์ดส่วนตัวของฉัน การที่ลูกคนนึงจะมาข้องเกี่ยวกับคนที่มีแต่อันตรายรอบตัวทุกย่างก้าวแบบฉัน
ท่านคงไม่สบายใจเป็นแน่

“ได้สิ จะไปรังเกียจอะไร” ท่านพูดไปหัวเราะไป แต่นายอรุณกลับทำหน้าบอกบุญไม่รับ เดือดร้อนให้ฉันต้องรีบสะกิดยิกๆเป็นเชิงให้เขายกไหว้ทักทาย นี่เขาไม่รู้จักคำว่ามารยาทจริงๆใช่ไหมเนี่ย

“ผมไม่ใช่เพื่อนคุณหนูหรอกครับ เป็นแค่คนรับใช้คอยติดตามคุณหนูเท่านั้น ผมขออนุญาติไม่ร่วมโต๊ะอาหารนะครับ แต่จะไปยืนรวมกับคนของท่านแทน”

คำพูดนายนี่ทำให้ฉันดูเป็นโกหกทันทีเลยนะ

อาหารค่ำในวันนี้ ดูจะพิเศษไปเสียทุกอย่างสำหรับฉัน แม้บนโต๊ะอาหารจะมีเพียงฉัน คีริน และคุณพ่อ แต่กลับไม่เงียบเหงาเลยซักนิด เราทั้ง 3 เข้ากันได้ดีอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่านเอ็นดูที่ฉันกำพร้าพ่อแม่ หรือเพราะฉันเป็นแฟนกับลูกชายของเขา ท่านถึงได้เป็นกันเองกับฉันขนาดนี้ แต่จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่า ฉันคิดว่าฉันสอบผ่านนะ

“อร่อยไหมมิ” คีถามฉันยิ้มๆ “ทีเด็ดนี่อยู่ที่ของหวานเลยนะ ทีรามิสุฝืมือแม่ครัวบ้านคีนี่อร่อยกว่าในโรงแรมอีก”

“นี่ลุงนึกว่าไอคีมันจะขี้โม้แค่เวลาอยู่กับลุงนะ ต่อหน้าหนูมิ มันก็ขี้โม้เหรอ แย่ชะมัด”

“โถ่พ่ออ่ะ ทำคีขายหน้าหมด” คีรินทำเสียงออดอ้อน จนทั้งฉันและคุณพ่ออดขำไม่ไหว นี่เวลาเขาอยู่กับคุณพ่อ เขาน่ารักขนาดนี้เลยเหรอ น่ารักชะมัด

“เอ้อ แล้วนี่หนูมิไม่อึดอัดเหรอ เอ่อ...อาหมายถึงถุงมือที่ใส่อยู่” ท่านพูดพลางชี้มาที่ถุงมือหน้าตาประหลาดที่สวมอยู่ บนมือฉัน และเหมือนจะเป็นอัตโนมัติที่ฉันดันหันไปสบตากับนายอรุณที่ยืนปะปนอยู่กับแม่บ้านของที่นี่ ซึ่งเขาไม่ต้องพูดหรือส่งสัญญาณอะไรหรอก ฉันรู้ตัวดีว่าต้องทำยังไง

“ไม่หรอกค่ะท่าน มิชอบใส่ถุงมือ”

ให้ตายเถอะ...หางตาฉันเหลือบเห็นนะ ว่านายแอบขำ

“เลิกเรียกท่านได้แล้ว เรียกพ่อเฉยๆแบบไอคีมันนี่แหล่ะ นี่เราสนิทกันแล้วไม่ใช่เหรอ พ่อเป็นแค่นักธุรกิจธรรมดา ไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไรหรอก อย่ามาเรียกท่านเลย มันเขินๆยังไงก็ไม่รู้”

“ค่ะ คุณพ่อ”

