ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: เจ้าสาวภูต : บทที่ ๑ เดินทางกลับ

เจ้าสาวภูต : บทที่ ๑ เดินทางกลับ

ฮ่องเต้ยังทรงล่าสัตว์ต่อแม้จะเกิดเหตุการณ์หมีอาละวาดจนองค์ชายรองบาดเจ็บ พระองค์เข้าป่าเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่หวาดหวั่นภยันตราย ทรงสอนบรรดาโอรสว่าถ้าผู้นำขลาดกลัวด้วยเรื่องเล็กน้อย ไพร่พลก็จะพลอยเสียขวัญ

นอกจากเรื่องที่ทรงสอนแล้ว ยังมีสิ่งที่เห็นได้ชัดอีกประการหนึ่งคือทรงเป็นบิดาที่เข้มงวด แม้องค์ชายรองจะบาดเจ็บพระองค์ก็มิได้ถามถึงหรือสั่งการให้ดูแลเป็นพิเศษแต่อย่างใด ด้วยถือว่าโตพ้นวัยที่ต้องคอยปกป้อง เกิดเป็นบุรุษต้องเข้มแข็งห้ามคร่ำครวญ ต่อให้เจ็บปางตายก็อย่าได้ทำตัวน่าเวทนา

ไม่ว่าโอรสองค์ใดบาดเจ็บ พระองค์ก็ทรงปฏิบัติเช่นนี้ เพื่อแสดงออกว่ารักลูกอย่างเท่าเทียม ถึงกระนั้นก็ยังมีเสียงซุบซิบนินทาว่าที่ฮ่องเต้ไม่ทรงใส่พระทัยองค์ชายรองเป็นเพราะมารดามีศักดิ์ต่ำ ถ้อยคำในแง่ลบไม่ทันซาลง ฮ่องเต้ก็ทรงมีรับสั่งว่าจะเสด็จกลับเมืองหลวงในวันรุ่งขึ้น พระองค์จะเดินทางเลยไม่ย้อนกลับไปที่ตั้งพลับพลาหลัก ให้องค์ชายรองกับองค์ชายสี่จัดการสะสางงานที่ยังไม่ลุล่วงให้เสร็จ

องค์ชายรองยังบาดเจ็บแทนที่จะมีรับสั่งให้ไปรักษาตัวที่เมืองหลวง กลับให้รั้งอยู่ในป่าเขากันดาร หากคิดน้อยใจคงไพล่นึกไปว่าถูกพระบิดาชิงชัง น่ายินดีที่องค์ชายรองมิได้โง่เขลาเบาปัญญา ชายหนุ่มมองเห็นความเมตตาที่พระบิดาหยิบยื่นให้ ฮ่องเต้ทรงรู้ว่าคนเจ็บไม่ควรเดินทาง จึงมีรับสั่งให้อยู่ที่นี่ก่อน ที่มอบหมายงานให้ก็เพราะทรงไว้ใจและเห็นความสามารถ เพื่อให้ไม่ต้องรับภาระหนักเกินไป เลยมีบัญชาให้องค์ชายสี่ที่เป็นต้นเหตุทำให้บาดเจ็บคอยช่วย เป็นการชดเชยให้ทางหนึ่ง นอกจากนี้หากทำงานได้ดีก็จะได้รับการชื่นชมจากขุนนางท้องถิ่น เป็นการสั่งสมเกียรติภูมิไปในตัว

แม้จะได้รับพระเมตตาองค์ชายรองก็ยังไม่ละทิ้งความทระนง เขาตามคนอื่นเข้าป่าล่าสัตว์ทั้งที่ยังบาดเจ็บ ผลจากความดันทุรังทำให้ผลงานดีเป็นอันดับสาม เป็นรองแค่องค์ชายสี่กับองค์ชายห้า เรื่องจำนวนและความหลากหลายองค์ชายสี่ชนะไป แต่ขนาดและความยากของชนิดสัตว์ที่ล่าองค์ชายห้านำอยู่หลายช่วงตัว

บรรดาองครักษ์ล้วนชื่นชมองค์ชายรอง เหล่าพี่น้องก็ยกย่องในความอดทน มีเพียงกุ้ยฮวาเท่านั้นที่ไม่พอใจ นางบ่นเสียมากมายว่าเขาไม่รู้จักห่วงตัวเอง

แว่นเหนื่อยใจกับองค์ชายจงเต๋อไม่น้อย ตอนสายเขาอุตส่าห์ช่วยดูแลใส่ยาให้เป็นอย่างดี เมื่อชายหนุ่มบอกจะพักก็ยอมออกมาไม่รบกวน แต่กลายเป็นว่าไม่ถึงชั่วยามหลังจากนั้น องค์ชายก็กระโดดขึ้นหลังม้าเข้าป่าล่าสัตว์จนแผลเปิด แว่นจึงกลับมาช่วยดูแลอีกรอบ