แล้วบรรยากาศน่ารื่นรมย์นี้ก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงมาจนเกือบ 4 ทุ่ม ฉันเองก็แอบเห็นใจนายอรุณนี่อยู่เหมือนกันนะ นายนั่นคงท้องร้องเป็นจังหวะอยู่แน่ๆ แต่ลึกๆก็ยังแอบสมน้ำหน้าอยู่ดี อยากจะตามมาเองทำไมล่ะ ช่วยไม่ได้หรอกนะ

“ฟังคนแก่มาพร่ำเพร้อถึงเรื่องเก่าๆแบบนี้ ไม่เบื่อนะหนูมิ” คุณพ่อถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งฉันก็รีบสั่นหัวเป็นเชิง ปฏิเสธทันควัน แม้ฉันจะมองหน้าคุณพ่อสลับกับนายอรุณไปมาก็ตาม แต่หูฉันก็ฟังท่านอยู่ตลอดนะ และเพียงเสี้ยวนาทีเล็กๆที่ชายในชุดสูทเดินมากระซิบข้างหูคุณพ่อ งานเลี้ยงอันแสนอบอุ่นนี้ก็ดูเหมือนจะถูกเลิกราไปในทันที

“ลุงต้องขอโทษด้วยนะ แหม่...ธุรกิจนี่ก็มีปัญหาไม่รู้จักเวล่ำเวลา ลุงคงจะต้องขอตัวก่อน”

“ได้ค่ะคุณพ่อ มิก็ว่าจะกลับพอดี”

“ให้คีไปส่งไหมมิ”

“คงจะไม่ได้นะคี” อยู่ดีดีคุณพ่อก็พูดขัดขึ้นมา “เอ่อ...พ่อหมายถึง พ่ออยากให้แกมาช่วยพ่อแก้งานหน่อย หนูมิสะดวกกลับเองใช่ไหมลูก”

“ได้ค่ะคุณพ่อ ยังไงมิขอบคุณสำหรับมื้ออาหารมากนะคะ มิลาล่ะค่ะ สวัสดีค่ะ” ฉันกล่าวลาพลางพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปลาคีรินด้วย “อยู่ช่วยงานคุณพ่อไปนะคี มิกลับกับนายอรุณได้ ไม่ต้องห่วงนะ แล้วมิจะโทรหา”

“นี่คีต้องยอมให้นายอรุณมาดูแลมิแทนอีกแล้วเหรอ” เขาบ่นเสียงเบา ร้อนให้ฉันต้องตีเข้าไปที่แขนเขาหนึ่งที

“อย่างอแงสิคะ ไปช่วยคุณพ่อได้แล้ว มิไปนะ” ฉันโบกมือลาคีริน ก่อนจะหันไปทางนายอรุณเป็นเชิงให้กลับบ้านกันได้แล้ว

“หิวแย่เลยสินายน่ะ”

“มากครับ” นายอรุณตอบเรียบๆ แต่ทำไมฉันกลับขำก็ไม่รู้

“สมน้ำหน้า อยากจะทำหยิ่งไม่กินด้วยกันเอง” ฉันเหน็บพลางก้าวขาขึ้นรถ “ถ้าเป็นโรคกระเพาะ ไม่ต้องมาเบิกค่ารักษาพยาบาลกับฉันเลยนะ”

“งั้นผมขอแวะทานบะหมี่หน้าปากซอยบ้านคุณหน่อยนะ ผมไม่อยากเป็นโรคกระเพาะ”
แม้เขาจะกวนประสาทฉันด้วยถ้อยคำยียวนขนาดไหน ก็ไม่อาจทำให้ฉันอารมณ์เสียไปได้หรอก เพราะมื้ออาหารค่ำที่ผ่านมามันมีผลต่อต่อมอะไรซักอย่างในร่างกายฉัน จนทำให้ฉันยิ้มแย้มอารมณ์ดี สดชื่นแฮปปี้อย่างบอกไม่ถูก อยากพูดอะไรก็เชิญเลยย่ะ นายอรุณ

“ยิ้มมากๆตีนกาจะถามหานะคุณ”

“ขี้อิจฉา”

“ถ้ามีตีนกา คุณจะดูแก่กว่าวัยนะ”