องค์ชายรองและองค์ชายห้าต่างก็ช่วยชีวิตกุ้ยฮวาเอาไว้ แต่แว่นรู้สึกติดค้างองค์ชายรองมากกว่าเพราะเขาบาดเจ็บ จึงใส่ใจพยาบาลเป็นพิเศษ ไม่ทันคิดเลยว่าอาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิด

องค์ชายเหวินหรงลอบมองกุ้ยฮวาเดินเข้าออกกระโจมขององค์ชายรองเงียบๆ แววตาไม่มีความริษยาแต่ก็เคลือบด้วยความหม่นหมอง

“ได้แต่มองตาปรอยแล้วเมื่อไรจะคืบหน้า” เสียงองค์ชายสามดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

เมื่อหันไปมองตามเสียงก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเดินออกมาจากดงไม้ ชายหนุ่มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วยุแกมหยอกว่า

“อยากให้นางเอาใจก็ทำตัวเองให้เจ็บบ้างสิ เกิดเป็นลูกผู้ชายซื่อตรงเกินไปผู้หญิงไม่ชอบหรอกนะ”

องค์ชายห้ารับฟังแต่ไม่คล้อยตาม พี่ชายจอมป่วนเลยยิ่งกระเหี้ยนกระหือรืออยากแกล้ง

“ถ้าเจ้าไม่คิดจะทำอะไร ข้าช่วยเอง”

พริบตาเดียวองค์ชายสามก็เข้ามาประชิดตัว ชายหนุ่มใช้เท้าเตะท่อนไม้ที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วฟาดมันลงบนแขนขวาของน้องชายอย่างแรง ทว่าแทนที่จะเกิดบาดแผล ไม้ท่อนนั้นกลับหักกระเด็น องค์ชายห้าไม่สะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันคนลอบทำร้ายกลับมือชา ปวดหนึบไปทั้งแขน

บัดนี้องค์ชายลี่หมิงได้ตระหนักแล้วว่าการทำให้องค์ชายเหวินหรงบาดเจ็บไม่ใช่เรื่องง่าย องค์ชายห้าไม่คิดโต้ตอบหรือโกรธเคือง เขาใช้สายตามองพี่ชายในทำนองว่าเข้าใจหรือยังว่ามารยาชายที่พี่สามพร่ำสอนมันเอาไปใช้ไม่ได้

“อ้า...แข็งแกร่งเกินไปก็ใช่ว่าจะดีนะ”

องค์ชายสามเลิกแกล้งในทันที เขาตบบ่าน้องชายแรงๆ แทนการปลอบใจ


ขบวนเสด็จของฮ่องเต้โหย่งซินเคลื่อนพลออกจากป่าตั้งแต่เช้ามืดเพื่อตามไปสมทบกับขบวนของพระธิดาที่เดินทางไปยังจุดนัดพบตั้งแต่เมื่อวาน ขากลับนี้พระองค์มิได้ออกนอกเส้นทาง แต่ตรงดิ่งกลับเมืองหลวงเลย จึงประหยัดเวลากว่าขามามาก

ไป๋หลินกับหยางเจี้ยนเดินทางไปกับขบวนเสด็จได้ระยะหนึ่งก็ขอล่วงหน้าไปก่อน ทั้งคู่ต้องเร่งเดินทางเพราะประมุขมู่ส่งคนมาแจ้งว่าให้เลิกเตร็ดเตร่ ถ้าไม่รีบไปรายงานตัวที่สำนักทลายภูผา มีหวังถูกบังคับให้กลับบ้านแน่

การเดินทางอันแสนราบรื่นทำให้แว่นรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก จึงฉลองความสงบนี้ด้วยการนอนหลับ หน่อมปล่อยให้เพื่อนพักผ่อนโดยไม่รบกวน ขาไปเขาหลับตลอด ขากลับก็เลยต้องสลับบทมานั่งเหงาไม่มีเพื่อนคุยบ้าง

องค์หญิงผู้แสนสงบเสงี่ยมอย่างลี่จู ทนอุดอู้อยู่ในรถม้าได้สบาย ผิดกับองค์หญิงหก นางเบื่อนั่งรถนานๆ จึงปลอมตัวเป็นทหารหญิง ขี่ม้าตีคู่ไปกับรถม้าที่ประทับ ฮองเฮาไม่ทรงรู้ตัวเพราะพระธิดาบอกว่าจะไปนั่งเล่นในรถขององค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวา

องค์หญิงเหวินหงถูกจับได้ตอนที่ขบวนเสด็จหยุดพัก นางถูกฮองเฮาบ่นว่าเสียมากมาย องค์หญิงหกไม่อยากหูชาเลยเบนความสนใจพระมารดาไปที่อย่างอื่น ฮองเฮาทรงห่วงก็แต่เรื่องโอรสธิดาเท่านั้น องค์ชายเหวินหรงบังเอิญมาดูแลพระมารดาตามหน้าที่พอดี จึงถูกใช้เป็นตัวช่วย

“เสด็จแม่อย่ามัวบ่นหม่อมฉันเลยเพคะ หาอะไรให้เหวินหรงกินดีกว่า ช่วงนี้น้องซูบไปตั้งเยอะ”

คำว่า ‘ซูบ’ ดูจะห่างไกลร่างกายอันอวบอ้วนขององค์ชายห้าไปมาก ถึงกระนั้นฮองเฮาก็หันไปเร่งนางกำนัลให้รีบจัดหาอาหาร

“ฮุ่ยเสียน เจ้าไปเอาขนมมาให้องค์ชายกินรองท้องที”

“เพคะ” ฮุ่ยเสียนรับคำแล้วนำซาเลาเปาออกมาให้

ซาลาเปาเหล่านี้ทำจากเนื้อหมูป่าที่องค์ชายห้าล่ามาได้ ท่านหญิงฮุ่ยเสียนลงมือปรุงอย่างพิถีพิถันเพื่อคนที่นางรัก

“เจ้าทำเองใช่ไหมฮุ่ยเสียน กลางป่าเขาอย่างนี้ก็ยังอุตส่าห์สรรหามาได้ เก่งจริง” องค์หญิงหกชม

อันที่จริงนางมิได้ประทับใจมากมาย เพียงแต่พยายามพูดเรื่องอื่นเพื่อจะได้ไม่เปิดช่องให้เสด็จแม่บ่นต่อ

องค์ชายห้าหยิบซาลาเปาเข้าปาก กัดแล้วชมว่าอร่อยเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจคนทำ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินอย่างเงียบๆ ตามวิสัย ชายหนุ่มจัดอยู่ในประเภทเลี้ยงง่าย ส่งอะไรมาให้ก็เอาเข้าปากกินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด คนทำเลยปลื้มใจเป็นอย่างมาก และคงจะมีความสุขกว่านี้ถ้าไม่มีลูกนกตัวจ้อยบินมาจิกกินซาลาเปาของนาง

“นี่มันนกของกุ้ยฮวานี่เพคะ” ฮุ่ยเสียนชี้ให้ทุกคนดู “ไม่รู้จักรับผิดชอบเลย ปล่อยให้มาแย่งอาหารคนได้อย่างไรกัน”

“นกตัวนี้ไม่ใช่ของกุ้ยฮวาหรอก” องค์หญิงหกแก้ให้

“จะไม่ใช่ได้อย่างไรเพคะ หม่อมฉันจำด้ายแดงที่ขาของมันได้”

ฮุ่ยเสียนเกลียดเจ้าของนก เลยพาลเกลียดนกไปด้วย ถึงกับกล่าวอาฆาตไว้ว่าถ้ามันกล้าสร้างปัญหาให้นางจะจับไปทำนกทอดกระเทียมให้ดู

“เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้เป็นของเหวินหรงแล้ว” องค์หญิงหกขยิบตาให้น้องชายเป็นเชิงล้อเลียน “ดีจริงนะไม่ทันแต่งก็มีโซ่ทองคล้องใจแล้ว”

ฮุ่ยเสียนถึงกับหน้าง้ำ กุ้ยฮวาร้ายนัก ตอนอยู่กลางป่าเห็นใส่ใจดูแลแต่องค์ชายรอง ลับหลังคนอื่นกลับให้นกมาเป็นของฝากรัก

“อย่าพูดเช่นนั้น กุ้ยฮวาจะเสียหาย” องค์ชายห้าปรามพี่สาว

“มีอะไรให้เสียหาย เป็นคู่หมายกันอยู่แล้วนี่”

องค์ชายห้าไม่โต้แย้ง ชายหนุ่มหันไปบิซาลาเปาเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้นกน้อยกินได้สะดวกขึ้น

“นกตัวนี้เชื่องจริง ชื่ออะไรรึเหวินหรง” ฮองเฮาตรัสถาม

พระนางชอบสัตว์ตัวเล็กๆ เป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งเป็นนกยิ่งโปรดเป็นพิเศษ

“ลูกรู้เพคะ...มันชื่อจิ๊บน้อย” องค์หญิงหกแย่งตอบ

นางอยากล้อรสนิยมการตั้งชื่อของน้องชายอยู่หรอก แต่บังเอิญทราบมาก่อนว่ากุ้ยฮวาตั้งให้ จึงไม่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาแหย่

“ชื่อน่าเอ็นดูสมตัวจริง”