“ฉันสวย”

เป็นไง เจอคนพูดน้อยแต่กวนประสาทแบบนี้ รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกเลยใช่ไหม

“นี่นายมีซีดีเพลงรักอะไรทำนองนี้ไหม เปิดให้ฟังหน่อยสิ”

“มี แต่ตอนนี้ไม่มีอยู่อย่าง” นายนั่นพูดพลางทำท่าเลิ่กลั่ก “ปั่ดโถ่เว้ย! ว่าแล้วเชียวว่าทำไมถึงไม่ยอมให้ไอคีมาส่ง”

“นี่นายพูดเรื่องบ้าอะไร แล้วนี่ขับให้มันช้าๆหน่อยได้ไหมฮะ แล้วไม่มี ไม่มีอะไร”

“ไม่มีเบรค!”

“ฮ้ะ!!!” สิ้นเสียงตกใจของฉัน นายนั่นก็หักพวงมาลัยซ้ายขวา จนฉันมึนหัวไปหมด นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย อยู่ดีดีเบรคจะหายไปได้ยังไงกัน

“คาดเข็มขัด!”

“ฮะ!”

“คุณจะฮะจนได้โล่เลยรึไง ผมบอกให้คาดก็คาดเส่”

“โอเคๆ!” นี่กลายเป็นว่าเราต้องตะโกนคุยกันแล้ว และแม้ว่าจังหวะหัวใจของฉันจะเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกมาหงายโชว์ก็ตาม ฉันก็ต้องพยายามควบคุมสติแล้วรูดเข็มขัดมารัดไว้ให้ได้ “คาดเสร็จแล้ว”

“หลับตา!”

เออ...ต่อให้อยาก’ฮะ’แค่ไหนก็ไม่’ฮะ’แล้ว หลับก็หลับ ฉันรีบหลับตาปี๋และไม่คิดจะลืมเด็ดขาดจนกว่านายอรุณจะสั่งให้ลืม ส่วนมือทั้ง 2 ข้างก็จิกที่เบาะไว้แน่น และแม้ฉันจะรู้สึกได้ว่าความเร็วค่อยๆลดลงแล้ว แต่มันก็ยังเป็นระดับความเร็วที่มากพอที่จะดับชีวิตฉันได้ ซึ่งก็หมายความว่า ตอนนี้ฉันก็กลัวโคตรๆอยู่ดี

/แกร๊ก/

ฉันรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงปลดเข็มขัดออกจากที่ล๊อค

/หมับ/

และกำลังรู้สึกว่ามีคนกอดตัวฉันอยู่

/โคร้มมมมมมมมม!!!!!!/

และตอนนี้ฉันกลับรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆแล้วด้วยระเบิดทำลายล้างอานุภาพสูง หูทั้ง 2 ข้างของฉันเหมือนจะดับไปชั่วขณะ ฉันรู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวกำลังหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว และทางในกลับกัน ฉันก็กลับรู้สึกเหมือนเวลาได้ถูกหยุดนิ่งไว้ไม่ขยับไปไหน ทุกอย่างดูสับสนไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ

“ยะ...ยูมิ”

เสียงแห้งผากเหมือนคนกำลังได้รับบาดเจ็บปลุกสติฉันให้กลับคืนมา และเพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆที่ฉันได้ลืมตาขึ้นมามอง ใจฉันก็แทบจะหยุดเต้นไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นทันที นี่เขาปลดเข็มขัดเพื่อมากอดฉัน ในขณะที่หยุดรถด้วยการอัดเข้ากับต้นไม้งั้นเหรอ

“นาย นายเป็นอะไรรึเปล่า”

“คุณไม่เจ็บนะ ผมขอโทษที่ต้องใช้วิธีโง่ๆแบบนี้” ในขณะที่เขาพูดอยู่ ฉันไม่สามารถจะมองหน้าเขาได้ชัดๆเลย เพราะเขายังคงกอดฉันไม่ยอมปล่อย