เมื่อเห็นว่าพระมารดาชอบ องค์ชายเหวินหรงก็ออกคำสั่งให้นกน้อยบินไปเกาะที่มือพระนาง เพื่อให้ทอดพระเนตรได้ถนัดตา จิ๊บน้อยทำตามอย่างเชื่อฟัง มันซนนักแต่ก็เก่งเรื่องประจบสตรี ไม่เพียงแต่เอียงคอไปมาทำหน้าน่ารัก ยังส่งเสียงจิ๊บๆ ตอบกลับเวลาฮองเฮาตรัสด้วย

ฮุ่ยเสียนไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ฮองเฮากับองค์ชายห้าให้ความเอ็นดูลูกนก นางเผลอเปรียบนกตัวนี้เป็นกุ้ยฮวา จึงไม่อาจทนปั้นหน้ายิ้มต่อได้ นางรีบหลบไปเตรียมเครื่องเสวย เป็นเหตุให้ไม่ได้ยินคำอธิบายว่าลูกนกกระจอกไม่ใช่ของฝากรัก

เจ้าจิ๊บน้อยดื้อมาก ไม่ว่าจะจับไปคืนเจ้าของกี่ครั้งมันก็ยังกลับมาอยู่กับองค์ชายห้าเสมอ กุ้ยฮวาคิดว่ามันชอบชายหนุ่มมากกว่าจึงจำใจยกให้ ทั้งที่ก็อยากเลี้ยงเอาไว้เอง

หากทราบความจริงฮุ่ยเสียนคงไม่ชิงชังกุ้ยฮวาอย่างที่เป็นอยู่ นางคิดอย่างแค้นเคืองว่าต้องหาทางจัดการกุ้ยฮวาให้จงได้


ความริษยาของสตรีช่างน่ากลัวนัก ฮุ่ยเสียนคิดอย่างหมายมั่นว่ากลับถึงวังเมื่อไร เป็นทีของนางที่จะเอาคืนบ้าง นับเป็นโชคดีที่ฮ่องเต้ทรงกรุณาต่อธิดาสกุลเฉิน มีรับสั่งให้นางแยกออกจากขบวนตรงกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องไปส่งถึงวังหลวง แว่นจึงรอดพ้นจากแผนการร้ายของฮุ่ยเสียนอย่างหวุดหวิด

เมื่อแยกตัวออกมาได้ระยะหนึ่งก็พบคนของสกุลเฉินดักรออยู่ หนึ่งในนั้นมีพี่ชายผู้แสนดีอย่างกุ้ยอี้รวมอยู่ด้วย ชายหนุ่มรีบขึ้นมานั่งบนรถม้ากับน้องสาว แล้วถามไถ่เป็นการใหญ่ว่าสุขสบายดีหรือไม่

“ข้าสบายดี ไม่อ้วนไม่ผอมลงเลย” แว่นยิ้มกว้าง

แม้จะเขียนจดหมายหากันตลอด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคิดถึงพี่ชายคนนี้เหลือเกิน

“ไม่ผอมอะไรกัน ดูซิ...แก้มตอบไปตั้งเยอะ”

กุ้ยอี้เพ่งสำรวจใบหน้าเนียนใส แม้จะดูอ่อนล้าจากการเดินทาง พวงแก้มนางก็ยังมีเลือดฝาด ริมฝีปากแดงระเรื่อ เนื้อตัวอุ่นปกติไม่ได้ร้อนอย่างคนไม่สบาย

“ดีเหลือเกินที่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย ขอบคุณสวรรค์ที่เจ้าไม่ป่วยไข้”

พี่ชายจอมขี้กังวลดึงตัวน้องสาวมากอดเสียเต็มรัก เขาโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอกที่กุ้ยฮวากลับมาเสียที

“ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านพี่เป็นห่วง”

แว่นทอดสายตามองพี่ชายผู้แสนดี กุ้ยอี้มัวแต่ห่วงน้องสาวว่าจะผ่ายผอมจนลืมดูแลตัวเอง น้ำหนักเขาลดลงมากกว่ากุ้ยฮวาเสียอีก เมื่อครู่ตอนกอดกันแว่นลูบๆ คลำๆ ดู ตัวชายหนุ่มบางลงจนรู้สึกได้ คิดแล้วสะเทือนใจยิ่งนัก

‘กล้ามของพี่ ซิกซ์แพ็กของพี่ มันหายไปเยอะเลย’

“เด็กโง่...อย่ามาเกรงใจไม่เข้าเรื่อง การเป็นห่วงเจ้าคือหน้าที่ของพี่อยู่แล้ว” กุ้ยอี้ลูบหัวปลอบเพื่อคลายความกังวลให้น้องสาว

แว่นโผเข้ากอดเขาอีกครั้งอย่างตื้นตัน พร้อมกับคิดอย่างมุ่งมั่นว่าจะต้องหาอาหารดีๆ สำหรับสร้างกล้ามเนื้อมาให้คุณพี่ชายกินเยอะๆ เพื่อตอบแทนความห่วงใยของเขา


ผู้คนในสกุลเฉินล้วนยินดีที่กุ้ยฮวาเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย ทุกคนที่แว่นรู้จักมารอรับที่ประตูใหญ่กันพร้อมหน้า ขาดก็แต่ท่านพ่อที่ต้องรอรับเสด็จ ส่วนท่านพี่อยู่ด้วยกันได้อึดใจก็ต้องกลับไปทำงาน

แม้คนในครอบครัวจะน้อยก็ยังครึกครื้นเพราะมีบ่าวไพร่คนสนิท รวมถึงครอบครัวของซีอิ๋ง มาช่วยสร้างบรรยากาศให้ หย่าลี่เตรียมอาหารของโปรดของกุ้ยฮวาเอาไว้ให้มากมาย ส่วนจื่อซ่านก็ตามแจเพราะคิดถึงพี่สาว

“พี่จ๋าอยู่กับจื่อซ่าน อย่าไปไหนอีกนะ” เด็กน้อยกอดพี่สาวเอาไว้แน่น ประหนึ่งกลัวว่านางจะหนีหายไปนานๆ อีก

ก่อนกุ้ยฮวาจะออกจากบ้าน นางบอกว่าอีกเดี๋ยวเดียวก็กลับ แต่เดี๋ยวเดียวนั้นนานเหลือเกิน ถามถึงตั้งหลายครั้งพี่สาวก็ยังไม่กลับมาเสียที

“พี่จ๋าต้องออกไปทำธุระบ้าง แต่เดือนนี้ทั้งเดือนจะอยู่กับเจ้า คอยเล่านิทานให้ฟังทุกวันเลย”

แว่นไม่รับปากว่าจะไม่ไปไหนเพราะพูดไปก็เป็นการโกหก เขาต้องกลับเข้าวังอีกครั้งช่วงปลายเดือนเก้า หนนี้ไปนานเพราะอาหญิงหงจิงอยากให้อยู่ร่วมงานเทศกาลฤดูหนาวในวัง

“ทั้งเดือนนี่นานไหม นานกว่าเดี๋ยวเดียวหรือเปล่า” จื่อซ่านถาม

“นานสิ นานกว่าตั้งหลายเท่า”

เมื่อได้คำตอบเช่นนั้นเด็กชายก็ยิ้มกว้าง ยอมปล่อยมือจากพี่สาวในที่สุด

แว่นยังไม่เหนื่อยนักจึงรื้อของฝากออกมาให้คนในบ้าน หย่าลี่ตื้นตันเป็นอย่างยิ่งที่กุ้ยฮวามีน้ำใจนำเครื่องรางมาฝาก หลิวฮูหยินถึงกับน้ำตาซึมที่คุณหนูกตัญญูต่อแม่เลี้ยง แว่นถึงกับงุนงงเพราะประเมินคุณค่าของเครื่องรางที่ราคา ต้องวิเคราะห์อยู่นานกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของหย่าลี่

แต่ไหนแต่ไรมากุ้ยฮวาไม่เคยคิดว่าหย่าลี่เป็นญาติผู้ใหญ่ ด้วยเห็นว่าหญิงสาวมีศักดิ์ต่ำกว่ามารดาของตน นอกจากนี้กุ้ยฮวายังเป็นถึงท่านหญิง มองจากมุมไหนหย่าลี่ก็ต้อยต่ำกว่า ต่อให้เป็นเมียพ่อก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ที่ผ่านมากุ้ยฮวาไม่ดีไม่ร้ายกับนางก็นับว่าใจกว้างแล้ว หย่าลี่จึงซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากที่กุ้ยฮวามีแก่ใจนึกถึง ทั้งยังให้ของแบบเดียวกันกับที่นางตั้งใจมอบให้บิดาด้วย

มิน่าเล่าคนถึงบอกว่า ‘ของฝากไม่ได้เป็นแค่ของฝาก’ คุณค่าของมันคือเรื่องของจิตใจมากกว่าราคา แว่นได้เครื่องรางมาเพียงสามอัน น้องเล็กอย่างจื่อซ่านเลยได้ของเล่นแทน ของที่แว่นซื้อมามีทั้งดาบไม้ ตั๊กแตนสาน ตุ๊กตาแกะสลัก ทว่าสิ่งที่จื่อซ่านถูกใจหนักหนากลับกลายเป็นลูกกาเสียได้

“นี่นกอะไร ทำไมสีดำทั้งตัว ข้าจับมันได้ไหม” จื่อซ่านถามเร็วจี๋

“นี่คืออีกา เจ้าลูบหัวมันได้ แต่ห้ามอุ้มหรือเล่นกับมันแรงๆ นะ” แว่นเตือนน้องชาย ก่อนจับลูกกาตัวน้อยไปวางบนแขนป้อมๆ