“นายโอเคใช่ไหม” ฉันถามซ้ำอีกครั้ง ก่อนที่หางตาของฉันจะสัมผัสได้ถึงชายแปลกหน้า 2 คนนี่กำลังพุ่งตรงมาที่รถ ของเรา

“นะ...นายอรุณ มีคนต..ตามเรามา” ฉันกระซิบเสียงสั่น ส่วนนายอรุณเมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว ก็ค่อยๆขยับตัวออกห่างจากฉันเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือเอื้อมไปหยิบของในลิ้นชักหน้ารถ ซึ่งก็ไม่เกินคาดไปมากนักที่นายนั้นล้วงปืนออกมา

“อุดหูซะ!”

/ปัง ปัง/

ปืนกระบอกสั้นขนาดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ถูกหยิบออกมาใช้ได้อย่างทันท่วงที อรุณใช้เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก็สามารถจัดการกับชายนิรนาม 2 คนนั้นได้ จนทั้งคู่ล่วงลงไปกองอยู่กับพื้น

“ลงจากรถ!”

คล้ายกับแข้งขาฉันจะไร้เรี่ยวแรงไปชั่วขณะ เพราะไม่อาจจะทำตามที่เขาสั่งได้ในทันที จนเสียงปิดประตูฝั่งคนขับปิดดังปึ้งเท่านั้นแหล่ะ สติถึงได้แล่นกลับมาสั่งให้อวัยวะส่วนขาได้วิ่งแจ้นลงจากรถตามเขาไป

“นายจะไปไหนน่ะ” ฉันตะโกนไล่ตามหลังเขา

/ปัง/

และไม่ทันที่ฉันจะได้คำตอบอะไรจากเขา สถานการณ์ที่ดูจะไม่ยอมปกติง่ายๆก็ยังคอยส่งลูกปืนมาอย่างไม่ยอมหยุดพัก นี่หูดรูดปัสสาวะฉันจะเสียแล้วนะ ถ้ามันราดขึ้นมาดื้อๆฉันจะทำยังไง

/ปัง/

“กรี๊ดดดดด!”

เพียงคืบเท่านั้น กระสุนเฉียดฉันไปแค่คืบจริงๆ

/ปัง ปัง/

ยัง! ยังจะไม่ยอมหยุดยิงอีก แต่คราวนี้เป็นคราวโชคดีของฉันที่เหมือนจะเข้าใกล้ความปลอดภัยมากขึ้น เพราะร่างฉันได้ถูกโอบแนบชิดไว้ด้วยมือของใครคนนึง ซึ่งไม่ต้องเดาให้เหนื่อยก็ต้องรู้ว่าใคร

“โอ๊ย ยย!”

“อรุณ!”

แต่กลับกัน ความปลอดภัยของฉันกลับต้องแลกมาด้วยความไม่ปลอดภัยของคนอื่นแทน

“โถ้เว้ย!”

อยู่ดีดีนายอรุณก็ลุกผงาดยืนขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวอะไรก่อนจะเล็งปืนไปยังเป้าหมาย ที่ให้ตายเถอะ...ฉันยังไม่เห็นเลยแม้ซักนิด ว่าไอมือปืนที่ดักซุ่มยิงอยู่นั้น มันสิงอยู่ส่วนไหนของถนน เขาจะยิงถูกได้ยังไงกัน

/ปัง/

ฉันคิดผิด เพราะทันทีที่กระสุนถูกปล่อยออกจากปืนของนายอรุณแล้วนั้น เสียงร้องที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดก็ดังเล็ดลอดออกมาจากข้างหลังต้นไม้ใหญ่ริมถนนทันที

“ปลอดภัยแล้วครับ พวกมันตายหมดแล้ว” นายอรุณหันมาบอกฉันที่ขาทรุดลงไปนั่งหมอบกับพื้นอยู่ ก่อนจะเดินเข้ามาหาแล้วประคองฉันขึ้น นี่เขาเป็นห่วงฉันขนาดนี้ได้ยังไงกัน ทั้งๆแขนเขาอาบไปด้วยเลือดแบบนั้น