“เจ้านี่ชื่อว่าเฟย เจ้าลองเรียกชื่อมันดูสิ”

เมื่อจื่อซ่านเรียกชื่อลูกกาตามคำบอกพี่สาว มันก็หันมามองหน้าในทันทีประหนึ่งรู้ชื่อตัวเอง

‘เฟย’ แปลว่าโบยบิน ทว่าจนบัดนี้เจ้าเฟยก็ยังบินไม่ได้ แว่นเคยลองปล่อยมันลงมาจากที่สูง แต่เจ้าเฟยมีปัญญาแค่กระพือปีกประคองตัวเองไม่ให้หน้าทิ่มเท่านั้น ถ้ารอไปอีกสักระยะแล้วยังบินไม่ได้ ก็คงต้องทำใจว่ามันพิการเพราะตกจากที่สูงถึงสองหน

จื่อซ่านมองลูกกาตัวจ้อยตาวาว เด็กน้อยใช้นิ้วลูบตัวมันอย่างระมัดระวัง แว่นเห็นว่าน้องรู้จักเบามือกับสัตว์เลี้ยงจึงอนุญาตให้พาลูกกาไปอวดมารดาได้ จื่อซ่านวิ่งไปหาแม่อย่างร่าเริง สักพักก็กลับมาถามว่าลูกกากินอะไรได้บ้าง ท่าทางคงอยากป้อนขนมให้มันเพราะได้เวลาของว่างพอดี

“เฟยกินอาหารพวกเนื้อกับผักได้ แต่ต้องเป็นชิ้นเล็กๆ และห้ามให้เยอะเกินไป” แว่นบอกกับทั้งจื่อซ่านและพี่เลี้ยง

จื่อซ่านวิ่งปร๋อไปขอเนื้อตากแห้งจากในครัว เด็กชายเห่อเจ้าเฟยมาก เที่ยวเอาไปอวดคนในบ้านทั้งวัน แว่นห่วงอยู่บ้างว่าลูกกาจะเฉาคามือน้อง แต่เมื่อลอบมองก็ยิ้มออก จื่อซ่านรู้ว่าควรปฏิบัติต่อลูกสัตว์อย่างไร เขาห้ามทุกคนจับเฟยเล่น แถมยังเอาตะกร้าสานมาปูผ้าทำเป็นรังอันแสนสบายให้มัน ดูท่าลูกกาที่แว่นเก็บมาเพราะเวทนาจะได้เจ้านายใหม่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อน้องชายเลิกเกาะติด แว่นก็มีเวลางีบหลับให้หายล้า ได้นอนจนสดชื่นแล้วค่อยออกไปเดินเล่น แว่นไม่อยู่บ้านแรมเดือน จึงอยากเห็นว่าขณะนี้สวนสมุนไพรของตัวเองเป็นอย่างไร

ก่อนเดินทางแว่นทำแผนผังคร่าวๆ ให้อาเปาช่วยหาไม้ยืนต้นมาปลูกและทำชั้นวางกระถางเพิ่ม พูดถึงไม้ยืนต้นแว่นก็นึกถึงแต่ต้นเล็กๆ ขุดเอามาเลี้ยงให้โต ใครจะคิดว่าอาเปาจะอุตสาหะหาต้นใหญ่สูงกว่าสามเมตรมาปลูกให้ กว่าจะขุดกว่าจะขนย้ายได้ท่าทางคงลำบากไม่น้อย ที่น่าประทับใจไปกว่านั้นคืออาเปาทำป้ายเขียนบอกชื่อต้นไม้เอาไว้ทุกต้น ลายมืออาจไม่สวยแต่ก็เขียนได้ถูกต้อง ไม่เพียงแต่รู้อักษรธรรมดาที่คนทั่วไปใช้ ยังสามารถเขียนอักษรพิเศษของชนชั้นสูงได้ด้วย

“เจ้ารู้ชื่อสมุนไพรพวกนี้ได้อย่างไร” แว่นถาม

“ท่านยู่คุนเป็นคนสอนขอรับ”

ยู่คุนไม่ลืมคำสัญญาว่าจะแบ่งสมุนไพรหายากมาให้ลองปลูก แม้กุ้ยฮวาจะไม่อยู่ เขาก็ยังเอามาฝากสม่ำเสมอ ท่านหมอเห็นอาเปาเป็นคนขยัน พอทราบว่ากำลังเรียนหนังสือจึงสอนอะไรหลายๆ อย่างให้

“เจ้าหัวไวจริง ไม่เจอกันหน่อยเดียวพัฒนาขึ้นมาก”

“เป็นเพราะความเมตตาของคุณหนูขอรับ คนโง่อย่างข้าน้อยเลยเริ่มอ่านออกเขียนได้” อาเปาเอ่ยอย่างสำนึกบุญคุณ

ถ้าย้อนไปก่อนหน้านี้สักสามเดือน แล้วมีคนบอกว่าอาเปาจะอ่านออกเขียนได้ในปีนี้ คนคงหัวเราะขำกันทั้งตลาด แม้แต่เจ้าตัวเองยังคิดว่ามีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะทำให้ตนฉลาดขึ้น

“เจ้าไม่ได้โง่สักหน่อย ข้ายังไม่เห็นใครเรียนหนังสือได้เร็วเท่าเจ้าเลย จริงไหมซีอิ๋ง”

แว่นหันไปทางเด็กสาวหมายจะให้อีกฝ่ายช่วยเสริมเพื่อเรียกความมั่นใจให้อาเปา

“จริงเจ้าค่ะ” ซีอิ๋งตอบรับอย่างขัดเสียไม่ได้

เด็กสาวไม่คิดชื่นชมอาเปาเพราะบ่าวไพร่บ้านนี้รู้หนังสือกันทุกคน แม้ชายหนุ่มจะอ่านออกเขียนได้ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรดีขึ้นมา ยังทำตัวสกปรกมอมแมม ท่าทางเซ่อซ่าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

“เกือบลืมไปเลย ข้าซื้อมาฝากเจ้า รับไปสิ” แว่นส่งถุงมือหนังกวางไปให้

อาเปาทำท่าจะปฏิเสธเหมือนเคย ซีอิ๋งรำคาญเลยดุไปว่าคุณหนูให้ก็ต้องรับ บ่าวไพร่ได้กันทั้งบ้านอย่าได้กระหยิ่มใจว่าตัวเองพิเศษเชียว

“อย่าว่าอาเปาสิซีอิ๋ง” แว่นปราม

ปกติซีอิ๋งออกจะนิสัยดี ไม่รู้เป็นอะไรชอบใจร้ายกับอาเปาเรื่อย

“คุณหนูใจดีเกินไปแล้วนะเจ้าคะ ก็เห็นกันอยู่ว่ามันทำตัวน่ารำคาญ”

“ซีอิ๋ง...” แว่นทำเสียงเข้มใส่ “อย่าเรียกอาเปาว่ามัน”

การเรียกคนอื่นว่า ‘มัน’ ถ้าพูดกันในหมู่เพื่อนสนิทแว่นไม่ถือสาเพราะตัวเองก็ใช้ แต่ในภาษาเจียงคำว่ามันใช้แต่กับสิ่งของและพวกต่ำชั้นกว่า ไม่เพียงแต่เป็นการดูถูก ยังใช้เรียกเพื่อลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วย

นานทีปีหนคุณหนูจะดุสักครั้งซีอิ๋งเลยหน้าเจื่อน เด็กสาวละล่ำละลักขออภัย แว่นจึงบอกให้นางขอโทษอาเปาแทน

“ไม่เป็นไรขอรับ ข้าผิดเองที่ทำตัวน่ารำคาญ”

ชายหนุ่มไม่สบายใจเลยที่เป็นต้นเหตุให้ซีอิ๋งโดนตำหนิ เขาถูกเรียกแทนตัวว่ามันบ่อยจนเคยคิดว่าเป็นคำแทนตัว

“ก็จริงนะ น่ารำคาญทีเดียว” แว่นเอ่ยอย่างอ่อนใจ

อาเปาเจียมตัวเสียจนกลายเป็นดูถูกตัวเอง เขาเริ่มจะเข้าใจความหงุดหงิดของซีอิ๋งขึ้นมาบ้าง เลยจัดการอบรมทั้งสาวใช้และคนสวนไปพร้อมๆ กัน

“พวกเจ้าฟังข้าให้ดี เคยได้ยินไหมว่า ‘เกิดมาเป็นคนต้องมีเกียรติ’ ”

ซีอิ๋งเคยได้ยินมาบ้างแต่อาเปาไม่เคย แว่นจึงอธิบายให้ฟังช้าๆ

“เกียรติคือความยกย่องนับถือ การจะได้มาซึ่งเกียรติต้องเริ่มจากการเคารพตัวเองและเคารพผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน”

แว่นอธิบายให้ทั้งสองคนเห็นว่าจุดอ่อนของอาเปาคือไม่เคารพตัวเอง ส่วนซีอิ๋งไม่เคารพผู้อื่น แว่นสอนให้อาเปาเลิกดูถูกตัวเอง รวมถึงสอนให้ซีอิ๋งให้เกียรติคนที่ต้อยต่ำกว่า