“อ...อรุณ นาย นายถูกยิงนะ”

“ผมรู้แล้ว”

“นะ...นายถูกยิงนะ” ฉันยังย้ำประโยคนั้นอยู่ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนใกล้วิกลจริตเต็มที พอรู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลพรากอาบแก้มจนเครื่องสำอางเลอะไปหมดแล้ว นี่ฉันกลัวว่าตัวเองจะตาย หรือกลัวที่เห็นเขาโดนยิงกันแน่นะ

“ยูมิจะร้องไห้ทำไม นี่คุณปลอดภัยแล้วนะ” เขากระซิบเสียงแผ่วเบาพลางดึงฉันเข้ามากอด มือนึงเขาใช้โอบเอวฉันไว้ ส่วนอีกมือก็ลูบหัวฉันให้สงบอารมณ์อย่างนุ่มนวล “เราไปจากที่นี่กันเถอะ”

“เราจะไปยังไง รถนายพังยับเยินขนาดนั้น” ฉันแทรกเสียงพูดด้วยเสียงสะอื้นเป็นระยะ “แล้วพวกนั้นจะตามมาอีกไหม”

“เชื่อใจผมสิ” เขาพูดเรียบๆแค่นั้น ก่อนจะจูงมือฉันแล้วเดินไปที่รถมอเตอไซต์คันโต ซึ่งเจ้าของเดิมได้นอนแอ่งแม้งอยู่กลางถนนไปเรียบร้อยแล้ว

“เดี๋ยวนะนาย นี่มันของคนตายนะ นายจะเอาแบบนี้จริงเหรอ”

“ขึ้นมาเถอะ ผมขี้เกียจเดิน” เขาพูดแค่นั้นแล้วเสียงสตาร์ทรถก็ดังกระหึ่มขึ้นท่ามกลางความมืดและความเงียบงัน ซึ่งคนทางเลือกน้อยอย่างฉันก็คงจะทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากยอมขึ้นคร่อมรถแล้วกอดเข้าที่เอวนายอรุณทันที

“ไปโรงพยาบาลก่อนนะ ฉันไม่อยากให้นายเสียเลือดไปมากกว่านี้”

เขาไม่พูดอะไร หากเพียงแต่กระชับมือฉันให้กอดเอวเขาให้มั่นมากขึ้น แล้วออกรถไปในที่ที่ฉันก็ไม่มั่นใจเสียทีเดียวว่า มันจะเป็นโรงพยาบาล และฉันก็ไม่คิดจะเซ้าซี้อะไรเขาให้มากความไปกว่านี้ ได้แต่นั่งให้ลมกระโชกผ่านพัดกระทบเข้าที่ตัวและหน้าไปเรื่อยๆ โดยที่ตาก็ไม่แม้แต่จะละไปจากแผลเขาได้เลย จนเวลาผ่านไปเกือบ 20 นาที ความเร็วรถถึงได้ค่อยๆลดลง
และก็เป็นไปตามคาด ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล

“ที่นี่คงมีพยาบาล ไม่ก็หมอสินะ” ฉันแกล้งพูดหยอกล้อเขาไป “นายเจ็บมากไหม”

“มันแค่ถากๆน่ะ ที่นี่เป็นร้านอาหารของผมเอง เราพักผ่อนกันที่นี่ก่อนแล้วกันนะ” เขาบอกยิ้มๆ พลางเดินนำหน้าฉัน ไปที่หลังร้าน ซึ่งฉันเองก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย

เสียงกระดิ่งที่ถูกผูกติดกับบานประตูส่งเสียงเรียกบอกถึงการมาถึงให้คนในบ้านได้รู้เล็กน้อย ก่อนจะปรากฎร่างหญิงสาวผู้แสนน่ารักยืนอ้าปากค้างอยู่ ก็เลือดข้นของนายอรุณที่ทะลักออกมาเลอะเทอะไปหมดน่ะสิ ที่ไปทำให้สาวหน้าใสคนนั้นแทบจะช๊อคไป

“รุณ โดนอะไรมา โดนยิงเหรอ” เธอพูดอย่างตกใจจนลิ้นแทบจะพันกัน พลางเก็บผมขึ้นไปเป็นก้อนเพื่อเพิ่มความทะมัดทะแมง แล้วจัดแจงคว้าหาเอาหยูกยามาจนเกลื่อนพื้นไปหมด “แค่ถาก กระสุนไม่ฝังใน แต่แผลนี่ลึกใช่ย่อยเลยนะ ทนเจ็บหน่อยนะอรุณ” ปากกระจับเล็กๆปากนั้นขยับพูดไม่หยุด ส่วนมือก็ทำแผลให้นายอรุณจนแทบป็นระวิง ฉันกำลังคิดว่าจะเขยิบเข้าไปใกล้เธอเล็กน้อยเผื่อจะช่วบหยิบจับอะไรได้บ้าง แต่ไม่ทันที่จะได้ขยับอะไร ก็โดนเธอเบรคเสียก่อน

“รบกวนหลบไปมุมซ้ายนะคะ อรุณต้องการอากาศหายใจ”

โอเค ฉันรู้ซึ้งถึงความเป็นส่วนเกินแล้วล่ะ


ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับเข้าที่ศรีษะของผม มันหนักอึ้งจนแทบขยับไม่ได้ และแม้ผมจะลืมตาขึ้นมาแล้วก็ตาม ก็ยังคล้ายกับว่าผมยังหลับตาอยู่ เพราะภาพเบื้องหน้ายังคงสลัวมัวและไม่คมชัดอย่างเช่นปกติ

“อรุณ” ผมพยายามเปิดโสตประสาทให้รับเสียงนั้นเข้ามา แต่ไม่รู้เพราะความมึนของผม หรืออย่างไรกันแน่ ทำไมผมถึงรู้สึกมี 2 เสียงที่เรียกผมอยู่

“อรุณ ได้ยินเราไหม นี่น้ำนะ” ผมกระพริบตาถี่ๆจนใบหน้าของน้ำเริ่มชัดขึ้น ผมยิ้มให้กับสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของเธอ และเอื้อมมือไปแตะผมเธอเบาๆ

“ห่วงเราเหรอ”

“ต้องห่วงสิ แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ปวดๆหัวกับแผลนิดหน่อย นอกนั้นโอเค” ผมตอบสั้นๆพลางสอดส่องมองไปรอบๆห้อง แปลกนะ...เมื่อกี๊ผมรู้สึกเหมือน
ได้ยินเสียงยูมิเรียกชื่อผมพร้อมๆกับที่สายน้ำเรียก แต่ตอนนี้ไม่ยักกะเห็นเธอยืนอยู่ในห้อง

“ยูมิพักอยู่ที่ห้องเราน่ะ อรุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ เรากำชับเด็กในร้านไว้แล้วว่าให้ดูแลเธอเป็นอย่างดี เอ้อ...แล้วมีอีกเรื่อง”

“อะไรเหรอ”

“เฮียคนนั้น ชื่อเฮียป๊วยใช่ไหม เขามารอจะคุยกับอรุณอยู่น่ะ แต่เราว่าพักอีกหน่อยเถอะ เรื่องงานไว้ว่ากันก็ได้”

“เราโอเคมากแล้วล่ะน้ำ ไปตามเขาเข้ามาเถอะ” แม้ลึกๆผมจะรู้ดีว่าเธออยากจะขัดใจผมแค่ไหน แต่สาวเจ้าก็ยัง อุตส่าห์ข่มอารมณ์แล้วเดินไปตามเฮียป๊วยตามที่ผมบอกแต่โดยดี และมันก็ทำให้ผมอดขำกับท่าทางน่ารักแบบนั้นไม่ได้

“เป็นยังไงอรุณ” เสียงเฮียป๊วยลอยเข้ามาทางประตูที่เปิดแง้มไว้อยู่ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินตามเข้ามา “เฮียไม่ดูใจร้ายไปหรอกนะ ที่อยากจะคุยเรื่องงานทั้งๆที่เอ็งยังนอนเจ็บอยู่แบบนี้”