“แต่คนบางคนก็ไม่น่าให้เกียรตินะเจ้าคะ” ซีอิ๋งค้าน

“ที่เจ้าว่ามาก็ถูก คนเรามีมากมายหลายประเภท ต้องดูต้องพิจารณาให้ดี” แว่นไม่ชิงตัดบทบังคับให้เชื่อ แต่ค่อยๆ พูดโน้มน้าว “ในสายตาข้าอาเปาเป็นคนซื่อขยันขันแข็ง ที่ทำผิดเพราะไม่รู้ก็ค่อยๆ สอนกันได้นี่จริงไหม ถ้าเจ้าให้เกียรติเขา เขาต้องให้เกียรติเจ้าแน่”

แว่นยกตัวอย่างตอนตามเสด็จ พวกนางกำนัลส่วนใหญ่ล้วนดูถูกซีอิ๋งที่เป็นแค่สาวใช้ต่ำต้อย เด็กสาวจึงอึดอัดใจเป็นอย่างมาก สถานการณ์ที่อาเปาเจอในตอนนี้ก็เหมือนกับที่ซีอิ๋งเจอ

“เจ้าจำซูเสียได้ใช่ไหม นางดีต่อเจ้าโดยไม่สนใจฐานันดร เจ้าจึงนับถือนางจากใจจริง”

ได้ฟังเช่นนี้ท่าทีของซีอิ๋งก็อ่อนลง นางยอมขอโทษที่พูดไม่ดีกับอาเปา ส่วนอาเปาก็ยอมรับคำขอโทษนั้นแต่โดยดี

แว่นอบรมคนรับใช้เสร็จก็เดินชมสวนสมุนไพรต่อ ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนแอบฟังการสนทนาของนางกับคนรับใช้อยู่นานสองนาน

บุรุษปริศนาผู้นี้ติดตามหญิงสาวมาตั้งแต่กุ้ยอี้ได้ข่าวว่ารถม้าของนางพลัดหลงขณะตามเสด็จ เขาแปลงโฉมแฝงตัวอยู่เงียบๆ เพื่อคอยรายงานความเป็นไปของกุ้ยฮวาให้กุ้ยอี้ทราบ ที่กุ้ยอี้วางใจทำงานต่อไปได้ก็เพราะมีคนคนนี้คอยเป็นหูเป็นตา ชายหนุ่มขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งเมื่อได้ยินถ้อยความที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ปราชญ์

เจียงเฉียงปกครองด้วยระบบชนชั้น การให้เกียรติบ่าวไพร่มักถูกมองในแง่เปิดโอกาสให้เหิมเกริม ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้เห็นต่างว่าการให้เกียรติซึ่งกันและกันสามารถซื้อใจได้มากกว่า ไม่ทราบว่าคุณหนูไปร่ำเรียนหลักการพวกนี้มาจากที่ใด แต่เท่าที่ฟังดูความรู้ของนางไม่ธรรมดาเลย หากมีโอกาสได้ร่วมในการประชุมปราชญ์ต้องเปล่งประกายเจิดจรัสเป็นแน่ แล้วยังมีความงามอันต้องตาต้องใจอีก เห็นทีเทศกาลฤดูหนาวปีนี้กุ้ยอี้คงได้เหนื่อยกว่าเดิมหลายเท่า



-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายตอนค่ะ มาดึกอีกแล้วเพราะโน้มนอนดึก
นิสัยนี้คาดว่าคงแก้ไม่หายค่ะ
ทำงานกลางคืนมันไหลลื่นดีจริง
ตอนนี้เฉลยแล้วนะคะว่าน้องนกกระจอกไปอยู่ที่ใคร
สรุปพี่แพนด้าของเราได้จิ๊บน้อยไป เจ้าเฟยอยู่กับแว่น
ส่วนเจ้ากาพี่ใหญ่เดี๋ยวมันจะเปลี่ยนเจ้าของค่ะ
เฉลยในตอนที่ 4 อีกยาวนานฉะนั้นเดาไปพลางๆ นะคะ
คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ เจอกันวันจันทร์ค่ะ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2558, 00:03:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2558, 00:03:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1374





<< สัตว์พันปี : บทที่ ๒๔ สงสัย (พบกันในเล่ม2นะคะ)   เจ้าสาวภูต : บทที่ ๒ ข่าวยามสาย >>
Zephyr 12 มิ.ย. 2558, 22:40:05 น.
โหย พี่ห้าถ้าบอกว่าล่ามารนิลได้นี่
คะแนนกระฉูดอ่ะ ไม่มีใครตามทันแหงมๆ
จิ้บน้อยนี่สงสัยขาดความอบอุ่นมาก เลยชอบแพนด้าไๆๆ


นักอ่านเหนียวหนึบ 12 มิ.ย. 2558, 23:29:58 น.
อิจฉาลูกนกบ้านนี้ดีมะ ได้ดิบได้ดีกันโม้ดดด


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account