“ผมไม่เป็นอะไรมาก อย่ามองผมเป็นคนป่วยเลยครับ เริ่มธุระของเรากันเลยดีกว่า” ผมเป็นพวกประเภทไม่ชอบเสีย เวลาเลยส่งผลให้เป็นคนชอบพูดตัดบทไปแบบนั้น ซึ่งผมเองก็มั่นใจว่า เฮียคงชินกับเรื่องนี้ไปเสียแล้ว

“คนส่งอาหารปลอมที่บุกบ้านหนูยูมิไปคราวนั้น ตายแล้ว”

“ห่ะ..ว่ายังไงนะครับ” ใจผมเหมือนจะหายลอยลิ่วไปกับสายลม ที่รู้ข่าวว่าพยานที่จะสามารถเอาผิดกับไอพวกอิรสิงห์ที่ฆ่าพ่อแม่ของผมและเกือบฆ่าน้ำตายนั้น ได้ตายไปเสียดื้อๆแล้ว “ได้ยังไงกันครับ โดนเก็บเหรอ ใครเป็นคนทำ”

“เฮียไม่อยากจะคิดหรอกนะ ว่าในบรรดาตำรวจมีหนอนบ่อนไส้ปนอยู่ แต่บางทีคุณพ่อของหนูยูมิอาจจะคิดถูกก็ได้ ที่ไม่ยอมมอบหลักฐานให้ตำรวจ เพราะมันอาจจะมีหนอนอย่างว่าอยู่ในกรมตำรวจจริงๆ” เฮียป๊วยพูดด้วยน้ำเสียงปลงๆ แม้หน่วยโฮลี่ของเราจะทำงานแยกขาดกับกรมตำรวจอย่างสิ้นเชิงก็ตาม แต่สุดท้ายแล้ว พวกเราก็ยังถือเป็นลูกน้องของกรมอยู่ดี ซึ่งลองถ้ามีหนอนบ่อนไส้อย่างที่เฮียบอกจริงๆแล้วล่ะก็ งานนี้คงไม่ใช่ง่ายๆแล้ว “แล้วงานที่เฮียให้เอ็งไปสืบล่ะ ได้เรื่องยังไง บ้าง”

“ถ้าเป็นเรื่องนายคีริน ผมสันนิษฐานว่า เขาน่าจะยังไม่รู้เรื่องเบื้องหลังธุรกิจสกปรกของครอบครัวนะครับ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพ่อตัวเองกำลังจะทำร้ายแฟนตัวเองอยู่ เพราะดูจากตอนที่แยกย้ายกันกลับบ้าน คีรินมันก็อยากจะมาส่งยูมิ และผมก็มั่นใจว่านั่นไม่ใช่การแสดง ซึ่งถ้ามันรู้อยู่แล้วว่าพ่อมันสั่งตัดสายเบรครถผม มันก็คงเล่นน้ำตามพ่อมันได้เนียนว่านี้”

“ก็แปลว่าเป็นฝีมือของไอคงคา พ่อไอคีรินคนเดียวสินะ”

“งั้นแบบนี้...” ผมวรรคประโยคเล็กน้อยเพื่อลดระดับความดังของเสียง ก่อนจะถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ “ผมยังต้องพยายามแย่งยูมิมาจากนายคีรินอยู่รึเปล่า”

“เฮียยังยืนยันจะใช้แผนนี้นะ เพราะอีกไม่นานนี้คีรินมันจะต้องรู้แน่ ว่าลายนิ้วมือแฟนมันสำคัญต่อความเป็น ความตายของพ่อมันขนาดไหน ถ้าเอ็งแย่งคุณหนูมาได้ไว้ในครอบครองก่อน ยังไงเราก็วางใจไว้ได้ไปเรื่องนึง”



กล้วยสีเขียว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2558, 18:30:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2558, 18:30:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 736





<< ภารกิจที่ 2   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account